การปรารถนาพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 16 กรกฎาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    อานิสงค์พระบารมี

    มีข้อที่ควรทราบไว้อย่างหนึ่ง ก็คือว่า นับตั้งแต่ได้ทรงก่อสร้างพระกฤษฎาภินิหารมา จนกระทั่งได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็น พระนิตยโพธิสัตว์ ผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในอนาคตกาล ในขณะที่ทรงก่อสร้างอบรมบ่มพระบารมีอยู่ ต้องทรงสังสรณาการท่องเที่ยวเวียนว่ายตามเกิดอยู่ในวัฏสงสารนับด้วยแสน โกฏิชาติ เป็นประมาณหรือมากยิ่งกว่านั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้เที่ยงที่จะได้บรรลุพระโพธิญาณทั้งหลายย่อมได้รับอานิสงค์แห่งพระบารมีที่บำเพ็ญอยู่เรื่อยๆ รวมเป็น 18 ประการ คือ

    1. เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนจักษุบอดมาแต่กำเนิด
    2. ไม่เป็นคนหูหนวกแต่กำเนิด
    3. ไม่เป็นคนบ้า
    4. ไม่เป็นคนใบ้
    5. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
    6. ไม่เกิดในมิลักขประเทศ คือ ประเทศป่าเถื่อน
    7. ไม่เกิดในท้องนางทาสี
    8. ไม่เป็นนิตยมิจฉาทิฐิ
    9. ไม่เป็นสตรีเพศ
    10. ไม่ทำอนันตริยกรรม
    11. ไม่เป็นโรคเรื้อน
    12. เมื่อเกิดในกำเนิดสัตว์เดียรฉาน ย่อมเป็นสัตว์อยู่ในประเภทที่มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่กว่าช้าง
    13. ไม่เกิดในกำเนิดขุปปิปาสิกเปรต นิชณานตัณหิกเปรต และกาลกัญจิกาสุรกาย
    14. ไม่เกิดในอเวจีมหานรก และโลกันตนรก
    15. เมื่อเกิดเป็นเทวดาในกามาพจรสวรรค์ ก็ไม่เกิดเป็นเทวดาผู้นับเข้าในเทวดาจำพวกเป็นมาร
    16. เมื่อเกิดเป็นองค์พระพรหม ณ รูปาพจรพรหมโลกก็ไม่เกิดในปัญจสุทธาวาสพรหมโลก และอสัญญสัตตาภูมิพรหม
    17. ไม่เกิดเป็นอรูปพรหม
    18. ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่น

    สิริรวมเป็นอานิสงค์บารมี 18 ประการ ที่ท่านผู้ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์จักต้องได้รับอย่างแน่นอน ในขณะที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารเพื่ออบรมบ่มพระบารมีญาณ อนึ่ง ในขณะที่อบรมบ่มพระบารมีญาณอยู่นั้น พระนิตยโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหากคราวใด ท่านได้มีโอกาสมาบังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็ย่อมมีใจผ่องแผ้วยินดีในการที่จะบรรพชา และบำเพ็ญประพฤติในพระจริยามีญาตัตถจริยาความประพฤติเป็นประโยชน์แก่หมู่ญาติเป็นอาทิอยู่เนืองนิตย์ ทั้งสู้อุทิศชีวิตของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้นให้หมดไปด้วยการสั่งสมอบรมพระบารมี 30 ซึ่งมีทานบารมีเป็นต้น และมีอุเบกขาปรมัตถบารมีเป็นปริโยสาน จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่ง ที่พวกเราชาวพุทธบริษัททั้งหลายผู้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาในชาตินี้ จักมีใจยินดีเลื่อมใส ในพระคุณอันเป็นอนันต์แห่งองค์สมเด็จพระภควันต์จอมมุนี
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    อธิมุตกาลกิริยา

    กาลเมื่อสมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์ยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารเพื่ออบรมบ่มพระบารมีญาณอยู่นั้น ครั้นว่าพระองค์ได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ ณ เบื้องสวรรค์เทวโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง เช่น สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นต้น ซึ่งมีอายุยืนนานกว่ามนุษยโลกมากมายนักแล้ว องค์พระโพธิสัตว์เจ้าจะได้หลงเพลิดเพลินเสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่ในสวรรค์เทวโลกจนตราบเท่าสิ้นอายุแห่งเทพยดานั้นก็หามิได้ เพราะว่าแท้จริงสันดานแห่งพระนิตยบรมโพธิสัตว์ผู้เที่ยงที่จักได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้นกอปรด้วยพระมหากรุณาแก่เหล่าประชาสัตว์เป็นอันมาก ยิ่งกว่าการที่จะรักตนเอง สันดานที่รักตนเองเห็นประโยชน์ชีวิตตนเองนั้นเบาบางนักหนา

    ฉะนั้น คราเมื่อพระองค์เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่พอควรแก่กาลแล้ว ย่อมจะพิจารณาเห็นว่า เทวโลกมิได้เป็นที่อันเหมาะสมที่จะก่อสร้างอบรมบ่มพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณเหมือนเช่นมนุษยโลก ครั้นทรงพิจารณาเห็นเช่นนี้แล้ว องค์พระนิตยโพธิสัตว์เจ้าก็มีพระทัยเฝ้าเบื่อหน่ายในการที่จะอยู่ในสวรรค์เทวโลก ให้อึดอัดรำคาญเป็นกำลัง คราวครั้งหนึ่งจึงเสด็จเข้าในทิพยวิมานแต่ลำพังพระองค์เดียว แล้วก็ทรงกระทำอธิมุตตกาลกิริยา คือ หลับพระเนตรทั้งสองลงและอธิษฐานว่า

    อิโต อุทฺธํ เม ชีวิตํ นปฺปวตฺตตุ
    ชีวิตของเรานี้ จงอย่าได้ประพฤติสืบต่อไป เบื้องหน้าแต่นี้

    เมื่อพระองค์อธิษฐานในพระทัยฉะนี้แล้ว ด้วยอำนาจกำลังอธิษฐานพระนิตยโพธิสัตว์เจ้าพระองค์นั้น ก็ปวัตตนาการจุติจากสวรรค์เทวโลกในฉับพลันนั้นเอง เสด็จลงมาอุบัติเกิดในมนุษยโลกเรานี้ เพื่อที่จักได้มีโอกาสเสริมสร้างอบรมบ่มพระบารมีให้ภิญโญภาพยิ่งขึ้นไป ในกรณีที่พระองค์นิตยโพธิสัตว์เจ้าทรงอธิษฐานในพระทัยแล้ว และจุติจากสวรรค์ลงมาบังเกิดในมนุษยโลก ซึ่งเรียกว่า อธิมุตตกาลกิริยานี้นับเป็นกรณีพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏมีแก่ท่านผู้มนัสมั่นมุ่งหมายพระโพธิญาณ ด้วยว่าบรรดาสัตว์โลกผู้ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ถึงแม้จะมีมหิทธาศักดานุภาพสักเพียงไหนเป็นเทพบุตรอินทร์พรหมอื่นใดก็ดี ก็มิอาจที่จะกระทำอธิมุตตกาลนี้ได้ง่ายๆ ซึ่งผู้ที่สามารถจะกระทำการพิเศษ คือ อธิมุตตกาลกิริยานี้ได้ง่ายดายตามใจปรารถนาก็มีแต่เฉพาะพระนิตยโพธิสัตว์ผู้เที่ยงจักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูจอมมุนีเท่านั้น

    การที่สมเด็จพระนิตยบรมโพธิสัตว์สามารถที่จะกระทำอธิมุตตกาลกิริยาเป็นกรณีพิเศษได้โดยง่ายนี้ ก็เพราะพระองค์สั่งท่านทรงมีสันดานพิเศษ เหตุว่าพระบารมีธรรมทั้งปวงที่พระองค์สั่งสมมาแล้วนั้น มีปริมาณมากมายนักหนา ถึงซึ่งความแก่กล้าบริบูรณ์เป็นอุกฤษฐ์ พระอธิษฐานบารมีจึงกล้าหาญเป็นอัศจรรย์ เมื่อพระองค์ท่านจะอธิษฐานสิ่งไร ในขณะที่เป็นเทพยบุตรโพธิสัตว์นี้ก็ได้สำเร็จทุกสิ่งทุกประการและสมเด็จนิตยโพธิสัตว์นี้ ย่อมมีความชำนาญในการอธิษฐานยิ่งนัก หากจะเปรียบก็อุปมาดุจจิตรกรนายช่างเขียนผู้มีฝีมือเอกซึ่งชำนาญในการที่จะวาดเขียน เมื่อช่างเขียนนั้นปรารถนาที่จะเขียนสิ่งใดก็อาจจะเขียนสิ่งนั้นได้สำเร็จดังมโนรถความปรารถนา มิได้ข้องขัดเพราะเหตุนี้ พระนิตยโพธิสัตว์จึงสามารถจะกระทำอธิมุตตกาลกิริยาได้ ด้วยอำนาจพระอธิษฐานบารมี เพื่อที่จะลงมาบังเกิดในมนุษยโลกนี้ แล้วขวนขวายก่อสร้างอบรมบ่มพระโพธิญาณสืบต่อไป
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พุทธอุบัติ

