ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนศีล ๕ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)

    ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนศีล ๕ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)

    <HR style="COLOR: #e0e0e0" SIZE=1>
    [​IMG]

    พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

    ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนศีล ๕

    ในเมื่อเรามาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่ง ก็หมายความว่า เราจะรับเอาพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา
    สมมติว่าพระพุทธรูปท่านพูดได้ เราปฏิญาณตนว่า
    "พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก"
    ถ้าพระพุทธเจ้าท่านพูดได้
     
  2. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ท่านใดที่ขอพระกรุโลกอุดรไว้และยังไม่ได้รับ ต้องขอให้ใจเย็นอดใจรอซักระยะนะครับ เพราะจะได้ของดีที่ดียิ่งขึ้น ผมได้ทิ้งไว้ให้พี่ใหญ่เชิญบารมีหลวงปู่โลกอุดรเพิ่มให้เต็มที่ยิ่งๆขึ้น เพราะพระที่อยู่ในกรุนานหลายร้อยปี พลังงานต่างๆที่บรรจุอยู่ในองค์พระอาจพร่องหรือลดลงบ้าง (พระกรุนี้ขนาดยังไม่ได้ชาร์ตใหม่ พลังก็ยังแรงเลย) ของดีต้องรอหน่อยครับ คงประมาณสองสัปดาห์จึงจะนำมาจัดส่งให้ได้ครับ
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ใครเป็นผู้จดบันทึกบุญและบาปของเรา???????


    กรรมที่ทำด้วยเจตนาดีมีจิตสะอาดผ่องใส ผลลัพท์จะออกมาเป็นความสุขท่านเรียกว่า "บุญ" ส่วนกรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ดี มีจิตเศร้าหมอง จะส่งผลออกมาเป็นความทุกข์ ท่านเรียกว่า "บาป" กรรมที่กระทำไว้แล้วไม่ว่าดีหรือชั่วย่อมไม่สูญหายไปไหน เพระกรรมสามารถติดตามผลไปให้ได้ท้งในชาตินี้และชาติหน้า

    ปัญหาที่น่าสงสัยในทางพระอภิธรรมก็คือ เราสั่งสมกรรมไว้ได้อย่างไร มีใครจดบันทึกบัญชีกรรมของเราไว้ เหมือนกับบัญชีเงินฝากในธนาคารหรือไม่ คำตอบก็คือ บุญบาปที่เราทำไว้ ไม่ต้องมีใครมาติดตามจดบันทึกไว้ เพระจิตมีอำนาจวิเศษอย่างหนึ่งในการสั่งสมบุญและบาป เมื่อเราได้กระทำกรรมใดๆ ลงไปไม่ว่าดีหรือชั่ว แม้จะนานสักเพียงใดก็ตาม จะกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ผู้กระทำย่อมจะต้องได้รับผลของบุญและบาปเมื่อกรรมมีโอกาสส่งผล ถึงแม้จิตจะเกิดดับตลอดเวลาก็ตาม แต่ผลกรรมที่กระทำไว้ ไม่ว่าเป็นบุญหรือเป็นบาป ก็จะไม่สูญหายไปพร้อมกับการดับของจิตแต่ละดวง ทั้งนี้ เพราะจิตดวงใหม่มีเหตุปัจจัยมาจากจิตดวงเดิม และจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นมานั้น ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แก่จิตดวงต่อไปเช่นกัน


    จากเอกสารประกอบการการศึกษาพระอภิธรรมในชุดที่ 2 "ชีวิตคืออะไร" หน้าที่ 7


    พระพิมพ์หลวงปู่บรมครูฯ ที่คุณโสระกล่าวข้างต้นนี้ นับว่ายอดแล้ว กลับยิ่งสุดยอดกว่าธรรมดามากขึ้นไปอีก เฮ้อ...คราวที่แล้วสามีขอ คราวนี้ถึงตาต้องภรรยาทำบุญให้รพ.บ้างแล้วล่ะ ท่านข้างบน หลวงปู่ทั้ง 5 องค์ ฯลฯ ท่านเมตตาและกรุณาแก่สายบุญนี้จนเหลือที่จะประมาณได้จริง...สาธุ อย่างนี้ใครจะชั่วลงได้ คิดไม่ออกจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2008
  4. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    ได้รับพระแล้วครับ ขอบคุณมากครับ
     
  5. tanya123

    tanya123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +544
    Today 04-05-51 I and family transfers money 410 B by KRUNG THAI BANK.
    ( Cash )Tumboon ka.:)
    every body sa tue boon with us na ka:) And i also Sa tue with every body ka:)
    Sa tue boon ka :)
    Tanya Klyne :)
     
  6. cococo

    cococo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +229
    ได้ร่วมทำบุญพระสงฆ์อาพาธ จำนวน 100 บาท เมื่อวันที่ 3/5/08 เวลา 14.09 น. สาธุค่ะ
     
  7. mrnarin

    mrnarin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +102
    ขอร่วมทำบุญ สงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ ด้วยครับ
    ได้โอนเงินแล้วนะครับ เมื่อวันที่ 04/05/08 เวลา 13.17 น. จำนวน 400 บาท
    เข้าบัญชี 348-1-23245-9
    และขออนุโมทนากับทุกๆท่านด้วย
     
