ความแตกต่างของสมาธิและสัมมาสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 19 เมษายน 2015.

  1. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ทางพ้นทุกข์ 1.อริยสัจจ์ 4 2.สติปัฐฐาน 4 3.สังโยชน์ 10 4.กฏของไตรลักษณ์ 4 5.พรหมวิหาร 4 6.สังคหวัตถุ 4 7.โพชฌงค์ 7 8.ทาน 9.ศีล 10.ญาณ 16 11.รูป-นาม ความเกิดความดับ 12.การทำสมาธิ 13.การเดินจงกรม 14.การใส่บาตร 15.การสนทนาธรรม 16.มนต์ 17.กายคตายสติ 18.อนัตตะลัขณสูตร 19.อาทิตปริยายะสูตร 20.การอ่านหนังสือธรรมะ และ 21.สัมมาทิฏฐิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2015
  2. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฎิเสธ อรูปฌาน แต่ท่านบอกว่าอรูปฌานใครทำได้ก็เป็นอริยบุคคลได้เร็ว
     
  3. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๒๑.๓๑

    แหม...พักนี้ไม่ค่อยมีกาละเทศะ ที่เหมาะสมเลยแฮะ
    ไล่อ่านไม่ทัน เรื่องมันมากมาย
    ขอจับเอาตรงสำคัญมาโม้ละกัน นะ

    ก็ยังไม่ได้อ่านทั้งหมดหรอกนะ แต่ทนอ่านต่อไม่ไหวแล้ว จะอ๊วกอ่ะ
    อ่านมากมาก แล้วโรคต้อภูเขามันพาลจะกำเริบน่ะครับ
    อุตส่าห์รักษาแทบแย่ หายดีตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้วโน่นแน่ะ
    จะมาปล่อยให้มันกำเริบในระยะนี้ ก็ใช่ที่ นะ เนอะ เค้าไม่ยอมหรอก หึหึหึ

    (หมอมือเปล่า - โรคต้อภูเขา หรือชื่อเต็มว่า โรคต้อภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
    เคยให้รายละเอียดไว้แล้ว ตรงไหนไม่ทราบ อยากรู้ไปค้นกระทู้เราเอาเอง)

    ที่โผล่มาในวันนี้ ก็ด้วยเหตุว่า ไม่พอใจเป็นอันมากเลย ขอบอก
    ที่ใครบังอาจมาดูถูกสมาธิตามธรรมชาติ หนอยแน่ บังอาจมากไปแล้ว ไอ้น้อง หึหึหึ






    ขอย้อนอดีตไปซักสองปีก่อน ตอนโดนเรียกตัวไปติวเข้มที่สวนโมกข์
    คงพูดไม่ได้หรอกนะ ว่าท่านพุทธทาส ลงมาติวให้ด้วยตัวเอง หึหึหึ

    ช่วงนั้นก่อนสิ้นปี 2012 ก็โดนล่อลวง ให้ไปอยู่ที่สวนโมกข์ ๕๕๕
    คิดเพ้อเจ้อเอาเอง ว่าพวกเค้า พาตัวไปติวเข้ม เตรียมรับมือ สิ้นปีมหาประลัย

    ช่วงนั้นสงสัยยังไม่หายบ้าดีล่ะมั้ง นะ เพิ่งนั่งรถไฟฟรี กลับมาจากเชียงใหม่
    หลังโดนส่งไปทำภารกิจ เดินไปเดินมา เดินเพ่นพ่านไปหลายที่ ในเมือง
    ไปหลายวัด ทำโน่นทำนี่ แตะตรงโน้น จ้องตรงนี้ ลูบตรงนั้น อะไรแบบเนี้ยอ่ะ

    มีตังค์ไปหกร้อย อยู่ได้สองวัน คืนที่สามต้องนอนที่ประตูท่าแพแฮะ หมดตังค์แล้ว
    สุดท้ายขึ้นรถไฟฟรี กลับกรุงเทพ มาต่อรถไฟมาที่สุราษฏร์ ไชยา สวนโมกข์
    ลงจากรถไฟ เหลือเหรียญห้าสิบตังค์สองอัน ต้องนอนต่อตรงนั้น จนเช้า
    แล้วเดินมาที่สวนโมกข์ เหนื่อยจัง หิวด้วย เล็กน้อย
    สองวันไม่ได้กินไรเลย ต้องแอบกินน้ำก็อกบนรถไฟ อายจัง