    เมื่อสมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์เจ้า ได้บำเพ็ญพระบารมีจนถ้วนบริบูรณ์ครบกำหนดกาลเวลาตามประเภทแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 3 ประเภทแล้ว บัดนี้ก็ถึงกาลสำคัญที่สุด คือ ถึงวาระที่จักเสด็จมาอุบัติตรัสแก่ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ และจักได้รับการเฉลิมพระนามว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมุ่งมาดปรารถนามานานนักหนาเสียทีและเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ผู้มีวาสนาบารมีแก่สุกรอบแล้ว จักได้มีโอกาสตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านย่อมจุติลงมาอุบัติตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธเจ้าในมนุษยโลกเรานี้เท่านั้น

    ในกรณีนี้หากจะมีปัญหาว่า เพราะเหตุดังฤา พระนิตยโพธิสัตว์เจ้าจำเพาะเจาะจงเสด็จลงมาอุบัติเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าแต่เฉพาะในมนุษยโลกเรานี้เท่านั้น จะไปอุบัติบังเกิดในโลกดีอื่นๆ เช่น บนสรวงสวรรค์เทวโลกมิได้ หรือประการใด

    คำวิสัชชนาก็จะพึงมีว่า การที่สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์มิได้อุบัติตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ณ เบื้องสวรรค์เทวโลกนั้นก็เพราะเหตุว่า เทวโลกมิได้เป็นที่ตั้งแห่งศาสนพรหมจรรย์อันการที่จะบำเพ็ญศาสนพรหมจรรย์และการบรรพชาอุปสมบทนี้ย่อมเหมาะสมที่จะมีอยู่แต่ในโลกมนุษย์นี้เท่านั้นและได้มีในสวรรค์เทวโลกก็หามิได้

    อีกประการหนึ่งนั้น ครั้นว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดเป็นเทวดาแล้ว ถ้าพระองค์จะแสดงพุทธานุภาพอันประกอบไปด้วยพระอิทธิฤทธิ์มีประการต่างๆ มนุษย์ทั้งหลายผู้มักเป็นคนช่างความคิดก็จะไม่เชื่อฤทธิ์พระพุทธานุภาพ มักให้มีความคิดเห็นไปตามประสาโง่แห่งตนว่าการที่พระองค์แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้นั้นก็เพราะพระพุทธองค์ท่านทรงเป็นเทวดา ซึ่งประกอบไปด้วยเทวานุภาพเป็นอันมาก หากจะทรงอ้างว่าเป็นพระพุทธานุภาพก็มีเทวานุภาพเจือปนอยู่ นี่หากพระองค์เป็นมนุษย์แล้ว ไหนเลยจะทรงแสดงพระพุทธานุภาพอันเชี่ยวชาญให้สำเร็จกิจอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ดังที่เห็นได้ เมื่อคิดไขว้เขวไปเสียเช่นนี้ ก็จะเป็นเหตุให้ลดหย่อนความเลื่อมใสในพระพุทธานุภาพตลอดจนไม่สนใจในศาสนธรรมคำสอนอังทรงไว้ซึ่งคุณค่าสูงสุด อนึ่ง หากสมเด็จพระพุทธองค์ทรงเป็นเทวดาแล้วไซร้ ถ้าจะใช้ความเป็นเทวดา สำแดงเทวานุภาพให้ปรากฏ มนุษย์ทั้งหลายก็จักเข้าใจผิดอีกได้เช่นเดียวกัน คือ เขาเหล่านั้นจะพากันคิดว่าเทวานุภาพนั้นเจือปนไปด้วยพระพุทธานุภาพ ได้พระพุทธานุภาพอุดหนุนเป็นกำลัง เทวานุภาพจึงเชี่ยวชาญให้สำเร็จอิทธิปาฏิหาริย์ทั้งปวงได้ แต่เทวานุภาพสิ่งเดียว ไหนเลยจะให้สำเร็จอิทธิปาฏิหาริย์ได้เมื่อมนุษย์ทั้งหลายเข้าใจไขว้เขวอย่างนี้แล้ว อารมณ์แห่งมนุษย์นั้นก็จะเป็นสอง จะมิได้เชื่อถือในพระพุทธานุภาพและเทวานุภาพที่สมเด็จพระพุทธเจ้า และไม่ปฏิบัติตาม เมื่อไม่มีการปฏิบัติแล้ว ปฏิเสธความได้บรรลุธรรมวิเศษคือ มรรคผลนิพพาน อันเป็นจุดมุ่งหมายที่พระองค์ทรงตั้งไว้นานนักหนาจักสำเร็จลงได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์เจ้าผู้มีพุทธบารมี จึงไม่เสด็จอุบัติตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าที่โลกอื่นๆ เช่น พรหมโลกลและเทวโลก เป็นต้น อันเป็นโลกคับแคบไม่ควรการที่จะแสดงซึ่งพระพุทธานุภาพ แต่จำเพาะเจาะจงเสด็จลงมาอุบัติตรัสในมนุษย์โลกอันเหมาะสมแก่การแสดงพระพุทธานุภาพให้ปรากฏได้เต็มที่ เช่นนี้เป็นธรรมประเพณีของนิตยโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์สืบมาแต่ปางบรรพ์
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    อสุญกัป

    ครั้นเมื่อมนุษย์โลกเรานี้ได้มีโอกาสต้อนรับการเสด็จมาอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระนิตยบรมโพธิสัตว์ผู้ตรัสเป็นพระเอกองค์พระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าคราวใด คราวนั้นกาลเวลาย่อมถูกเรียกว่า อสุญกัป = กัปที่ไม่สูญเปล่า

    กล่าวถึงตอนนี้ บางทีอาจจะมีบางท่านเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจบ้างก็ได้ว่า เรื่องกัปนี้ ก็ว่ามาแล้วนี่ ยังไม่หมดอีกหรือ ยังจะมีอสุญกัปอะไรอีกเล่า เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ขอให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงตั้งใจศึกษาอรรถวรรณนา ดังต่อไปนี้

    กาลเวลาที่นับเป็นมหากัปและเป็นอสงไขยที่ได้กล่าวไว้แต่ตอนต้นโน้นน่ะ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมจำได้เป็นอย่างดีแล้วมิใช่หรือว่าเป็นระยะเวลายาวนานเพียงใด ทีนี้ แต่ละมหากัปซึ่งกินเวลายาวนานเหล่านั้น ใช่ว่าจะมีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ทุกๆ มหากัปไปก็หาไม่ โดยที่แท้บางมหากัปก็มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัส แต่บางมหากัปก็ไม่มีเลย ทั้งนี้ก็เพราะว่า การที่จะหาวิสิฏฐิบุคคลกล่าวคือ บุคคลผู้ทรงคุณพิเศษ เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าผู้มีพระกฤษฎานิภิหารอันสำเร็จแล้ว มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าแต่ละองค์นั้นเป็นไปได้โดยยากยิ่งนักหนา กล่าวอีกทีว่า ไม่ค่อยจะมีพระนิตยโพธิสัตว์นั่นเอง ฉะนั้น เมื่อมีพระนิตยโพธิสัตว์เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ในมหากัปใด มหากัปนั้นย่อมไม่สูญจากคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่ คือ มรรคผลนิพพาน เพราะว่ามีสมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์มาทรงชี้แจงแสดงบอก และมหากัปนั้นก็เลยถูกเรียกว่า อสุญกัปไป เมื่อว่าโดยนัยนี้ จึงอาจจะแบ่งมหากัปเป็นประเภทใหญ่ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายเป็น 2 ประเภท คือ

    ก. มหากัปใด ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลกนี้เลย แม้แต่สักพระองค์เดียว มหากัปนั้นมีชื่อเรียกว่า สุญกัป คือ เป็นกัปที่สูญจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูญเปล่าจากมรรคผลนิพพาน มิใช่แต่เท่านั้น ในกาลที่เป็นสุญกัปนี้ยังสูญจากวิสิฏฐิบุคคลอื่นๆ อีกด้วย คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สมเด็จพระจักรพรรดิราชก็ดี ย่อมไม่ปรากฏมีในสุญกัปนี้เลย นับว่าเป็นกัปที่สูญจากวิสิฏฐิบุคคลจริงๆ

