ความสำคัญของหัวใจพระพุทธศาสนา

ถ้าพลศักดิ์ไม่หนีผม ตามที่เคยทำมา ผมจะ เอาตัวอวิชชา ในตัวพลศักดิ์ ออกมาให้ดู กล้าไม่หนีเปล่าล่ะ
ต้องกล้า ตอบ แบบมีเหตุมีผล ต้องกล้ายอมรับว่า อะไรที่รู้ แล้ว อะไรที่ยังไม่รู้ แค่นี้ มันไม่ตายหรอกพลศักดิ์

 

อวิชชาตัวแรก คือ ไม่รู้ว่า คลื่นพลังงานไฟฟ้า มีขั้วบวกขั้วลบ เพิ่งจะมารู้ ก็ตอนที่ผมพูดถึง หรือ ลืมไป เพิ่งคิดได้ เมื่อกี้ ไช่มั้ย ตอบมา ตามตรง

 

ขออภัยนะขอรับ อย่างคุณเขาเรียกว่า "โง่แล้วอวดฉลาด" ไม่รู้แต่ยังอวดรู้" ทำเป็นโอ้อวดว่ารู้เรื่องคลื่นไฟฟ้าตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไป ความจริง แล้วไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย มีแต่ทำตัวเป็นพวกชอบหยิบยืมคำผู้อื่นมาทำเป็นอ้างตัวว่ารู้
เอาชัดๆเลยขอรับ ไม่ต้องเขียนแบบให้คิดเอาเอง "ถ้าข้าพเจ้าจะสอนคุณ เกี่ยวกับคลื่นไฟฟ้าภายในร่างกาย ก็คงจะเป็นการ"สีซอให้ควายอย่างคุณฟัง" คงไม่รู้เรื่อง เพราะคิดว่า คลื่นไฟฟ้า อันเป็น "ความคิด ความจำ อารมณ์ ความรู้สึก การระลึกนึกถึง "มีขั้วลบ ขั้วบวก
โธ่เอ๋ย น่าสมเพช โง่แล้วยังอวดรู้อวดฉลาด ไปไถนาซะไป อิ อิ อิ

 

ตอบมาสิ ควายภูเขา อย่างท่าน ทำไม ไม่กล้าตอบเลยรึ หรือทำลืม ทำเนียน

นี่ คนเขาเข้ามาอ่าน เขารู้นะ อย่า คิดว่า หน้าด้าน ก็ อยู่ต่อได้ นะ พลศักดิ์

อายแทน เทพเจ้า ราหู ขาวซะจริง คุยกับควายพลศักดิ์ ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์อะไรเลย เฮ้อ สอนควายเอ๊ย สีควายให้ซอฟัง

 

ไม่อายคนก็ อายหมาที่บ้านบ้างนะพลศักดิ์ เดี๋ยวหมา มันจะบอกพลศักดิ์ ว่า ไม่น่าจะเกิดมาเป็นคนเล้ยยย ควายชัดๆ

 

ฮ่า...ฮ่า.... สีซอให้ควายฟังจริงเลยขอรับ อ่านภาษาไทยยังอ่่านแล้วไม่รู้ เรื่่อง ใครก็ได้ช่วยบอกเขาทึว่าข้าพเจ้าคือใคร ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...

 

อวิชชาตัวแรกของพลศักดิ์ คือ ไม่รู้ว่า คลื่นพลังงานไฟฟ้า มีขั้วบวกขั้วลบ เพิ่งจะมารู้ ก็ตอนที่ผมพูดถึง หรือ ลืมไป เพิ่งคิดได้ เมื่อกี้ ไช่มั้ย ตอบมา ตามตรง ว่าไช่ ไม่ไช่ หรือ โง่กว่า ที่ถามนี้อีก

 

ควายอะไรวะ คิดนานจัง

คิดเร็วๆ ให้สมกับเป็นควายหน่อยสิ ไรว้า ตกลงจะกินหญ้ามั้ย หรือกินอึ

เสียเวลารอ มันคิด มันตอบจริงๆ นั่งเทียนอะไรวะ ช้าโคตรๆ

 

