การรู้จักจิตผิดๆ ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาผิดตลอดแนว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 18 มีนาคม 2010.

  1. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณจะร้อนจะโกรธมันก็เรื่องของคุณไม่ใช่หรือครับ คุณยอมรับว่าคุณร้อนคุณโกรธ แล้วคุณดูแลใจคุณเองอยู่หรือเปล่าหละครับ หากคุณดูตัวเองอยู่ก็คงไม่ต้องมาร้อนมาโกรธจริงไหมครับ แต่นี้คุณยอมรับตรงๆว่าคุณร้อนคุณโกรธคุณไม่ดูตัวเอง ไม่สาวไปหาเหต แล้วไปดับที่เหตุเพราะไม่เคยประพฤติปฏิบัติจริงจังอย่างมีวินัยคุณก็ต้องร้อนต้องโกรธเพราะสาวไม่ถึงเหตมันก็เรื่องของคุณครับ ผมบอกแล้วไงครับว่ามันเป็นเรื่องของคุณ และสำหรับผมการที่คุณจะว่าหรือไม่ว่า จะมาบอกเท่านั้นเท่านี้ จะมาบอกผมให้ดูตัวเองก่อนอย่างงั้นอย่างงี้ แต่สุดท้ายคุณมาร้อนมาโกรธอันนี้ผมก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลยกับคุณครับ เพราะคุณทำของคุณเองผมไม่ได้จับมือหรือสั่งให้คุณทำนี่ครับจริงไหมครับ คุณเห็นของคุณเอง คุณจะระงับหรือไม่ระงับคุณก็รู้อยู่ของคุณเองไม่ใช่เหรอครับ ก็ทำไปสิครับ ดับไปสิครับจะปล่อยให้ร้อนอยู่ไปทำไม สาวไปหาเหตุง่ายๆคุณทำไม่ได้หรือครับ ถ้าทำไม่ได้ก็ไปทำเสียให้ดีก่อนเถอะครับแล้วค่อยมาบอกว่าผมควรทำอย่างไร
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เอางี้ผมสรุปให้ฟัง ผมไม่อยากทะเลาะหรือโต้เถียงกับพุทธภูมิเพราะว่า
    ๑ผู้เป็นพุทธภูมินั้นจักต้องยอมรับในสิ่งที่ตนเองก่อโดยดุษฏี ไม่ว่าจะลงนรกอเวจีหรือในนรกโลกันต์
    ๒ไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาเหล่านั้นได้เพราะ ผิดหรือถูกอย่างไรเขาจะเลือกและพิจารณาฝ่าฟันได้ด้วยตัวเขาเอง ไม่ว่าเวลาจะนานแสนนานสักเพียงใด
    ๓ มันเป็นเรื่องอันสมควรแล้วที่พุทธภูมิจักต้องรู้ซึ้งทั้งหมด รู้อย่างรู้ซึ้ง หมายถึง ทุกซอกทุกมุม ทั้งหมด ในภูมิทั้ง ๓๑
    จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลครับ และผมจะไม่โต้แย้งอะไรทั้งสิ้นกับคุณพี่ครับหลังจากข้อความนี้
     
  3. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    แหะ แหะ....

    การลงไปดูในภพภูมิแบบที่คุณเค้งเป็นนี่ร้อนเหลือหลายครับ ไม่เห็นน่ามาทดลองอยู่เลยสักนิด
    แต่อย่างที่คุณกล่าวนั้นแหละครับ อย่างไรเสียผมก็ต้องลงมาลองดูบ้างว่ามันร้อนแค่ไหน

    ร้อนแบบนี้ไม่ใช่คติที่สวยแน่เลยครับ หรือว่าคุณชอบแบบร้อนๆแบบนี้ อันนี้ก็เรื่องของคุณครับ

    ไปดีก่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    อย่าไปท้าทาย กับ อกุศล

    มันพาดึงลงต่ำไม่รู้ตัว อำนาจกรรม ยิ่งใหญ่กว่าอะไร

    ยังจะไม่เชื่อกรรม

    ใครที่ ยังบ้าๆ บอๆ อยู่ให้รีบ ละ เสีย และ ให้เอาศีล 5 ให้อยู่ประจำใจ

    สวดมนต์ ให้มาก จะได้มี กุศลในใจ เหมือนน้ำดับไฟ ได้
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    กราบหลวงพ่อพุธ ท่านกล่าวของท่านเพื่อให้รู้ว่า
    ทางเดินของจิตนั้นต้องจำให้แม่นจนเป็นวสี
    จึงจะเข้าสู่วิปัสสนาปัญญาที่แท้จริง

