ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เน่ยเก๋อ หรือ ไนไก(เสียงภาษาญี่ปุ่น) หรือ นายก่าย (เรียกแบบไท)

มีช่วงหนุ่มๆ จางจวีเจิ้ง(ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นเน่ยเก๋อ)ลาออกจากราชการ 3 ปี (ค.ศ. 1554 ถึง ค.ศ.1557) หรือ พ.ศ. 2097 ถึง 2100 ถ้านายก่ายอาศัยช่วงว่างที่ลาออกจากราชการ(ก่อนจะกลับไปรับราชการอีกครั้ง) มาวางรากฐานการค้าที่กรุงศรี ช่วงนี้เป็นรัชกาลพระมหาจักรพรรดิ และเป็นช่วงที่ขุนพิเรนทรเทพสมรสกับพระสวัสดิราชให้กำเนิดพระโอรสองค์โตในปี พ.ศ. 2098 นายก่าย(จางจวีเจิ้ง) อาจเคยเห็นพระนเรศตอนเป็นทารก ด้วยอาชีพรับราชการคุมกลาโหมมาก่อนอาจจะทำให้สนิทกับขุนพิเรนทรเทพด้วยเพราะสามารถคุยกันเรื่องสงครามและความเป็นมาเป็นไปของบ้านเมืองอื่น การมาวางรากฐานการค้านี้เพื่อนำสินค้าไปขายที่จีนนำความมั่งคั่งมหาศาลมาสู่จางจวีเจิ้ง

สมญานามพระนเรศที่จางจวีเจิ้งใช้จึงสนิทสนมเป็นพิเศษ เรียก หัวเจ้าซ่ง เนื่องจากได้มาลำดับความเป็นมาของเผ่าไทแล้วจึงรู้ว่าเป็นเผ่าที่ร่วมก่อตั้งรัฐน่านเจ้ามาด้วยกัน จึงสนิทสนมกันมากกว่าที่จะเรียกชื่อแบบทับศัพท์ภาษาไทย

ป.ล. จากบันทึกจีน ว่านลี่ขุดหลุมศพจางจวีเจิ้งขึ้นมาแล้วหลังจากตายได้ 2 ปีแล้วไม่เห็นมีกระดูก จึงโกรธมาก สั่งลงโทษคนทั้งบ้าน

ป.ล. (เพิ่มเติม) นายก่ายอีกคนเข้ามาสมัยพระนารายณ์(ตอนนั้นสิ้นยุคราชวงศ์หมิงแล้ว) คือพ่อของเจ้าสัวเงิน แซ่ตัน เจ้าสัวเงินเป็น สามีของพี่สาวรัชกาลที่ 1 และเจ้าสัวเงิน เป็นพระบิดาของพระอัครมเหสีรัชกาลที่ 2

 

กษัตริย์ราชวงศ์ซ่ง(สกุลแซ่เจ้า) มีแนวโน้มหล่อ อาจจะเพราะบรรพบุรุษมาจากเผ่าไทจากพระเจ้าเหาน้อย(ต้นตระกูลไท)เช่นเดียวกับคนในสกุลแซ่จาง ท่านจางจวีเจิ้งเองก็เป็นคนหล่อ
ฮ่องเต้. มีจมูกแบบหลิวเต๋อหัว จะว่าไปหน้าคล้ายๆ หลิวเต๋อหัว หล่อเหลามากค่ะ

ปัจจุบันตัวหลิวเต๋อหัวเองก็มีบรรพบุรุษมาจากพื้นที่คนแต้จิ๋วในมณฑลกวางตุ้ง

ข้าพเจ้าเคยเห็นท่านจางในนิมิต(โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านความเห็นนะคะ)วันที่เข้าพิธีสมโภชน์พระใหญ่(ปัจจุบันคือพระใหญ่วัดลามะ ปักกิ่ง) ท่านคิ้วดำเข้มตาคม ข้าพเจ้าอนุมานว่าหน้าท่านคล้ายอดีตดาราไต้หวันชื่อ ฉินฮั่น แนวหล่อ คมสัน

ดิฉันว่าเผ่าไทส่วนใหญ่จะหล่อและสวยนะคะ

 

