ข้อความจากต่างมิติ - ตัวตนหลากมิติของเรา & คุณลักษณะของ Light worker (โดย Kryon)

ท่านผู้นี้อาจจะไม่สะดวกที่จะพิมพ์ภาษาไทย
เพราะว่าอาจจะไม่มีแป้นพิมพ์ภาษาไทย หรืออะไรก็ตามแต่

ดังนั้น ผลเลยจะขออนุญาตแปลข้อความนี้
ให้ท่านอื่นๆที่อาจจะไม่สันทัดภาษาอังกฤษนัก ได้เข้าใจด้วยหน่อยนะครับ

เขาบอกว่า..

"คุณอาจจะไม่เชื่อว่า หลังจากผมอ่านข้อความนี้แล้ว มีอะไรเกิดขึ้นกับผม
มันทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น และผมก็พบว่า พลังแห่งความรัก
ที่ผมเผื่อแผ่ออกไปสู่จักรวาลเสมอๆนั้น มันมีพลังอำนาจมากเพียงใด
เพราะว่ามันทำให้ผมรู้สึกปลื้มปิติและได้รับความสุขใจตอบแทนกลับมา

มันยอดเยี่ยมมาก..ขอบคุณครับ"


ผมก็จะบอกว่า..ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ
และด้วยความยินดีครับ (you're welcome)



สาธุ สาธุ สาธุ

........................................................

 

ได้อ่านข้อความของคุณ SUPERWATT แล้วรู้สึกตื้นตัน.......

สำหรับเราแล้วก็ขอขอบคุณมากเช่นเดียวกันที่คุณชยุตได้อธิบายในประเด็นที่เกี่ยวกับ ด้านมืด ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจริง ๆ ตอนที่อ่าน อารมณ์ประมาณว่า เจอบทเฉลยข้อสอบเลยแฮะ ..... จริง ๆ แล้ว เรื่องด้านมืดน่ะอ่านมาจากอีกกระทู้หนึ่งนะคะ

 

ขอบคุณนะคะ เป็นคำตอบที่กำลังถามอยู่ในใจพอดี yimm

 

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=Prjeb8Jcsc8]Light World Peace Love "Oneness" - YouTube[/ame]

 

จินตนาการของผู้แต่งคิดได้ดีครับ ถ้าอ่านจบคนเราก็จะมองโลกในแง่บวกมากขึ้น

 

เจโตวิมุตติ ชาติยา ชาติ
ความมีชาติ เป็นผู้ร่มเย็น

ขอขอบคุณสำหรับข้อความที่ส่งมอบความรัก
ตามมุมมอง และทัศนคติของผม(มองเฉพาะในมนุษยโลก)
Light Worker หรือ ผู้นำแห่งแสงสว่าง คือพวกเราทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ รวมทั้งจิตวิญญาณ พ่อแก่ แม่แก่ ถ้าเป็นชาวพุทธในประเทศไทย คือ ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษ หรือ พระพรหม ของพวกเรา แล้วให้ความรัก ปราถนาส่งผ่านสถิตอยู่เบื้องบน เพียงพอแล้ว ผมขอมอบ 1 ดวงใจในการจุดไม้ขีดไฟให้ครับผม
ส่วนศาสนาอื่น เป็นความรักในมนุษชาติด้วยกัน เพราะทุกศาสนาสอนให้เราทุกคนมีความารัก ประสาน รักใคร่ กลมเกลียม ซึ่งกันและกัน

 

อ่านแล้วรู้สึกอารมณ์ที่กำลังกลุ้มกับปัญหาของคนอื่นๆ รอบตัวผ่อนคลายลงทันที ขอบคุณนะค่ะที่ได้อ่านบทความดีๆ ถึงจะไม่เข้าใจทั้งหมด พลังแห่งการให้และปล่อยวางในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้

 

ฉันอยากจะเล่าเรื่องแสงสว่างและความมืดให้พวกคุณฟังอีกครั้งหนึ่ง..ว่า..
ถ้าพวกคุณได้จุดประกายแสงสว่างขึ้นมาแล้ว ความมืดก็มิอาจครอบงำพวกคุณได้อีก
ความมืดซึ่งไม่มีพลังงานอะไรเลย จะสามารถมาโอบล้อม และครอบงำพวกคุณ
ซึ่งกำลังถือแสงสว่างอยู่ได้อย่างไร? เพราะว่าความมืด อย่างที่บอกไปแล้วว่า มันคือความไร้ซึ่งแสงสว่าง

