ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    รูปแบบการสอนพี่สุดใจ จึงต้องช่วยแยกให้ทีละขันธ์ (ช่วงนั้นปัญญาในทางธรรมะมีน้อย จึงต้องใช้อุปกรณ์สอนแบบคอนโทรลขันธ์ห้ามากกว่าคนอื่น)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รูป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2008
  2. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ทีนี้มาถึงขันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกับรูปบ้าง คือ

    วิญญาณขันธ์ ในส่วนที่เป็นการรับรู้ ก็เหมือนเดิม ตาเห็นรูปไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ วิญญาณขันธ์ ปกติแบ็งค์ 20 เห็นเป็นแบ็งค์ 100 หรือแบ้งค์ 100 เห็นเป็นแบ้งค์ 1000 หรือซื้อของแล้ว เขาใส่ของไว้ให้ในถุงแล้วมองไม่เห็น ต้องย้อนกลับไปตาม เมื่อไม่ได้ก็กลับมาบ้านก็อยู่บนโต๊ะนั่นแหละ หรือโสตวิญญาณ คือหูรับเสียงมาไม่ตรงกับสิ่งที่เขาบอก ไปซื้อของกับแม่ค้าที่ตลาด 105 บาท ต่อเขาว่า 100 ได้ไหม เขายิ้มแล้วบอกว่าได้ ๆ เราก็เลยหยิบแบ็งค์ 100 ส่งให้เขาไปใบเดียว เขาบอก 105 บาทนะ เราก็บอกว่า อ้าว เมื่อกี้บอกว่าลดให้แล้วไง แม่ค้าเสียงแหลมทันที ลดได้ยังไง ต้นทุนก็แพง แค่นี้ก็ไม่ได้กำไรแล้ว ไม่ซื้อก็อย่าซื้อ พี่สุดใจเลยหันไปหาพยานคือคุณโสภาที่ยืนอยู่ด้วยกัน ถามว่า เมื่อกี้เขาบอกว่าลดให้แล้วไม่ใช่หรือ คุณโสภาบอกว่า ไม่เห็นได้ยินเลย หลังจากนั้นก็เลยเริ่มระวังมากขึ้น แต่ก็เจออีกหลายครั้งเหมือนกัน เมื่อก่อนก็โมโหที่โดนว่า แต่ตอนหลังก็เริ่มเรียนรู้ว่าเราต้องเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยินเท่านั้น ส่วนสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยินจะตรงกับสิ่งที่เขาพูดหรือไม่นั้น ถ้าผลที่กลับมายังไง เราก็ปล่อยวางตรงนั้น เขาด่าก็เพราะเขาคิดว่าเขาเห็นถูกต้อง ก็ต้องปล่อยเขา เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง เพราะฉะนั้น ยิ่งไปนาน ๆ ก็ยิ่งรู้ว่า ช่างมันเถอะ มันจะเห็นอะไร จะได้ยินอะไร จะรู้สึกอะไร ก็เป็นอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวนี้เลยวางการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปได้เยอะเลย

    มาถึงขันธ์ห้า ตัวสัญญา นี่ก็เคยเจ๋งมาก่อนเหมือนกัน ไม่แพ้คุณชยุตหรอก มีความจำดีมาก สอบได้ที่ 1 มาเรื่อย พอทำงานก็ทำด้านงบประมาณ จำตัวเลข รหัสงบประมาณมากมาย การตั้งงบ การของบ การใช้เงิน การปรับปรุงบัญชีอะไรต่าง ๆ มากมาย จำได้แม่นมาก ชี้แจงการใช้งบประมาณ การตั้งงบประมาณกับส่วนกลางมาตลอด ความที่ยึดว่า ฉันจำแม่นมีมานานแล้ว
    <O:p</O:p
    พอเข้าระบบ ความจำก็ยังแม่นอยู่ จะเถียงกับคนอื่น ๆ อยู่เสมอเลยว่าของฉันถูก ฉันจำแม่น แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง ความจำมันหายไป ซื้อข้าวมาวางไว้ปุ๊บ หันหลังจะไปหยิบช้อนในห้องครัว แต่ก็ลืมว่าเดินมาห้องครัวทำไม ยืนนึกสักพักนึกไม่ออก ก็เลยเดินออกจากห้องครัวไปเลย ลืมว่าจะกินข้าว ลืมของสารพัด ช่วงนั้นจะรู้ว่าพี่สุดใจเป็นจอมลืมเลย ฝากให้ทำอะไรไม่ได้เลย ลืมหมด เหมือนคนเอ๋ออะไรอย่างนั้น ความจำสั้นมาก ถึงสั้นที่สุด จนโดนแม่บ่นตลอด เพราะใช้ให้ไปทำอะไร ก็ลืมตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากบ้านเลย จึงเป็นช่วงที่ทุกคนในบ้านไม่มีใครกล้าวานให้ทำอะไรในช่วงนั้น (กลัวรับปากแล้วลืม)<O:p</O:p
    เป็นอยู่ประมาณอาทิตย์หนึ่งได้ จนสุดท้าย เลิกสนใจ เลิกกังวล ก็มันลืมเองนี่นา จะไปบังคับบัญชาให้มันจำให้ได้ ได้ยังไง จึงเห็นว่า แม้แต่สัญญาหรือความจำนี่มันก็ไม่ใช่ของเรา และมันก็ไม่ขึ้นอยู่กับขันธ์อื่น ๆ ด้วยมันทำงานเองอิสระ ก็พอจะปล่อยวางไปได้อีกขันธ์