วัดร้างที่กรุพระแตกเมื่อปลายเดือนเมษายน นั้น มีวัดร้างชื่อวัดพระธาตุเจดีย์ที่กรมศิลป์บูรณะแล้ว ซึ่งแปลกที่สร้างโบสถ์ที่ทิศ องศา 100 น่าจะเป็นพื้นที่การทหารเป็นโบสถ์มหาอุจจ์ด้วย

กรุแตกที่ ต.ทุ่งกวาว จังหวัดแพร่ คงมีข้อมูลที่น่าสนใจค่ะ เพราะต้องมีกษัตริย์อยุธยาสักพระองค์หนึ่งตั้งทัพที่นี่


ใช้โบสถ์มหาอุจจ์แห่งนี้ปลุกเสกของขลังได้เลย

คิดว่าพระที่จะขุดพบน่าจะได้อะไรบ้างค่ะ

 

พระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน พระธาตุประจำปี เถาะ สมเด็จพระนเรศวรทรงต้องบูชาพระธาตุแช่แห้ง
พระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ พระธาตุประจำปี ขาล พระนางมณีจันทร์ต้องบูชาพระธาตุช่อแฮ

ทั้งสองพระธาตุอยู่ไม่ไกลจากกัน และไม่ไกลจากวัดพระธาตุเจดีย์ ต.ทุ่งกวาว จังหวัดแพร่ อาจให้ตั้งทัพที่นี่ ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำยม

อาจจะนะคะ อาจจะเป็นไปได้ไหมว่า ทั้งสองพระองค์ทรงไปจุ๊ธาตุ



สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงใช้คติตามประเพณีแบบชาวสุโขทัย-ล้านนาเป็นหลัก

 

อ.ที่เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องเคลือบโบราณบอกว่าเบื้องต้น กระเบื้องชิ้นนี้เป็นก้นถ้วยชามสมัยราชวงศ์หมิง รัชสมัยว่านลี่ (ขนลุกเลย)

 

https://vt.tiktok.com/ZSFEscq4A/

 

พลังดีที่วัดวรเชต (นอกเกาะ) ถูกหักล้างด้วยโบสถ์ขวางตะวัน


ไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดเข้าไปแก้ไขให้ได้ค่ะ

 

ราชวงศ์ซ่ง มาจาก ลาวซ่ง หรือเปล่า

เป็นราชวงศ์ที่ใส่สีดำได้ คนฮั่นจะไม่ใส่สีดำเลย

จำได้ว่า พระนางจะใส่เสื้อผ้าที่มีผืนผ้าสีดำเข้ามาผสมในชุดก็ทำได้ แต่ถ้าเป็นคนฮั่นแท้ในราชวงศ์หมิง จะถูกห้ามใช้สีดำมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกาย

เผ่าอี๋เป็นเผ่าที่ใช้กางเกงดำและเลี้ยงนกอินทรีย์ การแต่งกายสีดำ คล้าย เผ่าซ่ง

ตามที่เข้าใจ ลาว มาจาก"หลง = มังกร" หลวง ก็น่าจะใช้เรียกของเจ้าซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่ามังกรเหมือนกัน

 

ดิฉันผ่านๆตาว่า กรมศิลป์ เก็บรักษาเครื่องถ้วยชาม สมัยหมิง จาก บางปะอินได้จำนวนหนึ่ง. แต่ไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน อาจจะได้เบาะแส เพราะพระนางทรงสั่งเมืองจีนผลิตเครื่องถ้วยชามตามแบบที่ทรงโปรด อาจจะมีการบันทึกชื่อของทุกพระองค์ในครอบครัวไว้ที่ชามบางแบบก็ได้ค่ะ

 

เจอเครื่องถ้วยชาม สมัยหมิง รัชกาลว่านลี่ ที่เวียงกุมกาม เยอะเลย ข่าวเมื่อปลายปีที่แล้ว 4 ธ.ค. 2566

https://www.thaipbs.or.th/news/content/334497



พระนางนำเข้าเยอะและจะพระราชทานไปยังบ้านขุนนางต่างๆโดยถ้วนหน้าเสมือนของฝาก เพราะว่าพระนางนิยมเครื่องถ้วยชามมาก

ถ้วยชามน่าจะขึ้นไปจากอยุธยา เพราะว่าส่วนใหญ่จะขนส่งมาทางเรือซึ่งจะขนได้มาหและกระทบกระเทือนน้อย

