ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. แสวงหาความจริง

    แสวงหาความจริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    509
    ค่าพลัง:
    +5,163
    โอนเงินร่วมทำบุญ 200 บาท 24/06/08 ครับ
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  2. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    "กำลังใจ"......โดย หลวงปู่ชา


    ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง

    ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้น

    ด้วยใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้

    ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้วมันก็อาละวาด

    เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนาสมาธิ

    นี่แหละที่เราเรียกว่า "การฝึกใจ"



    …. ขอให้จำไว้ว่า ถึงจะขี้เกียจ ก็ให้พยายามปฏิบัติไปขยันก็ให้ปฏิบัติไป

    ทุกเวลาและทุกหนทุกแห่งนี่จึงจะเรียกว่า "การพัฒนาจิต"

    ถ้าหากปฏิบัติตามความคิดความเห็นของตนแล้ว

    ก็จะเกิดความคิดไป ความสงสัยไปมากมาย

    มันจะพาให้คิดไปว่า "เราไม่มีบุญ เราไม่มีวาสนา

    ปฏิบัติธรรมก็นานนักหนาแล้วยังไม่รู้ยังไม่เห็นธรรมเลยสักที"

    การปฏิบัติธรรมอย่างนี้ ไม่เรียกว่าเป็น "การพัฒนาจิต"

    แต่เป็น "การพัฒนาความหายนะของจิต"

    ที่มา FW mail
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้เข้ากระทู้ช่วงดึกเนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด เลยไม่ได้เข้ากระทู้ในเวลาปกติ แต่เข้ามาแล้วก็ไม่อยากออก เพราะใจมันผูกพัน และถือเป็นภารกิจงานบุญที่ต้องทำ เพราะทำแล้วเห็นผล โดยผลที่เห็นนั้นเป็นปัจจัตตัง เฉพาะตนและครอบครัว ยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมก็ได้ เช่นในวันที่ทำบุญวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นฝนจะตกต่อเนื่องอยู่หลายวัน จึงได้บอกพี่ใหญ่ว่า ในวันอาทิตย์นี้ขอให้พี่ช่วยอาราธนาบารมีท่านองค์ใหญ่ขอให้อย่าให้มีฝนตกที่ รพ.สงฆ์ ผลก็เลยเป็นอย่างที่เห็นพวกพันธมิตรก็เลยร้อนไป อีกอย่างถ้าท่านสังเกตุดีๆ ในวันนั้นในตึกกัลยาฯ ลมจะพัดแผ่วๆ เย็นสบายมาก ทั้งที่ข้างก่อนทำพิธี เมื่อตอนเราเข็นรถขึ้นมาจะเริ่มมีแดดที่จะเริ่มแรงแล้วก็เลยแอบกระซิบถามพี่ใหญ่ว่า ท่านลงมาแล้วใช่มั๊ย พี่ใหญ่บอกว่า ลงมาแล้วเยอะด้วย หลายคนอาจไม่สังเกตุว่าตอนที่พวกเรากำลังถวายสังฆทานนั้น ผมเดินเลี่ยงออกมาข้างนอกด้วยความที่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง พอเงยหน้ามามองด้านนอก ปรากฏว่าด้านนอกร่มครึ้มอย่างน่าอัศจรรย์ พอทำบุญเสร็จ พวกเราหลายคนเดินเข้าไปในห้องพักผ่อน ผมก็เดินมาด้านนอกอีก คราวนี้ต้องรีบหลบ เพราะแดดแรงมากตอนประมาณแดดประมาณ 9.30 จ้าจริงๆ นี่เป็นเรื่องคร่าวๆ ที่เป็นเกร็ดเล็กๆ เล่าให้ฟังเท่านั้น ก็เลยต้องพยายามเข้ามาในกระทู้ให้ได้อย่างน้อยวันละครั้ง ส่วนเรื่องที่โพสท์ก็แล้วแต่โอกาสจะอำนวย เช่นเรื่องพุทธประวัติ เรื่องอภินิหาร บทกลอนธรรมะ ข้อคิดทางด้านธรรมะ หรือท้ายสุดคือเรื่องทศชาติที่แต่ละตอนของเรื่องนี้ค่อนข้างจะยาว แต่ก็เป็นสิ่งที่เราในฐานะลูก ก็ควรจะรู้ในเรื่องของพ่อ (องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) บ้าง อย่างน้อยก็ได้เห็นวิริยะอุตสาหะของท่านกว่าจะตรัสรู้ธรรมนั้นท่านต้องบำเพ็ญทุกข์อย่างไร อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะแนะนำคือ ในวันอาทิตย์ หนังสือพิมพ์ โพสท์ทูเดย์จะมีคอลัมภ์ "คาบใบลาน " อยู่ในเซสซันของ ต่างประเทศ ซึ่งเป็นคอลัมภ์น่าสนใจมาก จะนำประวัติพ่อแม่ครูอาจารย์สายท่านอาจารย์มั่นมาลงให้อ่านเป็นที่ชื่นใจมาก เช่นประวัติหลวงปู่คำพอง ท่านพ่อลี รวมถึงข่าวคราวในวงการสงฆ์ ที่พวกเราควรติดตาม นับว่าคุ้มค่ามาก ฉบับละ 15 บาทเอง ซื้อหาอ่านไว้ดีครับ เพราะบางองค์ท่านสำเร็จอรหัตผลได้ ด้วยอุบายธรรมต่างกันครับ

    วันนี้ดึกแล้วขอเรียนให้ทราบแค่นี้ก่อนครับ

    พันวฤทธิ์
    26/6/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2008
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    จากวิชาการดอทคอม





    จำนวน 4 ความเห็น, หน้า่ | -1-
    ความเห็นเพิ่มเติมที่ 1 19 มิ.ย. 2551 (15:05)
    [​IMG]
    HI I'm Eck I live in holland I'm thai people I want to have some of this buddha can you give me 2 of this buddha I wanna have because now In here no have thai temple and I want some thing for protect my self and my family also but not easy for have some buddha here .I know I come here for frist time but I hear about this buddha for long time I need to have this buddha pleast if you accept this can you give me some of this buddha I'm not lie and I buddish also if you can give me you can send to me here Sa-Tu.Sa-Tu.Sa-Tu.Sa-Tu

    Nattaphat Sangkarak

    Mgr Bekkerspad 3

    9649 AV Muntendam Netherlands <holland>



    6. พระกรุหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร พิมพ์ปิดตานะเอกลักษณ์
     