    ข. มหากัปใด มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมาอุบัติตรัสในโลก มหากัปนั้นมีชื่อเรียกว่า อสุญกัป คือ กัปที่ไม่สูญจากองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ไม่สูญเปล่าจากมรรคผลนิพพาน มิใช่แต่เท่านั้นด้วยว่า ในกาลที่เป็นอสุญกัปนี้ยังมีวิสิฏฐิบุคคลทั้งหลายอื่นปรากฏในโลกอีกด้วย คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดีย่อมปรากฏมีเฉพาะในกาลที่เป็นอสุญกัปนี่เท่านั้น

    บรรดาอสุญกัป คือ กัปที่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัตินี้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัสอีก ดังต่อไปนี้

    1. สารกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แต่เพียง 1 องค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า สารกัป

    2. มัณฑกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แต่เพียง 2 องค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า มัณฑกัป

    3. วรกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แต่เพียง 3 องค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า วรกัป

    4. สารมัณฑกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แต่เพียง 4 องค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า สารมัณฑกัป

    5. ภัทรกัป อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แต่เพียง 5 องค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า ภัทรกัป

    ตามที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ก็คงจะเห็นแล้วว่า อสุญกัป กัปสุดท้าย คือ ภัทรกัป นี้เป็นกัปที่ประเสริฐที่สุดเพราะมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ถึง 5 พระองค์ นับว่าเป็นจำนวนมากที่สุด ไม่มีกัปใดที่จักมีองค์พระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติมากยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว และบรรดาประชาสัตว์ทั้งหลายซึ่งได้อุบัติเป็นมนุษย์หรือเทวดาในกัปนี้ ย่อมมีโอกาสที่จักได้พบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือมิฉะนั้น ก็ได้พบศาสนธรรมคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นระยะติดต่อกันไปมากมายถึง 5 พระองค์ ด้วยเหตุนี้ เหล่าสัตว์โลก คือ มนุษย์และเทวดา อินทร์ พรหม ผู้มีจิตเป็นกุศลโสภณ ปฏิสนธิด้วยไตรเหตุ ประกอบไปด้วยบุญวาสนาบารมี ย่อมสามารถที่จะกระทำอาสวะกิเลสให้สูญสิ้นไปจากขันธสันดานแห่งตนโดยชุกชุม ในภัทรกัปนี้มากกว่ากัปอื่น เพราะค่าที่เป็นกัปที่ประเสริฐที่สุด เป็นกัปที่หาได้โดยยากยิ่ง นานแสนนาน จึงจักปรากฏมีในโลกเรานี้สักครั้งหนึ่ง ท่านจึงขนานนามอสุญกัปสุดท้ายนี้ว่า ภัทรกัป = กัปที่เจริญที่สุด
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระเจ้า 5 พระองค์

    บัดนี้ มีความยินดียิ่งนัก ที่จักขอแจ้งให้พวกเราชาวพุทธบริษัทจงทราบทั่วกันว่า อสุญกัปที่พวกเราโผล่ขึ้นมาเกิดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนเลยเวลานี้นั้น มีชื่อเรียกว่า ภัทรกัป ซึ่งเป็นกัปที่เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด และหาได้ยากในโลกเป็นที่สุดดังกล่าวมาแล้ว ไม่มีอสุญกัปใดที่ประเสริฐเลิศล้ำ ยิ่งกว่าอสุญกัปที่เราทั้งหลายกำลังเกิดเป็นคนเป็นมนุษย์อยู่อย่างเวลานี้อีกแล้ว เพราะว่ามีสมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ถึง 5 พระองค์

    1. สมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า
    2. สมเด็จพระโกนาคมโนพุทธเจ้า
    3. สมเด็จพระกัสสโปพุทธเจ้า
    4. สมเด็จพระศรีศายมุนโคตโมพุทธเจ้า คือ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาแห่งเราท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนในขณะนี้นั่นเอง และต่อจากนี้ไป เมื่อศาสนาของพระพุทธองค์ท่านที่พวกเราชาวพุทธศาสนิกบริษัทกำลังประพฤติปฏิบัติด้วยศรัทธาเคารพเลื่อมใสกันอยู่ทุกวันนี้ เสื่อมสูญอันตรธานไปหมดสิ้นแล้ว โลกเรานี้ ก็จักว่างจากบวรพุทธศาสนาเป็นโลกมืดบอดจากมรรคผลนิพพานไปอีกนานนักหนา แล้ววาระหนึ่ง จึงจักถึงกาลอันตรกัปที่ 13 (ในปัจจุบันทุกวันนี้กำลังอยู่ในอันตรกัปที่ 12) ก็ในอันตรกัปที่ 13 นั้น สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งมีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรยเทพบุตรโพธิสัตว์ ซึ่งขณะนี้กำลังสถิตเสวยสุขอยู ณ เบื้องสวรรค์เทวโลกชั้นดุสิต จักเสด็จมาอุบัติตรัสเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้ ทรงพระนามว่า
    5. พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า

    สิริรวมเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาอุบัติตรัสในภัทรกัปนี้ถึง 5 พระองค์ ด้วยประการฉะนี้

    ทีนี้ หันมาพิจารณาถึงตัวเราท่านนี้บ้าง บรรดาเราท่านทุกผู้ทุกคนผู้กำลังโชคดี เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ในขณะที่เป็นภัทรกัปซึ่งเป็นกัปที่ประเสริฐสุด มีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยชุกชุมมากมายในกัปนี้แล้ว ก็จงอย่าได้มีความประมาท จงอย่าทำตนให้แคล้วคลาดจากอมตสมบัติ คือ มรรคผลนิพพานเสียเลย จงพยายามแสวงประโยชน์จากความมีโชคดีในครั้งนี้จงได้ ด้วยการรีบปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์เจ้า เพื่อเอามรรคผลนิพพานมาเป็นสมบัติของตนให้จงได้ ถ้าจะถามต่อไปว่าจะปฏิบัติอย่างไรกันเล่า จึงจักเข้าถึงซึ่งมรรคผลนิพพานอันเป็นการดำเนินตามรอยพระบาทพระอริยเจ้าทั้งหลาย

    เมื่อจะวิสัชชนากันอย่างตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมพูดมากให้เสียเวลา ก็ต้องตอบดังนี้ว่า การที่จะนำตนให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานอันประเสริฐสุดนั้น ต้องกระทำกุศลกรรมขั้นอุกฤษฐ์ คือ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งพระอริยมรรค พระอริยผล บังเกิดขึ้นในสันดานแห่งตนนั้นแหละ จึงจะรู้จักมรรคผลนิพพานได้ลิ้มรสอมตธรรม เมื่อทำได้เช่นนี้จึงจะได้ชื่อว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ที่กล่าวมานี้ต้องการจะชี้ให้เห็นว่าจุดประเสริฐสุดแห่งการได้พบพระพุทธศาสนาในภัทรกัปนี้อยู่ตรงนี้ คือ ตรงที่ได้ลิ้มรสอมตธรรมนี่เอง ทีนี้ ถ้าหากผู้ใดไม่ต้องการอมตธรรมแล้ว ต่อให้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดตรงหน้าเขาสักหมื่นแสนพระองค์ก็ดี ก็ไม่มีความหมาย คือ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ทรงเป็นเอก

    ได้พรรณนาได้แล้วว่า เมื่อถึงโอกาสอันสมควร เพราะวาสนาบารมีครบควรแก่การที่จะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์เจ้า ย่อมเสด็จมาอุบัติตรัสเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศสัจธรรมนำสัตว์ผู้ปฏิบัติตามให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร ทรงเป็นเอกอัครบรมศาสดาจารย์ผู้ยอดเยี่ยมไม่มีใครเทียมเสมอสอง ทรงเป็นเอกในโลกจริงๆ แม้แต่เวลาที่ทรงอุบัติ ก็ทรงอุบัติได้คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่เสด็จอุบัติพร้อมกันคราวละ 2 – 3 พระองค์เลยเป็นอันขาด ถึงแม้จะตรัสในกัปเดียวหลายพระองค์ก็ตาม ถึงกระนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หลังก็ทรงรอให้ศาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์เก่า หมดสิ้นเสื่อมสูญอันตรธานไปเสียก่อน แล้วจึงจักเสด็จมาตรัสต่อไป

    ในกรณีนี้หากมีปัญหาว่าเหตุไฉน สมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่ตรัสในโลกนี้พร้อมกันเล่า เพราะว่าสมเด็จพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น จะตรัสพระสัทธรรมเทศนาใดก็ดี หรือจะทรงบัญญัติพระวินัยสิกขาบทใดก็ดี ย่อมเป็นเหมือนๆ กันหมด จะได้ผิดแผกแยกให้ต่างกัน แม้แต่บทเดียวก็หามิได้ ถ้าแม้สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าผู้ทรงคุณใหญ่ จะได้ตรัสขึ้นในโลกพร้อมกันแม้ไม่มากแต่เพียง 2 พระองค์แล้วโลกเรานี้ก็ยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปนักหนา ด้วยมีสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ถึง 2 พระองค์ จะได้ช่วยกันทรงเทศนา โปรดฝูงมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เป็นอันมาก พระพุทธศาสนาก็จักแพร่ไพศาลถึงความรุ่งเรืองภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้นไปมิใช่หรือ