    ใครที่ยังไม่เคยเข้าถึงฌาน๔เลยสักครั้ง
    แต่ก็ยังชอบคุยอวดถึงเรื่องวิปัสสนาที่ตนเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    ล้วนเป็นสัญญาทั้งสิ้น

    ฌาน๔ เมื่อทำจนชำนาญจนเป็นวสีแล้ว
    ไม่ต้องมาเสียเวลาตั้งท่าในการเข้าฌาน๔ให้เสียเวลาเลย
    บางครั้งครูบาอาจารย์ท่านก็เทศน์เพียงเพื่อให้กำลังใจเท่านั้น
    แต่กลับไปยึดเอาคำเหล่านั้นมาเป็นสรณะ
    โดยเพิกเฉยต่อการลงมือปฏิบัติฌาน๔ให้สำเร็จก่อน

    ;aa24
     
  6. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    น้าภูติที่รัก
    หลบภัย ยังไม่ได้บอกเลยว่าหลบภัย can วสีได้ค่ะ
    แค่เรียกว่า เคยเห็นแล้วกันนะ แต่จำยังทางเข้าไม่ได้
    เพราะตอนที่เราทำตอนนั้น หลบภัยไม่สงสัย อาจารย์
    ของหลบภัย บอกให้ทำ ก็ทำ ไม่ได้สงสัยอะไร
    เพียงแต่ว่า หลบภัยเห็นตรงนั้นแต่ประคองไม่ได้
    จิตเลยถอยออกมาเห็นอสุภะตัวเองแทน เพราะประคองสติไม่อยู่
    มันเลยถอยมาแสดงนิมิตรให้ดู หลบภัยเลยบอกว่า ยังไม่ได้ฌาน 4
    แต่หลบภัยก็พอมองออก อ่ะนะน้าภูติที่รัก
    และ น้าภูติจะบอกว่าหากจะวิปัสนาจะต้องฌาน 4 เท่านั้น
    ตรงนี้ หลบภัยไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก เพราะหากเราหลักแม่น
    ไม่ต้องฌาน 4 ก็ได้ เขาแสดงให้ดูเอง หากพ้นเจตนาเมื่อไร ก็เมื่อนั้น
    พระพุทธเจ้าตรัสถูก อันนี้ หลบภัยจำสัญญามาได้ไหม
    การกระทำ ต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญา ถือว่าหลบภัยจำสัญญาของพระศาสดา
    มาแล้วกันค่ะ น้าภูติที่รัก
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ฌาน ๑ ถึง ๔ เมื่อเกิดความปรุงแต่งขึ้นมันต่างกันตรงที่รู้ช้ากับรู้เร็วมากๆ เพราะสติหรือว่าความบริสุทธิ์ของสติมันต่างกันมาก ตอนออกพิจารณาหรือน้อมไปเพื่อพิจารณาเวลามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาเกิดความปรุงแต่งมันจะรู้ทันที ตั้งแต่ฌาน๑เป็นต้นไปนั่นแหละ พอมันรู้ว่านั่นสิ่งแปลกปลอมไม่ใช่สิ่งที่เราพิจารณา ตอนนี้แหละที่จะเกิดบางสิ่งกับตน แต่เรื่องพ้นเจตนานั้นขอบอกว่า ไม่ค่อยเข้าใจในความหมายและเหตุที่ใช้ อาจเนื่องจากการนำพระอภิธรรมมาผสม เชื่อว่าอเหตุกจิต ในเนื้อหาทั้งหลายที่พยายามจะบอกว่าหลวงปู่ดูลย์สอนนั้นโดยความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว แม้ว่าพระอริยะเจ้าอย่างหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ แม้ท่านจะสอนด้วยปริศนาธรรมเสียส่วนใหญ่ หมายถึง เน้นด้านปัญญา แต่ปริศนาส่วนใหญ่ไม่ได้อิงสมมุติแต่อย่างใด และโดยมากก็ไม่อิงอักษร จึงรู้สึกแปลกใจพอสมควรในการนำเรื่องนี้ไปสอดไว้ในหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ ดังนั้นคำว่าพ้นเจตนา จึงเชื่อว่าไม่ได้มาจากหลวงปู่ดูลย์ เป็นเพียงการผสมผสานสัญญาให้ออกมาเป็นเนื้อความเพื่อบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น
    โดยความเห็นส่วนตัวในเรื่องพ้นเจตนานะครับ
    ดังนั้นไม่ว่าหลวงพ่อหลวงปู่หลวงตาที่ท่านปฏิบัติมาท่านจะรู้ดีว่า ทำไมทุกคนควรฝึกสมาธิฝึกฌาน แต่เน้นสมาธิมากกว่า ให้จิตตั้งมั่นมีสตินิ่มนวล เหมาะแก่การวิปัสสนา ไม่มักให้ข้ามไปเว้นเสียบางกรณี หมายถึงบางคนเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คนที่ได้ฌาณ4 แม้จะมีวสี ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ สัมมาสมาธิ