  8. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ได้โอนเงินเข้าบัญชีทุนนิธิฯจำนวน 1509 บาทโดยเป็นของท่านต่างๆดังนี้ครับ
    คุณteerins 209บาท
    คุณชมพู ดิษฐ์ประเสริฐ 200บาท
    คุณactive 500 บาท
    คุณถวัลย์ศักดิ์ จิตพิศิฐชัยและครอบครัว
    คุณรัดเกล้า ศิริมาตร และครอบครัว
    คุณธวัชชัย คลองสกุล รวม 600บาท

    รวมทั้งหมด 1509 บาท โมทนาสาธุ ครับ
     
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เมื่อวันที่ 19 เมษายน ผมได้โอนเงินทำบุญทุนนิธิฯรวม 8100 บาทยังไม่ได้แจงรายนามผู้บริจาค ขอแจงดังนี้ครับ
    คุณกนกพร นิตย์ธีรานนท์ 1098 บาท
    คุณพิชญ์ธนัน อนันธรสิริ 202 บาท

    คุณมาลินี ชาติขุนพล 100 บาท
    คุณชัชวาล คูสมิทธิ์ 300 บาท
    คุณอนันต์ และ คุณสุนารี ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000 บาท
    คุณวิศัลย์ ณ ระนอง 1000 บาท
    คุณวิชัย อัครวิทยาภูมิ 1000 บาท
    คุณปิยะวัฒน์ วรัทเศรษฐ์ 2000 บาท
    คุณชมพู ดิษฐ์ประเสริฐ 200 บาท
    คุณนาลดา อมรพัชระ 300 บาท
    เด็กชาย วิภูช์ ตั้งธาราวิวัฒน์ 100 บาท
    คุณพลภัทร ตั้งธาราวิวัฒน์ 800 บาท
     
  10. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ส่วนทุกท่านที่ทำบุญมา ณ วันที่27เมษายน ที่โรงพยาบาลสงฆ์ คงต้องรอพี่ปุ๊มาแจงยอดและรายชื่อครับ สำหรับรายชื่อบางท่านอาจไม่ได้แจงเพราะรวมๆกันฝากกันมาเป็นยอดใหญ่ ต้องขออภัยด้วยนะครับ แต่ยอดเงินทุกบาทสตางค์ถึงสงฆ์อาพาธหมดไม่มีตกหล่นครับ โมทนากับทุกๆท่านครับ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    นานๆ จะได้พักผ่อนยาวๆ 3 วัน ซักที ได้ทำงานบ้าน ได้ล้างรถ ทำอะไรอีกหลายอย่างเพลินดี เวลาที่เหลือนอนซะให้เข็ด ขอบคุณสำหรับโทรศัพท์ที่มาสอบถามด้วยความเป็นห่วงทั้งคุณกุ้งมังกร คุณ Active เมื่อวันอาทิตย์เลยไปจัดการเรื่องเงินบัญชีทุนนิธิฯ กับนายสติ หรือ อ.ปุ๊ เคลียร์ยอดบริจาคที่ รพ.สงฆ์ ที่ในวันนั้นมีผู้บริจาคเพิ่มอีก 22 ท่าน เวลาฝากต้อง ทำ pay-in slip 22 ใบ เพื่อให้แจงในบัญชีธนาคารออกมาทุกบาททุกสตางค์ สรุปง่ายๆ สุดท้ายคงเหลือเงินในบัญชีทุนนิธิฯ ประมาณ เก้าหมื่นแปดพันกว่าบาท ดูแล้วยังไงก็ยังมีกำลังใจทำงานกันต่อ เมื่อคืนช่วงตีสอง ตื่นขึ้นมา นึกถึงพระโพธิสัตว์ ว่าท่านต้องทนลำบากขนาดหนักในการบำเพ็ญบารมีมากมายมหาศาล พอนึกได้แค่นั้น ไม่นอนดีกว่า คว้าเทปคำสอนของ หลวงปู่เทสก์มาเปิดท่านเทศน์เรื่องฌาณ และสมาธิ โดยท่านได้เทศน์โดยสรุปว่ามีฌาณก็ต้องมีสมาธิ มีสมาธิ ก็ต้องมีฌาณ ทั้ง 2 อย่าง ต้องพึ่งกัน หรือ ภาวนาพุทโธๆๆๆ ภาวนาไปจนเกิดความเพ่ง แต่พอจิตทรงตัว ก็ให้พิจารณาพุทโธนั่นแหละหมายความว่าอย่างไร เช่นอิติปิโสคืออะไร ภควา คืออะไร อะระหังสัมมาคืออะไร ฯลฯ เป็นการฝึกเดินวิปัสสนาไปในตัว สุดท้ายคือเรื่องของใจ อยากรู้ว่าใจเป็นอย่างไร ก็ลองกลั้นหายใจดู ใจแท้หรือจิตแท้อยู่ที่ปัจจุบัน ไม่มีอดีต และอนาคต คงอยู่ที่ปัจจุบันที่กลั้นหายใจนั่น เอ้า..ไม่เชื่อลองกลั้นลมหายใจดู ใจแท้ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่สุข ไม่ทุกข์ จับเอาตรงนั้นนั่นละ กรรมฐานก็เอาตรงนั้นนั่นละ....