    หากจักสงสัยเช่นนี้ คำวิสัชชนาก็จะมีว่า อันโลกธาตุเรานี้มีปกติจำเพาะจงทรงไว้ ซึ่งพระคุณแห่งสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้าว่าสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าจักเสด็จมาตรัสพร้อมกัน 2 พระองค์แล้วโลกธาตุนี้ก็มิอาจจะทรงไว้ซึ่งพระพุทธคุณอันมากมายก่ายกองไว้ได้ ก็จะถึงความหวั่นไหวสะท้านสะเทือนและถึงความฉิบหายไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ถ้าจักให้กล่าวเป็นอุปมาโวหารก็มีคำที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้

    นาวาเล็กลำเดียว มีปกติจุแต่บุรุษเดียวเท่านั้น จึงจะข้ามแม่น้ำแล่นไปได้ ทีนี้ ยังมีบุรุษอีกผู้หนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างกำยำลำสันใหญ่โตพอๆ กันกับบุรุษผู้เป็นเจ้าของเรือนั้นมาขอโดยสารข้ามฟากจะขอนั่งลงในนาวานั้นเป็น 2 คนด้วยกัน อย่างนี้นาวาน้อยลำนั้นจะบรรทุกคนทั้งสองให้ข้ามไปถึงฝั่งได้อย่างไรกัน เพราะเหตุว่าแต่เพียงบุรุษเจ้าของเรือคนเดียวนั่งลงก็เพียบเต็มอยู่แล้ว หากยังมีบุรุษล่ำสันเท่ากันมาโดยสารอีกเล่า แต่พอนั่งลง นาวานั้นย่อมมิอาจจะทรงตัวไว้ได้ ก็จะล่มลงเป็นมั่นคงเที่ยงแท้ในกระแสคงคา อุปมาข้อนี้ฉันใด โลกธาตุก็เป็นเช่นนั้น คือ มีปกติทรงไว้ได้ซึ่งพระคุณแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ครั้นจะมีสมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติขึ้นพร้อมกันอีกพระองค์หนึ่งเล่า ก็เข้าถึงภาวะที่ไร้ประโยชน์และกลับจะเป็นโทษตามอุปมาที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนนั้น

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้ซึ่งบริโภคอาหารอิ่มท้องเต็มแปล้ตลอดคอหอยสุดที่จักรับประทานได้แล้ว ยังจะขืนให้บริโภคอาหารเข้าไปใหม่ให้มีปริมาณเท่ากับที่บริโภคเข้าไปนั้นอีกเล่า อย่างนี้ก็น่าที่บุรุษนั้นก็จักต้องได้รับทุกขเวทนาให้มีอันเป็นจุกรากอาเจียนต่างๆ ไม่มีความสุขสบายเป็นแน่แท้อุปมาข้อนี้ฉันใด โลกธาตุนี้ทรงไว้ซึ่งพระคุณแห่งสมเด็จพระสรรเพชรบรมโลกนาถแต่เพียงพระองค์เดียวก็เต็มหนักอยู่แล้วหากจะมีสมเด็จพระจอมมุนีศาสดาจารย์มาตรัสขึ้นพร้อมกันอีกพระองค์เล่าก็จะปั่นป่วนหวั่นไหวทรุดเซไป มิอาจจะต้านทานพระคุณไว้ได้เข้าถึงภาวะที่เปล่าประโยชน์และกลับจะเป็นโทษไปเสียด้วยซ้ำ

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งซึ่งเอาสัมภาระสิ่งของบรรทุกลงในเกวียน 2 เล่มให้เต็มเสมอเรือนแล้วกลับจะขนสัมภาระอันหนักลงจากเกวียนเล่มหนึ่ง เอาไปบรรทุกในเกวียนเล่มเดียวกัน อย่างนี้ เกวียนเล่มนั้นจะทนทานได้อย่างไรกันเล่า เพราะว่าตามปกติก็บรรทุกไว้จนเต็มที่อยู่แล้ว ยังจะเอามาบรรทุกซ้ำเข้าอีกเท่าหนึ่งเล่าเช่นนี้ก็น่าที่จะเกิดเหตุเป็นแม่นมั่น คือว่ากงกำเกวียนนั้นก็จะต้องทำลายฉิบหายลง มิฉะนั้น เพลาเกวียนก็จะหักสะบั้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย อุปมาข้อนี้ฉันใด โลกธาตุแผ่นพสุธาอันกว้างใหญ่นี้ก็เป็นเช่นนั้น จำเพาะจะทรงไว้ได้ซึ่งพระคุณแห่งสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หากมีสมเด็จพระภควันต์เสด็จมาตรัสพร้อมกันเป็นสองพระองค์แล้วไซร้ก็มิอาจจะทนทานได้ น่าที่จะวิการไปเป็นเหมือนเกวียนบรรทุกสิ่งของเกินอัตราเป็นแม่นมั่น

    อนึ่ง ที่นับว่าสำคัญในกรณีนี้ ก็คือว่า หากสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้าจักเสด็จมาตรัสในโลกนี้พร้อมกันเป็น 2 พระองค์แล้วทรงช่วยกันประกาศพระบวรพุทธศาสนา ทรงช่วยกันแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรดสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์หญิงชายทั้งปวงก็จะแตกต่างออกเป็น 2 ฝ่าย แล้วต่างก็จะถือเอาแต่วิวาททุ่มเถียงซึ่งกันและกันไปตามประสาทิฐิแห่งมนุษย์ว่า
    “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา”
    และว่า
    “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกท่าน”

    เมื่อพุทธบริษัทต่างพากันถือเอาทิฐิเป็นสองฝ่ายสองพวกไปเสียเช่นนี้ พระโอวาทานุสาสนีอันล้ำค่าก็น่าที่จะไม่ได้ผลเสียเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นแม่นมั่น การณ์ดีก็จะมีน้อยกว่าการเสีย เปรียบดุจเสนาบดีใหญ่ยิ่ง 2 คน ซึ่งเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมกษัตริยาธิราชเจ้าที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ต่างพระเนตรพระกรรณให้ปรึกษาราชการ เหล่าบริวารทั้งหลายของเสนาบดีทั้งสองนั้น ย่อมถือกันแบ่งกันเป็น 2 พวกด้วยถ้อยคำว่า “เสนาบดีนั้นเป็นเจ้านายของพวกท่าน เสนาบดีนั้นเป็นเจ้านายของพวกเรา” เหล่าบริวารทั้งหลายเกิดมีทิฐิในน้ำใจแบ่งแยกแตกออกเป็น 2 ฝ่ายไปเสียเช่นนี้ ก็น่าที่จะไม่สามารถยังราชกิจแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้สำเร็จลงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อุปมาข้อนี้ฉันใด เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จมาอุบัติในโลกนี้ทีเดียวพร้อมกัน 2 พระองค์แล้ว ก็จะเป็นเหตุให้พุทธบริษัทถือทิฐิแบ่งแยกเป็นสงอพวกสองเหล่า เช่นอุปมาที่เล่ามาดุจกัน
    อีกประการหนึ่งสิ่งที่ว่าใหญ่โตบรรดามีในโลกธาตุนี้คือ
    มหาปฐพีอันกว้างใหญ่ย่อมมีอันเดียว จักได้เป็นสองก็หามิได้
    มหาสมุทรทะเลใหญ่ย่อมมีอันเดียว จักได้มีเป็นสองก็หามิได้
    สิเนรราชจอมภูผาเป็นพญาแห่งภูเขาทั้งปวงก็มีแต่หนึ่งซึ่งจะเป็นสองก็หามิได้
    สมเด็จเจ้าผู้เป็นใหญ่ ณ เบื้องสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ก็ประเสริฐเป็นหนึ่งอยู่แต่พระองค์เดียว คือ องค์สมเด็จพระอัมรินทราธิราช ซึ่งสถิตเสวยสุขอยู่ในไพชยนตปราสาทพิมาน
    พญามาราธิราชซึ่งสถิตอยู่ ณ เบื้องสวรรค์ชั้นสูงสุด คือ ปรมนิมิตสวัตตีเทวโลก ก็ประเสริฐเป็นหนึ่งอยู่แต่เพียงพระองค์เดียว จักได้มีผู้ใดเทียมเท่าก็หามิได้
    ท่านท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่วิเศษ ณ เบื้องพรหมโลกแต่ละภพก็มีอำนาจเลิศเป็นใหญ่แต่ลำพังพระองค์เดียว
    เพราะฉะนั้น สมเด็จพระสัมพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐล้ำเลิศในไตรโลกจึงทรงเป็นเอกประเสริฐสุดอยู่แต่เพียงพระองค์เดียวและเมื่อมาตรัสก็ไม่มาตรัสพร้อมกันเป็นสองพระองค์ในคราวเดียวกันเลย สภาพการณ์เช่นนี้เป็นธรรมประเพณีเที่ยงแท้แต่เดิมมา