 

เกี่ยวกับคติทางพุทธศาสนา ซึ่ง มากี่ยวข้องกับพระนางมณีจันทร์ โดยมีประมาณนี้นะคะ

ในคติโบราณของสยาม ให้เขตแดนจีนคือกรุงราชคฤห์

จวนที่สร้างให้ท่านจางจวีเจิ้งอยู่ในกรุงศรี ให้ชื่อแบบจวนเจ้าล้านนา คือ "หอราชคฤห์"

เสมือนให้พระนางเดินทางมาจากกรุงราชคฤห์
ถือว่าพระนางมีเชื้อเจ้า และพระนเรศทรงแต่งงานกับเชื้อเจ้าด้วยกัน เพื่อให้พระนางสามารถดำรงตำแหน่งอัครชายาและภายหลังเป็นอัครมเหสีได้ (ตำแหน่งพระอัครมเหสีจะได้ก็ต่อเมื่อประสูติพระโอรสให้ท่าน ซึ่งตอนนั้นพระสนมเอกมีพระโอรสแล้ว การให้กำเนิดพระโอรสหนึ่งพระองค์นั้นจึงสำคัญต่อพระนางมาก พระนเรศท่านสามารถกำหนดเพศพระราชบุตรได้ด้วยวิชาโบราณพระองค์ท่านก็ทรงช่วยพระนางมณีจันทร์ให้ฐานะอัครชายาของพระนางแข็งแรงด้วยการให้พระนางทรงให้กำเนิดพระราชโอรส แต่พระนางกลับกันคือพระนางไม่อยากได้อำนาจและอยากจะได้แต่พระราชธิดาเพื่อความปลอดภัยไม่ต้องตกอยู่ในเกมส์แห่งอำนาจ. แต่เหตุการณก็พาพระนางไปตกในเกมส์แห่งอำนาจในที่สุด พระนางไม่ทรงต้องการให้สวามีเป็นกษัตริย์ด้วยพระนางรู้ว่าพระนางไม่เป็นที่ยอมรับในเรื่องเชื้อชาติ แต่อันที่จริงพระนางเองก็ยังไม่รู้ว่าพระองค์เองว่าเป็นคนเผ่าไทเผ่าหนึ่งเช่นกัน)

เรื่องความเชื่อที่สอดคล้องกับประวัติพุทธศาสนา มีจุดน่าสนใจตรงที่ ประวัติกระเบื้องจารที่วัดพริบพรี คนไทตั้งถิ่นที่นี่นานแล้ว ส่วนพระนางก็เป็นไทเผ่าหนึ่งที่มาจากกรุงราชคฤห์

คติความเชื่อนี้ ระดับพระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณเชื่อกันสืบๆมา อันที่จริง เรื่องนี้ น่าคิด

 

อุโบสถวัดท่าใหม่อิ สร้างโดยหันที่ทิศ 100 องศาตามพระราชนิยมของพระองค์สมเด็จพระนเรศ

 

สันนิษฐานว่า พอจะมีเค้าเป็นไปได้ที่ท่านจะสร้างโบสถ์มหาอุตม์ ในบริเวณพระธาตุแช่แห้ง อันเป็นพระธาตประจำปีเกิดของพระองค์ท่าน เพื่อปลุกเสกเครื่องรางให้ทหาร และเพื่อบำเพ็ญวิปัสสนาเพราะที่ตรงนี้จะเข้มขลังด้วยพระบารมีของพระพุทธเจ้าและการปรับทิศให้โบสถ์หันทิศมงคล

 

หลวงพ่อโชคดี วัดท่าใหม่อิ กับหลวงพ่อพระเจ้าทองทิพย์ วัดพระธาตุหริภุญชัย คล้ายๆกันนะคะ

ป.ล. พระธาตุหริภุญชัยเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีระกา (พระองค์บัว เกิดปีระกา) อาจจะเป็นการเสด็จสักการะพระธาตุประจำปีพระราชสมภพในคราวเดียวกัน เป็นช่วงหลังสงครามยุทธหัตถี





ดูอีกที หลวงพ่อโชคดี วัดท่าใหม่อิ คล้าย หลวงพ่อมหาอุตม์วัดพระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน มาก โดยเฉพาะส่วนพระเศียรค่ะ