แต่ว่าก็มีผู้ปฏิบัติงานแห่งแสงสว่าง (light workers) บางคน ที่มีความคิดแปลกๆแบบสามมิติอยู่ว่า

“ฉันไม่อยากไปที่นั่น เพราะว่าความมืดมิดอาจครอบงำฉันได้
ฉันจะระมัดระวังเป็นอย่างมากเวลาฉันไปที่ไหน
ฉันไม่อยากไปใกล้คนพวกนั้น เพราะว่าพวกเขามีพลังงานด้านมืดอยู่”

โอ..ผู้กล้าเอ๋ย..ทำไมพวกคุณถึงไม่ไปที่นั่น
และสาดส่องแสงสว่างของพวกคุณออกมาสู่ชีวิตของพวกเขาหละ?

พวกคุณอยากจะไปเฉพาะแต่ในที่ที่มีแสงสว่างอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ?
หมอจะไปตรวจโรค และรักษาให้เฉพาะกับหมอด้วยกันเองเท่านั้นเหรอ?


พวกคุณจะปฏิบัติต่อครอบครัวของพวกคุณอย่างไร?
เมื่อพวกคุณไปทำงาน มีอะไรเกิดขึ้นที่นั่นบ้าง?

ตอนนี้ฉันได้ยินเสียงพูดจอแจว่า

“ฉันมีเจ้านายที่แย่ที่สุดในโลกเลย เจ้านายคนนี้ชอบทรมานพวกเรา
ด้วยการให้ทำงานที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย เพียงเพื่อจะหางานให้พวกเราทำเท่านั้นเอง
เจ้านายคนนี้ไม่ชอบ New Age เพราะว่าเขาเกิดมาเพื่อเชื่อในแบบอื่น ดังนั้น เขาจึงขบขันกับมันมาก”

พวกคุณไม่คิดหรือว่า พวกเราก็รู้เรื่องนี้ด้วย ที่รักทั้งหลาย จงจำไว้ว่า ผู้ที่มีหน้าที่
ไม่จำเป็นต้องมีภูมิปัญญาในหน้าที่นั้นๆเสมอไป

บางครั้งพวกเขาก็เป็นพวกยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนสูง พวกคุณไม่คิดเหรอว่าพวกเราก็รู้เรื่องนี้ด้วย?

นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าพวกเขาไปอยู่ในที่ๆพวกเขากำลังอยู่นั้นๆได้อย่างไร?

แล้ว..พวกคุณจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?
พวกเขายังคงยั่วยุอารมณ์ของพวกคุณอยู่ไหม?
พวกเขาแกล้งยั่วให้พวกคุณโมโหไหม?
หรือไม่บางทีพวกคุณอาจจะเจอกับใครที่เอาแต่หดหู่ซึมเซาอยู่ตลอดเวลา ใช่หรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น พวกคุณจึงจำเป็นต้องเดินเข้าไปในพลังงานมืดนั้น
ตลอดเวลาที่ต้องไปทำงานใช่ไหม..

หรือว่ามันเบาบางลงมาบ้างแล้ว เพราะว่าแสงสว่างของพวกคุณ?

---------------------------------------------------

ชอบคำอธิบายนี้มาก

ทำไมเราถึงไม่เดินเข้าไปทำให้พวกเขาสว่างขึ้นมาจากความมืดล่ะ

แต่ในบางครั้งทำยาก(มาก)จริง ๆ ...

 

จุดจริงๆนะคะ จุดจริงๆ
หนูน้อยคนนี้ท่าจะช่วยดับไม่ไหวนะคะ
เพราะัแสงสว่างจากไม้ขีดไฟแถวนี้นี่ เยอะมากๆเลย

 

งง งง งง สงสัยว่าตัวเองจะเป็นพวกสมองมีปัญหา อ่านแล้วไม่เกิดปัญญา

 

อ่านแล้ว ก็แค่แบ่งปันความรักให้ผู้อื่น แค่นี้ก็มีความสุขเกิดขึ้นมากมายแล้วละค่ะ

 

หยุดคิด แล้วจะรู้.................... ?

 

ขอบคุณคุณชยุตผู้ส่งสาร


ขอบคุณท่านครายออน ที่มาเติมเต็มและแก้ไขปมปัญหาที่อยู่ข้างใน...ให้ได้รับการคลี่คลาย
(เหมือนถูกติวเข้ม ยังงัย ... ยังงั๊น)


สัมผัสได้ว่าไม่ได้อยู่ในโลกนี้อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว.....

