ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อภิญญาสมาบัติ ทิพย์แห่งจิต หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    [​IMG]

    ๑.
    พระโพธิสัตว์ - หน่อพุทธภูมิ - การแบ่งภาค

    เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ วันหนึ่ง ขณะที่ผู้เขียนกำลังนั่งคุยกับหลวงปู่ ท่านได้ถามผู้เขียนว่า "เคยได้ยินเรื่องการแบ่งภาคไหม" ผู้เขียนเรียนตอบท่านว่า "เคยครับ ในเรื่องรามเกียรติ์ พระรามแบ่งภาคมาจากพระนารายณ์ มีจริงหรือครับหลวงปู่" หลวงปู่ท่านนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งแล้วตอบว่า "มีจริงเหมือนกัน อย่างหลวงปู่ทวดแบ่งภาคมาเกิดไงละ" เกี่ยวกับเรื่องนี้ เคยมีนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียนถามหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ตอบว่า "มี...แต่ทำได้ในพวกหน่อพุทธภูมิ" หลวงปู่ท่านเคยบอกผู้เขียนว่า "แกรู้ไหมว่าในหลวงท่านเป็นใคร ท่านคือผู้ปรารถนาพุทธภูมิ กำลังใจของท่านพวกนี้จะต้องเป็นผู้นำหมู่คณะ ดูอย่างวัวยังมีจ่าฝูง นกก็ต้องมีหัวหน้าฝูง วัดก็ต้องมีเจ้าอาวาส อย่างหลวงพ่อใหญ่ (พระโบราณคณิสร อดีตเจ้าอาวาสวัดสะแก) แต่หน่อพุทธภูมิที่มีบารมีเต็มแล้ว สูงแล้ว เขามักจะไม่เป็นกษัตริย์ เพราะจะมีภาระหนักหน่วง ส่วนใหญ่เขามักเป็นคนธรรมดาแล้วบวชพระ แต่จะบำเพ็ญบารมีจนในที่สุดจะกระเทือนถึงพระราชวงศ์เอง พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ท่านมีบุญมาก และเป็นแบบอย่างให้ข้าราชการผู้ใหญ่ทำตาม"


    ผู้เขียนจึงเรียนถามท่านต่อไปว่า "หลวงปู่ครับ หน่อพุทธภูมิที่บารมีเต็มแล้ว ท่านก็ไม่ต้องมาเกิดแล้วใช่ไหม รอการตรัสรู้เลยที่ชั้นดุสิต หรืออย่างหลวงปู่ก็ไม่ต้องมาเกิดแล้วใช่ไหมครับ" หลวงปู่ตอบว่า "กำลังของพุทธภูมิมีหน้าที่ที่จะทำให้มหาชนมีความสุข ถ้ามีคนเรียกร้องหรือบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญก็ต้องลงมาช่วย จะคิดเอาแต่สบายได้ยังไง นั่นไม่ใช่ความคิดของหน่อพุทธภูมิ อย่างนี้พระอรหันต์สำเร็จแล้ว ท่านก็ไม่ต้องยุ่งกับใคร ไม่ต้องทำอะไรแล้วสิ" หลวงปู่ท่านตอบคำถามของผู้เขียนเสร็จแล้ว ท่านปรารภถึงการจัดการเรื่องศพของท่านต่อไปว่า "ถ้าข้าตายแล้วอย่าเก็บศพไว้นาน เจ็ดวันเผาเลย ไม่เผาก็โยนทิ้ง เดี๋ยวจะกลายเป็นหากินกับศพ"​

    ผู้เขียนได้แย้งท่านว่า "กลัววัดจะร้าง" หลวงปู่ท่านตอบว่า "เรื่องเผาไม่เผา ต้องแล้วแต่คำสั่ง ดูอย่างหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านสั่งไม่ให้เผา เพราะกลัวพระเณรจะอดอยาก แต่สำหรับข้าให้เผา เวลาจะเผาให้เผายืน ข้าจะได้ไปไหนได้" ผู้เขียนจึงถามท่านว่า "หลวงปู่ไม่ไปนิพพานหรือ" ท่านตอบว่า "จะไปได้อย่างไร คนนี้ก็เรียก คนนั้นก็ร้อง ข้าไปแค่หัวตะพานก็พอ ดูอย่างหลวงปู่ทวดซิ มีคนเรียกร้องท่านมากมาย บารมีท่านเต็มท้องฟ้า อย่างข้าเอง คนไหนคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเขา คนไหนไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเขา เพราะในวันหนึ่งๆ ข้าต้องอธิษฐานไปให้หมู่คณะทุกวันไม่เคยขาด วันละ ๓ ครั้ง เขาจะได้ไม่เป็นอันตรายทั้งเช้ามืด ตอนเย็น ตอนกลางคืน ก่อนนอน เพื่อเป็นการช่วยเหลือหมู่คณะ"

    ผู้เขียนฟังจบ พร้อมกับสำนึกในเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อลูกศิษย์อย่างมาก หลวงปู่ท่านได้ย้ำด้วยความเมตตาต่อไปอีกว่า "คิดถึงพระครั้งหนึ่ง บารมีพระมาถึงเราไปกลับ ๗ เที่ยว รวมแล้ว ๑๔ ครั้ง ได้กำไรดีไหมล่ะ นี่มีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ ถ้าเราคิดถึงพระได้เหมือนกับคิดถึงแฟนเมื่อไหร่ แสดงว่าจะดีแล้ว"

    ในเรื่องการแบ่งภาค ตามความเห็นของผู้เขียนเข้าใจว่า ท่านลงมาเกิดทั้งองค์ คงจะไม่ใช่เป็นการแบ่งจิตมาเกิด เนื่องจากหน่อพุทธภูมิที่มีบารมีสูงแล้ว ท่านจะมีพลังจิตสามารถตั้งพุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิตได้ ซึ่งรวมเรียกว่าเป็นพลังงานหรือบารมีธรรมที่ท่านสร้างมา ซึ่งหลวงปู่เรียกรวมว่า "ภูตพระเจ้า" นั่นเอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นบารมีที่คอยติดตาม รักษาคุ้มครองไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางของศาสนา จวบจนกระทั่งท่านได้ปฏิบัติธรรมไปถึงจุดหนึ่ง ทำให้ท่านได้รู้ถึงอดีตที่เคยทำมา ซึ่งตรงกับมงคล ๓๘ ในข้อที่ว่า "ปุพเพจะกตะ ปุญญะตา" บุญที่เคยทำมาแต่ก่อนนั้นเป็นมงคล ดังนั้น ผู้ที่สนใจทางศาสนาได้ จึงถือว่ามีบุญแต่เก่าก่อน มาค้ำชูอุดหนุน บางคนเคยเป็นโจร เมื่อถึงเวลาผลบุญเก่าเข้ามาเสริม ก็สามารถพลิกจิตให้เกิดปัญญาได้ อาทิเช่น พระองคุลีมาล เป็นต้น​

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้เคยอธิบายถึงท่านที่ได้พระโสดาบัน เมื่อมาเกิดใหม่ ไม่ใช่จะรู้ว่าตนเองเป็นพระอริยบุคคลเลยทีเดียว แต่ต้องมาปฏิบัติธรรมอีกระยะหนึ่ง จึงจะรู้อดีตได้ ซึ่งในหน่อพุทธภูมิก็คงเช่นเดียวกัน หลวงพ่อมหาวีระ ท่านเคยกล่าวถึงหน่อพุทธภูมิที่มีบารมีเต็มขั้น ซึ่งเป็นปรมัตถบารมี จึงจะไม่ตกนรกอีก เสมือนพระโสดาบัน ซึ่งไม่ตกไปสู่อบายภูมิอย่างแน่นอน พระบางองค์อาจบรรลุอรหัตตผล โดยไม่ผ่านขั้นตอนโสดาสกิทาและอนาคามีผล ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่าเป็นไปได้ ๒ กรณีคือ กรณีที่ ๑ พระองค์นี้เคยเป็นพระโสดาบันมาแล้วในอดีต กรณีที่ ๒ คือ พระองค์นั้นบรรลุอรหัตตผลโดยฉับพลันทันทีตลอดสายเช่น การบรรลุอรหัตตผลของพระสีวลี เริ่มตั้งแต่เป็นเณรได้เป็นพระโสดาบัน เมื่อท่านมาบวชเป็นพระ ในขณะที่ปลงผมจนกระทั่งเป็นพระเรียบร้อย ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที​

    หน่อพุทธภูมิที่มีการสร้างบารมีถึง ๓๐ ทัศน์ มีอยู่อย่างหนึ่งคือ ปัญญาบารมีขั้นปรมัตถ์ จึงทำให้ท่านไม่ต้องไปอบายภูมิ เพราะท่านล่วงรู้ถึงสัจจะธรรมต่างๆ ทำให้ไม่หลงตน ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามหลวงปู่โดยอ้างพระไตรปิฎก ซึ่งได้กล่าวถึงบุญที่ถวายทานกับพระอริยะขั้นต่างๆ กำลังบุญไม่เสมอกัน แต่ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึงหน่อพุทธภูมิ หลวงปู่ท่านได้ตอบผู้เขียนว่า "หน่อพุทธภูมิ ถ้าเปรียบไปแล้ว ก็คือ พระอนาคามี เพราะกำลังจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แต่จัดเป็นพระอนาคามีชั้นพิเศษ คือเหมือนกันแต่ท่านยังไม่เอา หลวงปู่ท่านจึงยังไม่สอนใครถึงนิพพาน เพราะถึงไม่ใช่กิจของท่าน แต่ท่านรู้ทั้งนั้น บารมีทั้ง ๑๖ อสงไขย ไม่รู้ได้อย่างไร หลวงปู่ทวด จิตท่านยังมีจุดดำอยู่ แกว่าจริงไหม" ผู้เขียนตอบว่า "ถ้าไม่มีท่านก็สำเร็จแล้วซิครับ แต่จุดดำนั้นเป็นจุดของความเมตตา ที่ท่านจะโปรดสัตว์ เพื่อจะให้สมกับคำว่า ศรีอริยเมตไตรย ดังนั้น จุดดำนี้ผมถือว่า มีค่าน้อยมากตัดทิ้งไปได้เลย" หลวงปู่ท่านพยักหน้ายิ้มรับ และทำให้ผู้เขียนเข้าใจถึงพระธาตุหลวงปู่ทวด ที่ท่านเสด็จมาเอง สัณฐานค่อนข้างกลม สีน้ำตาลดำ หลวงปู่ท่านบอกว่า คือพระธาตุหลวงปู่ทวด ซึ่งถ้าเราอ่านตามพระไตรปิฎก พระธาตุจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น ไม่มีการกล่าวถึงพระธาตุจากหน่อพุทธภูมิเลย เพราะท่านก็เปรียบเสมือนพระผู้บริสุทธิ์ การซักฟอกธาตุขันธ์จึงย่อมเป็นไปได้ ทำให้เข้าใจถึงฟันและเกศาของหลวงปู่ที่เป็นพระธาตุเช่นกัน ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อมหาวีระ ที่กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีสูง พระอรหันต์ยังให้ความเคารพ เมื่อผู้เขียนกราบเรียนถามหลวงปู่ ท่านตอบว่า "คงจะจริง ดูอย่างหลวงปู่ทวดนั่นไง เวลาปลุกเสกพระ พระโดยมากก็ร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน"​

