การฝึกอรูปฌานอากาศไม่มีที่สิ้นสุด ประสบการณ์ตรง(ของคนอื่นนะครับ...XD)

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย solardust, 22 กรกฎาคม 2015.

  1. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    ไม่ได้ปฏิบัติทางนี้โดยตรงหรอกค่ะ วิธีการปฏิบัติในรายละเอียดจึงไม่รู้หรอกค่ะ เหตุที่ถามความคิดความเห็นของคุณแนน เนื่องด้วยเชื่อว่า(ความเห็นส่วนตัวนะค่ะ) การที่แต่ละบุลคลมีความเชื่อ ความคิดที่แตกต่างกัน เหตุเพราะมาจากภพภูมที่แตกต่างกัน อยู่ในขอบข่ายของสัญญาที่แตกต่างกัน การรับรู้จึงแตกต่างกัน จึงไม่ใช่สิ่งที่ผิด ที่อีกคนหนึ่ง จะมีความเชื่อ ความคิด แตกต่างออกไป ความคิดที่ต่างออกไปจึงไม่ใช่สิ่งที่ผิด(หากจะผิด ก็ผิดเนื่องจากไม่อยู่ในขอบข่ายสัญญาของเรา แต่ไม่ผิดจากธรรมชาติ) ยิ่งมาจากภพภูมิสูงๆ หากมีความสามารถทำให้รูปหายไปได้ ยิ่งจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น จะมีมุมมอง มีความเห็นที่ต่างออกไป จึงอยากฟังมุมมอง ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ของคุณแนน เพื่อจะได้นำไปปรับใช้ หรือหากมีความเห็นที่เคลื่อนจากธรรมชาติ จะได้สอบถามเพิ่มเติม เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ตรงตามธรรมชาติ

    แต่ผิดเองค่ะที่ถามไม่จบประโยค
     
  2. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ....อื่อ...แต่ที่ตอบไปนั้นไม่ผิดและไม่ถูกน้ะ (ที่เราตอบไปน่ะ) เพราะแท้ที่จริงแล้ว ธรรมชาติถ้าไม่ฝึกปฏิบัติแล้ว จะเข้าถึงส่วนนี้เนี่ยยาก คือเมื่อบริกรรมภาวนาจนคำภาวนาหายไป จิตผู้รู้ รู้อากาศทั่วแล้ว ที่ต่อมาเห็นจิต เพราะ ตัวผู้รู้เนี่ย รู้ผู้รู้อยู่ (ญาณเห็นจิตจากการปฏิบัติเลยขั้นอากาศานันจายนะแล้วเห็นตัวผู้รู้นิ่งอยู่)...ทีนี้ถ้าต้องการแนวปฏิบัติต่อไปก็แนะนำแนวทาง สายหลวงปู่มั่นเช่น หลวงตาพระมหาบัวเป็นต้น ...ท่านทราบเลย
     
  3. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    ขออนุญาติสนทนาเพิ่มเติมค่ะ เห็นคุณแนนมีการกล่าวถึงเรื่องรู้และสิ่งที่ถูกรู้ ไม่แน่ใจว่าจะมีความเข้าใจเหมือนกันหรือเปล่า โดยส่วนตัวแล้วสังเกตุพบอาการรู้ และอาการสิ่งที่ถูกรู้ ดังต่อไปนี้

    1. ไม่สามารถแยกอาการรู้และอาการสิ่งที่ถูกรู้ได้ ผลลัพธ์จึงทำให้เมื่อกระทำการต่าง ๆ หรือ มีความคิด มีความเห็น จะทำให้รู้สึกว่ามีเราเป็นคนกระทำ มีเราเป็นคนคิด

    2.แยกอาการรู้ และอาการสิ่งที่ถูกรู้ได้(ความว่าง ความคิด ความเห็น ความรู้สึก) แต่เหมือนจะรู้อยู่เฉพาะกรอบภายนอก เห็นเป็นกลุ่ม เป็นก้อน ไม่ได้เข้าไปสู่ภายใน ยังไม่สามารถแยกเหตุ หรืออาการก่อนที่จะเกิดความคิด ความเห็น ความรู้สึกได้ จึงทำให้มีผลลัพธ์ออกมาว่า ความคิด ความเห็นที่ออกมานั้น เป็นความจริง ความคิดเห็นอื่นที่ต่างจากของตนนั้นเป็นความเห็นที่ผิด เหมือนจะยึดในความของตน

    3. ตั้งรู้และสิ่งที่ถูกรู้ได้ รู้อยู่กับความว่าง เมื่อมีผัสสะ สิ่งที่ถูกรู้จะเปลี่ยนจากความว่าง เป็นความรู้สึก ความคิด ความเห็น สามารถเข้าไปในความรู้สึก ความคิด ความเห็นได้ เข้าไปเห็นเหตุ เห็นอาการก่อนหน้าได้ ผลลัพธ์จึงทำให้อ่านค่าของ ความคิด ความเห็น ความรู้สึกได้

