การปรารถนาพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 16 กรกฎาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    22.สมเด็จพระกกุสันธะอุบัติ

    กาลเมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเราตอนต้นพภัทรกัปนั้น พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถด้วยทรงมีพระมหากรุณาในพระทัย ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยา ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนาอันเสื่อมสูญไปจากโลกนานนักหนาแล้ว ให้ปรากฏมีขึ้นเพื่อประชาสัตว์ทั้งหลายจักได้ดื่มอมตรสถึงสันติบทคือพระนิพพาน พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกุตมาจารย์ประทานโลกุตรสมบัติอันสูงสุดให้แก่ปวงสัตว์เป็นอันมากแล้ว

    ครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในขัตติยราชวงศ์ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมชนกาธิราชเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้เสวยราชสมบัติทรงพระนามว่า สมเด็จพระเขมะนราธิราช พระองค์ทรงมหิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนด้วยพระมหากรุณาดุจบิดากับบุตร เป็นที่สุดเคารพของปวงประชากร เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม

    วันหนึ่งทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้ว มีพระทัยโสมนัสเลื่อมใสนักหนา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ทรงพระอุตสาหะเสด็จไปสดับพระธรรมเทศนาในสำนักแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเป็นประจำทุกวันอุโบสถพร้อมกับได้ถวายทานในพระศาสนาเป็นอันมาก ต่อมาก็ทรงมีพระราชศรัทธายิ่งขึ้นเป็นลำดับ

    ในที่สุด ทรงสละราชสมบัติออกบรรพชาในสำนักแห่งพระบรมศาสดา ทรงพระอุตสาหะศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉานในพระไตรปิฎก ปรากฏพระคุณนามเป็นพิเศษว่า พระธรรมปิฎกธราธิราชภิกขุ เป็นที่เคารพเลื่อมในของประชาชนทั้งหลายในสมัยนั้นเป็นอันมาก

    กาลวันหนึ่งสมเด็จสรรเพชญ์กกุสันธะบรมไตรโลกนาถโลกาจารย์จึงโปรดประทานพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า

    “พระเขมราชภิกขุนี้ เป็นนิตยโพธิสัตว์เที่ยงแท้จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในอนาคตกำหนดนับเป็นลำดับองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้”

    ครั้นทรงกระทำพระพุทธพยากรณ์แก่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าซึ่งพระเขมราชภิกขุฉะนี้แล้ว สมเด็จองค์พระประทีปแก้วกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงบำเพ็ญพระพุทธกิจอยู่จนตลอดอวสานกาล เมื่อประมาณพระชมมายุยืนถึงสี่หมื่นปี ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายหน่อพระชินสีห์เขมราชภิกขุผู้มีพระพุทธบารมีญาณใกล้จะสำเร็จ เมื่อได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระทศพลญาณก็มีกมลโสมนัสปรีดา สมาทานถือเที่ยงทศบารมีธรรมไม่เสื่อมคลาย ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ก็อุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริญ ณ สวรรค์เทวโลก
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    23. สมเด็จพระโกนาคมนะอุบัติ

    เมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่ชั่วขณะเวลานานสิ้นกาลได้ พุทธันดร หนึ่งแล้วจึงมีสมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลกในภัทรกัปนี้อีกพระองค์หนึ่ง

    สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่นี้ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้วก็ทรงมีพระมหากรุณาบำเพ็ญพระพุทธจริยาทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนา ยังประชาสัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทพยดาและมนุษย์ให้ได้ดื่มอมตรสซึ่งสันติบทคือนฤพานให้พ้นจากทุกข์ภัยอันใหญ่หลวงในวัฏสงสารเป็นอันมากแล้ว

    กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในขัตติราชวงศ์ ณ กรุงมถิลาราชธานี เมื่อสมเด็จพระชนกาธิบดีเสด็จสวรรคตแล้วก็ได้เสวยราชสมบัติทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรรพตบรมขัตติยาธิบดี ทรงมีมหิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชานิกรให้ได้รับความผาสุกสวัสดีเสมอเป็นนิตย์ เพราะทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม

    วันหนึ่ง ได้ทรงมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วสดับมธุรธรรมิกถา ทรงมีจิตศรัทธาเลื่อมใส จึงได้ถวายไตรจีวรอันตระการด้วยกัปปาสิกพัสตร์และโกไสยพัสตร์กับรองเท้าทำแล้วด้วยกนกรัตน์ แล้วถวายภัตตาหารอันประณีตแก่พระอริยสงฆ์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่สิ้นกาลเจ็ดวัน ครานั้นถึงจุดเข้าพรรษาจึงทรงอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดากับพระอริยสงฆ์สาวกให้เข้าจำพรรษา ณ อารามใกล้กรุงซึ่งทรงสร้างขึ้นแล้วทรงอุปัฏฐากบำรุงอยู่เป็นนิตย์ตลอดไตรมาสสามเดือน

    ครั้นกาลเวลาเคลื่อนคล้อยออกพรรษาแล้ว ก็ทรงมีพระศรัทธาบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมณบริขารแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระทศพลเป็นประธานอีกเป็นอันมาก

    คราที่นั้น องค์สมเด็จพระโกนาคมนะบรมศาสดา เมื่อทรงมีพระมหากรุณาแก่บรมกษัตริย์ จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนาภัตตานุโมทนาเป็นพิเศษ ครั้นทรงสดับธรรมิกถาของสมเด็จพระโลกเชษฐแล้ว พระเจ้าบรรพตบรมกษัตริย์ก็มีพระทัยเลื่อมใสยิ่งนัก ทรงสละราชสมบัติออกทรงผนวชบวชเป็นพระภิกษุในสำนักแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ทรงพระอุตสาหะศึกษาเล่าเรียนจนทรงมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฏกเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวประชาในสมัยนั้นเป็นอันมาก

    ครั้งนั้น จึงองค์สมเด็จพระภาคโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้บรมไตรโลกาจารย์ ได้โปรดประทานพระพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า

    “พระบรรพตราชภิกขุนี้ เป็นนิตยโพธิสัตว์เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ณ กาลใกล้ในอนาคต กำหนดเป็นลำดับองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้”

    สมเด็จพระชินสีห์โกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นทรงกระทำพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้แล้ว ก็ทรงบำเพ็ญพระพุทธกิจโปรดพุทธเวไนยอยู่พระชนมายุได้สามหมื่นปีก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป

    ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์บรรพตราชภิกขุผู้มีพระบารมีใกล้จะสำเร็จ เมื่อได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธองค์ดังนั้น ก็มีพระกมลเกษมโสมนัสปรีดาทรงพระอุตสาหะสร้างพระพุทธาภินิหารให้มากมั่นในสันดานสมาทานถือเที่ยงทศบารมีธรรมไม่เสื่อมคลาย ครั้นแตกกายวายชีวิตแล้วก็มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า คือ สังสารณาการท่องเที่ยวในมนุษย์แลสวรรค์เป็นอันมาก ด้วยวิบากกุศลกรรมความดีที่พระองค์ทรงสร้างไว้แต่อดีตชาติ แลบัดนี้ ก็ใกล้จักสำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ฉะนั้น พระองค์จึงไม่คลาดแคล้วจากสุคติภูมิ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    24. สมเด็จพระกัสสปะอุบัติ

    เมื่อ ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาชั่วระยะเวลานานได้ พุทธันดร หนึ่งแล้ว คราที่นั้นจึงปรากฏมีองค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้อีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนาถ

    เมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้วก็ทรงมีพระมหากรุณาบำเพ็ญพระพุทธจริยา ทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนายังประชาสัตว์ทั้งทวยเทพแลมนุษย์ให้ได้รับสมบัติอันประเสริฐสุด คือ มรรคผลนิพพาน

    กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นมนุษย์หนุ่มนามว่า โชติปาลมาณพ ได้ศึกษาแจ้งจบในไตรเพทางคศาสตร์ ปรากฏว่าเป็นผู้ฉลาดรอบรู้ในการพิจารณาดูภูมิสถานและอากาศวิถีแห่งนักษัตรฤกษ์นิมิตมีสหายร่วมชีวิตนามว่า ฆฏิการมาณพ เป็นนายช่างหม้อ

    วันหนึ่งได้สดับข่าวกิตติคุณบันลือว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นโลกแล้ว จึงชวนกันเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นได้สดับมธุรธรรมนิกายแล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วเต็มไปด้วยเลื่อมใสศรัทธา จึงสละเพศฆราวาสเป็นภิกษุภาวะในพระบวรพุทธศาสนา มีความอุตสาหะในคันถธุระ พยายามศึกษาเล่าเรียนจนได้รับยกย่องนับถือจากมหาชนเป็นอันมาก