    หลวงปู่ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังในวันหนึ่ง ถึงหมอจีนที่มารักษาท่าน โดยการจับชีพจรเพื่อตรวจอาการโรคหรือที่เรียกว่า หมอแมะ หมอบอกว่า หลวงปู่มีพระเต็มไปหมดทั้งตัว ท่านถามเหตุผลกับผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนพิจารณาแล้วนึกถึงเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ชนิดหนึ่ง ใช้วัดการเต้นของชีพจร ถ้าเป็นผู้มีสมาธิดี การเต้นของชีพจรจะราบเรียบ การใช้ออกซิเจนจะน้อย แต่ในกรณีหลวงปู่ หมอใช้วิทยาการทางจิตตรวจสอบพบว่า การเต้นของชีพจรราบเรียบ ทั้งๆ ที่หลวงปู่นั่งอยู่ในอิริยาบทกำลังคุย คือไม่ได้นั่งสมาธิ นั่นแสดงว่า จิตของท่านเป็นสมาธิตลอดเวลา หรือจิตไม่มีความคิดปรุงแต่ง ทางหนังจีนกำลังภายในเรียกว่า ท่าไร้อารมณ์ ลักษณะเช่นนี้ เข้าลักษณะทางพุทธ คือ อารมณ์ของพระอรหันต์ เป็นลักษณะของผู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติจิตขั้นสูง ทำให้นึกถึงหลวงปู่ปาน ที่กล่าวไว้ในประวัติของท่าน ในขณะที่ท่านกำลังคุยกับญาติโยม แต่อีกจิตหนึ่งสามารถเสกน้ำมนต์ไปพร้อมกัน หรือผู้เขียนประสบมาด้วยตัวเองกับหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ในขณะที่ท่านนั่งคุยกับผู้เขียนและญาติโยมอยู่นั้น ท่านก็ได้จุดเทียนไว้บนขันน้ำ สักพักหนึ่งก็ได้น้ำมนต์มาพรมให้กับญาติโยมและผู้เขียน โดยท่านไม่ได้นั่งอธิษฐานจิตเลย แม้แต่หลวงปู่เอง ท่านก็ได้ทำอยู่บ่อยๆ เมื่อมีญาติโยมมานิมนต์ท่านไปร่วมพิธีต่างๆ ตั้งแต่พิธีปลุกเสกพระ งานทำบุญบ้าน ฯลฯ​

    เพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งเรียนถามหลวงปู่ว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ไหนบารมีสูง หลวงปู่มองหน้าผู้เขียนแล้วตอบยิ้มๆ ว่า "อย่างเช่น ท่านนั่งอยู่ที่หนึ่ง แต่อธิษฐานจิตไปช่วยเหลือ ไปได้อีกที่หนึ่ง" เพื่อนของผู้เขียนฟังแล้วรู้สึกงงๆ แต่ผู้เขียนเข้าใจทันที เพราะกำลังพูดคุยอยู่กับท่านพอดี เกี่ยวกับท่านอธิษฐานจิตไปช่วยเหลือในการสร้างรูปหล่อของหลวงปู่ที่กรุงเทพฯ โดยท่านบอกผู้เขียนว่า "ทำมาหลายวันแล้ว อธิษฐานให้หลวงพ่อทวดไปช่วยเหลือ ให้พระไปช่วย เรามีกิจมาก เดี๋ยวลืมจะทำให้เสียงานได้"

    เกี่ยวกับเรื่องความปรารถนาของหลวงปู่ ผู้เขียนสรุปได้เลยว่า ท่านปรารถนาพุทธภูมิอย่างแน่นอน ผู้เขียนเคยคุยกับลูกศิษย์ของหลวงปู่หลายคน มีคนหนึ่งชื่อ "เช็ง" อยู่วัดสะแก ได้กล่าวถึงหลวงปู่ว่า "หลวงลุงท่านปรารถนาพุทธภูมิ ไม่อย่างนั้น ท่านไม่มานั่งหลังขดหลังแข็งรับญาติโยมอยู่หรอก" มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์หลวงปู่ชื่อ "ปราณี" ได้ถามหลวงปู่เรื่องการไปนิพพานของหลวงปู่ หลวงปู่ตอบว่า "เรื่องอะไรข้าจะไปนิพพาน ข้าหวังเป็นนายร้อย ไม่ใช่หวังเป็นนายสิบ คนอย่างข้าต้องหักยอดฉัตร จึงสมใจ" ซึ่งเป็นการกล่าวจากปากท่านเอง สำหรับผู้เขียนนั้น ท่านบอกความปรารถนานี้เช่นกัน และท่านยังบอกผู้เขียนอีกว่า "เขาว่ากันว่า ข้าจะสำเร็จระหว่างต้นไม้หนึ่งคู่ ข้าเองยังไม่รู้เมื่อไร" ในตอนนั้น ผู้เขียนยังไม่แน่ใจ ได้แต่มองต้นไม้ในวัดสะแกว่าจะเป็นต้นไหน แต่ก็ไม่มี มาตอนหลังจึงเข้าใจในคำพูดของท่าน จนกระทั่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี ท่านมาเยี่ยม เมื่อคราวที่หลวงปู่ไม่สบายก่อนมรณภาพ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่หลวงปู่บุดดาจะกลับ ท่านได้พูดกับหลวงปู่ดู่ว่า "วันนี้ผมนำมงกุฎพระพุทธเจ้ามามอบให้คุณ นิมนต์อยู่ต่อเถิด ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ที่คุณปรารถนานั้นน่ะ สำเร็จแน่ ต่อไปคุณจะได้เป็นพระพุทธเจ้า" หลวงปู่บุดดาก็ลากลับ ในวันนั้น ผู้ได้ยินหลายคน ลูกศิษย์คนหนึ่งได้เรียนถามหลวงปู่ ถึงความหมายที่หลวงปู่บุดดาพูด ท่านตอบว่า "พระอรหันต์ให้พร เราก็รับไว้ไม่เสียหายอะไร"

    ผู้เขียนเคยปรารภกับหมู่คณะหลายๆ ท่าน ถึงความโชคดีที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับพระผู้บริสุทธิ์ และมีเมตตาจนเรากล่าวคำนมัสการได้สนิทใจว่า​

    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ สัมมาสัมพุทโธ อนาคตกาเล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    [​IMG]
    กรรมฐานที่หลวงปู่ดู่ท่านสอน

    ให้ท่านกล่าว นะโม ขึ้นมา ๓ ครั้งดังนี้
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง)

    ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบนมัสการนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่จะเกิดขึ้น
    ข้าพเจ้าขอระลึกถึงพระปัญญาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว ทำให้จิตของพระพุทธองค์เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์แจ่มใส
    เรียกว่า พระบริสุทธิคุณ
    และเมื่อพระองค์มีพระบริสุทธิคุณ และมีพระปัญญาธิคุณแล้ว
    ก็มิได้นิ่งนอนใจ หวังเพียงเพื่อที่จะช่วยให้สัตว์โลกทั้งหลาย
    ที่กำลังระทมไปด้วยความทุกข์ได้พ้นทุกข์
    ซึ่งมีวิธีการที่จะทำให้จิตของตนเองนั้น เกิดความสว่างจากความดี จากคุณธรรม
    เป็นพระคุณในข้อที่ ๓ อันนี้เรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ
    ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมรับ ระลึกถึงพระคุณ
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้...