    กลับมาเรื่องเงินในบัญชีทุนนิธิฯ ต่ออีกนิดนึง คิดว่าวันสองวันนี่ล่ะ นายสติ คงจะสแกนสมุดบัญชีมาให้ดูเพื่อตรวจสอบรายชื่อผู้บริจาคพร้อมปัจจัยกันครับ

    สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ร่วมบริจาคเข้ามาผ่านทุนนิธิฯ เพื่อรวบรวมไปที่ รพ.สงฆ์อีกครั้งด้วยใจจริง บุญกุศลไม่หนีไปไหนหรอกครับ จิตท่านเป็นผู้บันทึกเอง ท่านข้างบนก็รับรู้ และโมทนาบุญให้ เพียงแต่ว่าก่อนบริจาคปัจจัย หรือโอนปัจจัย ขอให้ท่านทำด้วยความบริสุทธิใจ ตั้งใจโมทนาก่อนบริจาค หลังจากนั้น เมื่อเราบริจาคให้ท่านแล้ว มีรูปกิจกรรมโพสท์ให้ดู ก็ขอให้ท่านตั้งใจในผลบุญนั้นๆ ตามที่ได้โมทนาไว้ จนเกิดเป็นปิติ เป็นสุข จิตก็จะเป็นกุศล เป็นบุญ บันทึกตามเราข้ามภพชาติไป หรือถึงคราวที่จะได้รับผลของกุศลผลบุญนั้น เมื่อสั่งสมรวมกับบุญอื่นจน "บุญเต็ม" แล้ว ท่านก็จะไม่ต้องกลับมาในวัฏฏะสงสารนี้อีกต่อไป หรืออย่างเร็วถ้ายังไม่ถึงเวลานั้น ท่านก็คงไม่ลำบากในการดำเนินชีวิตเช่นคนอื่น ผมมีความเชื่ออย่างนั้นจริงๆ....

    พันวฤทธิ์
    5/5/51
     
  12. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับวันนี้ครอบครัวผมได้ส่งเงินทำบุญจำนวน 600 บาท
    วันที่ 05/05/08 เวลา 19.58 น.*ขอบุญกุศลนี้จงสำเร็จ
    แก่เทวดาประจำครอบครัวข้าพเจ้าและทุกๆท่านที่อนุโมทนาบุญนี้
    สาธุๆๆๆ*
     
  13. MEA

    MEA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +660
    วันนี้5/5/2551 ได้โอนเงินร่วมทำบุญ สงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ ผ่าน ATMไทยพาณิชย์ เวลา 9.35น. จำนวน 300 บาท ขอโมทาบุญด้วยครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สรุปความแตกต่างของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
    <!-- Main -->[​IMG]

    สรุปมาจาก หนังสือ สัมภารบารมี ของท่านนาคะประทีป

    1. อายุต่างแห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า จากมากไปน้อย

    100,000 พรรษา มี พระทีปักร พระโกณฑัญญะ พระอโนมทัสสี พระปทุม พระปทุมุตตร พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี
    พระสิทธัตถ พระติสส
    90,000 พรรษา มี พระสุมังค พระสุมน พระโสภิต พระนารท พระสุเมธ พระสุชาต พระปิยทัสสี พระปุสส
    80,000 พรรษา มี พระวิปัสสี
    70,000 พรรษา มี พระสิขี
    60,000 พรรษา มี พระเรวต พระเวสสภู
    40,000 พรรษา มี พระกกุสันธ
    30,000 พรรษา มี พระโกนาคม
    20,000 พรรษา มี พระกัสสป
    80 พรรษา มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดม องค์ปัจจุบัน ส่วนพระศรีอารย เมตตรัยที่จะบังเกิดในอนาคตเบื้องหน้ามี 80,000 พรรษา)

    2. ความต่างแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้า

    พระสรีระสูง 80 ศอก มี พระทีปังกร พระเรวต พระปียทัสสี พระอัตถทัสี พระธัมทัส สี พระวิปัสสี
    พระสรีระสูง 60 ศอก มี พระสิทธัตถะ พระเวสสภู พระดิสส
    พระสรีระสูง 40 ศอก มี พระกกุสันธ
    พระสรีระสูง 37 ศอก มี พระสิขี
    พระสรีระสูง 30 ศอก มี พระโกนาคม
    พระสรีระสูง 20 ศอก มี พระกัสสป




    พระสรีระสูง 4 ศอก มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)
    หมายเหตุ เทียบกับศอกของมนุษย์ปัจจุบัน 1 ศอก = 50 เซนติเมตร

    3. ความต่างแห่ง เวลาบำเพ็ญทุกกิริยาในพระชาติสุดท้ายทีได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    ใช้เวลา 6 ปี คือ พระโคดม(พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)
    ใช้เวลา 10 เดือน คือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระสุมน พระอโนมทัสสี พระสุชาต พระสิทธถ พระกกุสันธ
    ใช้เวลา 8 เดือน คือ พระสุเมธ พระสุมังคล พระติสส พระสิขี
    ใช้เวลา 7 เดือน คือ พระเรวต
    ใช้เวลา 4 เดือน คือ พระโสภิต
    ใช้เวลา 1 เดือน คือ พระปุสส พระปิยทัสสี พระโกนาคม พระเวสสภู
    ใช้เวลา ครึ่งเดือน คือ พระปทุม พระอัตถทัสสี พระวิปัสสี
    ใช้เวลา 7 วัน คือ พระปทุมุตตร พระนารท พระธัมมทัสสี พระกัสสป
    หมายเหตุ วันเดือนปีในที่นี้นั้นหมายถึงวันเดือนปี ของยุคนั้นๆ