    พรรณนาในพระพุทธาธิการกล่าวถึงเรื่องอันเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เห็นว่าเป็นการสมควรแล้ว จึงขอยุติลงเพียงแค่นี้ ต่อจากนี้ เพื่อความเข้าใจดี ขอเชิญท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงได้ติดตามประวัติการสร้างพระพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลายสืบต่อไป
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    บทที่ 2 พระบารมีเริ่มแรก

    บัดนี้ จักพรรณนาถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎศากยมุนีโคดมบรมโลกนายก พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา ทรงมีพระมหากรุณาประกาศศาสนธรรมคำสั่งสอนให้พวกเราชาวพุทธเวไนยนิกรได้ประพฤติปฏิบัติสืบๆ กันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพื่อเป็นการสดุดีสรรเสริญคุณแห่งพระองค์ เท่าที่สามารถจะประมวลนำมากล่าวไว้ในที่นี้ได้ ขอท่านสาธุชนทั้งหลายจนตั้งใจสดับตรับฟังด้วยเถิด เพื่อที่จะได้เกิดศรัทธาปสาทะความเชื่อความเลื่อมใสในองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยมาเข้าใจทราบชัดว่า สมเด็จพระบรมศาสดาของพวกเราทั้งหลายกว่าจะได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น พระองค์ท่านต้องทรงอุตสาหะพยายามสั่งสมปมพระบารมีมาเป็นเวลานาน และยากลำบากนักหนาเพียงไร


    สมเด็จพระสรรเพชญ์ศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเรานี้ พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ คือ ทรงยิ่งด้วยพระปัญญา ฉะนั้น จึงปรากฏว่าพระองค์ทรงสร้างพระบารมีเพื่อพระพุทธภูมิได้ยิ่งยวดรวดเร็วนักหนา เร็วยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าประเภทอื่นทั้งหมด นับตั้งแต่เริ่มปรารถนาพระพุทธภูมิจนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แม้จะรวดเร็วกว่าพระพุทธเจ้าประเภทอื่น ถึงกระนั้น พระองค์ก็ต้องทรงก็ต้องทรงใช้เวลาสร้างพระบารมีถึง 20 อสงไขย กับ 1 แสนมหากัปพอดี ในบทนี้ จะกล่าวถึงตอนเริ่มแรกทรงสร้างพระบารมี คือ ตอนทรงปรารถนาพระพุทธภูมิได้แต่ดำริในพระหฤทัยมิได้ออกโอษฐเป็นวาจานับเวลานานถึง 7 อสงไขย ดังต่อไปนี้
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พรหมรำพึง

    กาลครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าโลกธาตุพระบวรพุทธศาสนา คือ ไม่มีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัทพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ เป็นเวลานับได้นานนักหนาถึง 1 อสงไขย เมื่อไม่มีพระพุทธศาสนา โลกธาตุก็ย่อมจะว่างเว้นจากการได้บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษเป็นธรรมดา เพราะว่าธรรมพิเศษคือพระอริยมรรคอริยผลอันเป็นโลกุตรธรรมนั้น จักมีได้ก็แต่เฉพาะภายในพระพุทธศาสนาเท่านั้นไม่มีศาสนาลัทธิอื่นเป็นอันขาด ก็ในกาลครั้งนั้น จึงบรรดาเทพยเจ้าทั้งหลายผู้ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกบริษัทแลได้บรรลุผลธรรมวิเศษ คือ เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีมาแต่ศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน เทพยเจ้าพระอริยบุคคลเหล่านั้นต่างก็พากันอนุโยคพยายามประกอบความเพียรบำเพ็ญกรรมฐานในเทวโลกที่ตนสถิตอยู่ จนได้บรรลุถึงมรรคผลเบื้องบนสำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล แล้วจึงจุติขึ้นไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมอนาคามี ณ พรหมโลกชั้นสุทธาวาสทั้งห้า คือ อวิหาพรหมโลก และอกนิฏฐพรหมโลก องค์ใดจะไปอุบัติเกิดในปัญจสุทธาวาสพรหมเทวโลกชั้นไหนนั้น ก็สุดแต่วาสนาบารมีที่ตนอบรมให้แก่กล้าในอินทรีย์ไหน

    เมื่อเทพยดาเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นไปอุบัติเกิดเป็นพรหมอนาคามีแล้วก็ย่อมเจริญกรรมฐานต่อไปจนกระทั่งได้บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุด คือ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วก็ดับขันธ์ปรินิพพาน ณ พรหมโลกนั้นเอง อันนี้เป็นกฎธรรมดาของพระพรหมอนาคามีทั่วไปที่ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกไหนๆ อีก เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่พระอมตนิพพานไปทีละองค์สององค์เช่นนี้ พระพรหมอนาคามีก็เหลือน้อยลงทุกที เพราะผู้ที่จะมาอุบัติเกิดใหม่ก็ไม่มี โดยที่โลกธาตุนี้ว่างจากพระพุทธศาสนา จึงไม่มีพระอนาคามีบุคคลผู้ทรงคุณพิเศษมาอุบัติเกิดดังกล่าวแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านสุทธาวาสมหาพรหมอนาคามีได้ทอดทัศนาเห็นมหาพรหมที่เหลืออยู่น้อยนักหนาทั้งยังจะต้องได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์สู่ปรินิพพานในวันหน้าอีกเล่า ท่านมหาพรหมเหล่านั้นจึงได้รำพึงปรึกษากันไปว่า

    “ดูรา เราท่านผู้นิรทุกข์เอ๋ย กาลบัดนี้ บรรดามหาพรหมในชั้นปัญจสุทธาวาสเรานี้ น้อยลงๆ นักหนาแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าในโลกธาตุว่างเว้นจากพระพุทธศาสนา กาลที่ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแล ปรากฏเป็นอันมากมายกว่ากาลที่มีพระพุทธเจ้าเป็นไหนๆ ฉะนั้น หมู่พระพรหมสุทธาวาสเรานี้ จึงค่อยน้อยไปๆ” เมื่อได้รำพึงปรึกษากันไปดังนี้ ต่างก็มีกมลหฤทัยบังเกิดความสังเวช แลคิดจะแก้ไขเหตุการณ์ให้ดีขึ้น จึงทอดทัศนาเล็งแลดูไปทั่วจักรวาลแลอนันตจักรวาลน้อยใหญ่ ก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้าจักเสด็จมาอุบัติขึ้นในกาลใกล้ๆ นี้เลย จึงรำพึงปรึกษากันต่อไปว่า

    “อันธรรมดาองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมอุบัติตรัสในมงคลจักรวาลนี้เท่านั้น เว้นจากมงคลจักรวาลโลกธาตุแล้ว จักมิได้ไปเสด็จตรัสในจักรวาลทั้งหลายอื่นเลย ก็แลใครผุ้ใดเล่าหนา จักเป็นผู้มีความพยายามใหญ่ หฤทัยมั่นคงแข็งกล้าอุตสาหพยายามบำเพ็ญกุศลพุทธการกธรรมเพื่อจักได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณได้ จำเราทั้งหลายจักต้องคอยกันค้นคว้าแสวงหาดู”

    ครั้นสุทธาวาสมหาพรหมทั้งหลายปรึกษากันฉะนี้แล้วจึงค่อยสอดส่องหาดูทั่วทั้งหมู่มนุษย์และเทวดา เพื่อจักหาบุคคลผู้มีกมลหฤทัยผูกพันมั่นคงกล้าหาญ เต็มไปด้วยอนุโยคพยายามอันยิ่งใหญ่ อาจประกอบกิจที่ตนมุ่งหวังให้สำเร็จได้โดยมิอาลัยถึงร่างกายแลชีวิต โดยประสงค์ว่า เมื่อพบผู้มีน้ำใจองอาจมั่นคงชนิดนี้แล้ว จักได้เข้าบันดาลดลจิตของผู้นั้นให้บังเกิดมีน้ำใจรักใคร่ในทางที่จะปรารถนาพระพุทธภูมิเพื่อตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาลภายภาคหน้า
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    มาณพหนุ่มผู้เข็ญใจ