    แม้พี่สุดใจจะลืมโดยระบบการฝึก เพื่อเร่งให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในสัญญาก็ตาม แต่ท่านอื่น ๆ ที่อ่านข้อความนี้ ก็คงมีการลืมบ้างเหมือนพี่สุดใจ บางเรื่องอยากจะจำไว้ แต่ก็ลืมบ้าง นึกไม่ออกบ้าง เราไปบังคับมันไม่ได้ มันอยากจะจำ มันอยากจะลืม มันทำของมันเอง ดูมันแล้วเข้าใจมันน่ะแหละดีที่สุดค่ะ จะได้ไม่ทุกข์

    ดังนั้น ต่อไปถ้าใครลืมอะไรบ้าง จำไม่ได้บ้าง ก็อย่าไปโกรธตัวเองซ้ำนะคะ ให้เห็นความเป็นธรรมดา มันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ เพราะถ้าไม่ลืมตอนนี้ เมื่ออายุมาก เซลล์มันก็ต้องเสื่อมตามสังขารร่างกาย ถึงไม่อยากลืม มันก็ต้องลืมตามเซลล์ที่เสื่อมเป็นธรรมดา พอดีพี่สุดใจโดนเร่งก่อนก็เลยเจอก่อนแค่นั้นเอง <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2008
  3. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ก็มาถึงสังขาร หรือความคิด ที่มันปรุงแต่งไปเรื่อย พี่สุดใจโดนเยอะมากสำหรับขันธ์นี้ เพราะพี่สุดใจเป็นคนที่ค่อนข้างซีเรียส คิดมาก และเป็นคนชอบกังวล เลยเจอเสียเยอะ ทุกวันจะเอาความคิดเข้ามาหมุนอยู่ในหัวตลอด<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ครั้งหนึ่งเขาฝากไปซื้อของ แล้วลืมซื้อให้เขา ความคิดล่อลวงทั้งวันเลย เขาต้องว่าเราแน่ เขาคงหาว่าเราแกล้ง เขา..............ฯลฯ และมันเป็นออโต้ด้วย คิดเรื่องนี้เสร็จ ก็มาต่อเรื่องนี้ แล้วก็มาต่อเรื่องนี้ จากนั้นก็เรื่องนี้ น่าจะประมาณ 4 เนื้อหา
    <O:p</O:p
    พอหมดเนื้อหาที่ 4 ก็มาเริ่มเรื่องที่ 1 ใหม่ แล้วก็เรื่องที่ 2 แล้วก็เรื่องที่ 3 แล้วก็เรื่องที่ 4 แล้วหมุนกลับมาเรื่องที่ 1 ใหม่ ตอนแรกก็ตามความคิดไป ทุกข์ไป กังวลไป แต่พอสักครึ่งวันที่กังวลมาตลอด เริ่มจับทางได้ เอ๊ะ ทำไมมันเหมือนกันเกือบทุกครั้ง ก็เลยหันมาลองนั่งดูความคิด เอ้าเรื่องที่ 1 เนื้อหาอย่างนี้ เรื่องที่ 2 เนื้อหาอย่างนี้ เรื่องที่ 3 เนื้อหาอย่างนี้ เรื่องที่ 4 เนื้อหาอย่างนี้ พอจะดูเรื่องที่ 5 ก็กลายเป็นเนื้อหาเรื่องที่ 1 แล้วเรื่องที่ 2 ต่อมา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ก็พอจับทางความคิดได้ว่า พอกังวลเรื่องอะไรก็รีบมองความคิดแล้วรีบวางเลย จากนั้นก็ถูกทดสอบมาเรื่อย ก็อัดเทปความคิดเข้ามาตลอดทั้งวันทั้งคืน เราก็ต้องหาทางสงบในความวุ่นวายที่อยู่ในหัวเราเองนั้น มีแต่อัดเทปเรื่องความกังวล ความไม่สบายใจ ความรำคาญใจ มาใส่ไว้ เครื่องอัดเทปเดินไปเรื่อย ๆ ความคิดกังวลก็วนไปเรื่อย ๆ ถ้ายังอยู่ในความคิดก็ทุกข์ไปเรื่อย ๆ เพราะเขาไม่หยุด เปิดไว้เป็นวันเป็นคืนเลย ก็จำเป็นต้องออกจากความคิด เพราะไม่ออกก็ทุกข์ ออกไปก็ไม่ทุกข์ไม่กังวล จึงต้องไปจับสติอยู่ที่อื่น ก็สบายขึ้น ดังนั้นความคิดเข้ามาหลายรูปแบบให้เรียนไม่ซ้ำเลย เมื่อเจอมาก ก็เลยช่างมันเถอะ อยากคิดอะไรก็คิดไป ถ้าเข้าข่ายกังวล ข่ายไม่สบายใจ เราก็ต้องเห็นให้ทัน ว่ามันกำลังคิดอะไร ให้กังวลเรื่องอะไร ก็ออกมาจากมันเสียก็เท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  4. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ทีนี้มาเรื่องของ เวทนา ตัวนี้หนักหน่อย เพราะนอกจากความคิดจะเป็นตัวดึงแล้ว สารเคมีที่หลั่งออกมาครอบคลุมร่างกายนั้น ก็ช่วยเสริมให้มีปฏิกิริยานั้น ๆ เช่นถ้าโกรธ คิดไม่พอใจ สารเคมีด้านส่งเสริมความโกรธก็หลั่งออกมา จึงมีปฏิกิริยาร้อนรุ่มในใจ ใจเต้นตึก ๆ ตัวสั่น ปากสั่น และในหัวมันคิดแต่จะต้องจัดการ จะต้องมีเรื่อง จะต้องทะเลาะกับเขา จะต้องแก้แค้นให้ได้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ความร้อนรุ่ม ความทุรนทุรายนี้ ความจริงมันเป็นอารมณ์ของภาวะนั้น ๆ ในขณะนั้น ตามกลไกของร่างกายในขณะนั้น และอาการที่แสดงออกมาก็เป็นอย่างนั้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หรือเมื่อของที่เรารักจากไป เช่น สุนัขตายลง เมื่อเราคิดว่าเราเสียใจ เราคิดถึง สิ่งเหล่านี้ก็ไปกระตุ้นสารเคมีด้านซึมเศร้าให้หลั่งออกมา เมื่อหลั่งออกมาแล้วก็ไปครอบคลุมร่างกายให้มีความรู้สึกหรือมีอารมณ์อย่างนั้น อารมณ์ซึมเศร้า อารมณ์หดหู่ อารมณ์เบื่อหน่วย มันเป็นไปตามกลไกของสารเคมีที่หลั่งออกมาในขณะนั้น ๆ เมื่อเกิดภาวะหดหู่ เศร้าหมอง เบื่อหน่าย เราก็จะคิดว่าเรากำลังมีความทุกข์อยู่ ซึ่งความจริงแล้วยังไม่ใช่ มันเป็นแค่อารมณ์ในขณะนั้น ๆ เท่านั้นเอง