    4. ความต่างแห่งพุทธรังสี (เทียบกับมนุษย์ปัจจุบัน หน่วยวัด 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร)

    พุทธรังสีสร้านไปไกล 1,000 โยชน์ คือ พระสุมังคล
    คำนวณได้ รัศมี 16,000 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(16,000)**2 = 804,556,800 ตรกม.
    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 30 ศอก หรือ 15 ม. คือ 1 รูปต่อ 3.1428*15*15 = 707.13
    ตรม.ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่ นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ 804,556,800*1000/707.13 =
    1,137,777,777 รูป
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 12 โยชน์ คือ พระปทุมุตตร
    คำนวณได้ รัศมี 192 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(192)**2 = 115,856.18 ตรกม.
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ คือ พระกกุสันธ (สรีระสูง 40 ศอก)
    คำนวณได้ รัศมี 160 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(160)**2 = 80,455.68 ตรกม.
    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 40 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 18 ศอก หรือ 9 ม.คือ 1 รูปต่อ 3.1428*9*9 = 254.57 ตรม.
    ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่ นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ ถึง 80,455.68*1000/254.57 = 316,046 รูป
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 6 โยชน์ กับ 400 เส้น คือ พระวิปัสสี
    คำนวณได้ รัศมี 112 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(112)**2 = 39,423.28 ตรกม.
    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 30 ศอก หรือ 15 ม.คือ 1 รูปต่อ 3.1428*15*15 = 707.13 ตรม.ดังนั้นรังสีของ
    พระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่ นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ ถึง 39,423.28*1000/707.13 = 55,751 รูป
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 3 โยชน์ คือ พระสิขี
    คำนวณได้ รัศมี 48 กม.คลุมพื้นที่ 3.1428*(48)**2 = 7,241 ตรกม.
    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 37 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 16 ศอก หรือ 8 ม.คือ 1 รูปต่อ 3.1428*8*8 = 201.14 ตรม.ดังนั้นรังสีของ
    พระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่ นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ ถึง 7241*1000/201.14 = 36,000 รูป
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 1 วา คือ พระศรีศากยมุนีโคดม
    คำนวณได้ รัศมี 2 ม. คลุมพื้นที่ 3.1428*(2)**2 = 12.57 ตรม.
    พุทธรังสีสร้านไปไกล สุดแต่พระองค์ประสงค์ คือพระพุทธเจ้าที่เหลือ

    5. ความต่างแห่งตระกุล

    พระกกุสันธ พระโกนาคม พระกัปสสป เกิดในตระกุลพราหมณ์มหาศาล
    พระพุทธเจ้าที่เหลือ เกิดในตระกุลกษัตริย์

    6. ความต่างแห่งยานออกมหาภิเนษกรม

    ยานมีความต่างกัน 5 อย่าง
    6.1 ทรงคชยาน(ช้าง)
    6.2 ทรงรถยาน
    6.3 ทรงอัสวยาน(ม้า)
    6.4 ทรงสีวิกามาศราชยาน
    6.5 ทรงมณเฑียรมหาปราสาท

    7. ความต่างแห่งไม้ที่ตรัสรู้

    8. ความต่างแห่งอปราซิตบัลลังก์

    ความแตกต่างของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้

    1. พระกกุสันธพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8
    อสังไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)

    2. พระโกนาคมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8
    อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

    3. พระกัสสปพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8
    อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

    4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4
    องไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
    เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
    พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
    พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

    5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16
    อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
    เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้

    นำมาจาก (ต้องขออภัยเจ้าของบทความ ที่นำมาโดยมิได้บอกกล่าว ทั้งนี้ได้พยายามติดต่อท่านแล้วแต่ติดต่อไม่ได้ครับ)

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=neothailand&month=05-05-2008&group=10&gblog=11
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2008
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 18 มกราคม 2551 13:16:50 น.-->บุญกลั่นเป็นบารมี
    <!-- Main -->[SIZE=-1]บุญกลั่นเป็นบารมี


    บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุ จุดหมายอันสูงยิ่ง

    ในแง่ของการปฏิบัติ บารมี คือ บุญที่มีคุณภาพพิเศษอันเกิดจากการทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพันไปสร้างบุญนั้นมา


    บารมีเป็นธรรมอันเลิศ ที่พระบรมโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญสั่งสมโดยลำดับ เพื่อจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    บารมี มี ๑๐ ประการ หรือที่เรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ คือ


    ทานบารมี
    ศีลบารมี
    เนกขัมบารมี
    ปัญญาบารมี
    วิริยบารมี
    ขันติบารมี
    สัจจบารมี
    อธิษฐานบารมี
    เมตตาบารมี
    อุเบกขาบารมี



    ซึ่งสรุปย่อๆ อยู่ในรูปของบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา ที่กระทำอย่างยิ่งยวด


    บุญที่เกิดจากการทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนานี้ เมื่อตั้งใจทำมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย ก็จะกลั่นตัวกลายเป็น "บารมี" ซึ่งมีอานุภาพมหาศาลยิ่งกว่าบุญ และจะคอยสนับสนุนเราให้ประสบความสุข และความสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา ดังที่พระเดชพระคุณ พระมงคลเทพมุณี (สด จนฺทสโร) เคยกล่าวไว้ว่า


    "...บุญ ที่เกิดจากการบริจาคทานนั้น เมื่อบริจาคบ่อยครั้งเข้ารวมกันได้ขนาดโตวัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ ๑ คืบ หรือขนาด เท่าดวงจันทร์แล้ว ดวงบุญนั้นจะกลั่นตัวเองเป็น บารมี ที่เรียกว่า ทานบารมี ...."