    กาลครั้งนั้นยังมีมาณพหนุ่มผู้ยากจนเข็ญใจคนหนึ่ง เมื่อถึงกาลชนมายุเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาจึงคิดจะปลูกฝังแต่งตั้งให้มีครอบครัวตามประเพณี แต่มาณพนั้นมิได้มีความปรารถนาด้วยประมาณตัวว่าตนเป็นคนยากจน ครั้นชนกชนนีรบเร้าเฝ้ารำพันปลอบ จึงตอบว่า

    “ข้าแต่พ่อแม่ทั้งสอง ทุกวันนี้ทรัพย์สมบัติอันหนึ่งอันใดที่มีค่าในเรือนของเราก็มิได้มี เพราะว่าเราเป็นคนเข็ญใจ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยังมิพอใจจะมีเหย้ามีเรือน เมื่อมาดาบิดาทั้งสองยังครองชีวิตอยู่ตราบใด ข้าพเจ้าก็จักอุปฐากบำรุงเลี้ยงไปตามประสายาก จนกว่าชีวิตข้าพเจ้าจะหาไม่” เมื่อให้คำตอบดังนี้แล้ว ก็ทำการงานเลี้ยงดูท่านทั้งสองเป็นนิตย์ ครั้นจำเนียรกาลนานมา ท่านบิดาก็ถึงแก่กรรมไปตามธรรมดาของสังขาร

    ตั้งแต่นั้นมา มาณพหนุ่มก็มิได้มีความประมาท หมั่นระวังระไวเอาใจใส่อภิบาลมารดาด้วยความรัก เที่ยวแสวงหาหักไม้ในอรัญพอแก่ความต้องการแล้วก็มามาขายได้มูลค่าเท่าใดก็จ่ายจัดเครื่องภัตตาหารได้แล้วก็นำมาอุปฐากบำรุงเลี้ยงมารดาเป็นกิจวัตรตลอดมาทุกวิวากาล

    วันหนึ่งมาณพหนุ่มผู้ยากไร้นั้น ครั้นเสร็จการเรือนแล้วก็เข้าไปสู่อรัญประเทศเข้าหาฟืนแลผักได้มากเหลือกำลัง นำกลับมาในระหว่างทางก็ให้เหนื่อยกายกระหายหิวน้ำนัก จึงแวะเข้าอาศัยพักนั่งอยุ่ริมฝั่งน้ำใต้ต้นไทรใบดกหนาแห่งหนี่งใกล้ท่าเรือสำเภา นึกในใจว่า จักเอนกายพอคลายเหนื่อยสักหน่อยจึงจะค่อยเดินทางกลับบ้านต่อไป แล้วก็เอนกายระงับหลับม่อยไปครู่หนึ่ง พอตื่นขึ้นมาเหลือบไปเห็นเรือสำเภาจึงเกิดความคิดอันบรรเจิดจ้าคำนึงไปว่า

    “อา บัดนี้ เรากำลังเป็นคนหนุ่มอยู่ในปฐมวัน มีกำลังกายอุดมดี จึงอาจแสวงหาผักฟืนอันเป็นงานหนักถึงเพียงนี้ได้ก็เมื่อกายแก่ชราล่วงกาลนานไปถอกกำลังแล้วก็ดี เราจักมีความสามารถประกอบการงานอันหนักอย่างที่กำลังกระทำอยู่ทุกวันนี้ได้หรือ จำเราจะคิดขยับขยายหาทางประกอบอาชีพเสียใหม่เข้าไปหานายสำเภานั้นแล้วของานทำเพื่อนำค่าจ้างมาเลี้ยงดูมารดา เช่นนี้น่าจะเป็นการดี” ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงผันผายเข้าไปหาพ่อค้าผู้ใหญ่นายสำเภา แล้วกล่าวขึ้นว่า

    “ข้าแต่นาน กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าซึ่งมีความยากจนเข็ญใจนัก จึงเซซังสู่สำนักท่านด้วยหวังใจว่า ถ้าท่านอนุเคราะห์ข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็จักขอทำงานอยู่กับท่านด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อไป”

    ฝ่ายนายสำเภาผู้ใหญ่ ครั้นได้ฟังวาจาของมาณพหนุ่มมาอ้อนวอนของานทำเช่นนั้นก็พลันให้เกิดความสงสาร กอปรทั้งได้เห็นรูปร่างของมาณพหนุ่มดูอุดมไพบูลย์ไปด้วยกำลังกายอาจทำงานต่างๆ ได้โดยง่าย จึงตกลงใจอนุเคราะห์เร่งรับคำโดยเร็วว่า

    “เออ พ่อนี้ร่างกายก็ดี ทั้งมีปัญญาพูดจาก็คมสันสมควรอยู่ มาเถิดเราจักรับอนุเคราะห์ จะต้องการค่าจ้างเท่าไร เราจักให้ตามต้องการอีกทั้งเสบียงอาหาร เมื่อต้องการก็จงเอาไปก่อนเถิด เราจะรับเลี้ยงเจ้าไปตายเท่าวันมรณะ เจ้าอย่าได้คิดรังเกียจเลย”

    มาณพหนุ่มคนเข็ญใจ เมื่อได้รับอนุเคราะห์เช่นนั้นก็มีจิตยินดีนักหนา กล่าวคำอำลาแล้วเดินนึกสรรเสริญคุณนายเรือสำเภาพ่อค้าใหญ่ไปพลาง จนมาถึงร่มไทรที่พัก เพื่อจะนำผักและฟืนไปขายเสียก่อนก็กลับวิตกไปอีกว่า

    “หากเราจะไปต่างประเทศกับพวกพ่อค้าพานิชในเรือสำเภา มารดาเราอยู่ข้างหลังใครจักอภิบาลบำรุงเลี้ยงดูเล่า เรานี้น่าจะเป็นคนคิดผิดเสียในครั้งนี้กระมังหนอ แต่จะอย่างไรก็ตามจำเราจะต้องไต่ถามบอกความแก่มารดาดูเสียก่อน แล้วจึงจะค่อยผ่อนผันตามสมควรในภายหลัง” คิดดังนี้แล้วก็ยกภาระอันหนักนั้นขึ้นใส่บ่าไปขาย ได้มูลค่าแล้วก็จับจ่ายภัตตาหารกลับมาสู่เรือน ประกอบสรรพกิจที่เคยทำมา ครั้นมารดาบริโภคอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปกราบกรานเล่าเรื่องที่ตนคิดจะไปทำงานกับพวกพานิชย์ยังต่างประเทศให้ฟัง
    ฝ่ายชนนีของมาณพหนุ่มนั้น ครั้นได้ฟังวาจาของปิยบุตรสุดที่รักบอกว่าจักใคร่ไปทำงานเพื่อหวังความก้าวหน้า จะกล่าวห้ามปรามเสียก็ไม่สมควร จึงกล่าวว่า

    “ดูกรพ่อผู้ปิยบุตร ทุกวันนี้ชีวิตแม่ย่อมเนื่องอยู่กับเจ้าผู้เป็นลูกรัก เพราะฉะนั้นเจ้าจะไปที่ไหนก็จงไปตามใจเถิดแต่ว่าขอให้แม่นี้ได้ไปกับเจ้าได้อยู่ใกล้ๆ เจ้าเสมอก็แล้วกัน”

    มาณพหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีกึ่งวิตก จึงรีบลามารดาไปที่ท่าเรือสำเภา เข้าไปหานายพานิชผู้ใจดีแล้วแจ้งความว่า

    “ข้าแต่ท่านผู้มีจิตกรุณา บัดนี้การที่ข้าพเจ้าจะทำงานในเรือไปกับท่านยังต่างประเทศนั้น ข้าพเจ้าจะไปแต่ตัวคนเดียวหาได้ไม่ ถ้าท่านมีความกรุณา ขอจงอนุญาตให้ข้าพเจ้าพามารดาไปด้วยเถิด แท้จริงมารดาของข้าพเจ้านั้นเป็นคนชราอนาถาหาที่พึ่งมิได้ บุตรธิดาคณาญาติผู้ใดใครผู้หนึ่งนอกจากข้าพเจ้าแล้วที่จะบำรุงอุปัฏฐากเป็นไม่มีเลย ข้าพเจ้าจึงไม่อาจสละทิ้งมารดาทิ้งมารดาได้แค่เดียวดายได้”

    ฝ่ายนายสำเภาได้ฟัง ก็ยิ่งมีจิตกรุณานักหนา จึงตอบเป็นทีมธุรวาทีว่า

    “ดูกรพ่อผู้เจริญ เออ พ่อนี้ก็เป็นคนดีมีกตัญญูรู้คุณอุตส่าห์ชุบเลี้ยงมารดาอยู่ด้วยหรือ เออดีแล้ว จงพามารดาไปด้วยเถิด เราจะรับอุปการะทั้งสิ้นโดยสุจริตใจ เพราะรักใคร่ในน้ำใจจริงๆ อย่าวิตกกังวลไปเลย”