    พุทธัง ชีวิตัง เมปูเชมิ
    ธัมมัง ชีวิตัง เมปูเชมิ
    สังฆัง ชีวิตัง เมปูเชมิ

    ข้าพเจ้าขอเอาชีวิตจิตใจ ร่างกาย ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    ในบางครั้งที่เราทำสมาธิ เราอาจจะไม่มีดอกไม้ธูปเทียน
    เราก็ใช้วิธีเอาชีวิต จิตใจ ถวายเป็พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    เพราะว่าพระพุทธองค์ พระธรรม พระสงฆ์
    จะเป็นผู้ชุบชีวิต ทำจิตของเราจากการที่เป็นผู้ที่มีสันดานบาปหยาบช้า
    เป็นปุถุชน ให้เป็นสาธุชนหรือกัลยาณชน ในที่สุดจนเป็นพระอริยบุคคล
    เนื่องจากว่า ในระพุทธศาสนานั้น ไม่ได้สอนเพียงให้ทำดี และละความชั่ว
    แต่มีขั้นตอนอีกอย่างหนึ่งคือ วิธีการทำจิตให้บริสุทธิ์
    เมื่อจิตที่บริสุทธิ์แจ่มใสแล้ว จะเป็นจิตที่เป็นเหมือนพระอริยะ
    จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาเอกของโลก
    เนื่องจากพระพุทธองค์ ทรงค้นพบสัจจะธรรม
    ทรงพบทุกข์ - เหตุของทุกข์ - วิธีการดับทุกข์ และผลที่ได้รับจากการดับทุกข์

    หลังจากนั้น ให้ตั้งใจสมาทานศีล
    เนื่องจากว่าในวันหนึ่งๆ นั้น เราอาจจะไปทำผิดศีลข้อหนึ่งข้อใด
    การสมาทานศีลจะป็นการทำจิตให้พร้อม
    เพราะเมื่อสมาทานศีลแล้ว จิตของเราก็จะบริบูรณ์
    โดยให้ระลึกนึกถึงดังนี้

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ทุติยัมปิพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิสังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ตะติยัมปิพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิสังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
    ว่าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ทั้งครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓
    การที่เราได้กล่าวไตรสรณคมน์นี้ ก็เป็นการประกาศตนเองเป็นพุทธมามกะ
    เมื่อประกาศตนเป็นพุทธมามกะได้ ก็จะต้องมีศีล
    โยเฉพาะศีลของฆราวาส หรือศีลของปุถุชนทั่วไป คือ ศีล ๕
    ศีลแปลว่า ความปกติ จะเป็นปกติได้ก็อยู่ที่กฎเกณฑ์ของสังคม
    พระพุทธเจ้าทรงมองสังคมว่า ถ้าไม่มีการล่วงละเมิดศีลทั้ง ๕ ข้อนี้
    สังคมนั้น ก็จะเป็นสังคมที่สงบ
    เนื่องจากว่า ถ้าคนทุกรูป ทุกนาม ถือศีล รักษาศีล
    ศีลก็จะรักษาตัวเรา และรักษาสังคม

    หลังจากนั้น ให้พึงกำหนดจิต
    กล่าวอาราธนาบารมีพระ

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะะหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง)

    พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ
    ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ
    สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ

    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (๓ ครั้ง)
    นะโม พรหมปัญโญ (๓ ครั้ง)

    ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ขออารธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
    ทั้งแสนโกฎิจักรวาล พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทั้งแสนโกฎิจักรวาล
    พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    บารมีหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
    บารมีของหลวงพ่อดู่ วัดสะแก
    ขอได้โปรดได้ควบคุมการปฏิบัติสมาธิของข้าพเจ้า
    ให้มีจิตใจที่สะอาด ให้มีจิตใจที่สว่าง และมีจิตใจที่สงบด้วยเทอญ

    ลำดับต่อไปให้นึกถึง ความผิดที่เราได้เคยกระทำมา
    ด้วยกาย วาจา ใจ หรืการประมาทพลาดพลั้งในพระรัตนตรัย
    คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ซึ่งการกระทำของเราจะเป็นไปด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม
    เราตั้งใจที่จะขอขมาโทษ เพราะว่ากรรมที่ได้ประมาทในพระรัตนตรัยนั้น
    จะทำให้จิตของเราเนิ่นช้าต่อคุณธรรมที่ควรจะได้
    จงดำริขึ้นในใจว่า

    โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    ทำจิตของเรานึกถึงบารมีของ หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่
    ทำจิตของเรานึกถึงบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    รวมทั้งบุญที่เราเคยทำมาตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบัน และในขณะนี้
    แผ่เมตตาไปโดยไม่มีประมาณไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายว่า

    พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโยโหตุ

    การที่เราจะทำสมาธิต่อไปนั้น ให้นั่งเอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย
    มือขวาวางไว้บนมือซ้าย มือขวากำพระไว้ในมือ
    กำพระไว้ในอุ้งมือโดยให้หัวแม่มือชนกัน
    ตั้งกายให้ตรง ทำกายให้ตรงไม่ต้องยืดหรือเกร็งตัวจนเกินไป
    นั่งให้สบายๆ เสร็จแล้วนำความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดมาวางไว้ที่ตรงหน้าผาก
    เหมือนเราคิดอะไรในใจ ความคิดอะไรวางไว้ตรงนั้น
    ซึ่งหน้าผากนี้ จะเป็นฐานหนึ่งของลมหายใจเช่นกัน
    (ตรงนี้มีจุดที่ควรระวังคือแค่กำหนดแบบแตะไว้เฉยๆเท่านั้นไม่ต้องเพ่ง
    ถ้าเพ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียได้;ผู้เรียบเรียง)

    ไม่ต้องนึกถึงลมหายใจเข้าออก
    เพราะลมหายใจเป็นของที่ละเอียด แต่จิตของเราจะเป็นของที่หยาบ
    ของที่หยาบจะไปจับของที่ละเอียดนั้น เป็นไปได้ยาก
    อันแรกเราก็ำหนดฐานของลมหายใจไว้ตรงที่กลางหน้าผาก
    แล้วบริกรรมในใจว่า

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ


    การบริกรรมนี้ก็ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบไม่ต้องร้อน
    ไม่ต้องเร่ง ทำใจให้สบายๆ
    ทีนี้ บางครั้งก่อนที่เราจะบริกรรมนั้น เราอาจจะสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
    เพื่อเป็นการปรับอารมณ์ ให้จิตของเราสบาย
    โปรดจำไว้อย่างหนึ่งว่า ให้ปฏิบัติหรือให้ทำอย่างสบายๆ
    อย่าไปเคร่งเครียด อย่าไปเร่งรัด
    เพราะจะทำให้ไม่ได้อะไรขึ้นมา
    ให้ทำใจเราให้ยึดอยู่แต่คำภาวนา

    หน้าที่ของเราก็คือ การบริกรรมนี้ เขาเรียกว่า การทำงานของจิต
    เนื่องจากว่าจิตของคนเรานั้นจะสนองทันทีในการคิด วุ่นวาย สับสน ปรุงแต่ง
    เมื่อมีการปรุงแต่งแล้ว จิตของเราก็จะหาความสงบไม่ได้
    เมื่อจิตหาความสงบไม่ได้ ก็เป็นจิตที่วุ่นวายสับสน
    เมื่อจิตวุ่นวายสับสน ก็หความสุขไม่ได้
    ดังพุทธภาษิตของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า

    นัตถิ สันติปะรัง สุขัง
    สุขยิ่งกว่าความสงบไม่มี

    การที่เราได้มาบำเพ็ญสมาธิ ได้ชื่อว่า เรากำลังทำให้จิตได้ทำงาน
    เพื่อให้เกิดความสงบ
    เพราะจิตที่สงบเท่านั้นจึงจะเป็นการพักจิต ฟอกจิต
    คนเราทุกวันนี้ อาบน้ำชำระร่างกายวันละ ๓ เวลา
    แต่ว่าไม่ได้ฟอกจิตของตัวเองเลย
    เรารับประทานอาหารวันละหลายมื้อ แต่ว่าเราไม่ได้ให้อาหารแก่จิตเลย
    เมื่อจิตซึ่งปราศจากความสงบ ความสมบูรณ์พูนสุขเข้าไปสะสมอยู่ในตัว
    จิตนั้นจะไปเกิดเป็น อาสวะ เป็นกิเลสซึ่งหมักหมม
    พอหมักหมมแล้วก็จะเกิดเป็นพิษต่อเจ้าของ
    เขาเหล่านั้นจะหาหนทาง หรือหาตัวเองไม่พบ
    เนื่องจากว่า ไม่ได้เข้ามาสู่การปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา
    เพราะการปฏิบัติภาวนาเป็นวิถีทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลายได้ดำเนินมา
    เราซึ่งได้ชื่อว่า เป็นลูกหลานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ก็ควรกะทำตาม ประพฤติยึดแนวตามที่เรากล่าวกันว่าเรานับถือ
    บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น

    การนับถือบูชาคือการยอมรับและนำมาปฏิบัติตาม
    พระพุทธองค์ทรงสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ก็ด้วยวิถีแห่งการบำเพ็ญสมาธิ

    เพราะเมื่อจิตสงบแล้ว ก็จะเกิดกำลังของจิตขึ้น
    เมื่อเราวิเคราะห์ไตร่ตรองได้แล้ว
    เราก็มีปัญญารู้ตามว่า สิ่งนั้นผิด สิ่งนั้นถูกโดยจิตใจของเราเอง
    หรือเรียกว่า เป็นคนที่รู้จริง ไม่ได้รู้ตามทฤษฎี
    คนที่รู้ตามทฤษฎีนั้น โอกาสที่จะทำจิตใจของตนเอง
    เพื่อที่จะค้นคว้าเข้าไปหาจิตของตนเองนั้นเป็นไปได้ยาก
    การที่เราบำเพ็ญภาวนาและกล่าวไตรสรณคมน์นั้น
    เมื่อจิตของเรายังไม่สงบนิ่ง
    ก็ให้กำหนดให้จิตเห็นเป็นตัวหนังสือปรากฎขึ้นในห้วงใจของเรา
    ที่จิตของเรา เหมือนกับเรากำลังเขียนหนังสือลงบนกระดานดำ
    หรือเขียนหนังสือฉายลงบนจอภาพ
    พอเราภาวนาว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ก็ให้เขียนเป็นตัวหนังสือไปตามนั้นทั้ง ๓ อย่าง
    พอจิตของเราชำนาญก็จะทำได้ดี
    เนื่องจากว่าเราใช้จิตของเราทำงานถึง ๒ อย่างคือ