    คนที่ได้ฌาณ4 แล้วมั่นอกมั่นใจว่า ได้สัมมาสมาธิแน่ๆ นั่นคือ ไม่รู้เรื่อง สมาธิเลย!!!

    เพราะหากรู้เรื่องการทำสมาธิ ที่หมายถึงสมาธิของพุทธศาสนาแล้ว
    สมาธิที่ชาวพุทธพูดถึงคือ สัมมาสมาธิ

    และ เมื่อเข้าใจคำว่า สมาธิ ในนัยยะ ของสัมมาสมาธิ ก็จะเข้าใจ ขณิกสมาธิ
    อุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ ที่ครูบาอาจารย์เขาใช้สอน

    แล้วถ้า ไม่ละเมอคิดว่า ฌาณ คือ สัมมาสมาธิ ก็จะต้องยอมรับ ขณิกสมาธิ
    คือ สัมมาสมาธิชนิดหนึ่ง

    ดังนั้น

    การวิปัสสนา ที่กล่าวว่าทำได้เฉพาะทำวสีฌาณ4ได้นั้น ก็จะตกไป

    เพราะ เพียงปฏิบัติสัมมาสมาธิชนิดขณิกสมาธิ แค่นี้ ก็สามารถทำวิปัสสนาได้
    แล้ว

    ไม่เช่นนั้น ครูบาอาจารย์คงไม่สอนสมาธิชนิดอริยาบทย่อย สติสัมปชัญญะ
    บรรพ โดยเฉพาะหลวงพ่อพุธนั้น จะสอนสมาธิในชีวิตประจำวัน เน้นมาตรง
    นี้มากกว่าสมาธินั่งจุมปุ๊ก หรือสมาธิแบบสะกดจิต(คนโดนสะกดละเมอว่าได้
    ฌาณ4คล่องแคล้วอีกต่างหาก ทั้งๆที่ โดนสะกดจิตอยู่ ซึ่งควรระลึกองค์ธรรม
    ที่ได้เพียงศรัทธาเท่านั้น ไม่ใช่ละเมอว่าได้ฌาณ4)


    ถ้าพี่กบฏธรรมภูติ ยังยึดเหนียวแน่นว่าต้องได้ฌาณ4ถึงจะวิปัสสนาได้เท่านั้น
    ก็แปลว่า "ยังไม่รู้จักสัมมาสมาธิเลย" !!!

    ซึ่งถ้ายังไม่รู้จัก สัมมาสมาธิ ก็จะไม่รู้จัก ขณิกสมาธิ และถ้าไม่รู้จักขณิกสมาธิ
    เอาเลย จะเอาอะไรไปทำ ธัมมนุปัสสนาสติปัฏฐาน เล่า!!! สมาธิชนิดช้างกระ
    ดิกหู งูแลบลิ้นไม่รู้จัก และจะภาวนาเห็นตัณหาได้อย่างไร ก็ได้แต่คิดเอา แล้ว
    ก็ตกใจหนีเข้าฌาณ4ตะพึด เพราะคิดว่าต้องกดหัวนิวรณ์ กดกามตัณหา กดพยาปทะ
    เอาไว้แค่นั้น ไม่รู้เรื่องอะไรคือ การก้าวข้าม ก้าวพ้น ...สติการก้าวข้าม ก้าวพ้นไม่
    ได้อบรมไว้ให้มีกับจิต แล้วเข้าฌาณ(1-4)จะเอา สติสัมปชัญญะที่ไหนเข้าไปสัมปยุต!!