    เหมือนเราปวดแผล ปวดมากหงุดหงิด อารมณ์เสีย ทนอยู่ครึ่งวันแล้วไม่หาย ก็ไปกินยาแก้ปวด 2 เม็ด อาการปวดแผลหายไปในขณะนั้น อารมณ์ที่หงุดหงิดก็หายไป อารมณ์แจ่มใสเข้ามาแทน นั่นก็เพราะว่ายานั้น คือสารเคมีที่ส่งไปยังเซลล์ประสาท มีผลระงับความปวดให้บรรเทา หรือน้อยลงได้ พอสารเคมีหมดฤทธิ์ 4 ชั่วโมง ความ<O:p</O:pปวดก็กลับมาใหม่ อารมณ์ก็กลับมาหงุดหงิดใหม่ก็ได้ ตามเซลล์ประสาทของความเจ็บปวดที่รูปขันธ์ส่งมา ก็ต้องกินสารเคมีระงับปวดกันใหม่นั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เราจะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของขันธ์ห้า ในส่วนของเวทนา หรืออารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวเนื่องกับเซลล์ประสาทของรูปขันธ์ และสารเคมีในขณะนั้นด้วย ก็มันปวด มันก็ต้องหงุดหงิด เมื่อของรักหายหรือตาย มันก็ต้องซึมเศร้า หม่นหมอง หดหู่ เมื่อเขาดุว่า ก็ต้องโมโห ขัดอกขัดใจ เมื่อผิดหวังในรัก อารมณ์ก็ต้องหม่นหมอง เศร้าสร้อย หดหู่ เป็นธรรมดาของอารมณ์ที่เกิดขึ้นสอดรับกับสถานการณ์นั้นๆ แต่ถ้าเราดูความรู้สึกในขณะนั้นได้ทัน เราจะไม่เรียกว่า ความทุกข์ เพราะมันไม่ใช่ความทุกข์ มันเป็นภาวะอารมณ์ในขณะนั้นต่างหาก <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ที่เราเรียกว่าอารมณ์นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยนั้น ๆ เช่นความคิดพอใจ ถูกใจ ส่งมาสมอง สารเคมีเอ็นโดรฟีนหลั่ง ความรู้สึกก็อิ่มเอิบ ร่าเริง สนุกสนาน มันเป็นไปตามกลไกของสารเคมีประเภทนั้น ๆ เราก็เลยนึกว่าเรามีความสุข จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ความสุขอีก เพราะมันเป็นภาวะอารมณ์ในขณะนั้นของเวทนา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    นี่อาจเข้าใจยากสักหน่อย ทำตามได้ยากสักหน่อย ฟังดูก็ไม่น่าจะทำได้เลย แต่เพราะมีตัวอย่างที่ถูกทำให้เห็นมาแล้ว จึงรู้ว่า เออ มันทำได้จริงนะ มันออกจากเวทนาได้จริงนะ มันสักแต่ว่าอารมณ์ได้จริงนะ ก็มีตัวอย่างจากพี่สุดใจเจ้าเก่าอีกเช่นเคย (ของคนอื่นก็เจอเหมือนกัน แต่พี่สุดใจจะขอเล่าในส่วนของพี่สุดใจเท่านั้น)
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2008
  5. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    หลังจากถูกแยกทั้ง 4 ขันธ์เรียบร้อยแล้ว ถือว่ามีปัญญาพอที่จะเอาตัวรอดได้ในระดับหนึ่งแล้ว การเรียนก็เริ่มลึกขึ้น ยากขึ้น และต้องใช้ความแยบคายในการดูมากขึ้นตามไปด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ตอนเช้าตื่นขึ้นมา อารมณ์เสียแต่เช้าเลย ยังไม่ได้เจอหน้าใคร ยังไม่มีใครมาทำอะไรให้โกรธเลย จู่ ๆ อารมณ์โกรธ หงุดหงิด ร้อนรุ่ม ทุรนทุรายเข้ามาอัดอยู่ในอก อึดอัดมาก ลุกขึ้นมานั่งอย่างแปลกใจว่าเป็นอะไร ความคิดไม่มีเข้ามา ถ้ามีเราก็จะคิดว่าเพราะคิดโกรธ อารมณ์เลยคล้อยตามความคิด แต่นี่ความคิดไม่มีเข้ามา เหมือนมีคนก๊อปปี้ความโกรธมาใส่เฉย ๆ ไม่มีสาเหตุ วันนั้นจึงไม่ออกไปไหน เพราะไม่อยากพกความร้อนอกร้อนใจไปด้วย
    <O:p</O:p
    วันถัดมา พอตื่นขึ้น อารมณ์หดหู่ ซึมเศร้า หม่นหมองใจ ก็เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าหดหู่เรื่องอะไร ซึมเศร้าทำไม แต่อารมณ์มันเป็นอย่างนั้นทั้งวัน ยิ้มก็ไม่ออก อยากดูทีวีก็ซังกะตาย อยู่ด้วยความซึมเศร้าไปทั้งวัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วันถัดมา ตื่นเช้าขึ้นมาร้องเพลงแต่เช้า อารมณ์ดี + 3 เท่าของอารมณ์ปกติของเรา เหมือนดีอกดีใจอะไรนักหนา อิ่มอกอิ่มใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส ใครว่า ใครแซวยิ้มอย่างสนุกสนาน วันนั้นเราก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะไม่เคยเป็นแต่มันแฮปปี้ออกมาจากข้างใน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วันถัดมา เช้าขึ้นมีเสียงด่าอยู่ในหัว ด่าอย่างแรง ทั้งด่าอย่างหยาบ ๆ คาย ๆ เราก็รำคาญ อารมณ์ก็หงุดหงิด เบื่อหน่าย แต่ไม่รู้จะปิดเสียงได้อย่างไร ก็ทุกข์มากในวันแรก ๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่ก็เริ่มรู้และตั้งหลักไว้แล้วว่าสงสัยจะโดนบทเรียนที่เคยมีอีโก้จัดสมัยก่อน แค่ใครว่านิดเดียว โกรธเสียเป็นวันเป็นปีเลย ถ้าว่าแรงอีกนิด ไม่ต้องมองหน้ากัน ถือตัวถือตนมากตอนนั้น ใครว่าไม่ได้เลย ตอนนี้เลยโดนด่าในอยู่หัว ด่าทั้งวัน ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ยังโมโหในตอนแรก ๆ และรำคาญมาก ในวันถัดมาก็ยังหงุดหงิดอยู่บ้างแต่น้อยลง และเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ 3 วันเต็ม ๆ พอวันที่ 4 ในหัวเงียบสงบ พร้อม ๆ กับความสงบของอารมณ์