  5. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG] </TD><TR><TD align=middle>สวดมนต์ให้เย็น</TD></TR><TR><TD><DD>บทสวดมนต์ที่เราจะยึดเป็นหลัก วิธีปฏิบัติ ถ้าเรามีดอกไม้ ธูป เทียนบูชาพระพุทธรูป ก็ให้กล่าวคำว่า


    <DD>อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปูเชมิ <DD>อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ <DD>อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง ปูเชมิ



    <DD>อันนี้เป็นคำบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อโน้มน้าวจิตของเราให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันดับต่อไปก็



    <DD>อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบทีหนึ่ง) <DD>สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบทีหนึ่ง) <DD>สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบทีหนึ่ง)



    <DD>ทีนี้ก็มาสำรวมจิตให้แน่วแน่ต่อคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กล่าวนะโม ๓ จบ



    <DD>นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ <DD>นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ <DD>นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ



    <DD>ต่อไปสำรวมจิต สวดบทอิติปิโส



    <DD>อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ (กราบทีหนึ่ง)



    <DD>แล้วสวดบทสวากขาโตต่อไป



    <DD>สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ(กราบทีหนึ่ง) <DD>สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (กราบทีหนึ่ง)



    <DD>ทีนี้อันดับต่อไปก็ตั้งใจเจริญพรหมวิหาร



    <DD>อะหัง สุขิโต โหมิ <DD>นิททุกโข โหมิ <DD>อะเวโร โหมิ <DD>อัพยาปัชโฌ โหมิ <DD>อะนีโฆ โหมิ <DD>สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ



    <DD>อันนี้บทเมตตาตน ต่อไปก็แผ่เมตตาสัตว์



    <DD>สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ <DD>สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ <DD>สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ <DD>สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ <DD>สัพเพ สัตตา สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ



    <DD>นี่บทแผ่เมตตา ทีนี้ก็สวดบทกรุณาต่อไป



    <DD>สัพเพ สัตตา สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ <DD>สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ



    <DD>อันนี้ เป็นบทมุทิตา ทีนี้สวดบทอุเบกขาต่อไป



    <DD>สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนี กัมมะพันธู กัมมะปะฏิสสะระณา ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยาณัง วา ปาปะกังวา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ.



    <DD>อันนี้เป็นยอดแห่งบทสวดมนต์ ให้ทุกคนพยายามท่องจำให้ได้ แล้วพยายามสวดทุกวันๆ ทั้งเวลาเช้าเวลาเย็น ถ้ามายึดบทสวดตามที่กล่าวนี้อย่างมั่นคงแล้วก็ตั้งใจสวดอย่างต่อเนื่องกันทุกวันๆ ไม่ต้องไปสวดคาถาบทอื่นก็ได้ ให้สวดเฉพาะเท่าที่กล่าวมานี้ ทำจิตให้มั่นคงต่อบทสวดนี้อย่างแน่วแน่ ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก คาถาชินบัญชร หรือคาถาอื่นๆ นี้ ไม่จำเป็นต้องสวดก็ได้ <DD>มีนายคนหนึ่งมาหาหลวงพ่อเมื่อ ๒-๓ วันมานี่ เขามาปรึกษาว่า "ทำไมผมยิ่งสวดมนต์ ขยันสวดมนต์ สวดคาถาชินบัญชรวันละ ๙ จบ ๑๐ จบ บทอื่นก็หลายจบ หนังสือยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี่ผมจำได้และสวดได้หมดทุกตัว ผมนั่งสวดมนต์อยู่เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ยิ่งสวดมนต์ไปเท่าไรแทนที่ว่าจิตมันจะเย็นลง มันกลับทำให้ร้อน นอกจากมันจะทำให้ร้อนแล้ว ผมกับภรรยาของผมต่างคนต่างสวดเก่งเหมือนกัน แต่พอออกจากห้องพระมาแล้วหาเรื่องทะเลาะกันทุกที ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้นหลวงพ่อ" หลวงพ่อก็บอกว่า "บทสวดมนต์ตามที่คุณสวด มันมีแนวโน้มไปในทางไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นี่ ถ้าเกิดสวดมาก ๆ เข้า มันเกิดมีอาถรรพณ์ มันเป็นพลังมนต์ครอบคลุมจิต มนต์ไสยศาสตร์ทำให้เกิดพลังร้อน เมื่อเกิดพลังร้อนแล้วมันก็อยากจะลองของ ในเมื่อหาใครที่จะมาเป็นคู่ปะทะหรือทะเลาะไม่ได้ก็ทะเลาะกันเอง คนบางคนสวดมนต์ทางไสยศาสตร์ ยิ่งสวดมากเท่าไรจิตใจก็ยิ่งโหดเหี้ยม นั่งสมาธิภาวนาสวดมนต์เวลาค่ำคืน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม พอออกจากที่สวดมนต์ ที่นั่งสมาธิมาแล้วมาทุบตีเมียของตัวเอง อันนี้มันเป็นเพราะพลังมนต์ไสยศาสตร์บันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น มนต์อันใดที่มีแนวโน้มไปในทางไสยศาสตร์ มนต์อันนั้นทำให้จิตร้อน เพราะมันมีพลังร้อน แต่พลังของพระพุทธคุณธรรมคุณ สังฆคุณ พลังพรหมวิหาร มันทำให้เกิดพลังเย็น เป็นไปเพื่อผูกมิตรไมตรีกับสิ่งทั้งปวง ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่พาลหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน" เพราะฉะนั้น ให้นักเรียนทุกคนจำเอาไว้ บทสวดมนต์ที่วิเศษที่สุดก็คือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วก็แผ่เมตตา ทีนี้เมื่อแผ่เมตตาเสร็จแล้ว จะนั่งสมาธิภาวนาก็นั่งต่อไป เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิแล้ว ก่อนจะลุกจากที่นั่งสมาธิ ให้น้อมจิตน้อมใจอธิษฐานถึงบุญบารมีที่เราได้ปฏิบัติมา แล้วก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ตลอดทั้งสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวร ขอให้มารับส่วนบุญที่เกิดจากการปฏิบัติของข้าพเจ้านี้


    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณและโมทนา
    แหล่งที่มา >>ClickHere<<
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๔ : เสด็จโคจรบิณฑบาต
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๔ : เสด็จโคจรบิณฑบาต