    แต่โชคดี ท้องให้ความร่วมมือดีมาก ไม่ยอมหิวเลยแฮะ แปลกจัง
    หลับๆ ตื่นๆ มาตลอด จากเชียงใหม่ จนหัวลำโพง
    จนรถไฟสายใต้ออก จนมาถึงไชยา ไม่ได้กินไรเลยอ่ะ
    แต่บังเอิญจัง ไม่ค่อยหิว ไม่ทรมานเลย ขอบอก หึหึหึ
    (อ้อ..เพิ่งนึกออก ตอนถึงหัวลำโพง เหลือเหรียญอยู่สิบบาทนิด
    ได้ซื้อนมแล๊คตาซอยกิน กล่องนึง ตอนเช้ามืด อร่อยมาก ขอบอก)

    เฮ้ย...ไปไหนวะ ออกจากฝั่งมากไปแล้ว เข้าฝั่งเหอะ ๕๕๕

    มาต่อเรื่องสมาธิตามธรรมชาตินะ ต้องขอยกเอาที่ท่านติวให้ มาโชว์ซะหน่อย ว่า

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2.406792/


    ด้วยเคล็ดวิชา จับแพะชนแกะ จะได้เรื่องไม๊น๊า หึหึหึ
    จะมีซักกี่คน เข้าใจว่าเราจะบอกอะไร ตื่นเต้นมาก เล็กน้อย ๕๕๕


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ลูกแก๊งค์นาฬิเกร์

    .
     
  4. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ก็ดูเหมือนว่าก็ชอบอ่านอยู่มิใช่เหรอ
     
  5. biox

    biox Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +60
    สาธุครับ ถ้ายังมีคนพอเข้าใจก็ยินดีครับ


    ทุกครั้งหลังจากที่เราตอบกระทู้ ลองสังเกตุ ตัวเองนะครับว่า
    - เราใจจดจ่อกระทู้นั้นมั้ย รู้สึกว่าเป็นกระทู้ของเรามั้ย
    - เวลาเข้าเวป ก็จะสอดส่ายสายตา เปิดแต่กระทู้ที่เรามีส่วนร่วมก่อนมั้ย
    - อันไหนที่อ่านแล้วตรงใจ ก็รู้สึกว่าดี มีอารมณ์ร่วม อยากกอ่านอีก ไม่รู้เบื่อ
    - อันไหนที่อ่านแล้วไม่ตรงใจ มีอารมณ์ผลักออก ก็รู้สึกว่าไม่ชอบเลย

    ถ้าจิตท่านเข้าไปร่วม นั่นแหละ "ตัวกู"

    ถ้าท่านเห็นอาการแห่ง "ตัวกู"
    อันนี้แหละ วิปัสนาญาน

    แต่ถ้าท่านอ่านด้วยใจเฉยๆ และมีปัญญารู้ คัดสรรค แยกแยะได้ ใจท่านไม่ขัดแย้งทั้งต่อความชอบและไม่ชอบ กำลังใจแบบแหละ เป็นทางสายกลาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2015
  6. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    สาธุครับ ผมเป็นคนตรงๆ ถ้าสังเกตุจะเห็นว่าผมจะอ่านมากกว่าตอบ ผมอ่านทุกความเห็นแล้วใช้ปัญญาพิจารณาตาม ถ้าตรงตามพุทธวจนะก็จะอนุโมทนาสาธุ ถ้าไม่ตรงหรือเน้นความเห็นส่วนบุคคลก็ผ่าน เฉยๆไม่ใส่ใจ. ผู้เดินทางต้องกางแผนที่ในการเดินเมื่อมีใครถามทางต้องตอบตามแผนที่ ส่วนถ้าถามว่าท่านเดินยังไง ไม่ตอบมิใช่สิ่งที่ต้องตอบ ส่วนถ้าถามว่าเดินถึงไหนก็ไม่ตอบไม่ใช่สิ่งที่ต้องตอบเช่นกัน เหตุเพราะตอบไปไม่ก่อเกิดประโยชน์ต่อผู้ใด เรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของเค้า. เรื่องของเค้าก็ไม่ใช่เรื่องของเรา.ส่วนอุบายหรือกุลสโลบายนั้นก็แนะได้บ้างแต่ก็แล้วแต่จริตของใครปัญญาของใครจะมีแค่ไหนก็แค่นั้น ท่านกล่าวธรรมตามแผนที่ ผมก็แสดงให้ท่านได้กระทำตามหน้าที่ ส่วนใครจะฟัง ไม่ฟังนั้นก็เรื่องของเค้าครับ สิ่งที่ท่านแสดงสามารถสอบเทียบ ตรวจสอบ ว่าตรงตามแผนที่ใหมได้เลยโดยไม่ต้องคิดมากจริงใหมครับ. คนเดินทางย่อมเข้าใจในสิ่งที่ตนเดินผ่านมาแล้ว ส่วนที่ยังไม่ถึงก็จะอาศัยแผนที่เดินทางต่อ หากทิ้งแผนที่หรือเข้าใจผิด สำคัญผิดในแผนที่และมีมานะในตนเมื่อไร นั้นแหละคนนั้นกำลังเดินเข้าสู่หายนะ ใครก็ไม่สามารถเตือนได้ช่วยได้ เหตุเพราะเค้าติดอยู่ในมานะนั้นเอง จริงใหมครับท่าน. สาธุ
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    บอกไว้ตรงไหน ช่วยยกมาด้วย อย่าพูดลอยๆ