    ดังนั้นในช่วงหลังเมื่อมีผู้มากระทบ ว่าบ้า ว่าเพี้ยน ว่าทุเรศ ว่าจิตหลอนหรืออะไรต่าง ๆ มากมายนั้น ก็ยิ้มได้ เพราะไอ้ที่ด่าอยู่ในหัวนั้นหนักกว่าหลายเท่า ซึ่งหลังจากถอดอุปกรณ์ด่าเพื่อสอนออก อารมณ์ที่จะปรุงแต่งให้หงุดหงิด รำคาญ หรือโกรธเมื่อโดนกระทบกับเสียงนินทาว่าร้าย ความคิดก็ปรุงแต่งน้อยลง ความกระเพื่อมของจิตก็น้อยลงด้วย เพราะเข้าใจกลไกของเวทนาหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นตามจริงนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2008
  6. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ดังที่ท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า ตัวกู ตัวสู ที่เผลอเมื่อไร เกิดขึ้นเมื่อนั้น นั่นเอง
    <O:p</O:p

    [​IMG]

    หากมีสติรู้เท่าทันในความคิด ในอารมณ์ ในขันธ์ห้า ก็จะไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เกิดขึ้นมาเลย

    ดังนั้นการรับรู้ทางเวทนา หรือทางอารมณ์นั้น ก็เช่นกัน อารมณ์ที่เกิดสักแต่ว่ารับรู้ก็ได้ เห็นว่าขณะนี้อารมณ์ซึมเศร้ากำลังเกิดขึ้นอยู่ ก็รู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่ จะไปสนใจมันทำไม ให้มองเห็นสภาวะอารมณ์ในขณะที่มันเกิดอยู่นั้นตามความเป็นจริง เราก็จะมองดูอารมณ์เหล่านั้นเฉย ๆ ได้ ไม่ไปห้าม ไม่ไปบังคับให้มันหาย เพราะเมื่อมันเกิดขึ้นมา มองเห็น แล้วเราก็จะมีวิธีการจัดการกับอารมณ์นั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องทุกข์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เช่นของหาย นาฬิกาข้อมือร่วงหายในตลาด ไปหาแล้วก็ยังไม่เจอ หากยังมีความยึดมั่นในนาฬิกาเรือนนั้นอยู่ เมื่อกลับมาก็ต้องมีความรู้สึกเสียดายเป็นธรรมดา มีอารมณ์ซึมเซา มีภาวะหดหู่ เศร้าหมอง อ่อนอกอ่อนใจ เราก็ต้องเข้าใจว่า มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ เพราะมันเสียดายของ ความคิด อารมณ์ความรู้สึกก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ มันเป็นกลไกของขันธ์ห้าที่มันต้องปรุงไปตามเหตุปัจจัยมันก็จะเป็นแค่อารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่มันไม่ใช่ความทุกข์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ถ้าคน ๆ นั้นไม่ยึดมั่นในนาฬิกาเรือนนั้น พอร่วงหาย ก็ตัดเลย ความอาลัยอาวรณ์ไม่มี อารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ก็จะไม่มีขึ้นมา เพราะมันไม่ส่งต่อความคิดไปที่เวทนานั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ตัวการสำคัญของเรื่องก็คือ อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา ที่คอยเชื่อมเวทนา เข้าด้วยกันกับจิตที่มีปัญญานั่นเอง <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้นคู่นี้ จึงต้องพิจารณาอย่างละเอียด ต้องแยกให้มันออกจากกัน ให้มันอยู่ห่าง ๆ กัน เพราะตัวจิตที่มีปัญญานั้น มันไม่ได้ติดกับขันธ์ห้า มันอยู่ของมันต่างหาก มันเป็นผู้ดูการทำงานของขันธ์ห้า มันจะไม่ทุกข์เลยถ้าไม่มีการเข้าไปรับเอาเวทนาเข้ามารวมกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อาจจะงง ....... ขออธิบายเพิ่มอีกนิด<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เวทนา ความรู้สึกสดชื่น อิ่มเอิบ หรือกระวนกระวาย ซึมเศร้า หดหู่ หม่นหมองนั้น มันเป็นภาวะที่กำลังเกิดอยู่ในขันธ์ห้า ไม่ได้เป็นตัวใครของใคร ส่วนจิตที่มีปัญญานั้น ก็มีหน้าที่แค่รับรู้อารมณ์ในขณะนั้น แค่นั้น เป็นผู้กำลังดูอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นของขันธ์ห้า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ทีนี้ ระหว่างจิตที่มีปัญญาซึ่งทำหน้าที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2008
  7. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    โมทนากับพี่สุดใจครับ กระบวนการของขันธ์ 5
    เป็นธรรมะลึกซึ้ง+มีประโยชน์มากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2008
  8. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    นี่ก็กำลังถูกฝึกเหมือนกัน ฝึกคนละแนว แล้วแต่พันธะสัญญาของแต่ละสติสัมปชัญญะที่ได้ตั้งเป้าหมายล่วงหน้าเอาไว้ ฝึกในฝันเป็นชุด ๆ หุ หุ
    www.novaanalai.com
     