    เสด็จจาริกผ่านกรุงราชคฤห์
    และเสด็จโคจรบิณฑบาตร
    มหาชนเห็นแล้วก็โจษจันกันทั่วเมือง

    เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อได้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และทรงอธิษฐานเพศบรรพชิตที่บนหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ณ อนุปิยอัมพวัน แขวงมัลลชนบท พระองค์ได้ประทับอยู่อนุปิยอัมพวันนี้ได้ ๗ วัน ในวันที่ ๘ จึงเสด็จจาริกเข้าแคว้นมคธไปโดยลำดับ จนถึงกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้ในสมัยนั้น

    [​IMG]
    เสด็จจาริกเข้าแคว้นมคธ

    แคว้นมคธเป็นแคว้นใหญ่ มั่งคั่ง มากด้วยพลเมืองและมีอำนาจมากเท่าเทียมกับอีกแคว้นหนึ่งในสมัยเดียวกันนี้ คือ แคว้นโกศล ซึ่งมีกรุงสาวัตถีเป็นเมืองหลวง กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ของกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ ในสมัยที่กล่าวนี้ทรงพระนามว่า พระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระชนมายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระมหาบุรุษ ขณะที่กล่าวนี้จึงทรงเป็นกษัตริย์หนุ่ม

    เวลาเช้า พระมหาบุรุษเสด็จเข้าเมือง ชาวเมืองเกิดอาการที่ปฐมสมโพธิรายงานไว้ว่า "ตื่นเอิกเกริกโกลาหลทั่วทั้งพระนคร" เพราะได้เห็นนักบวชที่ทรงรูปสิริลักษณะเลิศบุรุษ จะว่าเป็นเทวดา หรือ นาค สุบรรณ (ครุฑ) คนธรรพ์ ทานพ (อสูรจำพวกหนึ่งในนิยาย) ประการใดก็มิได้รู้ เข้ามาสู่พระนคร เที่ยวโคจรบิณฑบาตประหลาดนัก ต่างก็โจษจันกันทั่วเมือง

    [​IMG]
    เสด็จโคจรบิณฑบาตร


    เจ้าชายสิทธัตถะ หรือ ขณะนี้ คือ พระมหาบุรุษ ทรงเกิด ในขัตติยสกุล คือ สกุลกษัตริย์ ทรงเป็นอุภโตสุชาต คือ ทรงมีพระชาติกำเนิดเป็นกษัตริย์บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายพระบิดาและฝ่ายพระมารดา ทรงมีผิวพรรณที่ภาษาบาลี เรียกว่า "กาญจนวัณโณ" แปลตามตัวว่าผิวทอง ความหมายก็คือ ผิวเหลืองขาว ทรงมีพระรูปโฉมสง่างาม ถึงแม้จะทรงปลงพระเกศา และพระมัสสุ และทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อย่างนักบวชผู้สละทิ้งความงามทางฆราวาสวิสัยแล้วก็ตาม แต่พระอาการกิริยาเวลาเสด็จดำเนินก็ยังคงลีลาของกษัตริย์ชัดเจน คือ สง่างามผิดแผกสามัญชน เพราะเหตุนี้ เมื่อชาวเมืองราชคฤห์ได้เห็น จึงแตกตื่นกัน จนความทราบไปถึงพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นพระราชาธิบดีแห่งกรุงราชคฤห์.

    ประชาชนในเมืองนี้ เมื่อสังเกตเห็นว่าพระองค์มีลักษณะสง่างาม ผิดไปจากนักบวชธรรมดาหลายประการ จึงพากันหาอาหารที่ดีที่สุดอันพึงมีมาถวายและใส่ลงในบาตรของพระองค์ เมื่อได้รับอาหารพอสมควรแล้วพระพุทธองค์จึงเสด็จออกจากนครไปสู่ที่อันสมควรแห่งหนึ่งแล้วประทับนั่งเพื่อเตรียมฉันอาหาร ตามที่ได้รับมา

    [/SIZE]<!-- End main-->
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คนที่มีความสุขที่สุดในโลก

    <STYLE></STYLE>


    คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ร่ำรวย
    คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ
    แต่คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ คนที่มีความสบายใจเท่านั้นเอง

    และความหมายของความสบายใจ คือ

    หนึ่ง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อว่าคุณมีดี คุณน่าคบหา และคุณทำได้

    สอง รู้จักตัวเอง ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเอง และพร้อมจะปรับปรุงเสมอ


    สาม ไม่ดื้อดึง ถ้าวันวานคุณเคยทำผิดพลาด คุณก็ยินยอมเปลี่ยนแปลงและรับฟังคนอื่น




    สี่ เห็นค่าของตัวเอง คุณไม่คิดว่าตัวเองช่างไร้ค่า คุณจึงมีความสุขในใจเสมอ

    ห้า วิ่งหนีความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าตกลงไปในความทุกข์ คุณก็รีบหาทางหลุดพ้น ไม่จมอยู่กับมัน

    หก กล้าหาญเสมอ คุณกล้าเปลี่ยนแปลงและกล้ารับมือกับสิ่งแปลกใหม่หรือปัญหาต่างๆ

    เจ็ด มีความฝันใฝ่ เมื่อชีวิตมีจุดหมาย คุณก็จะเดินไปบนถนนชีวิตอย่างมีความหวัง ไม่เลื่อนลอย

    แปด มีน้ำใจอาทร คุณพบความสุขในใจเสมอถ้าเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

    เก้า นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเองด้วยการลดคุณค่าและทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อตัวเอง

    สิบ เติมสีสัน สร้างรอยยิ้มให้ชีวิตของคุณและคนรอบข้าง รู้จักหยอกล้อคนอื่น ๆ และตัวเองด้วย

    ความสุขนั้นคือพอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง และวางฝันของตัวเองตามกำลังที่ตนทำได้ การได้รับวัตถุและความสำเร็จ
    ในหน้าที่การงาน ทำให้คุณพึงพอใจและยกระดับฐานะของคุณเท่านั้น เป็นการสร้างเสริมความสุขเพียงภายนอก
    และมันมิได้อยู่กับคุณอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป


    เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอไม่มีวันหยุดนิ่ง

    ความสุขที่แท้จริงเกิดจากข้างในจิตใจของคนเรา และถ้าจิตใจของคุณไม่ว่าง เต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายต่าง ๆ
    ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เพราะความสุขนั้นมักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบเสมอ


    ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก คุณสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมุ่งหวังยามแก่เฒ่า
    ค่อยอยู่อย่างสงบสุขอย่างที่หลายคนเชื่อกัน เชื่อเถอะ เราจะสามารถมีความสุขที่สุดในโลกได้ ในตอนนี้
    ถ้าเราเริ่มจากตัวเราเอง !!!



