คติธรรมคำสอน ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 3 มีนาคม 2012.

  1. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    อยู่อย่างไร ในกาลียุค: สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

    [​IMG]

    ในปัจจุบันของเรา โบราณเขาเรียกว่า “เป็นกาลียุค” กาลี เป็นชื่อของพระแม่กาลี ว่ากันว่า พระแม่กาลี ท่านดุร้าย มีแต่ความตาย และทุกข์เวทนา คนโบราณเคยวาดภาพ กาลียุคเอาไว้ เป็นภาพของการฆ่าฟันกันอย่างไร้ความปรานี คนในยุคนั้น ไม่มีคำว่าเมตตา ปรานี ไม่มีคำว่า คุณธรรม หรือศีลธรรม ซึ่งพวกเราก็คงได้เห็นภาพลางๆ ปรากฏขึ้นมาแล้วในยุคของเรา อีกทั้ง ขอให้นำภัยพิบัติในปี 2554 บางคนบอกว่าเป็นแค่ลางบอกเหตุ ยังไม่ใช่ของจริง แต่อย่างไรก็ตาม ครั้งนั้นน่าถือเป็นบทเรียน สิ่งเป็นไปไม่ได้ ก็เป็นไปแล้ว กลับมาทบทวนกันอีกครั้งว่าปี 2554 เรายังเตรียมพร้อมได้มากน้อยแค่ไหน ยังขาดอะไร ยังบกพร่องอะไร คราวหน้าปีหน้า 2555 และปี ต่อ ๆ ไปเราจะเตรียมการณ์อย่างไร และภัยวิบัติยังคงเป็นเรื่องของน้ำ อยู่หรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องของ “น้ำ” ก็ถือเป็นเรื่องของโชค ถือว่าดี น้ำลดยังมีเหลือ ถ้าเป็น “ไฟ” เผาผลาญสิ้นไม่มีชิ้นดี เหลือแต่ซาก ถ้าเป็น “ดิน” แผ่นดินไหว สั่นสะเทือน พินาศย่อยยับ ก็มีตัวอย่างให้เห็น เหลือแต่ซากอีก ไม่มีชิ้นดีอีก นำมาใช้ประโยชน์อีกไม่ได้ กว่าจะฟื้นตัวยาวนาน แต่เสียหายน้อยกว่าไฟ ถ้าเป็นลม ก็มีตัวอย่างให้เห็น พายุ ทอร์นาโด ก็ถล่มทะลาย แต่ยังเหลือซาก ใช้ประโยชน์ไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่ไอ้ที่น่ารำคาญมากที่สุด ก็เรื่องการเมือง การขัดแย้งทางการเมือง สร้างความฉิบหายให้กับประเทศไทยมากที่สุด มากกว่าภัยพิบัติทั้งปวง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ “ฟ้าเป็นผู้กำหนด“ ถามตัวท่านเองก่อนว่า จะยอมจำนนโดยไม่สู้ หรือจะสู้โดยไม่ยอมจำนน ถ้าจะสู้ต้องคิดเตรียมการณ์ เอาปัจจุบันเป็นบทเรียน “ปฎิวัติ รัฐประหาร” “น้ำท่วมภัยธรรมชาติ” มองปัญหาก็ต้องมองกันเอาปี 2554 เป็นบทเรียน ทั้งภัยจากความโลภ ความโกรธ ความหลวง มาในรูปของ”ธรรมชาติ” และภัยจาก โลภะ โทสะ โมหะ จะมาในรูปแบบ”การแตกแยกทางการเมือง” คนไทยลืมง่าย บางคนอาจจะลืมปี 2554 ไปแล้วก็ได้ ขอนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์เป็นศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เหมือนกันกับพวกเรา พระราชทานไว้เมื่อปีใหม่ “อย่าประมาท มีสติ” ถ้าไม่ประมาทก็ควรเตรียมการณ์ไว้อย่างไร โดยนำเอาปี 2554 เป็นบทเรียน