    ดังนั้น การทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ก็คือ กาสร้างบารมีนั่นเอง และผลบุญจากการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนานี่แหละ ที่เรานำมาใช้ออกแบบชีวิตของเราเองได้[/SIZE]


    นำมาจาก

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=jaisai&month=18-01-2008&group=3&gblog=6
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สร้างบุญวาสนาด้วยความดี
    <!-- Main -->
    ความดีทุกอย่างที่คนเราทำไว้ แม้จะไม่ให้ผลในปัจจุบันทันตา ก็ไม่สูญเปล่า
    ความดีเหล่านั้นจะรวมกันเข้าปรุงจิตให้ดีขึ้น ซึ่งเรียกว่าบุญวาสนา
    บุญวาสนาเป็นพลังวิเศษอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้พบกับความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
    คือ เมื่อตนได้รับความเจริญก้าวหน้าแล้ว ก็นึกว่านั่นเป็นผลแห่งความดีที่เราสู้พยายา
    สั่งสมมา หาควรที่จะฉวยโอกาสที่ตนได้รับผลบุญนั้นไปสร้างกรรมทำบาปไม่
    จะเข้าตำราที่ว่า เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

    อีกประการหนึ่ง ความเชื่อในบุญวาสนาของตนและคนอื่น ย่อมป้องกันความ
    ริษยาเสียได้ เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีก็คิดว่านั่นเป็นบุญวาสนาของเขา
    ถึงตัวเราเองเมื่อตกต่ำ ก็คิดเสียว่าหมดบุญวาสนาที่ได้ทำมาแต่หนหลังมัวเศร้าใจ
    ไปใยสร้างบุญกันใหม่ดีกว่า

    อีกสถานหนึ่ง เมื่อทราบว่าการทำบุญเป็นการสั่งสมความดีไว้ช่วยตัวเองอย่างนี้แล้ว
    ไม่ควรประมาทในการทำบุญเท่าที่กำลังความสามารถจะอำนวย
    คนที่มีความสามารถอยู่ แต่เพิกเฉยเสมือนหนึ่งว่าชาวนาเก็บเกี่ยวแล้วแจกจ่าย
    ขายกินหมด ไม่ได้สงวนไว้ทำพันธุ์ต่อไปข้างหน้าเลย หรือเหมือนคนทำมาหาได้
    เท่าไร ก็จ่ายหมดในเพลาเดียวกัน



    ขอขอบคุณ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=watsawangnumsai&month=22-01-2008&group=6&gblog=1
     
  17. 16

    16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +419
    <TABLE height=70 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 align=center background=../pics/banner350.gif border=0><TBODY><TR><TD>ปลาขอฝน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 align=center bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="75%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ทรงปรารภการบันดาลให้ฝนตกทั่วเมือง เรื่องมีอยู่ว่า ...


    ในสมัยนั้น ทั่วทั้งแคว้นโกศลเกิดภัยแล้งฝนไม่ตกหลายเดือน ข้าวกล้าเหี่ยวแห้ง สระน้ำแห้งขอดเหลือแต่โคลนตม ปลาตายเกลื่อนกลาด ฝูงนก ฝูงกาบินว่อน ชาวเมืองสาวัตถีและฝูงสัตว์เกิดเดือดร้อนกันไปทั่ว แม้น้ำในสระวัดเชตวันก็เหือดแห้งเช่นกัน ปลากระเสือกระสนหนีตายเข้าไปในเปลือกตม

    รุ่งเช้า พระพุทธองค์ ได้ทรงตรวจดูสรรพสัตว์ ทรงเห็นความเดือดร้อนนั้นแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพสัตว์ หลังจากเสด็จกลับมาจากบิณฑบาตแล้ว ได้ประทับยืนอยู่ที่บันไดสระในวัดเชตวัน ตรัสเรียกพระอานนท์ให้นำผ้าอาบน้ำมาถวายพระองค์ ด้วยมีพระประสงค์จะสรงน้ำในสระ แม้พระอานนท์จะทูลว่าน้ำในสระมีแต่ตม ไม่มีน้ำมิใช้หรือ ก็ทรงตรัสว่า " อานนท์ ธรรมดากำลังของพระพุทธเจ้าใหญ่หลวงนัก เธอจงนำเอาผ้าอาบน้ำมาเถิด " พระเถระได้นำผ้ามาถวายแล้ว พระพุทธองค์ทรงนุ่งผ้าด้วยชายข้างหนึ่ง ทรงคลุมพระสรีระด้วยชายข้างหนึ่ง ประทับยืนที่บันไดตั้งพระทัยว่า เราจักสรงน้ำในสระ

    ทันใดนั้นเอง แท่นศิลาอาสน์ของท้าวสักกะก็แสดงอาการร้อน ท้าวเธอทราบเรื่องนั้นแล้วจึงบัญชาให้วลาหกเทวราชเจ้าแห่งฝน บันดาลฝนให้ตกทั่วแคว้นโกศลโดยไม่ขาดสายครู่เดียวเท่านั้น น้ำก็เต็มสระ ท้วมถึงบันไดสระ พระพุทธองค์ทรงลงสรงน้ำในสระแล้ว ทรงครองผ้าสองชั้นสีแดง คาดรัดประคต ทรงครองสุคตจีวร เฉวียงพระอังสะ เสด็จประทับในพระคันธกุฎี

    ในเวลาเย็น พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภายกเรื่องพระพุทธองค์ทรงบันดาลให้ฝนตก ด้วยพระกรุณาในชาวเมืองและสรรพสัตว์ขึ้นมาสนทนากัน พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกดังนี้ว่า...