    ขอขอบคุณ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aoyyada&month=25-06-2008&group=1&gblog=2

     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>อนัตตา

    ในที่สุด ดอกบัวล้ำ ก็ช้ำร่วง
    สิ่งทั้งปวง ลุล่วงไป ยิ่งใจหาย
    ทุกวันนี้ เราเดินหน้า หาความตาย
    ไม่ว่าเด็ก เล็กหญิงชาย ตายแน่นอน

    อนิจจัง ความไม่เที่ยง ยากเลี่ยงหลบ
    พุทธองค์ ทรงค้นพบ ชาติภพก่อน
    ส่วนทุกขัง เมื่อครุ่นคิด จิตบั่นทอน
    มิอาจถอน สิ่งที่รัก หักห้ามใจ

    อนัตตา คือสภาพ ที่ว่างเปล่า
    มิใช่เขา มิใช่เรา เข้าใจไว้
    กาลเวลา ย่อมนำหา พาเป็นไป
    อนัตตา ที่เคลื่อนไหว ไร้ตัวตน

    รู้เช่นนี้ เราควรตรึก ลองนึกใหม่
    ที่ผ่านมา เราคือใคร ใช้เหตุผล
    ทบทวนดู มีอะไร ในกายคน
    แค่ก้อนเนื้อ ( ฆนะ ) เจือเลือดข้น ปนเส้นเอ็น

    เมื่อตายไป ก็เน่าเหม็น เห็นๆอยู่
    ลองพิศดู ที่กล่าวไว้ ใช้ล้อเล่น
    จะไปรัก หลงทำไม ให้ลำเค็ญ
    จงรู้ไว้ สิ่งที่เห็น เป็นอนัตตา..
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=1436
     
  9. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE class=MsoTableGrid style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse; mso-border-alt: solid black .5pt; mso-border-themecolor: text1; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 5.4pt 0cm 5.4pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=1><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: black 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: black 1pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: black 1pt solid; WIDTH: 462.1pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: black 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-alt: solid black .5pt; mso-border-themecolor: text1" vAlign=top width=616><TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm; mso-cellspacing: 0cm" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="HEIGHT: 334.5pt; mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #e2e2e2; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #e2e2e2; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #e2e2e2; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #e2e2e2; HEIGHT: 334.5pt; BACKGROUND-COLOR: transparent"></TD><TD style="BORDER-RIGHT: #e2e2e2; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #e2e2e2; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #e2e2e2; WIDTH: 100%; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #e2e2e2; HEIGHT: 334.5pt; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width="100%"><TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm; mso-cellspacing: 0cm" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #e2e2e2; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #e2e2e2; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #e2e2e2; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #e2e2e2; BACKGROUND-COLOR: transparent"><TABLE class=MsoNormalTable style="mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm; mso-cellspacing: 1.5pt" cellPadding=0 border=0><TBODY><TR style="HEIGHT: 6.75pt; mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #e2e2e2; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #e2e2e2; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #e2e2e2; WIDTH: 100%; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #e2e2e2; HEIGHT: 6.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent" width="100%">ปีใหม่ปีเก่ากินข้าวคือกัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE><O:p</O:p

    <TABLE class=MsoNormalTable style="mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm; mso-cellspacing: 1.5pt" cellPadding=0 border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #e2e2e2; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #e2e2e2; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #e2e2e2; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #e2e2e2; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top><O:p</O:p
    ใกล้วันขึ้นปีใหม่สิ่งที่คนไทยคุ้นเคยคือการขอพรจากผู้ใหญ่และนิยมให้ของขวัญแก่ผู้ที่เราเคารพคิดถึงหรือแม้แต่คนที่เรารัก ส่วนผู้หลักผู้ใหญ่ก็มักจะให้คำอวยพรปีใหม่โดยเฉพาะปีใหม่นี้คือปีชวดนี้ เรามีสัญลักษณ์คือหนูคนไทยจึงนิยมเรียกปีชวดติดปากว่า
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    ฟ้าหลังฝน


    เมฆทะมึน ฝนมา ฟ้ามืดมิด
    เช่นชีวิต คนเรา ยามเศร้าหมอง
    อุปสรรค ดาหน้า น้ำตานอง
    ต้องประคอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2008
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]




    มืด............ หมกมุ่นหม่นไหม้.....อวิชชา
    มา............ อุปกิเลส มา.....ปิดไว้
    มืด............ จิตอัปภัสรา.....ขันธา ทุกโข
    ไป............ สู่ทุกข์คติไซร้.....เร่าร้อน รานตน...


    มืด............แบกทุกข์ท่วมท้น.....อาตมัน
    มา............ผ่านกี่กัปกัลป์.....ล่วงแล้ว
    สว่าง.......ณ ปัจจุปปัน.....สัมปชัญโญ
    ไป............สู่ที่ เพริศแพร้ว.....แจ่มแจ้ง ปัญญา....


    สว่าง.......จวนดีเลิศแล้ว.....มานมน
    มา............จ่อมจมธราดล.....โลกหล้า
    มืด...........มิอาจ ยินยล.....สำเนียง เสียงธรรม
    ไป...........ใฝ่ต่ำไขว่คว้า.....แทะทึ้ง โลกีย์...


    สว่าง.......เบิกบานจิตพร้อม.....วิชชา
    มา............พึ่งพระปัญญา.....แนบเกล้า
    สว่าง........ว่างเหตุปัจจยา....ใน-นอก พิสุทธิ์
    ไป............ปราศทุกข์รอนร้าว.....จบสิ้น สังสาร....