  9. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    พี่สุดใจได้รับธรรมะอันลึกซึ้งมากเลยนะครับ อนุโมทนาด้วยครับ
     
  10. p.apichart

    p.apichart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    401
    ค่าพลัง:
    +4,041
    14 กุมภาพันธ์
    สุขสันต์วันเกิด และสุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับพี่สุดใจ

    [​IMG]

    ขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
    บารมีของพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
    บารมีของพระอรหันต์ทุกๆ พระองค์
    บารมีขององค์เทพทุกๆ พระองค์
    บารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายในสากลจักรวาล
    ขอโปรดจงดลบันดาลให้พี่สุดใจและครอบครัวประสบแต่ความสุข
    ความเจริญทั้งทางโลก และทางธรรม คิดหวังสิ่งใดก็ให้สมปรารถนาทุกประการเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2008
  11. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    happy birthday
    ครับพี่
    ขอให้พี่สุดใจ มีความสุขตลอดไป และ อนุโมทนา ถึงสิ่งดีดีที่พี่สุดใจได้ทำมาตลอด ตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน จงดลบันดาลให้พี่สุดใจ สำเร็จและสัมฤทธิ์ผล ตามที่พี่สุดใจตั้งปณิธานเอาไว้ด้วยครับ
    ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01878-20.jpg
      01878-20.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.2 KB
      เปิดดู:
      43
  12. sarantip

    sarantip Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +88
    ขอบคุณค่ะพี่สุดใจที่มีข้อมูลดีๆมาให้อ่านจะนำไปปฎิบัติเพิ่มเติมค่ะ เพราะตอนนี้กำลังฝึกนั่งสมาธิอยู่ จากข้อมูลของพี่สุดใจทำให้เข้าใจจิตได้มากขึ้น

    แล้วถ้าบางคนไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มเขากะลาหล่ะค่ะต้องปฎิบัติตามที่พี่ๆ ได้บอกใช่มั้ยค่ะว่าให้ทำความดี ฝึกจิตเอง สวดมนต์ ก็จะพ้นภัยได้จริงรึเปล่าค่ะ แล้วถ้าคนที่ไม่ปฎิบัติเลยเค้าจะไม่รอดจากภัยพิบัตินี้หรือค่ะ

    เพราะยิ่งอ่านยิ่งทำให้นึกถึงเรื่องใกล้ตัวก็คือครอบครัวของตัวเองค่ะ บางคนก็สวดมนต์บ้างนิดหน่อย บางคนก็ยังอยู่ในโลกของกิเลส แล้วจะมีวิธีไหนบ้างที่เราพอจะเตือนหรือสอนให้มันง่ายขี้นค่ะ คนบางคนที่จะชอบธรรมะมันมีส่วนน้อยมากๆ พอเอาหนังสือให้ศึกษาเค้าก็ไม่อ่านเพราะเนื้อหามันน่าเบื่อแล้วก็มีศัพท์พระด้วยยิ่งไปกันใหญ่เลยค่ะ บางครั้งก็พยายามปลงว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม คิดถูกรึเปล่า

    รบกวนช่วยตอบให้ด้วยนะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ



     
  13. ukrin

    ukrin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +1,463
    สวัสดีครับสมาชิกและผู้ที่สนใจติดตามกับภารกิจใหม่ของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

    พบกับภาพบางส่วนของภารกิจใหม่ที่กำลังดำเนินการร่วมกันในขณะนี้ครับ ที่ AFC TV AIR FORCE CHANNEL
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2008
  14. ukrin

    ukrin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +1,463
    รับหน้าที่ช่างภาพถ่ายทำสกู๊ปพิเศษ ที่วัดนก ธนบุรี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    AFC TV AIR FORCE CHANNEL นี่หาดูได้จากที่ไหนครับ<!-- / message --><!-- attachments -->
     