 

ช่วงประวัติศาสตร์หายไปจากหน้าพงศาวดาร
พระองค์ที่จะสร้างได้ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องมีทุนทรัพย์มากและอำนาจสูงที่สามารถใช้ที่หน้าพระราชวังหลวงสร้างได้ โดยสร้างถวายพระมหากษัตริย์ที่สำคัญ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่สร้างเจดีย์วัดภูเขาทอง

พระองค์ไลประสูติ ปี พ.ศ. 2130 สร้างเจดีย์วัดภูเขาทอง ใช้เวลาน่าจะเกินปี เพราะว่าเจดีย์ใหญ่มาก และ สร้างเจดีย์ ใหญ่อีก 4 องค์ เพื่อปรับฮวงจุ้ย ทำให้อาจกินเวลาสร้างถึง 2 ปี

สมเด็จพระมหาธรรมราชา สวรรคต 2133 เป็นช่วงที่หลังสร้างเจดีย์ภูเขาทองเสร็จไม่นาน อาจจะเป็นไปได้ที่จะสร้างอีกองค์ หน้าพระราชวังหลวงอุทิศถวาย สมเด็จพระมหาธรรมราชา หลังจากถวายพระเพลิงเสร็จแล้วในปี 2134 คิดว่าตั้งใจจะให้มีรูปแบบเดียวกับวัดภูเขาทองเพื่อประกาศชัยชนะเหนือพม่า และพระมหาธรรมราชาทรงอุทิศชีวิตให้กับการวางแผนกู้เอกราชมานานหลาย 10 ปีโดยทรงทำเงียบๆ ซึ่งพระนเรศวรทรงทราบเรื่องนี้มากที่สุด และทรงช่วยพระบิดาทำให้แผนกู้ชาติสำเร็จ (การชวนนายก่ายมาช่วยก็เป็นหนึ่งในแผนกู้ชาติแผนนี้)

พอพระเอกาดัดแปลงพงศาวดารจึงไม่ได้พูดถึงแผนนี้เพื่อจะไม่พูดถึงใครบางคน ส่งผลกระทบให้ไม่สามารถพูดถึงสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ทรงดำเนินแผนกู้ชาติมาโดยตลอดไปด้วย

การมีสายน้ำเจ้าพระยาไหลอยู่ใต้เจดีย์เป็นฮวงจุ้ยที่ดี เพื่ออวยพรให้ลูกหลานมีกินมีใช้อุดมสมบูรณ์

 

เจอยันต์ น นเรศ เป็นอีกอย่างที่ทรงเขียนเสมอเพื่อปลุกเสกให้เกิดความเป็นมงคล คาดว่านะคะ ใครที่มาขอให้พระองค์ท่านทรงเจิมหรืออำนวยอวยพร พระองค์ท่านจะเขียนยันต์ น นเรศ พร้อมคาถากำกับให้



https://vt.tiktok.com/ZSYepMXnT/

 

ใช้วิธีดูการเรียงตัวของดาว การกำหนดทิศ เพื่อมาค้นหาเพื่ตอบโจทย์ว่าแต่ละโบราณสถานสร้างขึ้นเมื่อใด ใช่ชุดความเชื่อใดในการสร้างค่ะ

 

วังจันทน์ พิษณุโลก วางผังโดยคำนวณทิศเหมือนกันนะคะ วัดสุคต วิหารทอง รวมถึงศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จะได้มุม 100 องศา โดยตั้งใจหรือบังเอิญที่หันหน้าเข้าแม่น้ำด้วยมุมนี้ก็ไม่ทราบค่ะ

 

วังจันทรเกษม อยุธยา ก็ดูเหมือนจะสร้างให้หันทิศองศที่ 100 เหมือนกันค่ะ

 

อาจจะไม่ได้เกิดภัยพิบัติ แต่จำเป็นต้องเอาอิฐไปเสริมกำแพงกรุงศรี พร้อมสร้างตำหนักจันทรเกษม ในปี 2120 ก็ได้ ภายหลังเมื่อว่างศึกแล้ว พระองค์ท่านจึงกลับมาทำนุบำรุงและปลูกใหม่ให้อาคารหันทิศมงคล