    ธรรมะนั้นเป็นอกาลิโก หาก คุณกบฏธรรมพูดดำริขึ้นว่า ต้องได้ฌาณ4 เสียก่อน
    นั่นไม่ใช่หลักอกาลิโกแล้ว แต่เป็น อะนาฬิกายังริจะโก

    [ สำหรับผู้ได้ฌาณ4เป็นวสี แล้ว ไม่ลืมพิจารณากายทุกครั้งที่ออกจากสมาธิ ยกไว้ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    [​IMG]

    ขอไร้สาระบ้าง ฮาๆๆๆๆ
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก
    อกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่

    เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
    เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่

    เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน
    ที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข

    เธอบรรลุจตุตถฌาน(ฌาน๔) ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส
    โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ

    ;aa24



     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ยกบทนี้มาอีกและ

    ไหน อธิบายคำว่า "เสวยสุขด้วยนามกาย" สิว่า

    ที่พี่กบฏธรรมภูติใช้อานาปานสตินั้น "นามกาย" คืออะไร

    อย่าบอกนะว่า กองลม ซึ่งเป็น รูป(มหาภูติรูปเสียด้วย)
     
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ตอบเลยครับพี่ธรรมภูต ตอบเลยครับ เสวยสุขด้วยนามกาย ค่อนข้างชัดเจนครับ ตอบไปเลยครับ
    ใครละเป็นผู้เสวยอามรณ์?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  13. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    อนุโมทนา และเห็นด้วยกับเนื้อความทุกประการฯ
     
  14. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    คำว่าพ้นเจตตนา หากยังไม่ได้ซึ่ง สัมมาทิฐิ และไม่เพียรจริง ถึงเพียรมากแต่ขาดปัญญา
    ย่อมยากที่เข้าใจได้ ธรรมข้อนี้ได้ไม่ต้องมีใครบอกหรือตำราอ้างอิง แต่การเห็นซึ่งได้ด้วย
    ตนเอง นั้นคือธรรมที่ย่อมรู้ได้เพราะตน เท่านั้น และก็ป่วยการที่จะมาเถียงกัน
    หากวันหนึ่ง เหตุการณ์ปรากฏขึ้น เราจะไม่เถียงใครแล้ว เพราะเราประหารความเขลาได้
    บ้างแล้ว เท่านั้น


    ทำให้ตนรู้ คนอื่นไม่รู้ก็ช่างเขา
    เราทำ เพราะทำคือธรรมของเรา
    รอเวลาแบ่งบัน ธรรม เบาเบา
    เมื่อถึง คราว
     
  15. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    เพียร แต่อย่าเพ่งนะ
    ถ้าเพ่งเดี๋ยวเป็นสมาถะนะ
    ผมกลัวจังเลยสมาถะ - -"แต่ผมยังทำสมาถะไม่ได้นะแต่ผมกลัวสมาถะอะ
     
  16. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ก็ดูกลัวไปสิครับ

    ระงับกลัวไม่ได้ จเอาแต่กลัว กลัวเกิดขึ้นแล้วยกปรารภว่า ตนกลัว ตนมีกลัว
    แบบนี้ จะวิปัสสนา จะสมถะ ก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ

    แต่ถ้ากลัวแล้วรู้ เผลอบอกว่าตนกลัวแล้วรู้ทัน ระลึกได้ว่า นี่ไปยึดกลัว
    มาเป็นของๆตนเสียแล้ว ตอนระลึกได้ นั่นวิปัสสนาเกิด(เผลอแล้วรู้)
    สติระลึกได้แล้วชั่วระยะหนึ่ง หากไปเพ่งจิตไม่ให้กลัวมันเกิดอีก ก็อดดู
    กลัวเพราะมันจะนิ่ง พอนิ่งก็นั่นไงไปทำสมถะแล้ว ก็รู้ไปตามนั้น

    รู้เรื่อยๆ รู้เนืองๆ จะผลิกไปไหน ก็รู้ไป

    ถ้าจะเน้นสมถะ ก็เพ่งไปสิครับ

    แต่ถ้าจะสลับมาวิปัสสนาบ้าง ก็รู้ทันไปสิครับว่า เพ่งอยู่ มันก็
    ถอยออกมารู้ที่รู้ หรือ รู้ที่จิต(ลักขณูฯ) เองแหละ ไม่ใช่รู้ที่รูป(อารัมณูฯ)