    ๑. การบริกรรมในใจ
    ๒. การกำหนดตัวหนังสือ หรือการกำหนดกสิณ

    เมื่อจิตมีงานทำทั้ง ๒ อย่าง
    การที่จิตจะส่ายก็จะลดน้อยลง
    จิตก็จะมุ่งมั่นอยู่กับการภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
    ภาวนาไปเรื่อยๆ อย่างที่บอก ไม่ต้องรีบ
    ให้ถือ มัชฌิมา ปฏิปทา
    คือว่าในตอนแรกๆ ไม่ต้องนั่งนาน ทั้งนี้ เพราะจิตยังไม่คุ้นเคย
    ก็จะเกิดทุกขเวทนาขึ้นมา คือการปวดเมื่อยตามร่างกาย
    แรกๆ เราก็อย่าไปฝืนนั่ง
    พอจิตของเราเริ่มมีกำลังขึ้น เราก็ค่อยๆ เพิ่มทีละนิดๆ
    เพื่อให้จิตคุ้นอยู่กับคำภาวนา เมื่อจิตสงบแล้วมันจะมีตัวชี้
    ความสงบนั้นแสดงผลอยู่ที่ใจ
    คือ ใจหรือจิตของเราจะไม่ฟุ้งซ่าน
    จะมีความสบายกาย เบาเนื้อ เบาตัว เบาจิต เบาใจ
    เนื่องจาก จิตกับกายกำลังแยกออกจากกัน

    การที่จิตกับกายเริ่มแยกออกจากกันนั้น
    เกิดจากจิตที่เป็นสมาธิในขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียดเป็นลำดับๆ
    ไม่มีวิธีการใดเลย ในทางพระพุทธศาสนา ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าการบำเพ็ญสมาธิ
    เพราะเมื่อมีสมาธิแล้ว สิ่งที่ติดตามมาก็คือ ปัญญา
    เราจึงมีปัญญาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากว่าเราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
    ในขณะที่เราไม่ได้บำเพ็ญสมาธิ เข้ามาอยู่ในสายตาของเรา
    เข้ามาอยู่ในอารมณ์ของเราอยู่ตลอด
    เมื่อจิตของเราได้รับการทำสมาธิแล้ว จิตมีกำลังแล้ว
    ก็เริ่มที่จะพิจารณาความเป็นจริง
    ความเป็นจริงที่แสดงออก เมื่อแสดงออกมาแล้ว เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้น
    อันนี้คือ วิถีทางหรือกระบวนการที่ทำให้จิตเกิดวิปัสสนา
    วิปัสสนาคือการพิจารณาจนเกิดปัญญา

    (จิตมีสมาธิก็สามารถเริ่มการเจริญวิปัสสนาโดยวิธีคือมีสติ สัมปชัญญะรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริงที่กำลังปรากฏในปัจจุบันด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง (คือรู้ตามความเป็นจริงในร่างกายจิตใจของเราเองซึ่ง ฐานทั้ง4 แบ่งได้ 4 หมวดใหญ่ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม;ผู้เรียบเรียง))

    ปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมที่จะไปคุมศีล หรือคุมสมาธิ
    คือว่าเราจะรักษาศีล ทำสมาธิโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ
    เพราะปัญญาเราเริ่มจะรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่า
    สิ่งเหล่านั้นเป็นคุณ เหมือนกับเราต้องรับประทานอาหาร หรือเราต้องหายใจ
    พอสิ่งเหล่านี้เป็นคุณ เราก็ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งจะประจำตัวของเรา

    การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาพบพระพุทธศาสนา
    และได้มาปฏิบัติธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ยากเย็นมาก
    เพราะบารมีของผู้ที่จะมาศึกษา มาปฏิบติภาวนานั้น
    เป็นบารมีขั้นสุดท้ายในการที่จะตัดภพ ตัดชาติ
    การที่จะตัดภพตัดชาติได้ บารมีของท่านผู้นั้นจะต้องเข้มข้น
    จึงสามารถจะตัดสินได้เลยว่า บุคคลนั้นมีบารมีเข้มข้นหรือยัง
    ถ้าเราเริ่มที่จะพอใจในการบำเพ็ญสมาธิ ปฏิบัติภาวนานั่นแหละ
    ขอให้รู้ว่า บารมีของเรากำลังบังเกิดขึ้น
    และกำลังจะดำเนินไปสู่ทางที่ดีงามที่สุด

    ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ บริกรรมไป ทำจิต ทำใจ ตั้งสติให้คุมคำภาวนาไว้ตลอด
    ไม่ให้จิตส่ายโอนเอียงไปข้างหน้าไปข้างหลัง
    ให้ทำจิตใจของเราให้เหมือนเรากำลังเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เรากำลังอยู่เบื้องพระพักตร์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เรากำลังอยู่ในแวดวงพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    เมื่อเราได้บำเพ็ญมาแล้วด้วยดี
    ทุกครั้งก่อนที่เราจะเริ่มทำสมาธิหรือเริ่มภาวนา
    ให้ตั้งจิตของเราให้มีเมตตา อ้างเอาบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    ขอบุญบารมีของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หลวงปู่ดู่ วัดสะแก
    รวมทั้งบุญบารมีของข้าพเจ้าที่ได้กระทำมาด้วยดี
    ขอแผ่ผลบุญนี้ไปไม่มีประมาณ ณ กาลบัดนี้

    พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโย โหตุ

    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง
    อะระหันตานัญจะเตเชนะรักขัง พันธามิสัพพะโส

    ขออำนาจบุญบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    จงมาสถิตติดอยู่ในใจของข้าพเจ้าตลอดไป

    พุทธังกำลังกล้า ธัมมังกำลังแกร่ง สังฆังกำลังแรง
    ด้วยฤทธิ์แห่งพระกำลัง ขอเชิญพระปัจเจกมาช่วยเสกกับพระอรหันต์
    ให้เป็นวิมานแก้วล้อมรอบครอบตัวพัวพัน คอยป้องกันภยันตราย

    พุทธัง อธิษฐามิ
    ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระพุทธเจ้า
    ธัมมัง อธิษฐามิ
    ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระธรรม
    สังฆัง อธิษฐามิ
    ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระอริยสงฆ์ทั้งหลายด้วยเทอญ

    ก่อนที่เราจะลืมตาขึ้นมานั้น ให้พึงพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
    พอเกิดขึ้น แล้วมาตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
    นี่เป็นของจริงแท้แน่นอน เป็นสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล็งเห็น
    ด้วยพระญาณอันประเสริฐว่า ขึ้นชื่อว่าโลกแล้วจะต้องถึงคราวอันตรธานสูญหายวิบัติไป
    โลกภายนอกเช่น บุคคล สิ่งของทั้งหลาย
    โลกภายใน คือโลกของเราเอง เปรียบเสมือนพวกร่างกาย
    เมื่อถึงวันเวลาซึ่งเรายืมเขามา คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ
    มาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย โดยมีจิตปฏิสนธิวิญญาณของเราครองอยู่ สิงสถิตรวมอยู่
    จึงถือได้ว่า พ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ร่างกายให้เรามาอาศัยอยู่
    ถึงเวลาแล้วเขาก็ต้องเรียกคืนไป โลกก็จะต้องกลับคืนไปสู่โลก
    ไม่มีคนหนึ่งคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติอะไรไปได้ แม้แต่เพียงหยิบมือ หรือเพียงธุลีเดียว
    สิ่งที่จะติดตัวไปได้นั้นคือ บุญ บาป ชั่ว ดี เท่านั้น
    หมั่นพิจารณาอยู่เสมอๆ ว่า พอร่างกายนั้นตาย เราไม่สามารถจะนำเอาอะไรไปได้
    การที่เราได้คิดอยู่ทุกวัน คิดถึงความตายอยู่เสมอๆ
    จิตของเราก็จเป็นจิตซึ่งทรงอานุภาพ และเป็นจิตที่ไม่ประมาท
    ในการที่จะสร้างคุณงามความดียิ่งๆ ขึ้นไป
    สมดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสบอกกับพระอานนท์ว่า
    ตถาคตคิดถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
    พระดำรัสนี้ย่อมแสดงถึงว่า
    ผู้มีสติพร้อมบริบูรณ์ก็จะระลึกความตายเหมือนสายฟ้าแลบ
    เมื่อระลึกดังนี้ได้อยู่อย่างสม่ำเสมอ จิตของเราก็จะเป็นจิตที่เมตตา
    ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท บุคคลหนึ่งบุคคลใด

    และก่อนที่จะลืมตา ให้ทำจิตของเราให้แจ่มใส
    แผ่เมตตาและสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
    อธิษฐานถึงความดีอันนี้ ขอให้ติดตัวตลอดไป

    ?[​IMG]
    เรียบเรียงจาก "ร่มเงาพุทธฉัตร"
    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์



    <MARQUEE>หากยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าวแล้วนั่นแหละ ถึงไม่ต้องทำ....หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ</MARQUEE>

    Linkข้อมูลเพิ่มเติม
    เมื่อทำได้บ้างแล้วอธิษฐานบวชจิตยามที่เราพร้อมนะครับ

    การบวชจิต-บวชใน
    http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=17.0

    ภาวนาเสร็จแล้วก็แผ่เมตตากันนะครับโดยใช้บท สั้นว่า

    "พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ"

    หรือบทยาวคืิอบทกรวดน้ำใหญ่(บทอิมินา)

    ถ้าใครสงสัยว่าบท พุทธัง อนันตัง ใช้ในการแผ่เมตตาได้อย่างไรลองอ่านกระทู้ด้านล่างได้ครับ
    อย่าสับสนเรื่องบทสัพเพฯ และบทแผ่เมตตา
    http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=1272.0


    และศึกษาข้อธรรมท่านเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเข้าใจในคำสอนของท่านได้ที่

    "ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู"
    "ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู"
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    ดังที่ทราบกันดีว่า พระพุทธศานานั้นประกอบด้วยทั้งในส่วนของ "ปริยัติ" "ปฏิบัติ" และ "ปฏิเวธ"

    "ภาคปริยัติ" ... นั้นอาจมาจาก "การอ่าน หรือ การฟัง"
    ซึ่งสิ่งที่ได้อ่าน หรือได้ยินได้ฟังนั้น ก็มิใช่อะไรอื่น
    ก็คือ "ปฏิเวธ หรือ ผลการปฏิบัติ" ...ของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์นั่นเอง

    ธรรมะ(ปฏิเวธ)จริง ๆ นั้นต้องเป็น "ธรรมที่เกิด และ สัมผัสใจเจ้าของ"
    แต่พอเอามาถ่ายทอด หรือพูดเล่าออกไป มันก็กลายเป็นปริยัติ คือ ส่วนที่เป็นแผนที่ (แต่มิใช่ของจริง)ไปเสียแล้ว