    ครั้งนั้น จึงองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์กัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมโลกนายก ทรงไว้ซึ่งพระสัพพัญญตญาณได้ทรงมีพระพุทธบรรหารพยากรณ์ว่า

    “พระโชติปาลภิกขุนี้ เป็นนิตยโพธิสัตว์เที่ยงแท้ที่จะตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีศากยโคดม ในอนาคตกาลภายภาคหน้า เมื่อศาสนาแห่งเราตถาคตเสื่อมสูญสิ้นหมดไปแล้ว พระโชติปาลภิกขุจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากเราตถาคต กำหนดนับเป็นลำดับองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้”

    สมเด็จพระชินสีห์กัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นทรงกระทำพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้แล้ว ก็ทรงบำเพ็ญพระพุทธกิจโปรดพุทธเวไนยอยู่พระชนมายุได้สองหมื่นปีก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์โชติปาลภิกขุผู้มีพระบารมีใกล้จะสำเร็จ เมื่อได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธองค์ดังนั้น ก็มีพระกมลเกษมโสมนัสปรีดาทรงพระอุตสาหะสร้างพระพุทธาภินิหารให้มากมั่นในสันดานสมาทานถือเที่ยงทศบารมีธรรมไม่เสื่อมคลาย ครั้นแตกกายวายชีวิตแล้วก็มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่อุบัติ
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งปวงนั้น เมื่อพระองค์ท่านทรงสร้างพระบารมีในระยะกาลเวลาหนึ่งแสนมหากัป ทรงมีโอกาสพบและได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 15 พระองค์ ซึ่งมีรายละเอียดปรากฏตามที่พรรณนามานี้

    ฉะนั้น จึงเป็นอันสรุปได้ว่า ในการสร้างพระพุทธบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณของพระองค์ในตอนปลาย ซึ่งนับเป็นเวลานานมากหลายถึง 4 อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัปนั้น พระองค์ได้ทรงพบพระพุทธเจ้ารวมทั้ง 27 พระองค์ คือ

    1. ในตอนระยะเวลา 4 อสงไขยนั้น ได้ทรงพบพระพุทธเจ้า 12 พระองค์
    2. ในตอนระยะเวลาหนึ่งแสนมหากัปนั้น ได้ทรงพบพระพุทธเจ้า 15 พระองค์

    รวมสองระยะเวลานี้เข้าด้วยกัน จึงเป็นอันว่าพระองค์ทรงมีโอกาสพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 27 พระองค์ แต่พระองค์ทรงได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งพระพุทธเจ้าเพียง 24 พระองค์เท่านั้น

    เพราะว่าในพุทธสมัยแห่งพระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก คือ สมเด็จพระตัณหังกรพุทธเจ้า 1 สมเด็จพระเมธังกรพุทธเจ้า 1 สมเด็จพระสรณังกรพุทธเจ้า 1 นั้น ถึงแม้พระองค์ท่านจะได้มีโอกาสพบทุกๆ พระองค์ก็ดี ก็ยังไม่ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ เพราะธรรมสโมธานยังไม่บริบูรณ์

    มาได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์เอา ตั้งแต่สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงสมเด็จพระบรมศาสดากัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงเมื่อตะกี้นี้เป็พระองค์สุดท้าย จึงเป็นอันรวมความได้ว่า สมเด็จพระบรมครูเจ้าของเราทั้งหลาย เมื่อครั้งเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ได้รับลัทธยาเทศจากสำนักแห่งองค์พระโลกเชษฐสัมมาสัมพุทธเจ้ารวมด้วยกันทั้งสิ้น 24 พระองค์ ด้วยประการฉะนี้

    เมื่อหน่อพระชินสีห์บรมโพธิสัตว์ได้รับลัทธยาเทศเป็นครั้งสุดท้ายจากสำนักแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุกกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้แล้ว พระองค์ก็ยิ่งต้องสร้างพระบารมีต่อไปอีกอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะเหตุที่พระองค์มีน้ำพระทัยรักในพระโพธิญาณ รักในพระศาสนาเป็นกำลัง ก็ความที่พระองค์มีน้ำพระทัยรักและเป็นห่วงใยในพระบวรพุทธศาสนานี้ มีตัวอย่างที่จะเห็นได้ง่ายๆ ตามเรื่องที่ปรากฏในตอนใกล้ที่จะได้ตรัสรู้นี่เอง ดังต่อไปนี้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระอมรินทเทวราชโพธิสัตว์

    เมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่ศาสนาของพระองค์ที่ทรงพระมหากรุณาประกาศไว้ยังดำรุงอยู่ ยังมีผู้ประพฤติตาม พุทธบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ก็ยังมีอยู่ครบ แต่กาลค่อยล่วงเลยมา พระศาสนาของพระองค์ก็ค่อยเสื่อมถอยลง

    เพราะพุทธบริษัทต่างพากันประพฤติกรรมลามกเลวทรามประการต่างๆ ไม่ตั้งอยุ่ในพระธรรมวินัย เห็นไปว่าศาสนาคำสอนของพระบรมศาสดาเป็นของไม่สำคัญ จึงพากันถือเอาศาสนาเป็นเครื่องมือสำหรับเลี้ยงชีวิต เห็นศาสนาเป็นเครื่องเล่น เอาความคิดความเห็นอันไม่ถูกต้องของตนเข้ามาระคนปนกับคำสอนของพระบรมครูเจ้า มีน้ำใจดูเบาในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า บอกเล่าพระพุทธพจน์ผิดๆ ถูกๆ เพราะขาดการปฏิบัติ จึงขจัดวิจิกิจฉาความสงสัยในพระรัตนตรัยให้ออกจากดวงใจของตนมิได้

    เมื่อมีความสงสัยอยู่ ความเชื่อในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่มีอันตั้งมั่นแน่นอนลงไปได้ จึงพากันประพฤติกรรมอันเป็นบ่อนทำลายศาสนาที่ตนเคารพนับถือกันไม่รู้ตัว เมื่อกายแตกวายชีวิตแล้ว พุทธบริษัทเหล่านั้นต่างก็พากันไปเกิดในนิรยภูมิ คือ ต้องตกนรกหมกไหม้ได้เสวยทุกข์อย่างนี้มากมายนักหนา

    คราที่นั้น จึงสมเด็จพระอมรินทเทวาธิราช เจ้าจอมสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพระโชติปาลภิกขุ ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นจำได้ไหมเล่าท่านทั้งหลายว่าโชติปาลภิกขุองค์นี้ คือ ท่านผู้ใด ถูกแล้ว ก็คือพระโชติปาลภิกขุองค์ที่พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงมีพระมหากรุณาพยากรณ์ว่าจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ตามที่เล่ามานั่นเอง

    บัดนี้ได้มาสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นจอมเทพยเจ้า ณ สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดำรงพระยศยิ่งใหญ่ในตำแหน่ง สมเด็จพระอมรินทราธิราช คือ พระอินทร์ เสวยทิพยสมบัติปกครองเทพบริษัทอยู่โดยผาสุก เมื่อได้ทรงทราบว่าพวกพุทธบริษัทพากันเป็นอลัชชี ไม่มีความละอายต่อบาป กระทำการหยาบช้าเป็นการย่ำยีพระพุทธศาสนา ประพฤตินอกพระธรรมวินัยของพระบรมศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาอันแสนประเสริฐต้องเสื่อมลงเช่นนั้น

    ก็พลันบังเกิดความสังเวชในดวงจิต และมีพระทัยคิดจะยกย่องพระบวรพุทธศาสนาจึงมีเทวโองการรับสั่งให้หา พระมาตุลีเทพบุตร เข้ามาเฝ้า แล้วจึงมีเทวประกาศรับสั่งให้พระมาตุลีเทพบุตรนั้นจำแลงแปลงเพศเป็นสุนัขตัวใหญ่นักหนาขนาดม้าอาชาไนย มีเขี้ยว 4 ซี่ใหญ่เท่ากับผลกล้วยทั้งมีรัสมีพวยพุ่งออกจากปากน่ากลัวยิ่งนัก ปรากฏว่ามีความน่ากลัวขนาดที่หญิงมีครรภ์เห็นเข้าแล้วตกใจจนครรภ์ตกไปได้ทีเดียว