    จิตเก่งรู้อันไหนก่อนก็รู้อันนั้น

    แต่ถ้าเห็นแล้วจะละอะไรก่อน ก็เห็นอะไรก่อนก็ละอันนั้น

    สลับไปสลับมา อะไรนำหน้า ก็เรียกว่าอันนั้นนำหน้า

    แต่ถ้าทำได้แบบ ขนานกันไป ไม่ก้ำเกินกัน ทำอย่างหนึ่งอีกอย่างหนึ่งไม่หายไป ก็เรียกว่า ควบ

    แต่ทำไปแล้ว เกิดแต่แสงสว่างโพลง ก็รู้ไปว่า มันไปพักเสียเป็นส่วนใหญ่ หลวงตาท่านก็ไม่
    ได้ว่าอะไร ท่านชี้ว่า เป็นของควรติด แต่ติดแล้วก็ต้องรู้จักละวางให้หมด ก็จะถือว่าเพียรอยู่
    ด้วยปัญญาอันยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  17. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คำพูดดูดีทุกประการครับ แต่คำว่าสัมมาทิฐิ นั้นแน่ใจอย่างไรว่า ที่เป็นอยู่นั้นเป็นสัมมาทิฐิ ข้อนี้อะไรบอกได้บ้าง และการบอกว่าพ้นเจตนา จะมีไม่ได้หากไม่เป็นสัมมาทิฐินั้น ข้อนี้ยิ่งงงใหญ่เลยครับ แสดงว่า สิ่งที่เป็นธรรมนั้นผู้อื่นรู้ตามเห็นตามไม่ได้ ไม่ได้เถียงเพียงบอกว่าโดยทัสนะแล้วไม่เข้าใจความหมายและผลของการนำไปใช้ครับ ส่วนเรื่องที่ว่า ความหลงหรือความไม่รู้นั้นในเหตุของสิ่งนั้นๆและก็ว่าด้วยเพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น มันเป็นเหตุเป็นผลของมันไหมเป็นไปตามธรรม ตามปกติของธรรมชาติของจิตไหมถ้าพูดถึงจิตเห็นแบบนั้นแล้วถึงบอกว่าสัมมาทิฐิเป็นแบบไหนได้ แต่ถ้ายังไม่เห็นบางคนก็บอกว่าปฏิบัติ แต่มาที่พ้นเจตนา ผมก็แค่งงเท่านั้นว่า คำว่า พ้นเจตนา นี่เกี่ยวกับว่า สติรู้เกิดดับของสังขารไม่จับยึดหรือไม่ไม่คล้อยตามไปกับสังขารนั้นๆหรือไม่ จึงกล่าวว่าพ้นเจตนา แต่การอธิบายมาก็พอฟังได้แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่อง พระอภิธรรม รู้เพียงว่ามี แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการนำมาใช้จะตรงตามความหมายที่แท้จริงของจิตหรือไม่เพราะหากไม่ตรงหรือไม่ถูกต้อง ทุกอย่างจะพลิกทันที จากสัมมาทิฐิ กลายเป็น มิจฉาทิฐิ ทันที โดยไม่ต้องสงสัย อันไม่ได้จะเถียงเพียงจะถามว่าพ้นเจตนา จริงๆแล้วเขาใช้ตอนไหนอย่างไร แต่สำหรับบางท่านที่พ้นสงสัยเพราะความหลงก็จงเป็นแบบนั้นต่อไปเถอะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  18. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    บอกแล้วว่า การปฏิบัตินั้นรู้ได้เฉพาะตน
    และ ใครก็ถาม ยังถือ สมถะ ยังถือ วิปัสนา
    ทั้งหมดมานี่ แค่วิธีการเท่านั้น
    หลบภัยไม่เคยบอกว่า หลบภัยไม่ได้ทำสมถะ แม้จะกินข้าวอยู่แล้ว ยังถามหา พันธ์ข้าวอีกเนอะ เพราะมันคือวิธีการ และไปเลิกยึดมั้น
    ถือมั้นเท่านั้น ..อิอิ ดำรงชาติ

    วันนี้คุณเห็นกิเลส ตัวเอง หรือยัง หรือ เห็นแต่กิเลสคนอื่นอีกแระ
    แต่หลบภัยยังชั่วเหมือนเดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เห็นแต่เพียงพ้นสงสัยคืออะไรเท่านั้น กิเลสไม่เห็นครับ เพราะไม่ใช่เรื่องกิเลสแต่เป็นเรื่องของเหตุและผลของการมีการเป็นการใช้ คำว่าพ้นเจตนาครับ ไม่ได้คิดว่าใครมีกิเลสแต่อย่างใดทั้งสิ้นครับ เรื่องวิธีการรู้ครับเข้าใจครับ ผมเพียงสงสัยถึงจุดที่ต้องใช้คำว่าพ้นเจตนาเท่านั้น ว่ามันเป็นเรื่องของอะไรเท่านั้นไม่ได้จะไปเพ่งกิเลสของใครทั้งสิ้นครับ ตามเนื้อหาและความหมายทั้งสิ้นครับ มันไม่เกี่ยวกับสมาถะหรือวิปัสสนา มันเกี่ยวกับว่า ทำไมถึงพ้นเจตนา ครับ
     