  16. rescuelp

    rescuelp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +420
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    โอ้!! พระเจ้าจอร์จ อันนี้ผมก็มีประสบการณ์เป๊ะตามนี้เลยครับ
    คือว่า เคยภูมิใจนักภูมิใจหนากับมันสมองอันชาญชลาดของตัวเอง
    กับความคิด ความจำ ที่ดูเหมือนจะเหนือชั้นกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกันทุกๆคน
    ดังนั้น ในความคิดขณะนั้นจะรู้สึกดูหมิ่นดูแคลนคนที่เขาไม่ฉลาดเท่าเรา
    อยู่ค่อนข้างมาก เยาะเย้ยความคิดเขาเสียก็บ่อยๆ จนแทบไม่ค่อยมีใครอยากคบด้วยเท่าไหร่นัก
    แต่ก็อย่างพี่สุดใจว่าหนะแหละครับ แต่ผมจำไม่ได้ว่ามันเริ่มเมื่อไหร่
    อยู่ๆผมก็กลายเป็นคนขี้ลืม พระเจ้าช่วย!! สิ่งที่ผมเคยคิดเอาไว้ว่า
    สิ่งที่ผมกลัวที่สุดในชีวิตผม คือการกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน วิปลาส
    ทำอะไรโง่ๆออกมาโดยไม่รู้ตัว หรือการกลายเป็นคนโง่

    แต่วันนั้นเป็นต้นมาผมก็ขี้ลืมบ่อยมากๆๆๆ จนวันนี้ผมยังไม่กล้าคิดเลยว่า
    ผมหายจากโรคขี้ลืมหรือยัง และการโมโห การที่อารมณ์พุ่งปรี๊ด!!
    อย่างที่พี่สุดใจเล่ามานั้นผมก็เป็นมาด้วยเช่นกัน เมื่อประมาณ 1 ปีย้อนหลังไปนี่เอง
    จนเริ่มดีขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง จนทำให้คนรอบข้างผมเริ่มครางแคลงในตัวผมว่า
    เอ...นี่แกเป็นผู้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิจริงหรือเปล่า เคยได้ยินแต่ว่าคนฝึกสมาธิ
    จะเป็นคนความจำดี ปัญญาไว และจิตใจสงบเยือกเย็น ไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมแก
    ถึงตรงข้ามทุกอย่างเลย สรุปว่า "แกสร้างภาพหรือเปล่า??"

    เอา เอาเข้าไป ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้เขาฟังยังไงดี ก็เพราะมันจำนนด้วยหลักฐานอยู่อย่างนี้
    จนทุกวันนี้ ผมเชื่อว่า เขาเหล่านั้นยังคิดว่าผมสร้างภาพอยู่นะเนี่ย!! ยิ่งวันไหน
    ที่เขามาเจอผมนั่งกินเบียร์ สูบบุหรี่อยู่ด้วยแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยครับ

    ดังนั้น เวลาบอกบุญใครไป ก็เลยได้แต่ทำใจครับ ว่าเชื่อ ไม่เชื่อ ก็ช่างแกวะ
    ข้าแค่ทำหน้าที่บอกบุญให้แกเท่านั้น ถ้าแกกลัวข้าจะเอาเงินของแก
    ไปใช้ส่วนตัว มันก็แล้วแต่เอ็ง ข้าได้ทำหน้าที่ของข้าแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2008
  18. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    <TABLE class=MsoNormalTable style="BACKGROUND: white; WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: white 1pt solid; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: white 1pt solid; PADDING-LEFT: 4.5pt; BACKGROUND: #f7f3f7; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: white 1pt solid; WIDTH: 131.25pt; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: white 1pt solid; mso-border-top-alt: .25pt; mso-border-left-alt: .75pt; mso-border-bottom-alt: .25pt; mso-border-right-alt: .75pt; mso-border-color-alt: white; mso-border-style-alt: solid" vAlign=top width=175><O:poatspace<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_982084", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: 15-02-2008 07:52 PM
    วันที่สมัคร: Jan 2008
    ข้อความ: 38 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 6 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 166 ครั้ง ใน 33 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]











    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: white 1pt solid; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 4.5pt; BACKGROUND: #efebef; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; mso-border-right-alt: solid white .75pt" vAlign=top><O:p</O:p


    อยู่กับงูเห่า

    ขอให้โยมจำไว้ในใจอารมณ์ทั้งหลายนั้น
    ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่พอใจก็ตาม หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจก็ตาม

    อารมณ์ทั้งสองอย่างนี้มันเหมือนงูเห่าซึ่งมีพิษมาก ถ้ามันฉกคนแล้ว


    ก็ทำให้ถึงแก่ความตายได้ อารมณ์นี้ก็เหมือนงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้น


    อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก อารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมาก
    มันทำให้จิตใจของเราไม่เสรี ทำให้จิตใจไขว้เขว
    จากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

    ปล่อยพิษงูไป

    อารมณ์ทั้งหลายเหมือนกันกับงูเห่าที่มีพิษร้าย
    ถ้าไม่มีอะไรขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษมันจะมีอยู่
    มันก็ไม่แสดงออกมา ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน
    งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่ามันก็อยู่อย่างนั้น
    ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้วก็จะปล่อยหมด
    สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป
    สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป
    เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น
    ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป
    มันก็เลื้อยไปทั้งที่มีพิษอยู่ในตัวมันนั่นเอง


    ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย
    คัดลอกจาก: เหมือนกับใจ คล้ายกับจิต
    รวบรวมคำอุปมาของ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร)<O:p</O:p


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ธรรมะข้อคิดดี ๆ ที่คุณ oatspace นำมาลงไว้ ซึ่งนำมาเทียบเคียงได้ในเรื่องของการมองเห็นเวทนาหรืออารมณ์ตามจริง ขออนุญาตนำมาให้เพื่อน ๆ สมาชิกได้อ่านกันค่ะ