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ;41jaah

 

อ่านจบแล้ว รู้สึกดี อะไรที่เจอมา คำถามในใจก็ตรงตามนั้นเลย ^ ^

 

ขอถามหน่อยนะครับ อยากรู้จริงๆ ไม่ได้กวนครับ

เริ่มปฏิบัติการเป็นรูปธรรมนิทำไงหรอครับ ...
แล้วสมาธิแบบแสงสว่างนิ ทำยังไงหรอครับ
มีลิงค์ให้ผมศึกษาไหมครับ

ขอบคุณครับ

 

ขอบคุณครับ อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจ ถึงจะมีคนที่ให้กำลังใจคนอื่นไม่เป็นคอยรบกวนก็เถอะ

 

ขอบคุณบทความนี้มาก อ่านแล้วทำให้รู้สึกเข้าใจว่าเราควรจะแผ่ความรักความเมตตาในทุกขณะในทุกที่ เราอาจจะชินตากับภาพลักษณ์ฮีโร่ผู้กอบกู้โลกว่าต้องมีพละกำลังเหนือมนุษย์ ต้องมีความสามารถพิเศษที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี แต่ที่จริงไม่ต้องเลย ขอแค่ให้แผ่ความรักความเมตตาไปได้ในทุกที่ทุกเวลาเท่านั้นก็พอ แม้ว่าสถานที่นั้นจะดูธรรมดาๆ เช่น ที่บ้าน ที่ทำงาน

แต่ความยากมันอยู่ที่ว่าคนที่เราแผ่ความรักความเมตตาไปนั้นก็จะรวมถึงคนที่เรามองว่าร้ายต่อเราด้วย เช่นเจ้านายที่แสนร้ายในที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานที่ขี้อิจฉา การแผ่ความรักให้กับใคร คนคนนั้นก็จะได้รับความรักเข้าไปในใจด้วย แล้วซักวันหนึ่งพฤติกรรมเค้าก็จะเปลี่ยนไป

นอกจากนี้ในขณะที่อ่านไปยังนึกถึงบทภาวนาของนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีด้วย ต้องขอโทษด้วยถ้าไม่เหมาะสมเพราะที่นี่เป็นบอร์ดชาวพุทธ แต่แค่อยากแชร์อะไรที่อยู่ในหัวเท่านั้นเอง

บทภาวนาของนักบุญฟรังซิส อัสซีซี

    ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ
ที่ใดมีความเกลียดชัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก
ที่ใดมีความเจ็บแค้น ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย
ที่ใดมีความแตกแยก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี
ที่ใดมีความเท็จ ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความจริง
ที่ใดมีความสงสัย ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความเชื่อ
ที่ใดมีความสิ้นหวัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความหวัง
ที่ใดมีความมืด ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสว่าง
ที่ใดมีความเศร้าโศก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำ ความยินดีเบิกบานใจ

    ข้าแต่พระเป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นผู้บรรเทา มากกว่าจะเป็นผู้รับการบรรเทา
เห็นใจผู้อื่นมากกว่าจะรับความเห็นใจ
รักผู้อื่นก่อน และมากว่าที่จะให้คนอื่นรักข้าพเจ้า
ผู้ที่ให้เท่านั้น จะได้รับความอิ่มเอิบยินดี
ผู้ที่ลืมตนเองเท่านั้น จะพบตนเองในทางสันติ
ผู้ที่ยกโทษให้เท่านั้น จะได้รับการอภัยโทษ
    ดังนี้เมื่อเราตาย จะได้ไปสู่พระราชัย ของพระองค์ชั่วนิรันดร

 

โอ..เพิ่งเคยเห็นบทภาวนานี้เป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆนะครับเนี่ย

แต่พอได้อ่านแล้ว..มันพูดไม่ออกเอาซะเลย..คือมันใช่เลย..มันงดงามมาก
และมันก็สอดคล้อง..กลมกลืน..เป็นแนวทางเดียวกันไปหมด กับแนวทางแห่งแสงสว่างทั้งหลาย
ที่สื่อสารผ่านมาทางข้อความจากต่างมิติเหล่านี้เลย

และอาจจะเรียกได้ว่า..มันสอดคล้องกับคำสอนหลักๆของหลายๆศาสนาด้วยซ้ำไป (ในประเด็นเดียวกันนี้)
แต่อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียด และศัพท์แสงที่ใช้อยู่บ้างเท่านั้นเอง
(ยกเว้นเสียแต่ว่า..บางจุดที่อาจถูกบิดเบือนไปแล้ว โดยผู้มีอำนาจของศาสนานั้นๆ)