    มาณพก็มีจิตโสมนัสยินดี อัญชลีกรกล่าวขอบคุณนายพานิช แล้วรีบมายังเรือนของตน แจ้งความแก่มารดาให้ทราบแล้วก็เลือกเก็บทรัพย์สมบัติอันไม่ค่อยจะมีค่านัก รวบรวมได้ห่อหนึ่ง แล้วจึงพามารดาของตนสู่สำนักของนายสำเภา ครั้นได้เวลาเรือออกจากท่าจะไปยังต่างประเทศแล้ว นายสำเภาผู้มีใจกรุณาก็มอบหมายหน้าที่ให้นายมาณพหนุ่มนั้นทำตามกำลังความสามารถ มาณพนั้นก็มิได้ประมาทอุตสาหะประกอบกิจทุกประการเป็นอันดี

    เมื่อเรือสำเภาแล่นไปในมหาสมุทรทะเลใหญ่ประมาณได้ 7 วัน สำเภานั้นต้องลมพายุใหญ่เหลือกำลังก็เลยถึงซึ่งความอัปปางทำลายล่มจมลงในท้องมหาสมุทร บรรดามนุษย์พานิชนิกรทั้งหลายรวมทั้งนายสำเภาผู้ใจดีก็สิ้นชีวิตถึงแก่มรณาเป็นภักษาแห่งเต่าปลาทั้งหลายในมหาสมุทรนั้น

    ฝ่ายมาณพหนุ่ม เมื่อพบประสบการณ์อันร้ายแรงเช่นนั้นก็ตั้งสติมั่นจัดแจงแต่งตัวให้ทะมัดทะแมงเป็นอันดี พอได้ทีก็โลดโผนโจนออกไปจากเรือที่กำลังอัปปางเพื่อรักษาชีวิตแห่งตนไว้ ครั้นแล้วรำลึกได้ถึงมารดาจึงเหลียวหลังกลับมาแลดู ก็บังเอิญให้เห็นมารดายังไม่ตาย ยังเหนี่ยวต้นไม้หักห้อยตัวอยู่จึงดีใจนักหนา ว่ายน้ำกลับมารับมารดาให้นั่งเหนือคอของตนแล้วก็พาว่ายน้ำไปในมหาสมุทร แม้ว่าจะแลเห็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่สุดวิสัยไม่เห็นฟากฝั่งจะข้ามไปให้รอดชีวิตได้ ถึงกระนั้นก็มิได้ย่อท้อถอยความเพียรเสีย แม้จะเพลียแสนเพลียเหน็ดเหนื่อยนักหนา ก็สู้อุตสาหะอดทนต่อต้านทานกำลังน้ำเชี่ยวเค็มเต็มไปด้วยคลื่น ด้วยน้ำใจเด็ดเดี่ยวมากไปด้วยความพยายามอดทนเป็นยิ่งนัก เพื่อที่จักนำมารดาไปให้รอดชีวิตให้จงได้

    กล่าวฝ่ายท้าวสุทธาวาสมหาพรหมอนาคามี ซึ่งสถิตอยู่ ณ ชั้นอกนิฎฐภพพรหมโลกโพ้น เพื่อคอยแลเล็งเพ่งดูหมู่สัตว์ประสงค์จะเลือกคัดจัดสรรผู้มีหฤทัยองอาจเต็มไปด้วยอุตสาหะใหญ่ใจกล้าสามารถที่จะกระทำพุทธการกธรรมได้ คราวนั้นทอดทัศนาลงมาเห็นมาณพผู้กำลังแบกมารดาว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทร จึงดำริว่า “โอ บุรุษนี้เป็นมหาบุรุษโดยแท้ ดูรึ ไม่เอื้อเฟื้อย่นย่อต่อมหาสมุทรอันสุดลึกซึ้งกว้างไกล สู้อดทนพยายามว่ายน้ำ เพื่อพามารดาให้ข้ามพ้นบรรลุถึงฝั่งก็บุคคลผู้มีใจพยายามมั่นคงเต็มไปด้วยอุตสาหะใหญ่เห็นปานนี้ จึงควรนับว่าเป็นผู้สามารถเพื่อที่จะบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้สำเร็จลุล่วงไปได้” เมื่อท้าวมหาพรหมผู้วิเศษคำนึงฉะนี้แล้ว ก็เข้าดลจิตให้มาณพหนุ่มนั้นปณิธานปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ

    เวลานั้น มาณพหนุ่มผู้ซึ่งมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวอดทนเป็นมหาบุรุษ เมื่อแบกมารดาว่ายอยู่ในหมู่คลื่นอันมีกำลังกล้าซัดซ่ามาปะทะประหารจึงให้เกิดอาการอ่อนเพลียเหน็ดเหนื่อยนักหนา ก็จมลงไปในมหาสมุทรหน่อยหนึ่งแล้วก็โผล่ขึ้นมาอีก ในเวลานาทีอันเลวร้ายใกล้มรณะ ด้วยเดชะอำนาจแห่งนำหฤทัยที่ท้าวมหาพรหมผู้วิเศษให้นึกนั้น ก็บังเกิดความคิดขึ้นมาว่า

    “ถ้าตัวเราถึงแก่ชีวิตพินาศขาดสูญลงไปในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่พร้อมกับมารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระโพธิญาณ ขอเราพึงอาจนำสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายในวัฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงฝั่งโน้น คือ อมตมหานิพพาน”

    ครั้นคิดดังนี้แล้ว มาณพหนุ่มนั้นก็ตั้งปณิธานซ้ำลงไปอีกว่า

    “เมื่อเราเปลื้องตนออกพ้นจากวัฏสงสารแล้ว ขอเราพึงนำสัตว์ทั้งหลายให้เปลื้องตนพ้นจากวัฏสงสารด้วยเถิด อนึ่ง เมื่อเราข้ามจากวัฏสงสารได้แล้วขอให้เราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย ข้ามพ้นจากวัฏสงสารได้ด้วยเถิด”

    เมื่อนึกปณิธานดังนี้แล้ว ก็ให้เกิดอัศจรรย์ พละกำลังที่จวนจะหมดสิ้น ก็พลันเกิดมีขึ้นมาอีกด้วยกำลังแห่งพรหมอนุเคราะห์ มาณพหนุ่มนั้นจึงอุตสาหะแบกมารดาว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร สองสามวันก็บรรลุถึงฝั่ง พอพามารดาขึ้นฝั่งได้แล้ว ก็เข้าไปอาศัยบ้านแห่งหนึ่งอยู่ ทำงานเลี้ยงชีวิตด้วยความยากจนสืบไป ครั้นถึงแก่กาลกิริยาสิ้นชีวิต กุศลก็ส่งให้ได้ขึ้นไปอุบัติเกิดในสวรรค์สุคติภูมิ
    ชีวประวัติของมาณพหนุ่มเข็ญใจนี้ แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดั้งเดิมเริ่มแรก เพื่อต้องการพระพุทธภูมิขององค์สมเด็จพระสรรเพชญ์มิ่งมกุฏศรีศากยมุนีโคดม บรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลาย คือ พระองค์เริ่มตั้งปณิธานความปรารถนาครั้งแรก ตั้งแต่ปางเมื่อเสวยพระชาติเป็นมาณพหนุ่มแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรที่เล่ามานี้ แล้วต่อจากนั้น พระองค์ท่านก็มีหฤทัยมั่นคงตั้งความปรารถนาในทุกๆ ชาติที่เกิดเริ่อยมาไม่เปลี่ยนแปลงก็เป็นอันแสดงว่า พระองค์ทรงเริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา เพราะทรงปรารถนาพระพุทธภูมิหรือพุทธภาวะซึ่งเป็นคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว ฉะนั้นต่อแต่นี้ไป จะเรียกคำแทนชื่อพระองค์ว่า พระโพธิสัตว์ ในพระชาติต่างๆ ที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้เป็นส่วนเล็กน้อยที่พระองค์เกิดเท่านั้น อย่าพลันเข้าใจว่าพระองค์เกิดเพียงไม่กี่ชาติเท่าที่เล่ามานี้เป็นอันขาด ความจริง พระองค์เกิดเป็นพระโพธิสัตว์สร้างบารมีมากมายจนนับพระชาติไม่ถ้วน ไม่สามารถจะประมวลมาให้สิ้นสุดลงได้ จะยกย่องเอาแต่บางพระชาติมาเล่าไว้ในที่นี้เท่านั้น เมื่อได้ทำความเข้าใจเป็นอันดีเช่นนี้แล้ว ก็จะขอเล่าเรื่องการสร้างพระบารมีของสมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    สัตตุตาปะราชา