    หลักฐานที่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธไว้

    ดังมีพระพุทธพจน์ในพระสูตรได้ทรงตรัสรับรองเรื่องราวต่างๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้น อย่างเช่น สมาธิที่มีมาแต่กาลก่อนที่พระพุทธองค์จะได้ทรงตรัสรู้ หรือที่เรียกว่า "สมาบัติ ๘" นั้น อันมีรูปฌาน และอรูปฌาน เป็นต้น

    "อาตมภาพนั้นมีความคิดเห็นว่า
    ธรรมนี้ไม่เป็นไป เพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท
    เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
    ย่อมเป็นไปเพียงให้อุปบัติในอากิญจัญญายตนพรหมเท่านั้น
    อาตมภาพไม่พอใจธรรมนั้น เบื่อจากธรรมนั้นแล้วหลีกไปเสียฯ" (อรูปฌานที่๗)

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  8. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    เราน่ะอ้างแบบท่านไม่ได้หรอก แต่พระสูตรน่ะมันขัดจากความเป็นจริงตามที่พระองค์ได้ ถ้าท่านไม่ได้อรูปฌาน ท่านจาเหาะได้รึ ถ้าท่านไม่ได้อรูปเวลาท่านปรินิพพานท่านคงไม่ไล่ฌานหรอก

     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ถ้าพูดลักษณะนี้ ก็แสดงว่า คุณกำลังจะบอกให้รู้ว่า

    ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้มานั้น

    มีการต่อยอดความรู้ที่ทรงได้ตรัสรู้มาจากรูปฌาน อรูปฌานอย่างนั้นหรือ?

    ที่พระพุทธองค์ตรัสตอนตรัสรู้ว่า

    "ธรรมอันเราตรัสรู้นั้น ไม่เคยได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน"

    จำไว้นะ ที่คุณพูดจะเป็นการลบหลู่กล่าวตู่พระพุทธองค์

    ไม่จำเป็นที่ต้องได้อรูปฌานเท่านั้นถึงจะเหาะได้

    ใครที่ชำนาญในเรื่องฌานจนเป็นวสี

    และมีนิสัยปัจจัยชอบเล่นฤทธิ์ ล้วนทำได้ทั้งนั้น

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  10. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    พุทธเจ้าไม่ได้ปฎิเสธ อรูปฌาน 56789 ฌานที่5678ก็สามารถเป็นอริยบุคคลได้ โดยการดูนามเกิดดับ ฌานที่9สัญญาเวทยิตนิโรธ รูปดับ เวทนาดับ สัญญาดับ เหลือสังขาร กับวิญญาณ เราก็ดูสังขาร กับวิญญาณเกิดดับ ก็เป็นอรหันต์ได้

    ผมฟังมาแล้วพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิพโล ท่านยืนยันว่าแม้แต่ฌาน9ก็เป็นอรหันต์ได้

    ไปไม่เป็นแล้วธรรมภูติ ผมเคยอ่านธรรมของคุณเรื่อง จิตไม่เกิดดับ แต่อาการของจิตเกิดดับ จิตไม่ใช่วิญญาณขันธ์ มั่วอีกแล้ว พุทธวจนปลอมนี่หน่า พุทธวจนพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ท่านว่า จิต มโน วิญญาณคือตัวเดียวกัน เกิดดับ
     