    คนรู้ธรรมะมาก ๆ บางทีท่านจึงเรียกว่า เป็นพวกที่รู้แผนที่เส้นทางการเดินทางเป็นอย่างดี
    หรือไม่ก็เรียกว่า เป็นพวกที่มีอุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อม
    ก่อนจะเอามาใช้งานใช้การให้เกิดผลงาน (ปฏิเวธ) เพื่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาจริง ๆ

    คราวหนึ่ง สามีภรรยาคู่หนึ่งมาปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่
    ฝ่ายสามีนั้น...เป็นผู้มีอุตสาหะในการปฏิบัติภาวนา

    ในขณะที่ภรรยา เป็นผู้ที่หลวงปู่บอกว่า เป็นผู้มีของเก่า (สั่งสมมาแต่อดีต) มากกว่าสามี... แต่ขี้เกียจปฏิบัติ

    เพื่อที่จะกระตุ้นเตือนมิให้ฝ่ายภรรยาตั้งอยู่ใน "ความประมาท"
    หลวงปู่ท่านจึงพูดขึ้นด้วยสำนวนของท่านว่า

    "อุปกรณ์ต่าง ๆ ของแกก็มีพร้อมแล้ว รอว่าเมื่อไหร่...แกจะเสียบปลั๊กเสียที"


    คำพูดของหลวงปู่จึงเป็นเหมือนการเตือน... "ไม่ให้ประมาท" พอใจยินดีเพียงแค่ความรู้ความเข้าใจในธรรม
    หรือบุญบารมีที่สั่งสมมาแต่เก่าก่อน
    ในขณะเดียวกัน คำพูดของหลวงปู่ก็ยังเป็นการให้กำลังใจว่า...

    ความสำเร็จ (ปฏิเวธ) นั้น อยู่ไม่ไกล ขอเพียง...เสียบปลั๊ก
    กล่าวคือ "ลงมือปฏิบัติ"...เพื่อเชื่อมสายปริยัติ-ปฏิเวธ


    "อุปกรณ์ หรือ ปริยัติ" นั้นก็จะเป็นปัจจัยให้เกิด... "ปฏิเวธ"
    เกิดความสว่างไสวขึ้นมาในจิตขึ้นมาจนได้สักวันหนึ่ง




    *** จากบทความของ คุณสิทธิ์
    ที่มา Luangpudu.com / Luangpordu.com
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    หลวงปู่สอนเรื่องการจบของทำบุญ-อธิษฐานรับพร

    ก่อนที่ท่านมีศรัทธาทั้งหลาย จะถวายของแก่พระภิกษุสงฆ์ มักจะมีการอฐิษฐานหรือที่เรียกว่า จบของ บางคนจบนาน บางคนจบช้า หลวงพ่อท่านให้ข้อคิดว่า "ก่อนที่เราจะถวาย ให้จบมาเสียก่อนจากบ้าน เนื่องจากพอมาถึงวัด มักจะจบไม่ได้เรื่อง คนมากมายเดินไปเดินมา จะหาสมาธิมาจากไหน เราจะทำอะไรก็ตามอธิษฐานไว้เลย เวลาถวายจะได้ไม่ช้า เสียเวลาคนอื่นเขาอีกด้วย บางคนก็ขอไม่รู้จบให้ตัวเองไม่พอให้ลูกให้หลาน จิตเลยส่ายหาบุญไม่ได้"

    การที่หลวงพ่อให้จบก่อนนั้น มีความประสงค์ให้ตั้งเจตนาให้ดี บุญที่ได้รับจะมีผลมาก ญาติโยมจึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "ควรอธิษฐานอย่างไร" หลวงพ่อตอบว่า "อธิษฐานให้พ้นทุกข์ หรือขอให้พบแต่ความดีตลอดไปจนพ้นทุกข์ ถ้าเป็นภาษาบาลี ก็ว่า สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสวะขะ ยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ คนเราจะพ้นทุกข์ได้ ต้องพบกับความดี มีความสุขใช่ไหม ไม่ต้องอธิษฐานยืดยาวหรอก"

    เมื่อทำบุญแล้ว มักจะมีการรับพรจากพระ มีการกรวดน้ำ บางทีไม่ได้เตรียมไว้ต้องวิ่งหากันวุ่นวาย หลวงพ่อบอกว่า "ใช้น้ำใจ น้ำจิต ของเรากรวดก็ได้ เขาเรียกกรวดแห้ง ไม่ต้องกรวดเปียก เรื่องการกรวดเปียก เขาเริ่มมาจากสมัยพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อถวายของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านกรวดน้ำให้เปรต ญาติพี่น้องที่มาร้องขอบุญจากท่าน ตอนแรกท่านไม่รู้เลยทูลถามพระพุทธเจ้า ที่เขาเรียกว่า ทุสะนะโส คือ หัวใจเปรตนั่นแหละ" หลวงพ่อท่านตอบเพื่อให้คลายกังวล สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลากรวดน้ำเช่น คนที่รีบใส่บาตรก่อนจะไปทำงาน เป็นต้น

    ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้น ท่านแนะนำว่า ตั้งจิตว่า "ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ขอให้ติดตามข้าพเจ้าตลอดไปในชาตินี้ชาติหน้า" แล้วก็อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เวลาเขามีพิธีอะไร อย่างเช่น เวลาเขาปลุกเสกพระ เราก็สามารถรับพรจากพระองค์ไหน ๆ ก็ได้ทั้งนั้น

    จากhttp://www.agalico.com
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวันที่ 12 ที่ผ่านมาขับรถผ่านทางอยุธยา แวะเข้าไปกราบหลวงพ่อสวัสดิ์ วัดศาลาปูน มา ท่านนั่งรับแขกในช่วงสักสามโมงเย็นอย่างเรียบง่ายบนรถเข็นเพียงองค์เดียวพร้อมกับลูกศิษย์อีก 1 คน เลยขอแนะนำหากใครผ่านไปแถวนั้น ลองเข้าไปกราบท่านในช่วงเวลาดังกล่าวก็จะดีมาก พอเห็นท่านอยู่องค์เดียว เลยแวะไปที่ตู้วัตถุมงคลของทางวัด ขอบูชาแหวนมา 1 วง นำมาให้ท่านปลุกเสกอีกครั้ง ท่านลูบคลำแหวนอยู่นาน ลูบไปก็มองหน้าเราไป ๆ อยู่หลายครั้ง จนแปลกใจ พอเสร็จแล้วก็ขอมือเราไป ดึงมือเราไปถามว่านิ้วไหน เรายื่นนิ้วชี้ให้ ท่านก็บรรจงค่อยๆ ใส่แหวนให้จนสุดโคนนิ้ว เราจะทำเองท่านก็ไม่ยอม เสร็จแล้วพรมน้ำมนต์ให้เสร็จสรรพ ตอนว่างหลังจากขับรถออกมาจากวัด เอาแหวนลองมานั่งคลำๆ ดู เข้าใจล่ะ ท่านใส่พลังมาไม่ยั้งเหมือนกัน สุดท้ายวันต่อมาไปที่วัดหลวงพ่อกวยที่สรรคบุรี ชัยนาท ไปลอดใต้โลงศพท่าน แล้วก็มาจบที่ตู้พระของทางวัด ลองบูชารูปถ่ายหลวงพ่อที่ติดหลังจีวรเลี่ยมพลาสติกมาด้วย ยกมือพนมไปที่หลวงพ่อ ขอให้ท่านช่วยทำให้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับที่หลวงพ่อยังดำรงขันธ์อยู่ แล้วลองกำหนดดู สุดยอดมากครับพลังพุ่งปรีดเลย ราคาแค่ร้อยเดียวเอง นี่ล่ะอภิญญาจิต แม้จะละสังขารไปนานแล้ว แต่หากขอท่านให้มาทำให้ รับรองไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว ท่านมาแน่นอน ทั้ง 2 เรื่องที่หลังจากที่ตระเวนทำบุญในช่วงสงกรานต์ที่นำมาลงนี้ แสดงให้เห็นว่า กระแสจิตของพ่อแม่ครูอาจารย์นั้นท่านมีจริงและทำได้จริง หากพอสัมผัสท่านได้ ท่านก็จะเห็นคุณค่าในการทำความดี ในการให้ทาน การถือศีล และการทำใจให้สงบโดยการภาวนา ซึ่งเป็นหลักของศาสนาพุทธเรา เหมือนอย่างที่หลายท่านที่ได้บริจาคผ่านทุนนิธิฯ นี้ มา เพื่อรักษาสงฆ์อาพาธ ทานปัจจัย ที่ท่านหามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก โดยได้บริจาคมานี้ผมเป็นสะพานบุญนำไปบริจาคให้ตามโรงพยาบาลต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของท่าน ส่วนศีลและภาวนานั้น ท่านต้องทำเอง ที่สุดแล้วเมื่อทุกอย่างพร้อมกันทั้ง 3 ส่วนแล้ว ท่านก็เพียงแต่รอผลเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วท่านก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิตท่าน เหมือนอย่างเรื่องการเสียบปลั๊กของหลวงปู่ดู่ ที่ผมนำมาลงให้อ่านกันข้างต้นครับ ขอขอบพระคุณอีกครั้งสำหรับทุกรายชื่อที่บริจาคเข้ามา ตั้งแต่หน้าที่ 314 และ 315 ขอให้ท่านเอาจิตเป็นใหญ่จิตเป็นประธาน ตั้งใจให้ดี ยกมือประนมขึ้นระหว่างหน้าอก ตั้งจิตตั้งใจที่ได้ถวายทานนี้แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อน้อมนำผลแห่งทานนี้ไปถวายการรักษาแดสงฆ์อาพาธทุกๆ องค์ หลับตา ทำใจให้สงบสักครู่ ขอบารมีท่านให้มาครอบตัวเรา แล้วค่อยๆ ผ่อนลมออก ประคองใจที่สงบไว้พอประมาณพอสบายใจแล้วค่อยๆ ลืมตา นี่ล่ะหนทางเริ่มต้นของตัวบุญล่ะ เรื่องโมทนาบุญนั้น ผมขออนุโมทนาบุญร่วมกับทุกท่านเพื่อขอเกาะบุญท่านเพื่อให้ผมไปถึงในที่ๆ ผมหมายปองไว้เช่นกัน ทำอย่างนี้ทุกๆ ครั้ง อธิษฐานขอพรท่านอย่างหลวงปู่ดู่ก็ได้ไม่ต้องยาว อย่างที่ผมเคยโดนครูอาจารย์ดุ ขอมากบุญจะกระจาย ไม่รวมตัวกัน ขอเอานิพพานในชาติปัจจุบันนี้ก่อนเป็นต้นกำลัง แล้วขอให้พบแต่ความดีซึ่งเป็นบุญระหว่างทาง ที่เหลือเดี๋ยวมาเองครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านอีกครั้งในช่วงสงกรานต์นี้...