    ๑.ที่พักอยู่อาศัยไม่ได้ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ปฏิวัติ รัฐประหาร มีแต่ความตาย ความวุ่นวาย ทางแก้ ต้องหาที่พักสำรองที่ ๒ อย่าหวังเป็นผู้พักพิง อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ และต้องเตรียมการณ์ ตามข้อ ๓- ข้อ ๙ เช่นเดียวกัน
    ๒.ที่พักต่ำเกินไป ทางแก้ ต้องหาที่สำรองที่สูง หรือไปจังหวัดอื่น
    และต้องเตรียมการณ์ ตามข้อ ๓- ข้อ ๙ เช่นเดียวกัน
    ๓.ขาดน้ำสะอาด อาหารแห้ง ทางแก้ ต้องเตรียมสำรองอาหารแห้ง น้ำสะอาด โดยจะต้องอยู่รอดให้ได้ไม่น้อยกว่า ๖๐ วัน ถ้าสมาชิกมากก็เตรียมเอาไว้ให้มาก
    ๔.ขาดแสงสว่าง ทางแก้ เตรียมตะเกียงน้ำมันก๊าซ ไม้ขีด ไฟฉาย แก๊สหุงต้ม
    ๕.อาหารเป็นพิษ เจ็บป่วย เตรียมยาธาตุน้ำขาว สามัญประจำบ้านพื้นฐาน โดยดูตัวของท่านเองเป็นหลัก ว่าท่านมีโรคประจำตัวอะไร และต้องใช้ยาอะไรอยู่เป็นประจำ
    ๖.เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์สื่อสารในครอบครัว ทางแก้ติดต่อกันให้ได้ ไปด้วยกันทั้งครอบครัว อย่าแยกกัน กำหนดจุดนัดพบหรือจุดรวมตัวเอาไว้ล่วงหน้า
    ๗.ถ้ามีรถ เติมน้ำมันให้เต็มถังอยู่เสมอ อย่าหวังน้ำบ่อหน้า ก่อนเข้าบ้านทุกครั้งเติมน้ำมันให้เต็มถังอยู่เสมอ ถ้านึกจะใช้รถอย่าไปเสียดายเงิน ค่าน้ำมัน การบำรุงรักษา
    ๘.มุ้ง ถุงนอน อุปกรณ์กันฝน เครื่องนุ่งหุ่ม ให้เพียงพอในครอบครัว ในยุโรปที่เจริญแล้วเจอวิกฤติคลื่นความเย็น พาดผ่านตายไปเกือบ ๓๐๐ คน
    ๙.เตรียมอาวุธ หรืออุปกรณ์ป้องกันตัว
    ๑๐.ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ข้อสำคัญ อย่าประมาท พร้อมที่จะทำตามแผน ที่วางเอาไว้
    ๑๑.หมั่นทำบุญ ทำกุศล ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ตัวเรานั้นเกิดมาชาตินี้ ยังมีบุญ มีกุศลใด ที่เรายังไม่เคยสร้างหรือเคยกระทำ ก็จงทำตามกำลังความสามารถ บุญกุศลจะเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับเราและครอบครัวแล้วใช้จิตเป็นตัวเลือกว่า “อันว่าความชั่ว อย่าทำเลยเสียดีกว่า”
    ________________________________________
    สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆังโฆษิตาราม กรุงเทพฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2012
  2. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    [​IMG][​IMG]

    ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่า หลวงปู่โต พรหมรังสี ปัจจุบันท่านอยู่ที่ไหน จึงได้นำความสงสัยนี้ไปสอบถาม พระอริยะเจ้าองค์หนึ่ง ได้ความสั้่น ๆ ว่า ดวงจิตของหลวงปู่โต พรหมรังสี ก็คือดวงจิตของสมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย หรือดวงจิตของสมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย ก็คือดวงจิต ดวงเดียวกับหลวงปู่โต พรหมรังสี หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยกล่าวไว้ความว่า ขันธ์ ๕ สังขาร ร่างกาย ตาย เสื่อมสลายได้ แต่ดวงจิตไม่มีเสื่อม ไม่มีตาย แล้วจะไปไหน อยู่ที่กรรม คือการกระทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2012
  3. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    ตัวตายแต่จิตไม่ตาย :หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    [​IMG] [​IMG][​IMG] [​IMG] [​IMG] พ่อฤาษี

    ตัวตายแต่จิตไม่ตาย ตายแล้่วไปไหน หลวงพ่อฤาษีลิงดำมีคำตอบ

    ผู้ถาม ดูหนังที.วี. เรื่องหนึ่ง เขาตายแล้วจิตยังไม่ถึงคราวตาย ก็วนเวียนและไปเข้าร่างหนึ่งที่ตายใหม่ ๆ ไปอยู่แทน จะเป็นไปได้ไหมคะ ?
    หลวงพ่อ ก็ต้องไปถามที.วี.ดู
    ผู้ถาม ถามหลวงพ่อดีกว่าเจ้าค่ะ
    หลวงพ่อ หลวงพ่อไม่รู้จะตอบยังไงนะซิ เรื่องจริงก็มีอยู่รายเดียว เจ้าคุณราชสุทธาจารย์ ท่านตายแล้ววิญญาณของท่านมาช่วยงานเผาศพตัวท่านเอง เวลาเขาเผาเสร็จ เขาก็เดินทางกลับบ้าน ท่านก็เดินกลับด้วยก็นึกถึงน้องสาว ว่าเมื่อเราป่วยใหม่ ๆ น้องสาวกำลังคลอดบุตร กำลังอยู่ไฟ ก็แวะเข้าไปเยี่ยมน้องสาว น้องสาวเห็นหน้าเข้า ก็บอก “ พี่เล็งตายแล้วไปสู่ที่ชอบ ๆ เถิด อย่าได้มากวนเลย ”
    ท่านก็เลยบอกว่าเวลานั้นรู้สึกอายน้องสาวเราไปเยี่ยม แต่เขากลับเห็นว่าเราเป็นศัตรู ก็ถอยหลังออกมา พอถอยหลังออกมาประตู ก็หมุนติ้วทรงตัวไม่อยู่ล้มลง ล้มลงก็ไปเข้าร่างกายของเด็กซึ่งเป็นลูกของน้องสาว ทีนี้ก็มีปัญหาถามท่านว่า ไอ้คนเราเกิดมาก่อน จิตวิญญาณดวงนี้มันมีอยู่แล้วใช่ไหม แล้วจิตวิญญาณดวงนี้มันเข้าไปซ้อนกันได้ยังไง ท่านก็บอกว่ามีบาลีอภิธรรมบอกว่า “ ปุเร ชาโต ปัจฉา ชาโต ” เขาแปลว่าเกิดก่อนหรือเกิดหลัง “ ปุเร ชาโต ” เกิดก่อน “ ปัจฉา ชาโต ” เกิดทีหลัง
    ท่านก็บอกว่าพอดีไอ้วิญญาณดวงนั้นมันเคลื่อนออกไปพอดี แล้วดวงนี้ก้เข้าซ้อนกัน อย่างนี้เป็นไปได้นะ เป็นมาแล้วนะ แต่ว่าต้องใหม่ ๆ นะ คือว่าประสาทยังไม่หยุดทำงาน คือว่าประสาทไม่เสีย ยังไม่ตาย ทีนี้พอเกิดขึ้นมาพอพูดได้ เขาแนะนำให้เรียกแม่ แกบอก ไม่ใช่แม่ คนนี้น้องสาว ยายมาเขาบอกให้เรียกยาย บอก คนนี้ไม่ใช่ยาย ท่านเรียกแม่ เขาถามท่าน ท่านก็บอก ท่านชื่อ “ เล็ง ” บ้านอยู่ตำบลนั้นมีควายกี่ตัว มีลูกกี่คน มีนากี่ไร่ บอกถูกหมด ตายไปไม่กี่วันก็เหมือนกับนอนหลับแล้วฟื้นขึ้น
    ต่อมาถึงเวลาบวชพระ ท่านก็บวชพระสายธรรมยุต จบเปรียน ๔ ประโยค ต่อมาท่านก็เป็นเจ้าคณะจังหวัดธรรมยุต พอเป็นเจ้าคณะชั้นราชได้หน่อยหนึ่ง ก็มีความเบื่อในการทรงตัวที่รับฐานะ ก็ลาออกจากเจ้าคณะธรรมยุต อยู่ตามลำพัง