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่ห้วยแห่งหนึ่ง มีเถาวัลย์รกรุงรัง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นปลาช่อนตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในห้วยนั้น สมัยนั้น เกิดภัยแล้งฝนไม่ตกเช่นเดียวกัน ฝูงปลาต่างดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยเปลือกตม ฝูงนกการุมจิกกินหมู่ปลา ปลาช่อนนั้นเห็นความพินาศของหมู่ญาติ จึงทำสัจกิริยาให้ฝนตกด้วยการแหวกออกจากเปลือกตม มองดูอากาศแล้วบันลือเสียงแก่เทวราชปัชชุนนะว่า

    " หมู่ปลาเดือดร้อนมาก ข้าพเจ้ารักษาศีลไม่เคยกินปลาด้วยกันตลอดชีวิต ด้วยความสัตย์นี้ขอท่านจงให้ฝนตกลงมาเถิด "

    แล้วกล่าวคาถาว่า

    " ปัชชุนนเทพ ท่านจงคำรณคำรามให้ฝนตกมา
    ทำลายขุมทรัพย์ของฝูงกา ทำฝูงกาให้ได้รับความเศร้าโศก
    และช่วยปลดเปลื้องข้าพเจ้าและหมู่ญาติ ให้พ้นจากความเศร้าโศกเถิด "

    ฝนห่าใหญ่จึงตกลงมาช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดพ้นจากความตายได้





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=Wga_Details cellSpacing=0 cellPadding=0 width="70%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width=7 height=21>[​IMG]</TD><TD class=WgaTitle align=middle>[​IMG]</TD><TD class=WgaTitle>นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า</TD><TD width=7 height=21>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=WgaIconCell vAlign=bottom bgColor=#fcf4b5>[​IMG]</TD><TD class=WgaIconCell width=20></TD><TD class=WgaGradient bgColor=#fcf4b5 rowSpan=2><TABLE cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>คุณของศีลสามารถช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่นให้รอดพ้นจากความตายได้</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=bottom bgColor=#ebcf70>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>* เรื่องที่ ๕ ในวรุณวรรค หน้า ๒๐๔-๒๑๐ พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒



    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=502 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม
    http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt132.php


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff background=../bg/_bg1.gif border=0><TBODY><TR><TD background=../pic_rec/m11.gif></TD><TD width=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=12 background=../pic_rec/m44.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=9 bgColor=#333333>[​IMG]</TD><TD bgColor=#333333><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR align=middle><TD>รัตนะ ๕ ประการ หาได้ยากในโลก.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top align=right width=9 bgColor=#333333>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=9 background=pic/b_line_left.gif>[​IMG]</TD><TD style="BACKGROUND-POSITION: right bottom; BACKGROUND-IMAGE: url(../bg/pagebg4.jpg); BACKGROUND-REPEAT: no-repeat"><TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]



    ๑.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ๒.บุคคลผู้แสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ๓.บุคคลผู้ได้ฟังธรรมที่ได้แสดงนั้นแล้ว เกิดความรู้แจ้ง

    ๔.บุคคลผู้ยังไม่รู้แจ้ง แต่ยังคงปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง

    ๕.บุคคลผู้มีความกตัญญูกตเวที


    ความปรากฏแห่งรัตนะ ๕ ประการนี้แล หาได้ยากในโลก.

    ***************************************

    พระพุทธองค์ ทรงบังเกิด เลิศในโลก

    เพื่อดับโศก ในมนุษย์ ที่ทุกข์เข็ญ

    ผู้รู้ธรรม นำแสดง ทางร่มเย็น

    ผู้ฟังเห็น แจ้งชัด อ้ศจรรย์

    ผู้ปฎิบัติ มุ่งขัดเกลา เผากิเลส

    ยอดวิเศษ ผู้รู้บุญ คุณเสกสรร

    การปรากฎ รัตนา ห้าอย่างนั้น

    ยากอนันต์ ในโลก พึงจดจาร ๛




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top align=right width=9 background=pic/b_line_right.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=9 background=pic/b_line_ver1.gif>[​IMG]</TD><TD background=pic/b_line_ver2.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=right width=9 background=pic/b_line_ver2.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=9 background=pic/b_line_left.gif>[​IMG]</TD><TD align=right>น้ำใส [DT05923] [ วันพุธ ที่ 7 พฤษภาคม 2551 เวลา 15:53 น. ]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    นำมาจาก