  11. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    ตกนรกแน่ ธรรมภูมิเอาพุทธวจนของพุทธเจ้ามาสอนแบบผิดๆๆ เรื่องสมาบัติ8

    คนละเรื่องกันเลย ธรรมภูติกับพระอาจารย์คึกฤทธิ์
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ถ้าคิดว่าจะมั่วๆเพื่อเอามัน ก็อย่าแอบอ้างบุคคลที่สาม

    เพราะว่าเมื่อถูกถามไปแล้ว จะมาตอบเองไม่ได้

    แล้วคนที่พูดเอามันอย่างเดียวก็ตอบเองไม่ได้

    แถมยังไม่หลักฐานมาอ้างอิงซะอีก

    ลองเบิกเนตรดูชัดๆจากพระพุทธพจน์นะว่า ฌาน5678 ว่ามันไปไม่ได้

    ส่วนที่อ้างฌาน9 แล้วบอกว่าเป็นพระพุทธพจน์ ยิ่งมั่วหนักเข้าไปใหญ่

    มีที่ไหนในสัมมาสมาธิขอหลักฐาน ที่บอกว่ามีฌาน56789 อย่ามั่วเอาสิ

    ยิ่งเล่นแอบอ้างบุคคลที่สาม ที่ไม่ได้เรื่องด้วยแล้วยิ่งไปใหญ่

    พระพุทธประวัติ

    V

    การเข้าไปหาอาฬารดาบส

    [๔๘๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรราชกุมาร
    ก่อนแต่ตรัสรู้ แม้เมื่ออาตมภาพยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ก็มีความคิดเห็นว่า
    ความสุขอันบุคคลจะพึงถึงได้ด้วยความสุขไม่มีความสุขอันบุคคลจะพึงถึงได้ด้วยทุกข์แลฯ
    จึงได้เข้าไปอาฬารดาบส กาลามโคตร แล้วได้กล่าวว่า ดูกรท่านกาลามะ
    ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้.ฯ

    อาฬารดาบส กาลามโคตรได้กล่าวกะอาตมภาพว่า ท่านจงอยู่เถิด
    ธรรมนี้เป็นเช่นเดียวกับธรรมที่บุรุษผู้ฉลาด
    พึงทำลัทธิของอาจารย์ตนให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วบรรลุไม่นานเลย
    อาตมภาพเล่าเรียนธรรมนั้นได้โดยฉับพลันไม่นานเลย.
    กล่าวญาณวาทและเถรวาทได้ด้วยอาการเพียงหุบปากเจรจาเท่านั้นฯ

    อาตมภาพนั้นมีความคิดเห็นว่าธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่งเพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
    ย่อมเป็นไปเพียงให้อุปบัติในอากิญจัญญายตนพรหมเท่านั้น.
    อาตมภาพไม่พอใจธรรมนั้น เบื่อจากธรรมนั้นแล้วหลีกไปเสีย.ฯ


    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ขอบอกตรงๆเลยนะว่า "ใครกันแน่ที่จะตกนรกแบบชนิดหมกไหม้เอาได้"

    มีที่ไหน พยยามกล่าวร้ายพระพุทธเจ้าว่า ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้มานั้น

    เป็นการแอบต่อยอดมาจากฌานสมาบัติ๘

    แถมยังมั่วเอาเองอีกว่า คนที่ฝึกฌานสมาบัติ๘ บรรลุอริยบุคคลได้

    ไม่มีทางเป็นไปได้เลย มีพระพุทธพจน์ยืนยันไว้แล้ว

    ถ้าบุคคลที่ได้ฌานสมาบัติแล้ว ไม่ละทิฐิเดิมเสียก่อน อยากจริงๆ

    เอาหลักฐานมายันด้วยที่คุณบอกว่า

    จิตกับ วิญญาณขันธ์ เป็นอันเดียวกัน อย่าพูดเอาเองแบบมั่วๆสิ


    แต่หลักฐานเท่าที่มีอยู่ มันคนละเรื่องกัน จำไว้นะ นี่หลักฐานชัดๆ อ่านซะ

    V

    [๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ
    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด
    จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว
    อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    ชัดๆโดยไม่ต้องตีความใดๆทั้งสิ้น อย่าพยายามมั่วเพื่อเอาชนะอีกหละ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    หลวงปูหลุย จนฺทสาโร