โหเพ่ งั้น นั่งคิด ว่า จะกล้าตอบหรือ ไม่กล้าตอบ อีกต่อไป แล้วกัน

ขี้เกียจรอ หว่ะ

 

หรือมันจะช๊อคตาย ไปแล้วจริง ๆ เพราะ ไม่กล้าแม้จะตอบคำถามหว่ะ

 

อวิชชาตัวแรกของพลศักดิ์ คือ ไม่รู้ว่า คลื่นพลังงานไฟฟ้า มีขั้วบวกขั้วลบ เพิ่งจะมารู้ ก็ตอนที่ผมพูดถึง หรือ ลืมไป เพิ่งคิดได้ เมื่อกี้ ไช่มั้ย ตอบมา ตามตรง ว่าไช่ ไม่ไช่ หรือ โง่กว่า ที่ถามนี้อีก

 

เอ็งยังสับสนตัวเองอยู่เลย ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ดีๆ ก็เป็นเชื้อพระวงศ์มั่งหละ เป็นพระศรีมั่งหละ เป็นผู้ที่ค้นพบสภาวะเหนืออรหันต์มั่งหละ เป็นมันซะทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว ที่ไม่เคยเป็นได้ คือเป็น ผู้มีจิตปกติ

 

อ้างอิง ท่านธรรมยุติ

แต่ก็ยังมีความเข้าใจไปในหลายทิศทาง สำหรับพวกที่ติดสบายๆ ง่ายๆ และลัดสั้นอยู่มากมายว่า เพียงแค่รู้จักคิดหรือคิดให้เป็นก็เห็นได้ หรือที่นิยมเรียกว่า พิจารณาวิปัสสนา(นึก)ปัญญา คือคิดจนรู้เห็นตามความเป็นจริงได้เช่นกัน (เป็นความเชื่อ) ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว การคิดได้ ไม่ใช่ว่าจะละได้ มีอยู่ว่าที่คิดได้ แต่ก็ยังตกเป็นทาสแห่งความคิดนั้นมากมายนับไม่ถ้วน


อนุโมทนากับท่านค่ะ สิ่งที่ท่านกล่าวไว้ถูกต้องดีแล้ว ขอเพิ่มเติมในส่วนนีัหน่อยค่ะว่า



การพิจารณาหาเหตุปัจจัยแห่งการเกิดเหตุทุกข์ และการดับเหตุทุกข์ ในขณะเหตุการณ์ที่เราพบเจอ ก็คือ การพิจารณาในใจโดยแยบคาย ให้รู้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ให้ใจไหลไปตามอารมณ์ ในขณะที่มีสติและความสงบใจ เป็นการทวนกระแสแห่งอารมณ์ ไม่ทำให้เกิดอารมณ์ ที่เป็นที่ตั้งแห่งความพอใจ ไม่พอใจ หรือ เกิดการยินดี-ยินร้าย ในเรื่องการพิจารณาตามความเป็นจริงที่ได้รับผลจากเหตุ ก็เพื่อ ให้เข้าใจเหตุและปัจจัยของการเกิดเหตุ ที่จะรับผลทำให้เราทุกข์เพราะอะไร จนประจักษ์แจ้งแก่ใจ อารมณ์ ความรู้สึก กิเลส ตัณหาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการสั่งสม ถ้าไม่ต้องการทุกข์ก็อย่าก่อเหตุ และเราควรจะทำอย่างไร เพื่อให้เกิดความไม่ยึดมั่น จนเกิดความรู้ขึ้นมาบ้าง จะได้ไม่หลงหรือไม่รู้อะไรเลยนะคะ จะทำให้เราปล่อยละวางได้ลงบ้าง



สาเหตุที่เราต้องพิจารณาหาความเป็นจริงนั้น เราก็เพียงนำคำสอนของพระบรมศาสดา ที่ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่อง อริยสัจสี่ ความเป็นไตรลักษณ์ แล้วนำมาพิจารณากับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราแล้วผลออกมา เป็นจริงที่พระองค์ทรงบอกไว้ไหม ถ้าเข้าใจประจักษ์ด้วยหัวใจตนเองแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ ยอมรับ นั่นคือ เป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ได้เช่นกัน