    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=1909
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>...ผู้ใหญ่สมัยก่อน ท่านฉลาด... <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    ญาติโยมบางคนเล่าให้ฟังอย่างเบิกบานเป็นสุขชัดเจนว่า
    ตั้งแต่เด็กท่านผู้เป็นบิดาบังคับให้ สวดอิติปิโส ก่อนลงบันไดเรือนทุกวัน
    คือก่อนจะออกจากบ้านไปไหนๆ รวมทั้งไปโรงเรียนด้วยนั่นเอง
    และถ้าบังเอิญผู้ใหญ่ท่านเห็นก่อนจะไป ก็จะถามว่าได้ สวดอิติปิโส ตามท่านสั่งแล้วหรือยัง
    ซึ่งบางครั้งก็ลืม เมื่อลืมก็จะต้องหยุดสวดก่อน แล้วจึงจะออกจากบ้านได้

    เช่นนี้ตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ ต้องทำตลอดมาจนติดเป็นนิสัย
    โดยที่ได้รับกำลังใจสำคัญจากท่านผู้เป็นบิดาว่า
    การสวดอิติปิโสจะคุ้มครองรักษาให้ปลอดภัยได้ทุกประการ

    เพราะการสวด อิติปิโส คือการอัญเชิญพระบารมีสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าปกป้องคุ้มครอง

    ท่านยืนยันหนักแน่นยิ่งนักสำหรับจิตใจเด็กว่า
    ไม่มีบารมีใดยิ่งใหญ่เท่าพระพุทธบารมี
    และเพราะบรรดาผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ สวดอิติปิโส ล้วนเป็นผู้อยู่ในวัยเด็ก
    ที่กำลังกลัวผีอย่างขึ้นสมอง ราวกับเคยถูกหลอกให้ตกอกตกใจมาแล้วฉะนั้น

    ทั้งๆ ที่มีความคุ้นเคยแต่คำว่าผีเท่านั้น รูปร่างหน้าตาหรือการหลอนหลอกของผีก็ต่างไม่เคยพบไม่เคยเห็นสักคน
    แต่ทุกคนก็กลัวกันจริง คำรับรองที่ว่าพระบารมีในสมเด็จพระบรมศาสดากันผีได้
    จึงมีความหมายที่สำคัญที่สุด สำหรับจิตใจเด็กทั้งหลาย

    นั่นก็คือสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงมีความสำคัญที่สุดในความรู้สึกนึกคิดของเด็กทั้งหลาย
    ที่ได้รับการอบรมอย่างถูกต้องแต่เด็ก
    ให้เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย

    สมัยนี้มีบุญน้อยไปตามกัน ผู้ใหญ่จึงไม่เห็นความสำคัญที่จะควรต้องอบรมบ่มจิตใจลูกหลาน
    ให้รู้จักสมเด็จพระบรมศาสดาหรือ พระพุทธโธ หรือ อิติปิโส ตั้งแต่เด็ก
    เพื่อใช้ชีวิตมีมงคลยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาบรรจุอยู่เต็ม
    ไม่เปิดโอกาสให้อัปมงคลนานาประการเข้าครองจิตครองใจได้

    เช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ อย่างเป็นที่รู้ที่เห็นกันอยู่ แต่อย่างไม่ตระหนกตกใจในภัยร้ายที่กำลังคุกคามชีวิตน้อยๆ
    ที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่อย่างเร้นลับแต่ผลร้ายจะน่าสพรึงกลัวยิ่งนัก
    เพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้งตามกาลเวลาที่ล่วงไป แน่นอน.


    : แสงส่องใจ มาฆบูชา ๒๕๔๗
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : คุณ I am...http://www.dhammajak.net</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    ก า ร รู้ ธ ร ร ม เ ห็ น ธ ร ร ม

    ส่วนมากเรามักจะเข้าใจกันว่า

    การรู้ธรรมเห็นธรรม

    คือต้องเห็นสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    เห็นโครงกระดูกแล้วรู้ว่า
    เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
    เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    เราไปหมายเอาหมวดใหญ่ที่ท่านเขียนเอาไว้ในคัมภีร์

    การตีความหมายอย่างนั้นก็ไม่ผิด
    เป็นการถูกต้องกับการรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติ
    ที่จิตมันจะรู้เองด้วยพลังของสติสัมปชัญญะ

    แต่เราจะไปรู้ในกฎเกณฑ์ที่ท่านวางไว้เป็นแบบฉบับเท่านั้นไม่ได้
    การรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติมันจะต้องรู้ขึ้นมาเอง
    เป็นกระท่อนกระแท่น
    ไม่ติดต่อสืบเนื่องกันเป็นเรื่องยืดยาว

    การรู้ธรรมเห็นธรรมขอกำหนดหมายอย่างนี้

    ๑. คือการรู้ว่าจิตของเราคืออะไร เห็นว่าจิตของเราคืออะไรเป็นเบื้องต้น
    ๒. เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์ก็รู้ว่าจิตสัมผัสรู้อารมณ์
    ๓. เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์แล้วมีอะไรเกิดขึ้น

    จิตของเรายินดีไหม จิตของเรายินร้ายไหม
    จิตของเราพอใจไหม หรือเกลียดในอารมณ์นั้น

    ในเมื่อรู้ว่ายินดีหรือยินร้ายเกลียดหรือชอบ
    ก็ดูต่อไปว่าความเกลียดและความชอบบังเกิดขึ้นภายในจิตเป็นอย่างไร