    พระอริยเจ้าจิตของท่านแนบสังขารในอวัยวะสังขารของท่านแปรอยู่เสมอ
    รู้ทั้งเกิดและดับ ทุกวาระจิตไม่มีเผลอ และท่านรู้เท่าสังขารทุกส่วน
    จึงเรียกท่านมีสติอันไพบูลย์ คือมีสติเต็มที่
    ฉะนั้นภายในจิตท่านไม่มีนึกคิดในทางที่ผิด และท่านไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง
    เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่มีโทษ ท่านรู้แจ้งอริยสัจอยู่ทุกเมื่อทุกขณะ
    วิธีแก้บ้า คือให้ชำนิชำนาญ อนุโลมปฏิโลมของจิต ทวนกระแสเข้าจิตเดิม
    วางอุเบกขาต่ออารมณ์ทั้งหลาย ๑
    สำคัญว่านิมิตทั้งหลายเป็นอาการของจิตนั้น ๑
    เป็นของไม่เที่ยง ๑
    ให้ยกเป็นธรรมาธิษฐานในนิมิตนั้นสอนจิต ๑
    อย่าสำคัญนิมิตทั้งหลายเป็นของดี ๑
    อาการเหล่านี้แต่ละอย่างๆ ล้วนแต่แก้นิมิตบ้าทั้งนั้น
    หลักสำคัญแก้ได้ด้วยไตรลักษณ์ลบล้างนิมิตทั้งหลายได้
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ส่วนเรื่องจิตดำรงนั้น พระพุทธพจน์รับรองไว้ชัดๆ โดยไม่ต้องตีความ

    เมื่อความยึดมั่นอย่างแรงกล้าไม่มี
    จิตย่อมคลายกำหนัดในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
    ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เพราะหลุดพ้น
    จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อมเพราะยินดีพร้อม
    จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น
    ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี.

    ^
    ^
    เมื่อไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอย่างแรกกล้าไม่มีในจิตนั้น
    จิตย่อมเบื่อหน่ายในขันธ์๕ เมื่อเบื่อหน่าย จิตก็คลายกำหนัดในขันธ์๕
    จิตย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ใช่จิตนั้น(ภิกษุนั้น)ดับรอบเฉพาะตนมั้ย?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จิตไม่ใช่ใจ(มนัส)แน่นอน มีพระพุทธพจน์รับรองชัดๆครับ

    โกฏฐิกสูตร

    พระมนัสของพระผู้มีพระภาคมีอยู่แท้
    พระองค์ก็ทรงรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยพระมนัส
    แต่พระองค์ไม่มีความพอใจรักใคร่ พระองค์ทรงมีจิตหลุดพ้นแล้ว

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2015
  17. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ผมว่าเขาคงเอาข้อความมาจากนี้ละมั้ง (ปล.โดยส่วนตัวผมก็ยังสงสัย งงในเรื่องนี้อยู่นะ)
    จะตีความหมาย สื่อความหมายอย่างไรดี
     
  18. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    อกุศล และกุศลธรรมดาๆ เอาอะไรเป็นตัวชี้วัดครับ
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    มีผู้รู้พระบาลีพอสมควรบางท่านที่พยายามยกเอาพระบาลีอัสสุตวตาสูตร
    มาเพื่อกล่าวแย้งเรื่องจิตเกิดดับอย่างแน่นอน ตามคำแปลพระบาลี
    โดยเอาคำว่า "อุปปชฺติ" แปลว่า เกิด
    และคำว่า "นิรุชฺฌติ." แปลว่า ดับ


    โดยการนำมาชี้แจงเพียงเท่านี้ พร้อมกับคำแปลที่เป็นภาษาไทยถูกรจนาขึ้นในภายหลัง
    ผมเองก็มีความรู้พระบาลีเพียงเล็กๆน้อย จากการจำมาจากพระสูตรต่างๆ
    ซึ่งในพระบาลีที่นำมานั้น มีนัยยะ เรื่องเกิดดับดังนี้
    มีพระบาลีที่ยกมาบอกไว้ว่า "อัญญะเทว" แปลว่า
    อัญญา=รู้ต่าง เทว อ่านว่าทะเว= รู้ต่างทั้งสองฝ่าย คือรู้ต่างทั้งเกิดขึ้นและดับไป