    พระมาตุลีเทพบุตรสุนัขแปลงมีพวงดอกไม้แดงผูกที่ศีรษะ ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทร์เทวาธิราชผู้โพธิสัตว์เอง ก็ทรงจำแลงแปลงเพศเป็นนายพรานนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดคร่ำ เกล้าผมข้างหลัง สวมพวงดอกไม้แดงที่คอ หัตถ์ข้างซ้ายถือธนู มีสายประกอบด้วยสีเหมือนแก้วประพาฬ หัตถ์ข้างขวาถือเชือกผูกสุนัขนั้น แล้วก็พลันเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ชั่วดาวดึงส์ดั้นด้นมาถึงมนุษยโลก ณ กรุงพาราณสี ซึ่งมีพระเจ้าอุสสินนรมหาราช เป็นพระราชาในสมัยนั้น ครั้นจวนจะถึงพาราณสีซึ่งมีระยะทางกึ่งโยชน์ ก็ทรงอุคโฆษณาการร้องประกาศกึกก้องขึ้น 3 ครั้ง

    ภิกษุทั้งหลาย โลกจักฉิบหาย
    ภิกษุทั้งหลาย โลกจักฉิบหาย
    ภิกษุทั้งหลาย โลกจักฉิบหาย

    แล้วก็ทรงดำเนินจูงสุนัขใหญ่บ่ายหน้าไปยังพระบรมราชวัง ด้วยอาการขรึมน่ากลัวนักหนา

    ฝ่ายชาวประชาทั้งหลาย เมื่อได้ประสบการณ์เช่นนั้นต่างก็พากันตกใจกลัวเป็นที่ยิ่ง วิ่งหนีเข้าไปกราบทูลพระเจ้าอุสสินนรมหาราชให้ทรงทราบ พระองค์ก็รีบรับสั่งให้ปิดประตูพระนครเสียโดยเร็ว เมื่อนายพรานมาถึงเห็นประตูวังปิดอยู่เช่นนั้นก็พาสุนัขดำใหญ่ของตนกระโดดข้ามประตูวังซึ่งมีความสูง 18 ศอก เข้าไปในพระนครได้แล้ว

    ก็ปล่อยให้สุนัขเที่ยวไล่กัดคนทั้งหลายเป็นโกลาหล คนเหล่านั้นก็พากันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต บางคนวิ่งเข้าไปในเรือน บางคนวิ่งเข้าไปในพระลานหลวง พระราชาทรงเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ตกพระทัย สุนัขตัวใหญ่นั้นก็ยกเท้าหน้าทั้งสองขึ้นเหยียบช่องพระแกล แล้วก็เห่าขึ้นด้วยเสียงดุดันลงไปถึงอเวจีมหานรก และทางเบื้องสูงก็ดังขึ้นไปถึงพรหมโลก ชาวเมืองต่างก็พากันตกใจกลัวอกสั่นขวัญหาย ไม่มีใครกล้าออกมารอหน้านายพรานประหลาดนั่นได้เลย

    เมื่อพระเจ้าอุสสินนรมหาราชรวบรวมพระสติได้มั่นแล้ว จึงมีพระดำรัสถามนายพรานป่าไปว่า

    “สุนัขของท่าน มันเห่าเพราะอะไร”
    “มันหิว พระเจ้าข้า” นานพรานป่ากราบทูล
    “ถ้าเช่นนั้นก็มิเป็นไร เราจะหาอาหารให้มันเอง”

    พระราราตรัสแล้วก็ดำรัสสั่งให้คนจัดหาอาหารมาให้สุนัขนั้น เมื่ออาหารถูกนำมาวางให้ตรงหน้า สุนัขใหญ่นั้นเคี้ยวขย้ำเพียงคำเดียวก็หมดแล้ว จึงเริ่มเห่าดุดันด้วยเสียงเขย่าขวัญคนทั้งหลายต่อไปอีก พระราชาก็ทรงให้จัดอาหารมาให้สุนัขใหม่ แม้จะหามามากมายหลายครั้งหลายหนจนอาหารหมดวังสุนัขนั้นก็เคี้ยวกินจนหมดสิ้นและหาอิ่มไม่ แล้วทำกิริยาตาขวางดุร้ายเห่าด้วยเสียงดังขึ้นอีก ก็ทรงเกรงกลัวยิ่งนัก เพราะทรงตระหนักสงสัยว่าคงเป็นยักษ์ปลอมแปลงมาหรืออย่างไร