    ทำให้จิตร้อนหรือเย็น ทำให้จิตสุขหรือทุกข์
    ถ้าหากว่าจิตรู้สึกสุขก็ผ่านไป แต่ถ้าจิตของเรารู้สึกทุกข์
    ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นความร้อนภายในจิต
    เรารู้ความร้อนของจิตในเมื่อเรารู้ความร้อนของจิตแล้ว
    ความร้อนเป็นทุกข์ เราจะต้องถามหาเหตุว่าทุกข์นั้นเกิดมาจากอะไร

    ในเมื่อจิตรู้ว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาจากอำนาจของโลภะ
    เกิดมาจากอำนาจของโทสะ เกิดมาจากอำนาจของโมหะ
    จิตมันก็จะยอมรับว่าไฟ คือ โลภะ โทสะ โมหะ
    เป็นอันว่าจิตรู้ธรรมเห็นธรรม คือเห็นทุกข์ในจิต เห็นสุขในจิต

    ในเมื่อจิตเห็นทุกข์คือจิตร้อน

    เพราะไฟโลภะ โทสะ โมหะ
    ผู้ปฏิบัติควรจะทำอย่างไร
    เราจะไล่ความร้อนของไฟโลภะ โทสะ โมหะ
    ให้หายไปอย่างนั้นหรือ

    เราไม่มีทางจะไปตั้งใจไล่
    เพราะจิตของเราเกิดความชินชาต่อการปรุงกิเลส
    ให้เกิดไฟโลภะ โมหะ โทสะ

    แล้วถ้าไม่มีทางที่จะขับไล่
    ไม่มีทางที่จะละ เราจะทำอย่างไร

    เราก็ทำสติกำหนดรู้ คือรู้ว่ามันเป็นไฟโลภะ โทสะ โมหะ
    รู้ว่าฤทธิ์ของโลภะ โทสะ โมหะ มันทำจิตให้ร้อน
    ให้ดูความร้อนที่มีอยู่ในจิต ดูความเย็นที่มีอยู่ในจิต

    จนกระทั่งจิตรู้ซึ้งเห็นจริงลงไป
    แล้วจิตยอมรับความเป็นจริงว่า

    ฤทธิ์ของโลภะ โทสะ โมหะนี้เป็นไฟเผาให้ร้อน มันร้อนอย่างนี้หนอ

    เมื่อจิตยอมรับความจริงแล้วก็เกิดความเข็ดหลาบในตัวของมันเอง
    ภายหลังมันก็จะไม่สร้างเหตุเดือดร้อนให้เกิดขึ้นมาอีก

    เปรียบเหมือนคนเรา ที่เราว่าถ่านไฟมันร้อน
    เมื่อมีใครนำถ่านไฟร้อนมาวางไว้ตรงหน้าเรา
    แล้วบอกกับเราว่า ดูซิ ถ่านไฟนี้มันสวย ดูซิมันเย็น
    แต่เรารู้แล้วว่าถ่านไฟนี้มันร้อน เราก็จะไม่ไปจับถ่านไฟนั้น

    ในทำนองเดียวกัน

    ในเมื่อจิตมันรู้ฤทธิ์ของโลภะ โทสะ โมหะ อย่างแท้จริงแล้ว
    ยอมรับสภาพความเป็นจริงแล้ว
    มันก็จะไม่ก่อเรื่องให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาอีก

    มีแต่ค่อยพิจารณาปลดเปลื้องโลภะ โทสะ โมหะ
    ของเก่าที่มีอยู่ให้ลดน้อยลง เบาบางลงไป

    การปฏิบัติธรรมสำคัญอยู่ที่การทำจิตให้มีสิ่งรู้
    ทำสติให้มีสิ่งระลึก

    การภาวนาพุทโธก็ทำพุทโธให้เป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ

    การภาวนายุบหนอ-พองหนอ
    ก็ทำยุบหนอ-พองหนอให้เป็นสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ

    การภาวนาสัมมาอรหัง
    ก็ทำสัมมาอรหังเป็นสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ

    ทั้งหลายเหล่านี้ หรืออย่างอื่นๆก็ตาม
    ใครภาวนาแล้ว เมื่อจิตเป็นสมาธิ
    ก็ต้องทำจิตให้เป็นวิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตาเหมือนกัน

    สมาธิเป็นสัจธรรม เป็นของจริง

    ในเมื่อสัจธรรมของจริงคือสมาธิมีอยู่
    ใครจะรู้แตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายอย่าไปยึดมั่นอยู่เพียงวิธีการเท่านั้น

    ขอให้ทุกท่านพิจารณาดูความจริงที่จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา
    ในขณะที่เราภาวนา สมาธินี้เป็นของจริง

    ใครจะภาวนาแบบไหน อย่างไร
    จะเกิดมีแนวโน้มเป็นอย่างเดียวกันทั้งหมด

    และขอเตือนไว้อีกอย่างหนึ่งว่า

    การรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ก็ดี
    สิ่งที่เราเห็นในระหว่างจิตมีสมาธิ สงบ สว่าง
    เราเห็นนิมิตต่างๆ เกิดอุทานธรรมขึ้นมาก็ดี

    สิ่งนั้นเป็นเพียงสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ
    เมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วให้เราทำสติไว้ให้ดี.

    ที่มา : http://mahamakuta.inet.co.th/practice/mk727.html
    ที่มา : คุณกุหลาบสีชา...http://www.dhammajak.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...