    ฉะนั้นคำว่า "อญฺญเทว อุปฺปชฺชติ" แปลได้ว่า เกิดขึ้นก็รู้
    คำว่า "อญฺญํ นิรุชฺฌติ" แปลได้ว่า ดับไปก็รู้ เพราะรู้ต่างทั้งสองฝ่าย


    เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พระบาลีบอกไว้ชัดๆว่า เกิดขึ้นก็รู้ ดับไปก็รู้
    แสดงว่าที่เกิดดับไปนั้นเป็นเพียงอาการของจิต(จิตเป็นต้นนั้น)เท่านั้น
    แต่ก็ยังมีคนพวกหนึ่ง เมื่ออ้างถึงจิตเกิดดับมักต้องยกเอาพระสูตรนี้มาเป็นประจำ

    โดยไม่ศึกษาถึงเนื้อหาที่ถูกต้องแท้จริงๆเลย
    เพราะเชื่อตามที่สอนว่าเป็นแบบนั้น โดยไม่เอาหลักเหตุผลใดๆทั้งสิ้นเลย

    พระอริยสาวก ย่อมรู้ชัดว่าคือรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

    ทุกข์เกิดขึ้นที่ไหนครับ? ที่จิตใช่มั้ยครับ?
    สุข ทุกข์ที่เกิดขึ้นดับไปล้วนใช่อาการของจิตมั้ย?

    ส่วนปุถุชนนั้น เห็นอาการของจิต(จิตตสังขาร) ที่เรียกว่า
    จิตบ้าง มโนบ้าง วิญาณบ้างฯลฯ จิตเป็นต้นนั้น

    เกิดดับไปตามอารมณ์เหล่านั้น(เครื่องเศร้าหมองจิต)เป็นธรรมดาเพราะไม่รู้จักจิต
    ส่วนพระอริยสาวกรู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นอารมณ์เกิดขึ้นที่จิตและดับไปจากจิตครับ

    พระสูตรก็ชัดเจนอยู่แล้ว ท่านเปรียบวานรเหมือนจิต วานรกี่ตัว?
    แต่อาการที่วานร ไปจับกิ่งโน้น ปล่อยกิ่งนี้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดกิ่งนี้ ใช่วานรเป็นต้นนั้นมั้ยครับ?

    ถ้าวานรเปรียบเหมือนจิตที่เกิดๆดับๆ วานรมิต้องตกตายเกลื่อนป่าหรือ?
    ดวงเดียวเที่ยวไป ก็เหมือนวานรตัวเดียวเที่ยวไป
    ส่วนอาการของจิตที่แสดงในการจับสิ่งนั้น(อารมณ์) ปล่อยสิ่งนี้ ปล่อยสิ่งนั้น ยึดสิ่งนี้
    ล้วนเป็นจิตสังขารหรือจิตเป็นต้นนั้นทั้งสิ้นใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เมื่อวานรคือจิต มีตัวเดียวเที่ยวไป(เอก จรํ จิตตํ=ดวงเดียวเที่ยวไปในอารมณ์)ในป่าใหญ่ กิ่งไม้เปรียบเหมือนอารมณ์ต่างๆ
    จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไปเรื่อยๆ คือเป็นไปตามอารมณ์ต่างๆที่จรเข้ามาใช่หรือไม่?

    ส่วนจิตเป็นต้นนั้นในพระสูตร ล้วนเป็นจิตสังขาร หรือจิตที่ปรุงแต่งกับอารมณ์ไปแล้วทั้งสิ้น
    และเกิดดับตามอารมณ์เหล่านั้น เราเรียกจิตสังขารเหล่านั้นว่าดวงเช่นกัน จึงต้องเรียกว่า ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงดับไป
    เราเปรียบจิตเหมือนน้ำที่เดิมนั้น บริสุทธิ์หมดจดอยู่ก่อน ที่สกปรกโสมมไปเพราะ มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาปนเปื้อน

    ที่เราเรียกว่า น้ำแดง แกงส้ม ต้มมะระ ฯลฯ น้ำเป็นต้นนั้น สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งดับไปตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ฉันใด
    เรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างฯลฯ จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ

    เราสามารถกลั่นน้ำ ให้บริสุทธฺ์หมดจดจากสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนได้ฉันใด
    เราสามารถฝึกฝนอบรมชำระจิต ให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองได้ฉันนั้นครับ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...