    ธรรมะ ในขั้นปล่อยวาง ก็คือการเห็นการเกิดขึ้นของอารมณ์ตามธรรมชาติ เห็นการปรุงแต่งไปตามกลไกของธรรมชาติ และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวบังคับบัญชาธรรมชาตินั้น ๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นตามกลไกของธรรมชาตินั้น มันก็เกิดซ้ำ ๆ เช่นนี้มานานแล้ว และขณะนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ และก็จะยังเกิดขึ้นไปอีกในอนาคตต่อ ๆ ไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เบื่อบ้างไหม ? กับอารมณ์ที่รุ่มร้อน วิตกกังวล หดหู่ หม่นหมอง มึนซึม เหล่านี้ ที่มันเกิดขึ้นกับเราซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า มานานเหลือเกินแล้ว ทำให้จิตเราหวั่นไหวขึ้นลงไปกับอารมณ์เหล่านี้ไม่เคยหยุดนิ่ง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งอยากสงบ ก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งอยากเลิกกังวล ก็ยิ่งคิดยิ่งกังวลไม่เคยหยุด อารมณ์ก็ยิ่งร้อนรุ่มทุรนทุราย จะหาความสงบไม่ได้เลยในภาวะนั้น ๆ

    เพราะเราห้ามมันไม่ได้ เราสั่งมันไม่ได้ มันไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร แต่เรารู้จักมันได้ เราเรียนรู้มันและเข้าใจมันตามที่มันเป็นนั่นแหละที่จะทำให้เราปล่อยวางมันได้ เพราะว่าเราอยู่ใกล้กับมันมานานเหลือเกิน และตอนนี้มันก็ยังอยู่กับเรา ถ้าคิดว่า ยังต้องอยู่กับมันไปอีกไม่รู้จะนานเท่าไรนั้น ถ้าต้องขึ้นลง วิ่งตามมันไปเรื่อย ๆ แค่คิดก็เหนื่อยเหลือเกิน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เรามาลองปล่อยวางอารมณ์เหล่านั้นกันดูบ้าง ดังที่หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) ท่านได้อุปมาอุปมัยไว้นั้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อารมณ์ทั้งหลายเหมือนกันกับงูเห่าที่มีพิษร้าย
    ถ้าไม่มีอะไรขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษมันจะมีอยู่
    มันก็ไม่แสดงออกมา ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน
    <O:p</O:p
    <O:p<O:p</O:p
    เพราะอารมณ์ มันก็ต้องเกิดอย่างนั้นอยู่แล้ว ตามเหตุปัจจัย เราแค่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ แม้มันจะยังเกิดขึ้นอยู่ แต่มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ เหมือนแม่น้ำที่กำลังเชี่ยวกราด ถ้าเรายืนดูอยู่บนฝั่ง เราก็จะเห็นน้ำนั้นมันก็ใหลเชี่ยวไปเรื่อย ๆ ปะทะกับสิ่งต่าง ๆ แล้วพัดพาสิ่งนั้น ๆ ไปด้วย เมื่อเรายืนดูเราก็เห็น แต่ถ้าเผลอลงไปในน้ำนั้น แม้จะว่ายน้ำเป็นก็ยังคงต้องเปียกปอน เหน็ดเหนื่อยในการว่ายเข้าหาฝั่งอยู่ดี <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าเรายังไม่รู้เท่าทันธรรมชาติของอารมณ์ ก็จะเข้าไปพยายามที่จะดับมัน ไม่ให้มันร้อนรน เศร้าหมอง และถ้าพยายามแล้วมันไม่ดับ ก็จะมีตัวเราเป็นผู้ทุกข์ตามอารมณ์นั้น ๆ แต่ถ้ารู้ และเข้าใจในอารมณ์นั้น ๆ ว่ามันก็เกิดเช่นนั้นเอง ไม่เข้าไปห้าม ไม่เข้าไปขวาง ไม่เข้าไปดับมัน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ตัวเราผู้ทุกข์ก็ไม่มี แม้มันกำลังแสดงอารมณ์หดหู่ เศร้าหมอง วิตกกังวล ก็ดูความหดหู่เศร้าหมองวิตกกังวลนั้นตามที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่มิใช่ว่า เข้าใจแล้วอารมณ์หดหู่ เศร้าหมอง วิตกกังวล จะหายไปนะคะ มันไม่หายไปหรอกในขณะนั้น เพราะแม้เราเข้าใจกลไกการปรุงแต่งของมันแล้วก็ตาม แต่เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันหลายส่วน แต่ละส่วนมันก็ทำงานตามกลไกของมัน มันคิดกังวลแล้ว สารเคมีก็หลั่งสารประเภทหดหู่ เศร้าหมอง วิตกกังวลมาแล้ว มันก็ต้องมีอารมณ์หดหู่เศร้าหมอง วิตกกังวลตามสารเคมีนั้น แม้เราจะรู้จะเข้าใจ แต่ก็ยังมีละอองของภาวะอารมณ์ขณะนั้นมาครอบคลุมอยู่ดี จึงได้แต่มองเห็นภาวะอารมณ์ขณะนั้น ๆ แต่ไม่ได้เป็นความทุกข์นั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เหมือนเรารู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ คล้ายจะเป็นไข้ แต่ยังไม่ได้เป็น ก็กินยาแก้ไข้หวัด แล้วทำงานต่อ แต่ยานั้นมีผลทำให้เกิดอาการง่วงนอน เพราะฤทธิ์ของยามีอาการง่วงนอนร่วมอยู่ด้วย ดังนั้น แม้เราจะไม่อยากนอน อยากทำงาน แต่เมื่อกินยาเข้าไปแล้ว สารเคมีออกฤทธิ์แล้ว ก็ทำให้เราง่วงนอน อยากนอน และต้องหลับในที่สุด แม้จะอยากหรือไม่อยากก็ต้องหลับอยู่ดีเพราะสารเคมีทำงานตรงไปตรงมา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คนที่ต้องผ่าตัด เมื่อเขาให้ดมยาสลบ แม้จะฝืนอย่างไรก็ต้องสลบอยู่ดี ร่างกายไม่สามารถต้านทานต่อสารเคมีที่มาทำปฏิกิริยากับกลไกในร่างกายได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น ถ้าเราศึกษาให้ดี ดูให้ดี เรานำวิทยาศาสตร์ที่วิเคราะห์วิจัยแล้ว มาประยุกต์ใช้เพื่อเรียนรู้ร่ายกายของเรา ขันธ์ห้าของเรา อารมณ์ของเราที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ แต่ละนาทีแล้ว ก็จะเห็นกลไกที่ ทำไม? ธรรมะจึงบอกว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อคิดเสียใจ อารมณ์ก็หดหู่เศร้าหมอง มันรองรับกันตรงไปตรงมาตามเหตุตามปัจจัยอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าเป็นแค่ผู้ดู ที่ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภาวะอารมณ์ในขณะนั้น ความหดหู่เศร้าหมอง ความเบื่อหน่าย ความห่อเหี่ยวใจ ที่เราคิดว่าเป็นความทุกข์ หรือแม้แต่ความพออกพอใจ ที่เราคิดว่าเป็นความสุขนั้น เมื่อดูก็จะเห็นว่ามันเป็นเพียงภาวะอารมณ์ลักษณะหนึ่ง กำลังดำเนินกลไกอยู่ในขันธ์ห้าขณะนี้เท่านั้น และเมื่อเห็นมันจริง ๆ อารมณ์เหล่านี้ก็ทำอันตรายเราไม่ได้เช่นกัน แม้มันจะยังคงแสดงอาการหดหู่เศร้าหมองเช่นนั้นอยู่ก็ตาม อย่างที่หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร)ท่านได้อุปมาอุปมัยไว้ว่า
    <O:p</O:p</O:p</O:p
    <O:p</O:p
    งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่ามันก็อยู่อย่างนั้น
    ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้วก็จะปล่อยหมด
    สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป
    สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป
    เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น
    ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป
    มันก็เลื้อยไปทั้งที่มีพิษอยู่ในตัวมันนั่นเอง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ธรรมะ ก็คือธรรมชาติ การมองเห็นความเป็นธรรมชาติของขันธ์ห้าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ก็เพราะเข้าใจในกลไกของมันนั่นเอง
    <O:p</O:p
    การที่ได้กล่าวไปแล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้ ในกระบวนการขันธ์ห้านั้น ก็เป็นธรรมชาติเช่นเดียวกัน แต่มีมุมมองที่กว้างขึ้นอีกในรูปแบบวิทยาศาสตร์ผสมผสานกันไปด้วย จึงเป็นในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ทางจิตที่สามารถเข้าใจได้เป็นรูปธรรม คือมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุนกลไกของขันธ์ห้าที่ได้กล่าวไว้นั่นเอง
    </O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2008
  19. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    "ธรรมะ ก็คือธรรมชาติ" การมองเห็นความเป็นธรรมชาติของขันธ์ห้า
    เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า
    ก็เพราะเข้าใจในกลไกของมันนั่นเอง