    4.ตั้งรู้และสิ่งที่ถูกรู้ รู้อยู่กับว่างให้ต่่อเนื่องที่สุด โดยส่วนตัวกรณีนี้จะใช้เมื่อต้องการอ่านค่าของความคิด ความเห็น ความรู้สึก บางค่าที่ยังไม่ทราบสาเหตุ ยังไม่เข้าใจ จึงตั้งความสนใจแล้วอยู่กับว่างให้ต่อเนื่องที่สุด แล้วมันก็จะเกิดความเข้าใจ เห็นในธรรมชาติที่สอดคล้องกัน ความคิด ความเห็นนั้นจะถูกอ่านค่าได้

    5. รู้อยู่กับความว่าง มีเจตนาในการสร้างความคิด เข้าไปในความคิดเพื่อหาความรู้สึกว่าเป็นเรา หาพบหยุด หาพบหยุด แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรไม่ทราบ

    6. รู้อยู่กับความว่าง เปลี่ยนความว่างเป็นการภาวนา(ความรู้สึก) จึงเหมือนรู้อยู่กับความรู้สึก แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรไม่ทราบ

    ไม่ทราบเห็นเหมือนกันหรือเปล่า หรือเห็นต่างไปอย่างไรบ้าง หรือมีความเห็นเพิ่มเติมไปอีกอย่างไรบ้าง แต่ขอการอธิบายเป็นอาการนะค่ะ เป็นบัญญัติไม่ค่อยเข้าใจค่ะ
     
  4. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    .....ยกตัวอย่างสิ่งรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ กล่าวได้โดย สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ เช่น คิดถึงเพื่อน เพื่อนก็เป็นสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ(รู้จิต รู้ว่าเพื่อนเป็นสิ่งที่ถูกรู้ทันทีเลยง่ายๆ)ไม่ต้องไปช่วยเค้าคิดเพิ่มเติมอะไร เพราะธรรมชาติของจิต อย่างที่บอกก็ถูกแล้ว เพราะเข้าสู่ความว่างก่อน ..แล้วจิตเค้าก็คิดขึ้นมาเอง ..แล้วเอาคำบริกรรมภาวนามาสร้างสติ ก็ดี ทีนี้ก็จะมี คำบริกรรม ความคิด ความว่าง เป็นเช่นนี้ เห็นความคิดของตน ยิ่งเห็นจุดกำเนิดความคิดยิ่งอย่างดี ...ทีนี้ มาอภิปรายความว่าง เมื่อยังติดความว่างคืออยากสงบเข้าอยู่ความว่าง แล้วยังไม่เห็นจิต เนี่ย ควรต้องแยกจิต นำมาใช้ทาง กายในกาย จิตในจิต ถ้าปฏิบัติ เห็นจิตจึงนำมาใช้พิจารณาสิ่งต่างๆ แต่ ควรใช้ อากาศานันจายตนะในการรวมจิต คือ รู้ญาณรู้ผู้รู้ แล้วจึงนำมาใช้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ทำนองนี้ อากาศานันจายตนะจะเดินถูกทาง โดยอีกขั้นคือจิต เค้าละของเค้าเอง ตามสภาวะธรรม....ฝากไว้พิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2018
  5. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอบคุณทุกท่านที่พยุงกระทู้นี้
    มาจนถึงวันนี้ครับ
    ทำให้ผมยังได้รับข้อมูลต่างๆ เหล่านี้อยู่
    กำลังฝึกอยู่ครับ
    ก็หลายอย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้ว
    ไว้มาเล่าวันหลังน่ะครับ
    ตอนเด็กๆ
    เคยเล่นกับความรู้สึกเหล่านี้แบบไม่ตั้งใจ
    เพราะทำแล้วให้ความรู้สึกที่สบายใจ
    ประกอบกับวิถีการดำรงชีวิต
    อยู่ในแนวพื้นที่ประมาณนี้ โล่ง โปร่ง สุดหล้า ฟ้าเขียว ท้องฟ้า
    แนวเด็กๆ ในยุคสังคมไร้วัตถุนิยม บ้านป่าเขา ลำเนาไพร ท้องไร่ท้องนา
    ก็เลยบังเอิญเข้าไปเล่นกับความรู้สึกแบบไม่ตั้งใจ
    ไม่รู้ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องมาฝึกในตอนโต
    รู้งี้ทำให้จริงจังแต่อายุยังน้อยล่ะ
    จะได้เสร็จๆ ไปเสียที
     
  6. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,085
    เมื่อสามารถรวมกับอากาศ แล้วขยายออกไปจนสุดได้แล้ว จนไม่สามารถขยายได้อีก
    จนเห็นดวงลอยอยู่ ให้พิจารณาว่า อากาศก็มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน ยังไม่ใช่สิ่งที่ปราถนา
    ซึ่งก็คือนิพพาน เมื่อไรที่จิตปล่อยวาง อากาสาได้
    ตัวรู้ก็จะมองเห็น แสงสว่างลอยอยู่เหนือดวงจิตนั้น
    ก็เลื่อนจิตขึ้นไปที่แสง ก็จะเข้าสัญญา
     