    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=1290

     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    ฝน ๔ อย่าง

    ละอองฝน เพียงสัมผัส ก็ชื่นจิต
    อยู่แห่งไหน ห้อมด้วยมิตร จิตแจ่มใส
    สัตบุรุษ คือผู้เห็น เด่นธรรมนัย
    ย่อมมีใจ ดุจละออง ของฝนพรำ

    พุทธองค์ เปรียบเรื่องฝน ไว้สี่อย่าง
    หนึ่งครวญคราง คำรามลั่น ยันเช้าค่ำ
    แต่ไม่ตก ได้แต่ร้อง ร้องประจำ
    ดุจคนพูด แต่ไม่ทำ ซ้ำติติง

    อีกฝนหนึ่ง ไม่คำราม โครมครามตก
    พุทธองค์ กล่าวหยิบยก ดั่งคนนิ่ง
    ไม่พูดพร่ำ ลงมือจับ ทำจริงๆ
    ไม่อ้อยอิ่ง ปฏิบัติ เร่งรัดทำ

    ฝนอีกอย่าง ไม่คำราม และไม่ตก
    เปรียบบุคคล ไม่หยิบยก ไม่พูดพร่ำ
    ไม่ยอมคิด ไม่ยอมหยิบ ไม่ยอมทำ
    ดุจเมฆดำ ลอยละล่อง ล่องลอยไป

    ฝนสุดท้าย ฝนที่สี่ มิมองข้าม
    ทั้งตกหนัก ทั้งคำราม สุดห้ามได้
    ดุจบัณฑิต ที่พูดย้ำ และทำไป
    ฝนอะไร ไร้ประโยชน์ โปรดดูเอา



    บทกวีที่น่าคิดของคุณเฟื่องฟ้า
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=1096
     
  13. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ผมขอแจ้งรายชื่อผู้บริจาคเงินทำบุญมาทั้งหมด 10200 บาทดังนี้ครับ
    คุณอนันต์ ตั้งธาราวิวัฒน์
    คุณสุนารี ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000 บาท
    คุณชมพู่ ดิษฐประเสริฐ 200 บาท
    คุณนาลดา อมรพัชระ และบุตร 400 บาท
    คุณกนกพร นิตย์ธีรานนท์ 1098 บาท
    คุณบุญทิวา คุณเกียรติ คุณบงกช นิตย์ธีรานนท์ 1000 บาท
    คุณพรรณี คุณจักร คุณจิตร ชิโนรักษ์ 1000 บาท
    คุณชัชวาล คูสมิทธิ์ 300 บาท
    คุณพิชญ์ธนัน อนันธรสิริ 202 บาท
    คุณกนกพัฒน์ สุรพิพิธ 100 บาท
    คุณมาลินี ชาติขุนพล 100 บาท
    คุณอติชาติ์กรณ์ สิมะดำรง และ ครอบครัวพนมวงศ์เกษม 100 บาท
    คุณเอกชัย เดชอธิการ และครอบครัว 100 บาท
    คุณณิชนันทน์ วรรธกิตติพงศ์ 100 บาท
    คุณเปรมา ยงคงกระพัน แม่ และน้องชาย 100 บาท
    คุณพลภัทร ตั้งธาราวิวัฒน์ และเงินที่เหลือจากการค่าส่งพระ 1000 บาท
    คุณสงวนชัย อคัรวิทยาภูมิ 1000 บาท
    คุณวิศัลย์ ณ ระนอง 1000 บาท
    คุณธิติ โอนเงินทำบุญผ่านทางบัญชีผม 600 บาท
    คุณชิน9 ฝากไว้ตอนทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์ 200 บาท
    คุณรัดเกล้า คุณสำรวม คุณอรอุมา ศิริมาตร
    คุณถวัลย์ศักดิ์ จิตพิสิฐชัย
    คุณธวัชชัย คลองสกุล รวมกัน600บาท
    รวมทั้งสิ้นเป็นเงินที่โอนทำบุญ 10200 บาท ขอโมทนากับทุกๆท่านด้วยครับ ส่วนท่านใดมีชื่อนามสกุลผิดพลาดหรือรายชื่อตกหล่นขออภัยครับแต่จำนวนเงินไม่มีตกหล่นมีแต่เกินให้กับทุนนิธิฯตลอด
    และท่านใดโอนเงินเข้าบัญชีผมหรือเป็นเงินส่วนที่เหลือจากค่าส่งพระ ผมได้นำเงินส่วนนี้โอนเข้าบัญชีทุนนิธิฯแล้วครับ แต่ไม่อาจแจ้งชื่อได้หมดจะแจ้งแต่ยอดเงินครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มิถุนายน 2008
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 26 มีนาคม 2551 10:57:35 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๕ : ทรงปัจจเวกข์
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๕ : ทรงปัจจเวกข์

    ทรงปัจจเวกข์

    เจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่ทรงกำเนิดมา ทรงประสบแต่พระกระยาหารอันประณีตเลิศเลอ มีผู้ปรนนิบัติด้วยอาการประเล้าประโลมนอบน้อมมาตลอด ไม่เคยประสบอาหารชั้นเลว และระคนกันในภาชนะอันเดียวเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อได้ทรงก้มดูในบาตรอันเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิดคละเคล้าปะปนกัน จนไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร ทำให้ลำไส้ของพระองค์เริ่มกระอักกระอ่วน ราวจะท้นออกมาจากพระโอษฐ์ พระองค์ไม่สามารถกล้ำกลืนเสวยอาหารเช่นนี้ได้ ทรงใคร่จะขว้างทิ้งเสียไม่เสวยอะไรเลยเสียจะดีกว่า

    [​IMG]

    แต่ในที่สุดพระองค์ทรงยับยั้งความคิดนั้นไว้ และทรงระลึกว่าเมื่อมีความเด็ดเดี่ยวในการสละบ้านเรือนและชีวิตอันเลิศเลอเสีย เพื่อออกมาเป็นนักบวชแล้ว การทิ้งขว้างอาหารซึ่งเป็นชนิดที่นักบวชทั้งหลายพึงได้รับจากการภิกขาจารมานี้ คงไม่เป็นการสมควร การคิดถึงอาหารอันประณีตเลอเลิศ เป็นการผิดธรรมเนียมของนักบวชทั้งหลาย จนในที่สุดพระองค์จึงชนะในสัญญาความคุ้นเคยเดิม ชนะความกระด้างถือตัว ทรงหมดความรังเกียจในอาหารอันวางอยู่เฉพาะพระพักตร์ แล้วทรงเริ่มเสวยอาหารนั้นโดยปราศจากอาการอันกระสับกระส่ายแต่ประการใด และไม่ต้องทรงลำบากพระทัยในการที่จะต้องฉันอาหารเช่นนี้สืบไป
    [/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ต่อไปจะนำเสนอเรื่องทศชาติต่อ ซึ่งเป็นเรื่องพระมหาชนก มีทั้งหมด 6 ตอน พร้อมภาพสวยๆ ประกอบ น่าสนใจมาก ลองติดตามดูได้ตามนี้ครับ