    ***************************

    นี่แหละคือหัวใจเลยค่ะ พี่สุดใจ (good)
     
  20. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    จินตวดีเคยรู้จักคุณชยุตในเว็บของหนังสือโนวาอนาลัย หลังจากที่ฝึกฝันและจดความฝัน มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นคล้าย ๆ กัน คือเห็นมีคนมาตามตัวเองไปเรียนและทดสอบ เห็นคนมากมายกำลังสอบสัมภาษณ์ เหมือนเขากำลังคัดคนไปทำอะไรซักอย่าง (ฝันคล้าย ๆ กันเกือบทุกวัน) ในฝันบางครั้งหนี แต่ก็จะมีคนมาตามไปทุกครั้งว่าให้ไปเรียน จำได้ว่าฝันช๊อตแรกเลยเหมือนตัวเองยืนอยู่กลางห้องรับฟังใครบางคนสอน แต่ไม่ได้ยินเสียงพูด แต่รู้ว่าตัวเองเข้าใจมันอย่างดี แล้วจะมีบททดสอบมากมายเกิดขึ้น จินตวดีเป็นคนหนึ่งที่มั่นใจว่าเรียนดี เพราะก็สอบได้ที่ 1 เป็นประจำ และจำแม่น แต่ช่วงหลัง หลังจากที่ได้ฝันแปลก ๆถึงการทดสอบ ก็เริ่มมีอาการของอัลไซเมอร์ คือความจำสั้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ ต้องพยายามเอาชนะให้ได้ เพราะการทำงานต้องอาศัยสมองอย่างมาก อีกเรื่องคือแต่ก่อนเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่ก็เปลี่ยนมาเยอะ ช่วงหลังทำไมตัวเองอารมณ์เสียง่ายมาก แต่ต้องอดทนอย่างมากมาย เพราะทำงานบริการ แต่ก็รู้ดีว่าถ้าวันไหนสามารถผ่านการทดสอบได้ควบคุมตัวเองได้ก็จะมีความสุขมากและอารมณ์ดีทั้ง วัน และก็ดูเหมือนจะได้รับรางวัลบางอย่างด้วย เมื่อคืนก็ฝันแปลกอีกและ ฝันเห็นตัวเองบอกกับตัวเองว่า "พ่อแม่ให้มาทำงาน ทำเสร็จแล้วจะได้กลับบ้าน" เห็นตัวเองต่อรองกับคนที่ไม่เห็นตัวว่า "เบื่อแล้วอยากกลับ" แล้วตัวเองก็ตอบตัวเองอีกว่า "ต้องทำงานให้เสร็จก่อนถึงจะกลับบ้านได้" เออ เราก็ว่ามันแปลกดี
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...