    พันวฤทธิ์
    16/4/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ได้เจอรูปนี้ในกระทู้พระเครื่องหลวงปู่ดู่ที่นำมาโพสท์โดยคุณฉันทะ ในหมวดพระเครื่องฯ ของเวบนี้ เลยนำมาลงให้ดูกัน แต่ผมสนใจรูปที่หลวงปู่ดู่ดูเหมือนท่านตั้งใจเทน้ำลงถังใบน้อย ไม่ทราบว่ามีอะไร แต่คิดว่าภาพนี้น่าจะมีกำลังมาก เพราะพระระดับนี้ลองตั้งใจอะไรสักอย่าง ย่อมมีมูลเหตุจูงใจแน่นอน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ภาพที่ต้องค้นหาความจริง

    [​IMG]

     
  7. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. galateer

    galateer Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +65
    ดิฉันมีโอกาสที่ได้ทราบถึงเรื่องพระสงฆ์รูปหนึ่งท่านป่วย ไม่ทราบว่า พระสงฆ์รูปนี้สามารถไปที่โรงพยาบาลนี้ได้เลยไหมคะ ต้องมีหนังสือในการส่งตัวอะไรหรือเปล่าคะ เพราะท่านเพิ่งผ่าตัดมาแล้วก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสช่วยเหลือท่านไปบ้าง แต่ท่านมีอาการแทรกซ้อนไม่ท่านไม่มีผู้ดูแลไม่มีญาติที่ไหน ไม่ทราบว่า มีใครพอรู้ไหมว่า พระป่วยสามารถไปรักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์ได้ฟรีเลยใช่ไหมคะ รบกวนท่านผู้รู้ด้วยค่ะ
     
  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน กรุวังหน้า (ร.2)


    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF2779_Edit.jpg
      DSCF2779_Edit.jpg
      ขนาดไฟล์:
      179.6 KB
      เปิดดู:
      709
    • DSCF2780.jpg
      DSCF2780.jpg
      ขนาดไฟล์:
      131.7 KB
      เปิดดู:
      847
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    *** หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน กรุวังหน้า (ร.2) ***
    [​IMG]



    เอามาเปรียบเทียบกับที่เค้าลงให้เช่าในหน้าหนังสือพระเครื่อง

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF2779_Edit.jpg
      DSCF2779_Edit.jpg
      ขนาดไฟล์:
      179.6 KB
      เปิดดู:
      748
    • DSCF2780.jpg
      DSCF2780.jpg
      ขนาดไฟล์:
      131.7 KB
      เปิดดู:
      696
  11. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    รูปถ่ายของหลวงพ่อกัสสปมุนีที่อินเดีย
    มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ?

    [​IMG][​IMG]



    ตอบ เมื่อปี พ.ศ. 2507 หลวงพ่อกัสสปมุนีได้เดินทางไปยังชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานถึง 5 เดือน ตลอดเวลาที่ท่านเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ท่านจะห่มดองหรือห่มลดไหล่ตลอด ในขณะที่พระเถระองค์อื่น ๆ จะห่มคลุมตามพระวินัยบัญญัติว่า เมื่อภิกษุออกนอกบริเวณวัด ต้องห่มคลุมให้เป็นปริมณฑลคือข้างบนจีวรต้องติดคอ ด้านล่างต้องคลุมครึ่งแข้งจึงถูกต้อง แต่การที่หลวงพ่อห่มดองตลอดรายการนั้น ท่านให้เหตุผลว่าชมพูทวีปเป็นดินแดนแห่งพระพุทธองค์ ทุกหนแห่งล้วนแต่เป็นแผ่นดินของพระองค์ที่ทรงจาริกไปแสดงธรรม จึงถือว่าเป็น ‘เขตพุทธาวาส’ ทั้งสิ้น ท่านจึงไม่ห่มคลุม และทุกแห่งที่ท่านไปนมัสการ ตามพุทธประวัติก็ดี ตามโบราณาจารย์กล่าวอ้างก็ดี ตามที่แขกอินเดียเล่าให้ฟังก็ดี ว่าสถานที่นี้พระพุทธเจ้าทรงกระทำพุทธกิจอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อท่านยังไม่เชื่อทีเดียว หากท่านลงมือนั่งภาวนา ‘ตรวจสอบ’ ด้วยองค์ท่านเองในที่ทุกแห่ง กระทั่งจิตท่านเห็นชัดว่า ณ สถานที่นี้พระพุทธองค์ได้ทรงทำกิจดังกล่าวอ้างมาแล้วจริง ๆ ท่านจึงปลงใจเชื่อ และเป็นที่น่ายินดีว่าเมื่อท่าน ‘พิจารณา’ ด้วยอำนาจฌาน-ญาณ อันสูงยิ่งของท่านแล้ว ปรากฏว่าในทุกสถานที่ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น ทุกแห่งแฝงเร้นด้วยพระพุทธบารมีที่ยังคงอบอวลแผ่รัศมีอยู่ทุก ๆ เวลา รอคอยผู้มีบุญญาธิการมานมัสการให้เกิดมหาบุณย์-มหากุศล ดังนั้นท่านใดที่คิดจะไปหรือไปมาแล้ว... ก็จงสบายใจและจงอิ่มบุญในใจให้เต็มที่เถิด ดังภาพถ่ายหน้าสถูปที่ถาม หลวงพ่อท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ที่ถ้ำอจันตา ขณะที่ใช้อำนาจจิต ‘ตรวจสอบ’ อยู่นั้น ก็มีฝรั่งคนหนึ่งผ่านมาเห็นท่านเข้า เวลานั้นท่านเปลื้องจีวรและสังฆาฏิออกแล้วคงเหลือเพียงสบงและอังสะ อีกทั้งยังพาดลูกประคำเส้นเบ้อเริ่ม ทำให้ฝรั่งนายนั้นนึกว่าท่านเป็นเณร จึงเกิดความเอ็นดูและทำการบันทึกภาพท่านไว้ ภายหลังฝรั่งก็ได้นำรูปนั้นมาให้ท่านดู ปรากฏว่าท่านไม่พอใจมาก คงเพราะแอบถ่ายโดยไม่ขออนุญาตท่านก่อนประการหนึ่ง และคงเพราะท่านแต่งตัวไม่เรียบร้อยประการหนึ่ง ท่านจึงดุเขา(เพราะท่านพูดภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม) และยึดทั้งรูปทั้งฟิล์มกลับมา ครั้นกลับเมืองไทยแล้ว คณะศิษย์อยากได้ของที่ระลึกจากท่าน ท่านจึงให้นำฟิล์มนี้ไปอัดออกมาเป็นรูปใบน้อย และยังเมตตาเขียนยันต์วิเศษที่ชื่อว่า ‘ยันต์พุทธเกษตร’ มอบให้ด้วยลายมือท่านเอง (ท่านได้มาเมื่อครั้งไปเที่ยววิเวกภาวนาใน จ.ลพบุรี ยันต์พุทธเกษตรได้ปรากฏขึ้นในนิมิตท่าน ท่านบอกว่ายันต์นี้มีอานุภาพครอบจักรวาล ตามแต่ผู้ใช้จะอธิษฐานให้เป็นไปดังปรารถนา) ศิษย์ได้นำยันต์พุทธเกษตรลายมือท่านไปบันทึกเป็นภาพถ่ายใบน้อยออกมาอีก 1 ใบ จากนั้นก็นำรูปหลวงพ่อกับรูปยันต์พุทธเกษตรนี้ประกบเข้าด้วยกัน แล้วนำมาถวายให้ท่านอธิษฐานจิตแจกผู้ศรัทธาในราวปี พ.ศ. 2508 –2509 ต่อมาเมื่อท่านประสงค์จะตอบแทนคุณของเสี่ยไซ โยมอุปการะเป็นที่ยิ่ง ท่านก็ดำริเข้า ‘สัญญาเวทยิตนิโรธ’ เป็นครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2510 เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน และรูปนี้ก็อยู่ในวาระนิโรธสมาบัติด้วย หลวงพ่อเคยบอกว่า นิโรธสมาบัตินี้มีอานุภาพมากนัก มิใช่แต่กุฏิของท่านเท่านั้น แต่กำลังแห่งนิโรธยังครอบคลุมไปทั่วภูเขา ‘สุนทรีบรรพต’ อันเป็นที่ตั้งวัด อย่าว่าแต่ของในกุฏิท่านเลย แม้กรวดหินหน้าวัดหากจะหยิบขึ้นมาแล้วตั้งจิตระลึกถึงท่านก็ยังมีอานุภาพได้ อะไรจะขนาดนั้น เชื่อท่านไหม ? ถ้าเชื่อ....! รูปใบน้อยและพระเครื่องต่าง ๆ ที่ผ่านการเข้านิโรธจากท่านมาตั้งแต่ปี 2510 กระทั่งท่านละสังขารจากไปในวันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จะขลังเพียงไหน !? ผมยังเดาไม่ถูกเลย ดังนั้น ท่านจึงไม่ใคร่แจกรูปนี้ให้ใครง่าย ๆ แม้มีคนขอกันมาก ท่านก็ยังเลือกคนให้ ท่านบอกว่า ของดีต้องให้กับคนดีและนับถือเราจริงเท่านั้น หากจะมีคนขอเหรียญรุ่นแรกของท่านที่สร้างในปี พ.ศ. 2518 บางทีท่านก็มอบรูปนี้ให้ ครั้นคนนั้นบ่นว่าอยากได้เหรียญต่างหากเล่า ท่านจะบอกดุ ๆ ทันทีว่า