    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 color="#000000"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80><CENTER>มหาชนก ๑ </CENTER>



    <TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=40></TD></TR><TR><TD width="100%" height=4>

    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff><CENTER>[​IMG]</CENTER>ในอดีตที่ล่วงมาแล้ว มีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งนามว่า มหาชนก เสวยราชสมบัติในเมืองมิถิลา ท้าวเธอมีโอรสสองพระองค์ องค์หนึ่งนามว่า อริฎฐชนก อีกองค์หนึ่งมีนามว่าโปลชนก พระองค์ได้ทรงตั้งอริฎฐชนกในตำเเหน่ง อุปราช และโปลชนกในตำเเหน่ง เสนาบดี ต่อมาเมื่อท้าวเธอสวรรคตแล้ว อุปราชก็ได้ขึ้นครองแผ่นดินเสวยราชสมบัติแทน และได้แต่งตั้งเจ้าโปลชนกผู้เป็นน้องให้เป็นอุปราช ในขณะเมื่อเจ้าอริฎฐชนกเป็นอุราชอยู่นั้นก็รู้สึกว่าเป็นคนยุติธรรมดีอยู่ แต่เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วหูเบา ฟังแต่ถ้อยคำคนประจบสอพลอ เพราะตามธรรมดาคนประจบสอพลอนั้น จะต้องหาเรื่องฟ้องคนนั้นคนนี้อยู่เสมอ เพราะคนไม่ทำงานแต่ก็อยากได้ความชอบ และการได้ความชอบโดยไม่ต้องทำงานวิธีง่ายที่สุดคือเหยียบย่ำผู้อื่นให้ตกแล้วตนจะได้แทนตำแหน่งนั้น </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG] ตามธรรมดาของโลกย่อมจะมีเช่นนี้ตลอดกาล ผู้ทรงอำนาจกับความหูเบามักจะเป็นของคู่กัน ถ้าใครได้อ่านพงศาวดารจีน หรือแม้แต่ประวัติศาตร์ของไทย จะเห็นความหูเบามักจะทำไห้บ้านเมืองต้องพินาศ เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน
    เจ้าอุปราชโปลชนกถูกกล่าวหาจากผู้ใกล้ชิดของพระเจ้ากรุงมิถิลาว่าจะทำการกบฎ เพราะเจ้าอุปราชทรงอำนาจในทางการเมืองมาก ครั้งแรกก็ยัง ไม่ยอมเชื่อ ครั้งที่สองก็ชักลังเล พอครั้งมี่สามก็ทรงเชื่อเอาเลย ลืมคิดว่าผู้เป็นน้องของพระองค์ที่คลานตามกันออกมาแท้ ๆ ลักษณะเช่นนี้เข้าหลักที่ว่า <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=-35);]“อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลักไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว” [/color]</CENTER>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG] แม้ความรักระหว่างพี่กับน้องก็ตัดได้ ถึงกับสั่งให้จับพระมหาอุปราชไปคุมขังไว้ยังที่แห่งหนึ่ง โดยหาความผิดมิได้มีคนควบคุมอยู่อย่างแข็งแรง เจ้าอุปราชถูกควบคุมโดยหาความผิดมิได้ ก็คิดจะหลบหนีออกไป จึงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า
    “ขอเดชะพระเสื้อเมืองทรงเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตัวข้าพเจ้ามิได้คิดทรยศต่อที่ชายเลย แต่กลับถูกจับคุมขังทำโทษหาความผิดมิได้ ถ้าใจของข้าพเจ้าซื่อสัตย์ต่อพี่ชายจริงแล้ว ขอให้โซ่ตรวนขื่อคาตลอดจนประตูคุก จงเปิดให้ประจักษ์เถิด” พอสิ้นคำอธิษฐานเท่านั้นด้วยความสัตย์สุจริตของมหาอุปราช บรรรดาเครื่องจองจำทั้งหลายก็หลุดออกจากกายของพระองค์ประตูเรือนจำก็เปิด มหาอุปราชก็เลยหนีออกจากที่นั้นไปซุ่มซ่อนอยู่ตามชายแดน พวกพลเมืองได้ทราบข่าวอุปราชหนีออกมา และเห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินเชื่อถือแต่คำสอพลอถึงกับกำจัดน้องในไส้จึงพากันเห็นใจเจ้าอุปราช ๆ ก็ไพล่พลมากขึ้น ตอนนี้พระเจ้าแผ่นดินไม่กล้าส่งคนออกติดตามแล้ว เพราะกลัวจะเกิดศึกกลางเมืองขึ้น เพราะทราบดีว่าถ้าส่งคนออกไปจับเจ้าอุปราชก็คงจะต้องสู้จึงเลยทำเป็นใจดีไม่ติดตาม



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG] เจ้าอุปราชรวบรวมไพล่พลได้พอสมควรแล้วก็คิดว่า
    “ครั้งก่อนเราซื่อสัตย์ต่อพี่ชาย แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎถูกจับคุมขัง จนต้องทำสัตยาอธิษธานจึงหลุดพ้นออกมาได้ ต่อไปนี้เราจะต้องทำความชั่วตอบแทนพี่ชายบ้างล่ะ” เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว เจ้าโปลชนกก็รวบรวมไพล่พลเสบียงอาหาร พร้อมแล้วก็ยกกองทัพเข้ามายังมิถิลานคร บรรดาหัวเมืองรายทางรู้ว่าเป็นกอง ทัพของพระเจ้าโปลชนก ก็ไม่สู้กลับเข้าด้วยเสียอีก เจ้าโปลชนกก็เลยได้คนมากขึ้นอีก ทัพก็ยกมาได้โดยเร็วเพราะหาคนต้านทานมิได้ ตราบจนกระทั่งถึงชานพระนคร จึงมีสาส์นส่งเข้าท้ารบว่า
    “พระเจ้าพี่ ครั้งก่อนหม่อมฉันไม่เคยจะคิดประทุษร้ายพระเจ้าพี่เลย แต่หม่อมฉันก็ต้องถูกจองจำทำโทษที่พระเจ้าพี่เชื่อแต่คำสอพลอ บัดนี้หม่อมฉันจะประทุษร้ายพระเจ้าพี่บ้างล่ะ ถ้าจะไม่ให้เกิดสงคราม ขอให้พระเจ้าพี่มอบราชสมบัติให้หม่อมฉันเสียโดยดี ถ้าไม่ให้ก็จงเร่งเตรียมตัวออกมาชนช้างกับหม่อมฉันในวันรุ่งขึ้น