    จึงดำรัสถามพรานป่าต่อไปว่า
    “สุนัขดำของท่านนี้ ดูท่าทีดุร้ายเหลือประมาณ มีเขี้ยวมีฟันขาวคมใหญ่ จะให้กินเท่าใดก็ไม่อิ่ม มันกัดกินแต่อาหารหรือว่ากินอย่างอื่นด้วย”

    “ขอเดชะ ข้าแต่พระเจ้าอุสสินนรมหาราช สุนัขของข้าพระบาทตัวนี้ มันกัดกินมนุษย์ด้วยพระเจ้าข้า” พรานป่าสมเด็จพระอมรินทราธิราชตอบ
    “สุนัขของท่าน กินมนุษย์ทุกคนหรือ หรือว่าเลือกกินเฉพาะเป็นบางคน” พระราชาทรงถามด้วยความหวั่นเกรง

    “มันเลือก พระเจ้าข้า เลือกยกเว้นเฉพาะผู้ที่มีธรรมเป็นมิตรของข้าพระบาทเท่านั้น มันจึงจะไม่กัดกิน แต่ถ้าผู้ใดไม่ใช่มิตรในธรรมของข้าพระบาทนี้หากมีอยู่ในโลกแล้ว สุนัขดำตัวนี้ เมื่อหลุดจากเชือกล่ามคอที่ข้าพระบาทถือไว้ มันจะวิ่งไปกัดกินคนเหล่านั้นเป็นอาหารทั้งหมด ขอพระองค์จงทรงจำไว้เถิดพระเจ้าข้า”

    พรานป่ากราบทูลดั่งนี้แล้ว ยังมิทันที่พระราชาจะดำรัสถามสิ่งใดต่อไป ก็เหาะลอยขึ้นไปกลางอากาศเวหา กายากลับเพศเป็นองค์สมเด็จพระอมรินเทวาธิราช รุ่งเรืองด้วยเทพรัศมีแล้ว มีเทวโองการขู่กษัตริย์อุสสินนรราชาผู้ครองนครนั้นว่า

    “ดูกรพระราชา ตัวเรานี่เป็นท้าวสักเทวราช เรานี่เห็นว่าโลกจักฉิบหาย เพราะว่าคนทั้งหลายพากันประพฤติผิดทำนองคลองธรรมย่ำยีพระบวรพุทธศาสนาอันประเสริฐ ตายไปเกิดเต็มแน่นอยู่ในอบายนรกแล้ว มีใจสังเวช จึงได้มาที่นี่ต่อจากนี้ไป หากผู้ใดประพฤติไม่ชอบธรรม เราจะลงโทษผู้นั้นขอพระองค์จงอย่าประมาท จงเอาใจใส่ราษฎรทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ตักเตือนให้ประพฤติธรรมจงทั่วกันเถิด”

    ครั้นมีเทวโองการขู่คนทั้งหลายมีพระราชาเป็นประธานให้เกิดความกลัวตายเพราะจะถูกลงโทษจากเทพฤทธิ์ ให้มีจิตเป็นกุศลตั้งอยู่ในธรรมดั่งนี้แล้ว องค์สมเด็จพระอมรินทร์เทวาธิราชผู้เป็นหน่อพระชินสีห์บรมโพธิสัตว์พร้อมด้วยสุนัขดำใหญ่ คือ พระมาตุลีเทพบุตรก็พากันเสด็จกลับไปยังดาวดึงส์เทวโลก

    เรื่องที่พรรณนามานี้ ย่อมจะชี้ให้เห็นแล้วว่า พระบรมโพธิสัตว์ของเราท่านทั้งหลาย พระองค์มีพระหฤทัยมั่นคงในธรรม และมีน้ำใจรักและห่วงใยพระบวรพุทธศาสนาเพียงไร แม้ว่ากำลังสถิตเสวยเทวสมบัติอยู่ ณ สรวงสวรรค์

    แต่พระทัยนั้นมีความเป็นห่วงพระพุทธศาสนา เมื่อเห็นชาวประชาพากันประพฤตินอกรีตผิดทำนองคลองธรรมก็มีอุตสาหะมาตักเตือนให้ประพฤติชอบ นี่แลเป็นคุณลักษณะของท่านผู้สร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ หวังจะช่วยรื้นขนสัตว์ไปให้พ้นจากทุกข์ภัยอันใหญ่หลวงในวัฏสงสาร