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คำว่า "พ้นเจตนา" ตรงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า เป็นการพูดของนักปฏิบัติกรรมฐาน

    ไม่ใช่การพูดของ ชาวบ้านชาวช่องที่ไม่เคยสดับ เพราะถ้า พ้นเจตนา เป็นภาษาปาก
    ของชาวบ้าน สติมันจะแล่นไปอย่างที่ควบคุมไม่ได้ไปที่ความหมายว่า "ไม่ทำอะไรเลย"

    ทีนี้ หากพึงสังวรณ์ในสติที่มันแล่นไปได้ในภาษาธรรมของชาวบ้าน แล้วเลือกเฝ้นทำ
    ธรรมวิจัยยะ เห็นว่าสติที่แล่นไปนั้นพ้นการควบคุม จะทำให้สติที่แล่นไปนั้นหยิบความ
    หมายอื่นๆขึ้นมาได้อีก อาจจะมากกว่าเดิม แต่ถ้าสติชัด เลือกเฝ้นธรรมให้ตรงกับธรรม
    ที่กาลเทศะได้ ก็จะหยิบคำว่า พ้นเจตนาแบบภาษานักปฏิบัติ

    พ้นเจตนาภาษานักปฏิบัติ คือ "สติรู้อยู่ที่จิต"

    สติรู้อยู่ที่จิต ก็คือ สภาวะเดียวกันกับ "เสพสุขด้วยนามกาย"

    สภาวะเสพสุขด้วยนามกาย คือ สภาวะ คำบริกรรมหายไป และ ละยังต้อง
    เป็นสภาวะละจากการรู้กายในกายด้วย คือ ไม่ใช่แค่ลำพังคำบริกรรมหายไป
    แต่จะต้องละการรู้องค์กรรมฐานด้วย จึงเรียกว่า รู้เข้ามาที่จิต หรือ รู้เข้ามาที่
    การรู้ของจิต หรือ หยุดอยู่ที่รู้

    เมื่อเข้าใจคำว่า พ้นเจตนา ตรงนี้แจ่มชัด ปฏิบัติทั้งในรูปแบบ และ นอกรูป
    แบบจนเห็นได้ว่า การรู้อยู่ที่จิต หรือ สภาวะเสพสุขด้วยนามกายนั้น มีอยู่
    แล้วตลอดเวลาในพื้นจิตปรกติ ก็อาศัยการรู้เข้ามาที่จิตนั้นนั่นแหละเป็น
    เครื่องชี้วัดว่า นอกเหนือจากการรู้อยู่ที่จิต จิตขณะนั้นรู้สังขารธรรมอื่นใด
    อยู่ สังขารธรรมใดๆก็ตามที่ปรากฏให้รู้ในขณะนั้น เรียกสังขารธรรมนั้นปรากฏ
    ให้รู้โดยพ้นเจตนา

    ก็ให้อาศัยสังขารธรรมเหล่านั้น เป็นเครื่องฝึกการระลึกรู้ต่อไป เรียกว่าเข้า
    มารู้ทวนกระแสธรรมที่ปราณีตขึ้นไปเรื่อยๆ

    เมื่อนักปฏิบัติ ปฏิบัติเห็นสภาวะ พ้นเจตนา ได้ตรงภาษาพระ ตรงภาษาปฏิบัติ

    ที่นี้จิตก็จะไม่แล่นไปในภาษาชาวบ้านอีกเลย เพราะหมดสงสัยแล้ว แต่ถ้า
    ยังปฏิบัติไม่ได้ การสนทนานั้นพอเห็นคำว่า "พ้นเจตนา" จิตของคนที่ปฏิบัติ
    ยังไม่ซึ้งแก่ใจตนก็จะสาละวนงงงวยอยู่กับ พ้นเจตนา ที่แปลว่า ไม่ได้ปฏิบัติ
    อยู่อย่างนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่เองของผู้ขาดการสดับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...