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG] พระเจ้าอริฎฐชนก พอมาถึงตอนนี้ก็ต้องตกกระไดพลอยโจน จึงคิดจะยกพลออกไปต่อสู้กัน แต่ในขณะนี้นพระอัครมเหสีทรงพระครรภ์อยู่ พระเจ้าอริฎฐชนกจึงตรัสเรียกมาสั่งว่า
    “น้องหญิง ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้วไม่ดีเลย เพราะมีแต่ความพินาศเท่านั้น ประดุจสาดน้ำรด กันก็ย่อมจะเปียกปอนไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
    อีกประการหนึ่งเป็นเรื่องที่คาดหมายลงไปแล้วแน่นอนว่าจะชนะฝ่ายเดียวนั้นก็ไม่ได้ พี่จะยกพลออกไปสู้กับเจ้าโปลชนก หากพี่เป็นอะไรไป เจ้าจงพยายามรักษาครรภ์ให้จงดีเจ้าจงคิดถึงลูกของเราให้มาก”


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]



    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#a8defb width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>แล้วก็ยกพลออกไป และก็เป็นตามลางสังหรณ์ที่พระเจ้าอริฎฐชนกคาดว่าจะแพ้ก็แพ้จริง ๆ เพราะเมื่อได้ชนช้างกับเจ้าโปลชนกก็พลาดพลั้งเสียที ถูกเจ้าโปลชนกฟันสิ้นพระชนม์กับคอช้าง ไพล่พลก็แตกกระจัดกระจายพ่ายหนีอย่างไม่เป็นกระบวน </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>
    พระเทวีได้ทราบข่าวว่าพระสวามีสิ้นพระชนม์ และประชาชนพลเมืองแตกตื่นอุ้มลูกจูงหลานหนีข้าศึก พระนางก็เก็บของมีค่าใส่ลงใน กระเช้า เอาผ้าเก่า ๆ ปิดแล้วแอาข้าวสารใส่ข้างบน แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ร้องไห้ฟูมฟายหลบหนีปะปนไปกับประชาชนพลเมือง โดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
    “จะหนีไปทางใดจึงจะรอดพ้นจากข้าศึก” พระนางคิดอยู่แต่ในใจ แล้วระลึกขึ้นได้ว่า
    “เมืองกาลจัมปาอยู่ทางทิศเหนือกับมิถิลา ถ้าหากหลบหนีไปเมืองนี้ได้ก็ปลอดภัย” จึงพยายามดั้นด้นไปจนออกประตูด้านเหนือของเมืองได้


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG] ด้วยบุญญาธิการของทารกในครรภ์ บันดาลให้ร้อนไปถึงพระอินทร์ เข้าลักษณะที่ว่า “ทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน " อมรินทร์เร่งคิดสงสัย จึงสอดส่องทิพย์เนตรดูเหตุภัย ก็ได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในครรภ์ของพระนางจะได้รับทุกข์ พระนางจะไปเมืองกาลจัมปาแต่ก็ไม่รู้จักหนทาง เดี๋ยวนี้ไปนั่งถามทางผู้คนที่ผ่านไปมาอยู่ ณ ศาลาพักคนเดินทางจำจะต้องอนุเคราะห์ ถ้าไม่อนุเคราะห์หัวเราจะต้องแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง เออ.? คิดดูก็น่าหนักใจแทนพระอินทร์เสียจริง ไม่ว่าคนมีบุญจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไร เป็นต้องเดือดร้อนไปกับเขาด้วยเสมอ เวลาเขาเสวยสุขสิไม่ เคยคิดถึงพระอินทร์เลย จึงเนรมิตตนเป็นคนชรา ขับเกวียนผ่านมาทางนั้น พระนางพอเหลือบแลเห็นก็ออกปากถามทันที </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG]
    “ตาจ๋า หลานอยากจะรู้ว่าเมืองกาลจัมปาอยู่ทางไหน”
    “แม่หนูจะไปไหนล่ะ”
    “ฉันจะไปเมืองกาลจัมปา”
    “ญาติฉันมีอยู่ทางเมืองนั้น สามีออกไปรบข้าศึกก็ตายเสีย ฉันก็เลยจะพึ่งพาอาศัยญาติอยู่”
    “ถ้าอย่างนั้นดีทีเดียว ตาก็จะไปเมืองกาลจัมปาเหมือนกันแม่หนูมาขึ้นเกวียนเถิด” เหมือนเทวดามาโปรด และแท้ที่จริงก็เทวดามาโปรดจริง ๆ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://www.larnbuddhism.com/buddha/mahasa.html

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2008
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด โดย ว.วชิรเมธี

    [​IMG]

    รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี

    ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

    ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
    หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง
    ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)
    คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
    คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน

    ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

    ''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
    ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''

    คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
    ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
    เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
    กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

    ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
    หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
    แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
    เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
    ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
    นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
    เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

    คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
    ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
    จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

    เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

    บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
    เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
    เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
    วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

    ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

    คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
    เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
    มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

    อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
    ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย
    มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

    วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''
    กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
    แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''
    แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
    เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
    ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
    สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

    วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
    การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ
    หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด
    อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

    ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา
    แต่จงย้ายตัวเอง ''

    ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?