    จำเนียรกาลแต่ชาติเป็นองค์สมเด็จพระอมรินเทวาธิราชตามที่เล่ามานี่แล้ว พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราก็เฝ้าสร้างสมอบรมบ่มพระบารมี จนกระทั่งถึงพระชาติที่ทรงสืบปฏิสนธิกำเนิดในมนุษยโลกเรานี้ คือ

    คราที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรโพธิสัตว์เจ้านั้น ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมากมายทำให้พื้นแผ่นปฐพีไหวถึง 7 ครั้ง ครั้นถึงแก่ชีพิตักษัยจากพระชาตินั้นแล้ว ก็ได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพยเจ้าผุ้มเหศักดิ์นามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตร เสวยทิพยสมบัติเป็นบรมสุขอยู่ ณ ดุสิตเทวโลก เจริญพระชนมายุได้ 4000 ปีทิพย์ อันนี้เป็นธรรมประเพณีแห่งพระมหาบุรุษรัตนโพธิสัตว์เจ้าทุกๆ พระองค์มา

    แท้จริง บรรดาว่าพระมหาบุรุษรัตนโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายนั้น หากว่าพระบารมียังมิได้บริบูรณ์แล้ว แม้ว่าในบางพระชาติจะไปได้ไปอุบัติเกิด ณ สรวงสวรรค์เทวโลกชั้นใดชั้นหนึ่งจะเป็นดุสิตเทวโลกก็ดี นิมมานรดีเทวโลกก็ดี หรือปรนิมมิตวัสสวัสดีเทวโลกก็ดี ซึ่งมีอายุทิพย์ยั่งยืนนักหนา พระองค์ก็หาสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นๆ จนตราบเท่าสิ้นพระชมมายุไม่

    เพราะเหตุว่าในเทวพิภพนั้น ยากที่จะบำเพ็ญพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณให้บริบูรณ์ได้ ฉะนั้นสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายผู้มีหฤทัยจำนงรักใคร่อยู่แต่เฉพาะพระโพธิญาณ เมื่อเสวยทิพยสมบัติมพอควรแก่กาลแล้ว ย่อมทรงทำอธิมุตตกาลกิริยาจุติลงมาบังเกิดในมนุษยโลกเรานี้โดยควรแก่อัธยาศัย หาสู้มีความอาลัยในสวรรคสมบัติมากนักไม่ เพราะมีความประสงค์ใคร่จะทรงสร้างพระบารมีให้บริบูรณ์เป็นประมาณ ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสมภารเต็มเปี่ยมอาจสามารถจักได้ตรัสเป็นเอกองค์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระชาติต่อไปแล้ว จึงจะเสด็จสถิตอยู่ ณ ดุสิตเทวโลกจนครบกำหนดพระชมมายุ

    ก็บัดนี้ หน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์เจ้าที่เรากำลังติดตามดูพระประวัติของพระองค์ท่านอยู่นี้ พระองค์ทรงมีพระบรมโพธิสมภารเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ตั้งแต่ครั้งเป็นพระเวสสันดรบรมกษัตริย์

    ฉะนั้น จึงทรงมาอุบัติเกิดเป็นเทพบุตร เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่ ณ ดุสิตเทวโลกไป จวบจนสิ้นทิพายุกาลในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ซึ่งมีเวลานานถึง 4000 ปี หรือ ถ้าจะนับด้วยปีมนุษยโลก ก็นับได้ 57 โกฏิ 6 ล้านปี รอเวลาที่จะได้ลงมาตรัสรู้แก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณต่อไป

    พรรณนาในเรื่องการสร้างพระบารมีตอนปลาย ซึ่งนับเป็นเวลายาวนานได้ 4 อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัปแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเราท่านทั้งหลาย เห็นสมควรที่จะยุติล
    งได้แล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้

    ใคร่ที่จะรวบรวมให้ท่านที่มีความสนใจในบารมีแบบนี้ นำไปเป็นตัวอย่างในการประพฤติตนในแนวทาง พุทธภูมิ


    ขอขอบพระคุณ
    เวปคนเมืองบัว.คอม
    ลานธรรมเสวนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...