การทวนกระแสอารมณ์ ก็คือ จิตที่ว่างจากความเป็นตัวเราของเราเท่านั้น จึงไม่มีที่ตั้งแห่งวิญญาณ ภพย่อมไม่เกิด หากปล่อยวางได้จริง กำลังของสติ สมาธิ และปัญญาที่เรารู้และประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วที่เป็นไตรลักษณ์ รู้เห็นความจริงที่เป็นปรมัตถ์ได้ การจะกระทำให้แจ้งนั้น ก็ต้องมีทั้ง สติ สมาธิ ปัญญา เพื่อชำระกิเลส ตามความเข้าใจของข้าพเจ้านะคะ

 

การข่ม หมายถึง การกดบังคับสิ่งที่มีอยู่ไว้ มิให้มันแสดงอาการ หรือ แสดงตัวออกมา

การชำระ หมายถึง การทำความสะอาด หรือ การนำสิ่งไม่พึงประสงค์ออกไป

การคิดก่อนทำ คือ ฝึกฝนตนเองให้คิดรอบครอบก่อนลงมือทำ ฝึกให้มีความชำนาญในการแสดงออก ไม่ตกหลุมพรางทางอารมณ์

ฝึกฝนให้รู้คิดก่อนลงมือทำเป็นนิสัย รู้เท่าทันอารมณ์รู้สึกของตนเอง ต้องคอยสอดส่องอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตนเองไว้ตลอดเวลา ถ้ารู้ว่าเป็นอารมณ์ที่เป็นกิเลสตัณหาให้รีบละวางมัน โดยทันที

สาเหตุที่ตกเป็นทาสของความคิด คือ ความไม่มีสติ ไม่มีความสงบสุขของใจ ไหลไปตามอารมณ์ที่คิด

การเตือนตนเอง เป็นการสร้างสติให้เกิดขึ้น สามารถละวางอารมณ์ได้

 

ความจริงแล้ว การฝึกสติปัฏฐานสี่ ไม่ไช่เป็นการคิดเอาเอง แต่ส่วนมาก มีหลายคนเข้าใจว่า การวิปัสสนา เป็นการคิดแบบหนึ่ง ถ้าหากเข้าใจว่า วิปัสสนาคือ พิจารณา ซึ่ง ไม่ไช่เป็นอันเดียวกัน

พิจารณาคือ เมื่อใจสงบ ค่อยคิดเป็นเรื่องๆ ให้จบ ด้วยความสงบที่ไม่มีสิ่งอื่นมารบกวน เช่นเวลา คำนวนเลข หรือ ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเราเอากายใจไปทำงานนั้น

วิปัสสนา คือ การดูรู้เห็นความจริงของการทำงานของกายใจจิต โดยที่เรา ไม่ได้หยิบเอาเรื่องอะไรมาคิดเลย วิปัสสนาคือดูสิ่งที่ กำลังเคลื่อนอยู่ โดยเราหยุดนิ่ง ดูอย่างเดียว ก็คือ ให้กายใจจิต มันทำงาน ที่ดูคือ สติ นี่เรียกวิปัสสนา

 

ยกตัวอย่าง วิปัสสนากรรมฐานห้า ขน หนัง เล็บ ผม ฟัน นั่นเอง ดู สิ่งที่เคลื่อนอยู่ ดูสิ่งที่มันทำงานอยู่

 

ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า... เอ็งตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาหัวของตัวเอ็งก่อนเถอะน่า ถ้าเอ็งแน่จริงเอ็งก็มาพิสูจน์สิว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเล่าไปจริงหรือเท็จ เอ็งมัวแต่พล่ามเพ้อเจ้อ อ้างตัวว่าเป็นผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา แต่จิตใจของเอ็งนั้น มันไม่ผิดอะไรกับพวกสัตว์ที่เอาลำตัวเดินขวางแผ่นดินไม่มีศาสนาในจิตใจดอกน่า มีแต่หวงที่ทำกินของเอ็งละซิ ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...