    “อะไร ให้ของดีแล้วยังไม่รู้จัก รูปนี่เก่งกว่าเหรียญอีกนะ”


    คือคนโบราณเมื่อจะกล่าวชมมงคลวัตถุใด ๆ ว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์เหลือกำลัง ท่านมักใช้วลีว่า ‘เก่ง’ ก็เป็นอันรู้กัน ฉะนั้น รูปนี้จึงเหลือตกค้างมาจนทุกวันนี้ และมีคนได้รับประสบการณ์มากมายยิ่งกว่าเหรียญเสียอีก ใครที่มีอยู่แล้วก็รีบเอามาใส่ซะ คนที่ยังไม่มีก็ค้นคว้าหาเอาเถิด ของดีสุดยอดอย่างนี้ อย่าให้หลุดมือเลยครับ
    [​IMG]
    </O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2011
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เคยมีผู้ติดต่อในกรณีนี้มาที่ทุนนิธิฯ ผมจึงได้สอบถามข้อมูลไปที่ รพ.สงฆ์ ซึ่งทาง รพ.สงฆ์แจ้งว่า กรณีที่จะมารักษาตัวที่ รพ.สงฆ์นั้นพระสงฆ์ที่เป็นผู้ป่วยในต้องมีญาติมาเฝ้าทุกรูป เพราะทาง รพ.สงฆ์มีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอที่จะบริการได้ ส่วนเรื่องอาหารขบฉันไม่ต้องห่วงทางผมทั้งในส่วนตัวและส่วนของทุนนิธิฯ จะรับดำเนินการให้ ทั้งนี้ ค่าอาหารดังกล่าวไม่รวมญาติที่มาเฝ้าครับ ลองนำท่านมารักษาที่ รพ.สงฆ์ดูครับ ส่วนสิทธิในการรักษานั้น เท่าที่ทราบมีทั้งสิทธิบัตรทอง 30 บาท รวมถึงผู้ป่วยกรณีชราภาพที่มีอายุเกิน 60 ปี น่าจะไม่เสียค่าใช้จ่ายในด้านค่ายายกเว้นค่าเวชภัณฑ์บางส่วน แต่เพื่อความแน่ใจลองเช็คดูที่ รพ.สงฆ์ฝ่ายการพยาบาล อีกทีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2011
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    กิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2554 ที่จะมาถึงนี้ โดยนัดพบเพื่อจัดเตรียมสังฆทานอาหารที่โรงอาหารด้านข้าง รพ.สงฆ์ในเวลา 7.30 น.-8.00 น.

    จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ทราบทั่วกัน โดยผมและนายสติ ได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ มาเพื่อเตรียมการบริจาคเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีรายละเอียดการบริจาคสำหรับเดือนนี้ตามประมาณการดังนี้


    1 รพ.สงฆ์

    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้
    200 รูป โดยจะถวายเป็นอาหารกล่องๆ ละ 30.-) เป็นเงิน 6,000.-
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-
    รวม 16,000.-

    2 รพ.ภูมิภาค

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 8,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) 5,000.-
    จ.น่าน
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย 8,000.-
    จ.เลย
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000.-
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-
    รวม 52,000.-

    รวมเงินบริจาคตามข้อ 1.+2. = 68,000.- (หกหมื่นหกแปดพันบาทถ้วน)


    สำหรับผู้ที่สั่งจองหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง" หน้าปกตามรูปแทนของนายสติข้างต้น ซึ่งมีเนื้อหาภายในแน่นปี๊กไปด้วยความรู้ด้านการตรวจพระ สร้างพระ ของท่าน อ.ประถม อาจสาคร ไว้เพียบ รวมถึงรายละเอียดของพระพิมพ์สกุลต่างๆ ซึ่งต่างจากหนังสือความรู้เรื่องพระเครื่องทั่วไปมากมายนัก ก็เตรียมไปรับหนังสือพร้อมกับรับพระของหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พิมพ์พระเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งเป็นทรงพิมพ์โบราณเนื้อดินไปด้วยครับ โดยผมจะเตรียมหนังสือไปทั้งหมด 15 เล่ม ราคาเล่มละ 300.- (เมื่อเทียบกับสาระในเล่มแล้วนับว่าถูกมากๆ ครับ) และจะนำรายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายเข้าสู่บัญชีทุนนิธิฯ เพื่อเตรียมบริจาคไปยัง รพ.ต่างๆ สำหรับรักษาสงฆ์อาพาธต่อไป จึงขอแจ้งมาเพื่อได้ทราบกันทุกคน ได้หนังสือด้วย ได้พระด้วย แถมยังได้บุญแถมท้าย ใครไม่มาช่วยไม่ได้ครับ

    พันวฤทธิ์
    19/4/54

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2011
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บางส่วนของใบอนุโมทนาบัตรทั้งของเดือน ก.พ.และเดือน มี.ค. 54 ครับ โดยบาง รพ.ยังไม่ส่งมา จึงไม่สามารถนำมาลงให้ แต่หากได้รับในภายหลัง จะได้นำมาลงเพิ่มเติมให้ครับ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    อนุโมทนาบุญด้วยนะครับผม
     
  16. pinkpink

    pinkpink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,246
    ค่าพลัง:
    +11,631
    ร่วมบุญทุนนิธิ เพื่อสงฆ์อาพาธ
    วันที่ 19/4/2554 เวลา 17.10 น.จำนวน 500 สาธุในกุศลของทุกท่านค่ะ
    ..........................................................................
    http://palungjit.org/threads/ร่วมสร้างพระอุโบสถ-และ-สมเด็จองค์ปฐม-ธุดงค์สถานป่าศิริสมบูรณ์-บุรีรัมย์-14-พค-2554-a.267401/
     
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    "40 เปอร์เซ็นต์" ไม่อยู่แล้ว
    โลกถึงได้วิบัติวินาศขนาดนี้
    ****************************
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->
    [​IMG]
    "พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นมีส่วนช่วยค้ำโลกมากนะ หลวงตาไม่ได้ช่วยองค์เดียว แต่พระอริยบุคคลในสายหลวงปู่มั่นนี่ช่วยกันหมดทุกองค์ แผ่เมตตาช่วยโลกอยู่ทุกวันทุกเวลา...."
    "พระอริยบุคคล(ทุกระดับตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงอรหันต์)สายหลวงปู่มั่นเรานี่ที่จะช่วยโลกได้ ต้องมีพรรษา 40 ขึ้นไป หาไม่แล้ว จะจมน๊ะ(บารมีไม่เพียงพอ)..!!!???!!!"

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    "ส่วนประเทศไทยเรานี้ ในหลวงค้ำไว้ 60 เปอร์เซ็นต์ หลวงตาค้ำไว้ 40 เปอร์เซ็นต์นะ..!!!!!!!!"
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE>


    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงกราบเรียนองค์หลวงตาเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553 ว่า
    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
    รับสั่งว่า ท่านพ่อเป็นเสาหลักของประเทศไทย ทรงฝากมากราบอาราธนาให้ท่านพ่อรักษาสุขภาพ เพื่อจะได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนคนไทยต่อไปเจ้าค่ะ" <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    แต่ตอนนี้ "เสาหลักค้ำโลก ค้ำแผ่นดิน"ไม่อยู่เสียแล้ว..
    "40 เปอร์เซ็นต์ที่ค้ำสยามประเทศ"ไว้ทั้งหมดตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ ได้ดับสูญลงไปเสียแล้ว...
    สังเกตกันบ้างหรือไม่ว่า นับแต่วันที่หลวงตามหาบัวนิพพาน สถานการณ์ของโลกและประเทศไทยก็ได้ดำดิ่งลงสู่หายนะ มหาวิบัติมหาวินาศอย่างติดๆถี่ๆ ผิดปกติที่สุดถึงเพียงไหน..?????? <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>




    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    "หลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์อันดับหนึ่งของประเทศไทย เพราะมีบารมีมากเหนือใครๆ ฤทธิ์ก็เยอะนะ..!!!!!"

    หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    "เราตายไป ส่วนตัวของเราไม่มีอะไรต้องห่วงต้องกังวลแล้ว ห่วงแต่โลกแต่สงสารและพี่น้องลูกหลานชาวไทยเรานี่แหละ เพราะต่อไป โลกเราจะมีภัยอันตรายมาก โดยเฉพาะภัยจากน้ำจากดิน ผู้คนจะล้มตายกันมากมาย จะยากลำบากวิบัติวอดวายกันทั่วไปหมด .!!!!!!!!"