    ความจิรงเรื่องราวของ ท่านเจ้าคุณราชสุทธาจารย์ เป็นตัวอย่างของคนตายดีที่สุด เป็นตัวอย่างของคนตายและคนเป็น ตัวอย่างของคนเป็น และต่อมาท่านก็ป่วย ป่วยก็ถึงแก่ความตาย ไอ้จิตวิญญาณมันไม่ไปไหน มันก็บนอยู่บ้าน เวลาเขาทำงานศพเขาสวดศพ คนมาช่วยงานหาบข้าวของมาช่วย ท่านก็วิ่งไปรับ ดีใจว่าเขามาช่วย วิ่งแย่งหาบแย่งคอน เขาก็ไม่ให้ เป็นผี เขาไม่ให้ แต่ว่าผลประการสำคัญในเมื่อเขาฟังสวดจบหรือถวายทานเสร็จ เวลาเขาอุทิศส่วนกุศล ท่านบอกว่ามีกำลังมากขึ้น ร่างกายผ่องใสขึ้น มีกำลังมากขึ้น เขาให้อีกก็ดีขึ้นอีก ตามลำดับ แต่ว่ากำลังจิตของท่านไม่ไปไหนวนเวียนอยู่ที่นั้น
    อันนี้ก็เป็นประโยชน์ใหญ่นะ จะได้รู้ว่าให้ทานมีผลกับคนตายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าให้ปลาแห้งไป ให้เนื้อเค็มไป เป็นท่อน เป็นตอนไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นอานิสงส์ มันเป็นผลทำให้ร่างกายมีความสุข มีร่างกายสวยขึ้น มีกำลังมากขึ้น
    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าคะ เวลาท่านตายแล้วไม่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ หรือคะ
    หลวงพ่อ คือคนตายทุกคน ไม่ใช่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ ( สำนักพยายม ) ทั้งหมด คนที่มีบาปหนัก ตายแล้วพุ่งหลาวลงนรกเลย ตายแล้วไม่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ คนที่มีจิตใจที่นึกถึงบุญกุศลอยู่ ตายแล้วขึ้นสวรรค์เลย ไม่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ และคนที่เป็นสัมภเวสีก็ไม่ผ่านสำนัก ลุงพุฒิ ไม่ใช่ผ่านทุกคนหรอกนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2012
  4. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    [​IMG]

    ในสมัยหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชพร้อมด้วยเทวดาหมื่นจักรวาลมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นถึงแล้วจึงน้อมนมัสการทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    "การให้อะไร ชนะการให้ทั้งปวง รสแห่งอะไร ชนะรสทั้งปวง ความยินดีในอะไร ชนะความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งอะไร ชนะทุกข์ทั้งปวง"

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า

    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
    สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ

    การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
    ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
    ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
    ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย
     
  5. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,029
    [​IMG]
    กราบโมทนา สาธุ ท่านผู้มีใจบุญใจกุศล เสียสละเวลาหาบทความ นำบทความที่ดี มีสาระประโยชน์ ให้ผู้อ่านได้ศึกษา อันก่อให้เกิดปัญญาในการพิจารณา เมื่อปัญญาพิจารณาแล้ว จิตจะเป็นผู้กำหนด เป็นผู้เลือกความถูกต้อง ถือว่าเป็น จาคะ คือการให้และการให้นั้น ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้ง ถือว่าการให้นั้น เป็นธรรมทาน เป็นบุญใหญ่ สมดั่งพระธรรมคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า “การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง ผู้ใดให้ธรรมะเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย“ ขอโมทนาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...