ดีครับ..คุณงามความดี..ธรรมชาติและสัจธรรม เป็นของสากล
ไม่ได้ขึ้นตรงต่อลัทธิ ความเชื่อ และศาสนาใดศาสนาหนึ่งเสมอไป
มันเป็นของสากล มันเป็นของที่อยู่ในระดับจักรวาล

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใคร ที่ไหน เชื้อชาติไหน ชนเผ่าไหน ยุคสมัยไหน
หยิบยกเอามาพูด เอามาแสดง หรือเอามาสอนกัน
มันก็ควรจะออกแนวๆเดียวกันนี้เสมอ..ในสาระสำคัญ หรือแก่นของมันหนะนะครับ

โดยส่วนตัว.ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ..เว้นแต่ว่าในยุคนั้นๆ จะไม่สามารถหาอะไรมาเปรียบเทียบ
เพื่ออธิบายถึงสัจธรรมนั้นๆให้คนส่วนใหญ่ฟังแล้วเกิดความเข้าใจได้
ท่านผู้สอนก็อาจจะยกอะไรมาเป็นข้ออุปมาให้ฟัง พอให้เทียบเคียงได้

แต่พวกผู้ฟังและผู้บันทึกทั้งหลาย ก็ไปยึดเอาข้อเปรียบเทียบนั้น
มาเป็นคำสอน หรือข้อบัญญัติ แบบตัวอักษร-ต่อตัวอักษรไปซะงั้น
..อะไรแบบนั้น..มันก็เลยไปกันใหญ่..

ปล..

ขอกล่าวแถมท้ายอีกนิดหนึ่งหน่อยนะครับ..
ถ้าสังเกตให้ดี ก็จะเห็นว่า เวลาพวกศาสนาที่มีพระเจ้า เขากล่าวกับพระเจ้าของเขานี่
เขาจะออกแนวอ้อนวอน วิงวอน หรือเคารพนบนอบมากๆ
(ซึ่งก็อาจจะไม่ต่างจากเรากระมัง ที่เคารพนบนอบต่อศาสดาของเราเหมือนกัน
หรือยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำไป..ลองสังเกตคำแปลจากบทสวดมนต์ดูนะครับ)

เพราะฉะนั้น ก็อย่าไปเข้าใจว่า พวกเขายอมจำนนทุกอย่าง เพราะความหวาดกลัวพระเจ้านะครับ
แม้ว่าความเป็นจริง หลายๆคนที่ทำแบบนั้น ก็อาจจะเพราะด้วยเหตุผลแห่งความกลัวจริงๆก็ตาม
เพราะว่า พวกเขาถูก "ผู้มีอำนาจ" ในศาสนาของพวกเขาสอนให้พวกเขาคิด เชื่อ และทำแบบนั้น

แต่ในนัยยะของรูปธรรมชีวิตต่างมิติแห่งแสงสว่างทั้งหลายแล้ว พวกเขาบอกเสมอว่า
คำสอนของศาสนาต่างๆบนโลกมนุษย์นี้ ที่สืบทอดกันมาจนถึงวันนี้นั้น
มันได้ถูกบิดเบือนกันไปแล้วทั้งนั้นแหละ ไม่มากก็น้อย
ดังนั้น ตามที่ผมเข้าใจ และจับประเด็นได้จากหลายๆข้อความที่พวกเขาสื่อสารมา

ก็คือ..ประเด็นมันอยู่ที่ "ความอ่อนน้อมถ่อมตน" (Humble) ต่างหากหละครับ ที่พวกเขาสนับสนุนให้เราทำ
เพราะว่ามันตรงกันข้ามกับความอหังการ, ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน และความมีทิฐิมานะ
ยิ่งเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนเท่าไหร่ นอกจากเราจะเป็นที่รักของคนรอบข้างเราแล้ว
เรายังจะมีสติสังวร-สำรวมอินทรีย์ทั้ง 5 ของเราอยู่เสมอด้วย
ไม่เที่ยวไปละเมิดใครเขา ด้วยกาย, วาจา และ ใจ...

เอ..เรื่องนี้มันผุดขึ้นมาในหัว จนต้องเอามาพิมพ์ได้ไงเนี่ย..?
พิมพ์เสร็จคนพิมพ์ก็ยังงงอยู่เลยนะเนี่ย!
แต่เอาเถอะ..มันคงมีเหตุผลของมันเองอยู่แหละน่า..
...............................................

 

ดีนะ กระทู้จุดประกาย

 

Are YOU a Lightworker?