    หลวงตามหาบัวปรารภกับผู้ใกล้ชิดก่อนนิพพานไม่นาน <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    หมายเหตุพิเศษ : หลวงตามหาบัวเคยกล่าวไว้เป็นการภายในอีกตอนหนึ่งว่า

    "ในแต่ละยุคสมัย จะมีพระผู้ทรงคุณวิเศษคอยแผ่เมตตาปกปักรักษาโลกมาโดยตลอด ส่วนจะช่วยคุ้มครองโลกได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับบุญบารมีของท่านแต่ละองค์ที่ได้เคยสั่งสมมา ในยุคก่อน พระที่รักษาคุ้มครองโลกก็คือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ต่อจากหลวงปู่มั่น ก็คือองค์พระหลวงตานี่เอง..!!!!!!!!"
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    [​IMG]

    ขอขอบพระคุณเว็บไซท์

     
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    เพื่อเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราชาวไทย จึงใคร่ขอเรียนเชิญชวนทุกๆท่าน เพื่อนๆ และญาติธรรมที่ได้อ่านกระทู้นี้ จากวันนี้เป็นต้นไป อย่างน้อย 7 วัน ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ให้ช่วยกันสวด โพชฌงค์ปริตร และ นั่งสมาธิ (หากทำได้) น้อยถวายเป็นพระราชกุศลให้พระองค์ท่านหายจากพระประชวร และ น้อมบุญให้เหล่าเทพพรหมที่ดูแลพระองค์ท่านด้วย ใครที่ใส่บาตร ถวายสังฆทานในช่วงนี้ก็ขอให้น้อมบุญถวายพระองค์ท่าน และ เทพพรหมที่ดูแลพระองค์ท่าน

    ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ


    ประวัติบทสวดมนตร์โพชฌังคปริตร

    โพชฌังคปริตร ถือเป็นพุทธมนต์ที่ช่วยให้คนป่วยที่ได้สดับตรับฟังธรรมบทนี้แล้วสามารถหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ที่เชื่ออย่างนี้เพราะมีเรื่องในพระไตรปิฎกเล่าว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธ พระองค์ทรงแสดงสัมโพชฌงค์แก่พระมหากัสสปะ พบว่าพระมหากัสสปะสามารถหายจากโรคได้ อีกครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธ หลังจากนั้น พบว่า พระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธได้ ในที่สุด เมื่อพระพุทธองค์เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่าพระพุทธเจ้าก็หายประชวร
    พุทธศาสนิกชนจึงพากันเชื่อว่า โพชฌงค์นั้น สวดแล้วช่วยให้หายโรคได้ ซึ่งในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นธรรมเกี่ยวกับ ปัญญา เป็นธรรมชั้นสูง ซึ่งเป็นความจริงในเรื่องการทำใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส ซึ่งสามารถช่วยรักษาใจ เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับ ร่างกาย เนื่องจากกายกับใจเป็นสิ่งที่อาศัยกันและกัน จึงทำให้หายจากโรคได้


    โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
    ( โพชฌงค์ 7 ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ )

    วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
    ( วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ )

    สะมาธุเปกขะโพชฌังคา
    ( สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ )

    สัตเตเต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา
    ( 7ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว )

    ภาวิตา พะหุลีกะตา
    ( อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว )

    สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา
    ( ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน )

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
    ( ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ )

    โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
    ( ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ )

    เอกัสมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิสวา
    ( ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ
    และพระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำบาก )

    โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ
    ( จึงทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง )

    เต จะ ตัง อะภินันทิตวา
    ( ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม )

    โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ
    ( โรคก็หายได้ในบัดดล )

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
    ( ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ )

    โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
    ( ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ )

    เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต
    ( ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก )

    จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตวานะ สาทะรัง
    ( รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ )

    สัมโมทิตวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส
    ( ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน )

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
    ( ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ )

    โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
    ( ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ )

    ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง
    ( ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง 3 องค์นั้น หายแล้วไม่กลับเป็นอีก )

    มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
    ( ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา )

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
    ( ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ )

    โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
    ( ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ. )
     
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=big2 vAlign=bottom height=35>
    "ไม่ประมาท"ในธรรมสมาธิ มีอะไรบ้าง????
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ตลอด 45 พรรษาแล้วทรงเปล่งปัจฉิมวาจาก่อนดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา ว่า
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจักเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
    (มหาปรินิพพานสูตร ฑี.ม. 10/143/180)
    ความหมาย "
    ความไม่ประมาท"คือการที่สติกำกับตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำสิ่งใดๆ จะไม่ยอมถลำ สู่ทางเสื่อม และไม่ยอมพลาดโอกาสในการสร้างความดี.
    ซึ่ง "ความประมาท"ในธรรมปฏิบัตินั้น แท้จริงแล้ว อาจจำแนกได้ถึง 11 ประการคือ
    1. ไม่ทำกิจโดยเคารพ คือนั่งสมาธิไปอย่างนั้นๆ ไม่ศึกษาว่าทำถูกต้อง ถูกวิธีหรือไม่ ทำผิดก็คิดว่าทำถูก ทำน้อยก็คิดว่าทำมาก จึงได้รับผลไม่เต็มที

    2. ไม่ทำติดต่อกัน คือนั่งสมาธิแบบเดี๋ยวจริงเดี๋ยวหย่อน เหมือนธารน้ำที่ไม่เชื่อมต่อกัน ก็กลายเป็นร่องน้ำเป็นหย่อมๆ ไป

    3. ทำๆ หยุดๆ คือนั่งสมาธิไปช่วง เลิกนั่งไปอีกช่วงเหมือนกระแตที่วิ่งๆ หยุดๆ แม้ช่วงที่ได้นั่งสมาธิจะได้ผลอย่างดี แต่หากทำๆ หยุดๆ แล้วก็ ยากที่จะเอาดีได้ เหมือนนักกีฬาที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูง หากซ้อมบ้างไม่ซ้อมบ้าง ก็ยากที่จะก้าวไปสู่ความเป็นเลิศได้

    4. ทำอย่างท้อถอย คือนั่งสมาธิเหมือนคนซังกะตายเหมือนลูกจ้างที่ทำงานไม่เต็มแรง

    5. ทอดฉันทะ คือทำแบบเลื่อนลอย ทำแบบหมดรัก"ความรัก" จะก่อให้เกิดพลังอย่างน่าอัศจรรย์

    6. ทอดธุระ อาการหนักกว่า ทอดฉันทะอีก คือไม่สนใจทำแล้ว

    7. ไม่ติด คือทอดธุระแล้วก็ชะล่าใจ ชักนั่งสมาธิไม่ติดแล้ว ผุดลุกผุดนั่ง

    8. ไม่คุ้น คือพอทิ้งไปมากเข้าบ่อยเข้า ครั้นมานั่งสมาธิอีก ก็เหมือนมาเริ่มต้นใหม่ เหมือนไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน รู้สึกอึดอัดขัดข้องไปหมดก็ต้อง อดทน...อดทน...แล้วก็ อดทน ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เอง ไม่ควรท้อถอย หรือหมดกำลังใจ

    9. ไม่ทำจริงๆ จังๆ คือทำแบบเช้าชาม เย็นชาม ทำพอได้ชื่อว่าทำ

    10. ไม่ตั้งใจทำ คือทำแบบถูกบังคับให้นั่ง ทำแบบให้คิดจะเอาดี อันที่จริงจะตั้งใจนั่งสมาธิกับไม่ตั้งใจช่วงเวลานั้นก็ใช้เวลาเท่ากัน ไหนๆ จะต้องเสียเวลาแล้วก็น่าจะทำให้ดีที่สุด

    11. ไม่หมั่นประกอบ คือนานๆ ทำที ทำที่ก็ทำแต่น้อย เช่นนั่งสมาธิปีละ3 ครั้งครั้งละ 10 นาทีเป็นต้น พระพุทธองค์ท่านทรงสอนให้เราสันโดษในปัจจัย 4แต่ไม่ใช่สันโดษในการสร้างความดี ความดีเป็นสิ่งที่ต้องสร้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
    เหมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ บัณฑิตไม่อิ่มด้วยความดี โดยเฉพาะความดีที่เกิดจากการนั่งสมาธิเจริญภาวนา


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ขอขอบพระคุณเว็บไซท์

     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    โทษของการสอนค้านกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

    **************************************************


    ถาม : หนูฟังเทศน์ที่พระที่ท่านนับถือครูบาอาจารย์ที่ใครไปนิพพานที่ไม่ถูกอย่างนี้ ท่านชักจูงหรือท่านสอนทางธรรมแล้ว เกิดสมมุติว่าคนฟังแล้วก็คล้อยตาม พระรูปนั้นบาปด้วยหรือเปล่าคะ ?

    ตอบ :
    ถ้าหากว่าท่านสอนผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนคนเป็นมิจฉาทิฐินี่โทษสาหัสมาก มีอยู่รายหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่น่านับถือทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย สอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ

    วันหนึ่งกำลังภาวนาตอนเช้าจิตมันหลุด มันลงไปที่โลกันตนรกไปเห็นเข้า เอ๊ะ ปกติแล้วสัตว์นรกมีแต่ผอมๆ ทำไมรายนี้มันอ้วนแท้ ปรากฏว่าถ้าเขาไม่อ้วนแล้วเราจำเขาไม่ได้ เขาทำให้เห็นลักษณะเดิม แล้วหลังจากนั้นก็แปลกใจเขาตายแล้วหรือ ถึงได้ลงมาอยู่ที่นี่ ปรากฏว่า พอตอนช่วงเช้าออกไปที่หน่วยป่าไม้ หัวหน้าเขาบอกว่าตายแล้ว ของเรามันหมกอยู่แต่ในป่า ข่าวคราวมันก็ไม่มี มันต้องไปถามข้างนอกคนดูหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ เขาบอกว่าตายแล้ว เขายืนยันแต่ว่าตายมา ๓ วันแล้ว เพิ่งจะไปเจอ ตายตั้งแต่วันที่ ๘ นะไปเจอเอาวันที่ ๑๑ โน่นก็สงสัยว่า ทำไมเขาลงถึงโลกันตนรก ปกติอเวจีสำหรับเราก็ถือว่าสาหัสแล้ว โลกันต์นี่มันคูณ ๔ คือโทษ ๔ เท่าของอเวจีถึงได้ลงโลกันต์ ปรากฏว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนค้านคำสอนพระพุทธเจ้า คนที่เป็นมิจฉาทิฐิต้องลงอเวจีมหานรกกว่าจะผ่านนรกแต่ละขุม กว่าจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ มันทำให้เขาห่างความดีได้ขนาดนั้นโทษก็เลยสาหัสหน่อย

    ถาม : แล้วเจ้าตัวเขารู้มั้ย ?
    ตอบ : เจ้าตัวตอนนั้นรู้แล้ว กำลังรับโทษอยู่ (หัวเราะ) แต่ตอนที่ทำนั่นคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านก็สอนของท่านไปเรื่อย

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    ขอขอบพระคุณเว็บไซท์

     

แชร์หน้านี้

Loading...