  7. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015
     
  8. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนผมได้พาไปไหว้พระที่ "ที่พักสงฆ์ริมคลองประปา หลวงปู่เจือ สุภโร"
    (หลวงปู่ท่านมรณะภาพไปแล้วนะครับ)

    จากการสอบถามกับพระและคนที่ไปฝึกสมาธิในที่พักสงฆ์ ได้ทราบว่าวิธีที่ใช้ฝึกสมาธิกันที่นี่คือ หลับตานึกถึงภาพท้องฟ้าไปเรื่อยๆ
    ผมได้ถามไปว่าเมื่อเข้าฌาณไปแล้วมีรูปนิมิตแบบไหนตั้งอยู่ ท่านตอบว่าเมื่อเข้าอัปนาสมาธิไปแล้ว ไม่ปรากฏรูปนิมิตใดๆ มีแต่อารมณ์ฌาณตั้งอยู่

    แปลว่าที่นี่ฝึกอรูปแบบไม่ผ่านกสิณกันเป็นปรกติ ใครมีใจรักจะฝึกก็ลองไปสอบถามวิธีการและสอบอารมณ์กันได้ที่นี่นะครับ

    ข้อเสียของอรูปฌานเท่าที่นึกออก ที่น่าจะมีก็คือ ถ้าก่อนตายจิตรวมตัวเข้าอรูปฌานตามความเคยชิน ก็จะไปเกิดเป็นอรูปพรหม ก็จะทำให้
    - อายุยืนไปหน่อย
    - อยู่ในสภาพที่ไม่รับรู้อะไร ทำให้ชาติต่อๆไปกำเนิดต่อๆไป เวลาฝึกอตีตังสนาญาณ ก็จะมาติดกันที่นึกย้อนหลังไปได้ถึงแค่ตอนเป็นอรูปพรหม จากนั้นก็นึกต่อไม่ออกว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเป็นอรูปพรหมนั้นเป็นยังไง

    ส่วนใครที่ได้สิทธิ์ VIP เป็นพระโพธิสัตว์เข้าบารมีตอนปลายไปแล้ว ได้รับการยกเว้นไม่ต้องไปเกิดเป็นอรูปพรหมนะครับ ฝึกได้เต็มที่
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015

    ข้อเสีย ของ ผู้ที่ฝึกอรูปฌาน ก็คือ ทำให้หลงลืมง่ายเหมือนคนแก่ เมื่อแช่ อยู่ในอารมณ์นั้นนานๆ
     
  10. KunthoNon

    KunthoNon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2022
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ก่อนอื่นเลยขออนุโมทนาสาธุ กับนักปฏิบัติทุกท่าน แนวทางการปฏิบัติมีมากมาย และจะมาบรรจบเพียงเส้นทางสายหลักเพียงสายเดียว เพราะฉะนั้นการรับรู้ และประสบการณ์การเข้าถึงจึงมีหลายระดับ และต่างกันออกไป แต่ผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงธรรมที่อยู่ระดับเท่ากัน หรือมากกว่าเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจในสภาวะธรรมนั้นได้

    ผมชอบในคำตอบของคุณแนน จันทบุรี ในข้อนี้นะครับ เป็นเรื่องจริงที่ถูกต้องที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นในสมาธิ เมื่อถึงระดับจิตที่เป็นผู้รู้แล้ว เราทำได้แค่รู้อยู่อย่างนั้นเฉยๆครับ

    ในกระทู้นี้ใจความสำคัญคือพูดถึงฌาน5 หรืออรูปฌาน1 เพียงเท่านั้น เมื่อไหร่ที่ปฏิบัติลึกเข้าไปถึงฌาน8 หรืออรูปฌาน4 แล้วออกมาได้แล้ว ผู้นั้นจะรู้เองครับว่าการเกิดเป็นอย่างไร แต่การไปถึงความดับนั้นยังไม่ใช่ทางนี้ ต้องเจริญปัญญาเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการยืนยันที่ดีในคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมหาศาล ผมคนนึงที่เคยหลงลงไปลึก แล้วออกมา ทำให้จากที่มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัยที่มีมากอยู่ก่อนแล้ว กลับเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ อย่างไรก็ดี ในกระทู้นี้คือการบอกเล่าและแชร์ประสบการณ์ ในการทำสมาธิ ว่าด้วยเรื่องฌานและอรูปฌาน แต่สิ่งที่นักปฏิบัติควรให้ความสนใจ และปฏิบัติเพื่อให้ได้มรรคผลนิพพาน หรือจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา สิ่งสำคัญที่จะนำพาให้ไปได้มีเพียง "ปัญญา" เท่านั้นครับ กราบสาธุในธรรม และสาธุในการปฏิบัติของทุกท่านด้วยครับ ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...