อีกประการหนึ่ง เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "วงกลมจุด" เอ็งไปศึกษาเกี่ยวกับ คลื่นไฟฟ้าในร่างกายให้ดีว่า คลื่นสมอง (คลื่นความคิด คลื่นอารมณ์ คลื่นความรู้สึก คลื่นการระลึกนึกถึง คลื่นความจำ ) มีขั้วลบ ขั้วบวกหรือไม่ อย่าทำเป็นอวดรู้อวดฉลาด แต่ความจริงแล้ว เขลา คือ ความไม่รู้ แต่ทำเป็นอวดรู้ อวดเก่ง ไม่เข้าท่า

 

แค่นี้นะ ที่เห่า ออกมา ผิดหวังหว่ะ :boo: โง่แล้ว ไม่ยอมรับหว่ะ

ไม่เป็นลูกผู้ชายเลยนะ สงสัยไม่เป็นตุ๊ด ก็เป็นเกย์ แน่นอน เลย

 

ถ้าอย่างนั้นเราสามารถที่จะปฏิบัติได้ทั้ง พิจารณา การทำให้รู้ และวิปัสสนา ที่เรียกว่า มีสติในการดูให้เห็นจริง สามารถทำควบคู่กันไปได้นะค่ะ จึงไม่ผิดใช่ไหมค่ะ

เพราะ การพิจารณาก็คือ การหยั่งรู้ ส่วนวิปัสสนา ก็คือ การทำให้รู้แจ้ง

 

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ telwada อ่านข้อความ

ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า... เอ็งตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาหัวของตัวเอ็งก่อนเถอะน่า ถ้าเอ็งแน่จริงเอ็งก็มาพิสูจน์สิว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเล่าไปจริงหรือเท็จ เอ็งมัวแต่พล่ามเพ้อเจ้อ อ้างตัวว่าเป็นผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา แต่จิตใจของเอ็งนั้น มันไม่ผิดอะไรกับพวกสัตว์ที่เอาลำตัวเดินขวางแผ่นดินไม่มีศาสนาในจิตใจดอกน่า มีแต่หวงที่ทำกินของเอ็งละซิ ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...

อีกประการหนึ่ง เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "วงกลมจุด" เอ็งไปศึกษาเกี่ยวกับ คลื่นไฟฟ้าในร่างกายให้ดีว่า คลื่นสมอง (คลื่นความคิด คลื่นอารมณ์ คลื่นความรู้สึก คลื่นการระลึกนึกถึง คลื่นความจำ ) มีขั้วลบ ขั้วบวกหรือไม่ อย่าทำเป็นอวดรู้อวดฉลาด แต่ความจริงแล้ว เขลา คือ ความไม่รู้ แต่ทำเป็นอวดรู้ อวดเก่ง ไม่เข้าท่า

เอ็งก็เอากระจกเงามาส่องดูก็จะรู้ว่าเอ็งเป็นลุกผู้ชายหรือว่าเป็นตุ๊ด หรือไม่ เอ็งโง่หรือว่าฉลาด ระดับสมองสติปัญญาของเอ็งมันระดับขี้ฝุ่นใต้ฝ่าเท้าของข้่าพเจ้า ทำเป็นโอ้อวดว่ามีเหตุผล ไหนละเหตุผล ข้าพจ้าโปรดสัตว์อย่างเอ็งแล้ว แนะนำให้ไปศึกษาจะได้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เอ็๋งยังมีหน้ามาย้อน ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า..
จิตใจสันดานต่ำ (ขออภัยที่เขียนตรงๆเลยขอรับ)ข้าพเจ้าจะสอนเอ็งสักนิดก็ได้ว่า คำว่า "คลื่นไฟฟ้า" ไม่มีขั้วบวก ไม่มีขั้วลบ ขอรับ เอ็งไปสอบถามอาจารย์ที่เอ็งนับถือไป๊ และถามด้วยว่า "คลื่นไฟฟ้า" กับ "กระแสไฟฟ้า"เหมือนกันหรือไม่
ไอ้......ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า.....ไม่รู้จะเรียกเอ็งว่าอะไรดีวะขอรับ