    ขอขอบคุณ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=titara&month=27-06-2008&group=4&gblog=75
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เสียงตบมือข้างเดียว

    มือฉันตบ ข้างเดียว ส่งเสียงลั่น
    มือท่านตบ สองข้าง จึงดังได้
    เสียงมือฉัน ดังก้อง ทั้งโลกัย
    เสียงมือท่าน ดังไกล ไม่กี่วา ฯ

    เสียงความว่าง ดังกลบ เสียงความวุ่น
    ทั้งมีคุณ กว่ากัน ทางหรรษา
    เสียงสงบ กลบเสียง ทั้งโลกา
    หูของข้า ได้ยิน แต่เสียงนั้น ฯ

    เสียงของโลก ดังเท่าไร ไม่ได้ยิน
    เพระเหตุ วิญญาณรับ แต่เสียงนั่น
    เป็นเสียงซึ่ง ผิดเสียง อย่างสามัญ
    เป็นเสียงอัน ดังสุด จะพรรณนา ฯ

    มือข้างเดียว ตบดัง ฟังดูเถิด
    แสนประเสริฐ คือจิต ไม่ใฝ่หา
    ไม่ยึดมั่น อารมณ์ใด ไม่นำพา
    มันร้องท้า เย้ยทุกข์ ทุกเมื่อเอย ฯ



    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=2003
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC09084.jpg
      DSC09084.jpg
      ขนาดไฟล์:
      140.3 KB
      เปิดดู:
      54
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ioiiiiiiร .........รู้ทาง.........


    [​IMG]




    เหมือนนกผิน บินไป ไม่เห็นฟ้า
    เหมือนฝูงปลา ฝ้าบอด ลอดน้ำหลาก
    เหมือนหมู่หนอน ชอนไช ไม่เห็นซาก
    เหมือนหอยทาก ลากกระดอง มองยากเย็น


    สกนธ์ร่าง พรางตา พากำหนัด
    เครื่องร้อยรัด มัดจิต ติดทุกข์เข็ญ
    ช่างยากแค้น แสนเหลือ เบื่อไม่เป็น
    ยิ่งพบเห็น เล่นหยอก ออกทางธรรม


    อุบายนี้ ที่ท่านว่า พาเพ่งพิศ
    ใคร่ชวนคิด ริดรอน ทอนทางต่ำ
    กายจิตนี้ มีวิเวก เอกทางสัมม์
    จะน้อมนำ ทำอุปธิ(กิเลส) วิเวกตาม


    ก็มิหาญ การธรรม นำสอนท่าน
    เพียงพบพาน การสู้ อยู่กลางท่าม
    กายสงบ กลบจิตฟุ้ง ไม่ปรุงตาม
    เมื่อกายปราม ห้ามจิต ปิดปัจจัย


    เพียงยกแรก แจกหมัด ฟัดกันยุ่ง
    เข้าถลุง พยุงตน ทนอยู่ได้
    ถึงป่ายเป๋ เสถลา ท่ายังไว
    เข้าขวักไขว่ ไว้การ์ด มาดเป็นมวย


    อีกมากยก ปกป้อง พองใจสู้
    แม้หนักอยู่ รู้หลอก หยอกหลบฉวย
    ก็ค่ายนี้ มีท่าย่าง ทางสำรวย
    รู้ทางมวย ฉวยหลีกหลบ จบเกมเรา


    ขึ้นยกสอง ประคองร่าง ย่างสามขุม
    คิดจะซุ่ม ทุ่มแรงต่อย สอยคางเขา
    หรือจะหลอก ออกทางซ้าย ย้ายตีเข่า
    เอ๊ะ ! นั่นเท้า เข้าก้านคอ ขอพักเอย
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ฤาว่าเราจักตายเปล่า....

    [​IMG]



    วันเปลี่ยนเวียนล่วงร้าง มลังมลาย
    ยักแย่ แลเห็นกาย แก่บ้าง
    ทำเริงร่า ตนตาย นับเนิ่น นานนา
    จึงก่อกรรม ทำสร้าง ชั่วช้า อัปรีย์

    เสียทีเกิดสร้างร่าง เพียงรก โลกนา
    มืดมิดดำ นำตก น่าเศร้า
    สุสาน ม่านขากนรก ทำท่า เมินเอย
    ตัวโง่ ฉุดจิตเหง้า หยั่งพื้น ดักดาน

    นิพพานเลิศเพริศแคล้ว โพยภัย
    ธรรมดิ่ง สิงหฤทัย สร่างเศร้า
    บุญบาปนิ่ง ประวิงใจ เย็นอยู่ สุขเอย
    นำกล่อมหลัก มรรคเข้า แน่แล้ว แนวทาง

    ตะวันจาง ล่างคล้อย ค่ำมา
    นกหมู่โบยบินลา สู่เหย้า
    ชีวิตล่วงโรยรา เปลืองเปล่า บุญเอย
    จากถิ่นมนุษย์สุดเศร้า ว่างเว้น ทำดี


    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=1450
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    กระจกส่องใจ


    [​IMG]

    [SIZE=-1]กระจก…..ไม่เลือกที่จะสท้อนภาพทุกชนิด ฉันใด [/SIZE]
    [SIZE=-1]จิตใจ……จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก [/SIZE]
    [SIZE=-1]กระจก…..รับรู้ แต่ไม่ยึดถือยึดติดและครอบครอง [/SIZE]
    [SIZE=-1]ดังนั้น…...จึงไม่มีภาพใดใดหลงเหลือหรืออยู่ในกระจก [/SIZE]
    [SIZE=-1]สายฝน…..ในกระจก หาเปียกกระจกไม่ [/SIZE]
    [SIZE=-1]เปลวไฟ…..ก็หาได้เผาลนกระจกเช่นกัน [/SIZE]
    [SIZE=-1]ทั้งนี้……...เพราะกระจกไม่ได้ให้อำนาจแก่สายฝน และเปลวไฟ [/SIZE]
    [SIZE=-1]ดังนั้น……จงทำใจของท่าน ให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก อย่ายึดติด เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือยึดติด [/SIZE]
    [SIZE=-1]หรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความกังวล ความไม่สบายใจ ย่อมตามมาเมื่อนั้น [/SIZE]
    [SIZE=-1]นี่คือมรรควิธีแห่งการเพ่งพิจารณาและรับรู้สรรพสิ่งด้วยใจที่สงบบริสุทธิ์ ว่างเปล่าจากการปรุงแต่ง เพื่อปลด [/SIZE]
    [SIZE=-1]ปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่าหลุดพ้นไปจากภาพมายาธรรมต่าง ๆ ที่คอยฉุดรั้ง หลอกลวงจิตไม่ไห้เห็นถึงความจริง [/SIZE]
    [SIZE=-1]ซึ่งจะต้องพยายามทำจิตให้หลุดพ้นจากการยึดติดในสิ่งทั้งปวงเปรียบเหมือนกระจก ฯ[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอขอบคุณ[/SIZE]
    [SIZE=-1]http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pilin&month=29-06-2008&group=20&gblog=5[/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...