    หลังจากที่ได้ตั้งปรารถนาพระพุทธภูมิ ในพระชาติที่เป็นมาณพผู้ยากจนเข็ญใจเป็นประเดิมเริ่มแรกแล้ว พระโพธิสัตว์เจ้าก็ท่องเที่ยวเสวยสุขอยู่ ณ สวรรค์เทวโลกอยู่นานแสนนานแล้วจึงจุติจากเทวโลกลงมาบังเกิดในขัตติยตระกูล ณ พระนครที่ปรากฏนามว่าสิริบดีนคร เมื่อมีพระชนมพรรษาทรงเจริญแล้ว สมเด็จพระชนกธิราชเสด็จทิวงคตล่วงลับไป พระองค์จึงได้เสวยมไหศูรยสมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าสัตตุตาปนราธิราช มรพระบรมเดชานุภาพเป็นอันมาก ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนโดยทศพิธราชธรรม ก็สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงมีพระหฤทัยรักใคร่ในหัตถีพาหนะ คือ ช้างเป็นอย่างยิ่งพระองค์ทรงได้สดับว่ามีมงคลคชสารอยู่ ณ ประเทศที่ใดแล้ว ก็ทรงพระอุตสาหะเสด็จไปประดับแรมอยู่ ณ ประเทศนั้น จนกว่าจะจับมงคลคชสารได้ จึงจะเสด็จกลับนำมาสู่พระนคร แล้วทรงมอบให้นายหัตถาจารย์ผู้วิเศษชำนาญเวทย์ฝึกสอนต่อไป

    สมัยนั้น ที่แขวงเมืองสิรบดี มีพรานไพรพเนจรผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนเจนจัดสันทัดเที่ยวไปในทางเถื่อนทุรประเทศ วันหนึ่ง เขาสัญจรไปในอรัญราวป่าเพื่อแสวงหาเนื้อ เมื่อมิได้ประสบพบพามหมู่มฤคแลฟานโดยที่สุด แม้แต่สัตว์เดียรฉานสักตัวเดียวพอที่จะล่าได้ ก้ไม่อาจกลับบ้านได้ด้วยมือเปล่าตามวิสัยพราน จึงลดเลี้ยวเที่ยวไปในป่าลึกจนล่วงหนทางที่เคยเที่ยวไปของมนุษย์ ก็บังเอิญไปพบมงคลคชสารสารสีเสวตผู้ผ่องพรรณงามด้วยงวงวาปรากฏขาวราวขนทรายจามรี ท่องเที่ยวอยู่ที่ถิ่นสถานชานสระโบกขรณีแห่งหนึ่ง แล้วจึงคิดรำพึงว่า
    “แต่อาตมาเที่ยวป่ามาช้านาน นับเดือนและปีก็ได้มากแล้ว ยังไม่เคยพบมงคลหัตถีเช่นนี้เลย ก็คราวนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านมา เราไม่ได้ประสบเนื้อถึกมฤคี แม้แต่หมี เม่น กระต่าย ฟานทราย นกกระทา ตัวใดตัวหนึ่งก็มิได้พบพาน จึงได้ล่วงดงกันดารมาถึงสถานที่นี้ บุตรภริยาเราก็จักไม่ได้สิ่งใดเลี้ยงชีวิตอย่ากระนั้นเลย เราจะนำเอาข่าวพญาคชสารสีเศวตนี้เข้าไปเป็นบรรณการกราบทูลให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงทราบ น่าที่จะได้ทรัพย์ข้าวของรางวัลสืบชีวิตได้”

    ครั้นคิดสำเร็จตกลงใจดังนี้แล้ว ตะแกก็ตั้งจิตกำหนดแนวพนารัญสิขรินทรบรรพตให้ถนัดแน่ แล้วก็กลับมาในเมืองเข้าไปหยุดอยู่แทบพระทวารพระราชวังแล้ว จึงบอกความนั้นให้ท่านข้างในนำไปกราบทูลสมเด็จพระบรมกษัตริย์ เพื่อทรงทราบเนื้อความ ครั้นสมเด็จพระเจ้าสัตตุตาปะบรมโพธิสัตว์ทรงทราบความแล้ว ก็พระราชทานทรัพย์เป็นรางวัลแก่พรานไพรเป็นอันมาก แล้วมีรับสั่งให้ตระเตรียมพลพาหนะเสด็จออกจากพระนคร ให้พรานนั้นเป็นมรรคนายกนำทาง เสด็จมาตามระหว่างเขาไม้ไพรพนมโดยลำดับ จนบรรลุถึงประเทศที่นั้น

    ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นมงคลคชสารก็ทรงโสมนัสดำรัสสั่งให้แวดล้อมด้วยคชพาหนะคชาธารเป็นอันมาก ก็ทรงจับพญาคชสารนั้นได้โดยไม่ยาก แล้วนำมาพระนครดำรัสสั่งให้หานายหัตถาจารย์ผู้ฝึกช้างเข้ามา เมื่อพระราชทานรางวัลแล้วจึงมีราชโองการว่า

    “ดูกรพ่อหัตถาจารย์ ในระหว่างกาล 7 – 8 วันนี้ ท่านจงเร่งฝึกสอนมงคลคชสารที่เราจับมาจากป่าให้มีมารยาทเป็นอันดี เราจะเล่นนักขัตฤกษ์มหรสพด้วยมงคลหัตถีเศวตอั้นประเสริฐตัวนี้”

    ฝ่ายนายหัตถาจารย์รับพระราชโองการแล้วก็เข้าทำการฝึกสอนคชสารให้สำเหนียกโดยให้โอสถ และให้หญ้าเป็นอาหาร เพราะความที่ตนเป็นผู้ชำนาญในการฝึกช้างเป็นอย่างเยี่ยม ทั้งรอบรู้ในคชวิชาเป็นอย่างดี ต่อมาไม่ช้าล่วงมาได้ 3 วัน พญาคชสารประเสริฐตัวนั้นก้เป็นอันถูกฝึกสอนทรมานเป็นอันดีแล้วจึงมาถวายได้ตามกำหนด ครั้นพอถึงวันนักขัตฤกษ์สมเด็จพระบรมกษัตริย์ จึงสั่งให้ประดับมงคลคชสารนั้น ด้วยมงคลหัสดาภรณ์พิเศษ ซึ่งล้วนแล้วด้วยแก้วแลทองกุก่องตระการเสร็จแล้ว ก็เสด็จทรงมงคลคชสารนั้นออกด้วยจตุรงคนิกรเสนาโยธาหารราชบริวารเป็นอิสสริยยศใหญ่ยิ่ง เพื่อจะทรงเล่นนักขัตฤกษ์ แล้วก็เลยเสด็จทำประทักษิณพระนคร คือ เลียบเมืองเป็นที่พระสำราญพระหฤทัย

    ก็ในเวลาราตรีที่ล่วงหน้า ได้มีฝูงโขลงช้างทั้งหลายมาแต่ราวป่าเข้าลุยเล่นในสวนพระราชอุทยาน ไล่หักรานพรรณพฤกษาที่ทรงผลพวงผกาบุปผาชาติใหญ่น้อยทั้งสิ้นให้แหลกย่อยยับแล้ว มิหนำซ้ำยังถ่ายมูตรกรีสลงไว้ในที่นั้นเกลื่อนกลาดแล้วก็พากันหลีกไป ครั้นเวลารุ่งสางสว่างกาล นายอุทยานบาลเห็นอุทยานยับอยู่เช่นนั้น จึงด่วนพลันนำเอาเนื้อความเข้าไปเพื่อจะกราบทูล ในขณะที่สมเด็จพระบรมกษัตริย์เสด็จกลับจากประทักษิณพระนคร เมื่อถึงที่เฝ้าแล้วก็ยอกรประณมบังคมทูลว่า

    “ข้าแต่พระองค์ เมื่อเวลารัตติกาลนี้มีฝูงโขลงช้างมาแต่ไพร บุกเข้ามาลุยไล่หักรานพรรณพฤกษาในพระราชอุทยานแหลกเหลวสิ้นแล้วพระเจ้าข้า”

    สมเด็จพระบรมกษัตริย์ได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็ตรัสสั่งให้เดินขบวนด่วน เสด็จเลยออกไปเพื่อจะทรงทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ครั้นถึงแล้วก็ทรงเที่ยวทอดพระเนตรดูไปจนทั่ว ในขณะนั้น พญามงคลคชาธารพระที่นั่งทรงประเสริฐตัวนั้นก็บังเอิญได้สูดดมกลิ่นแห่งนางพังช้างตัวเมียทั้งหลาย ซึ่งยังมีกลิ่นติดอยู่ในที่นั้นๆ ก็เกิดความเมามัวขึ้นมาภายในด้วยอำนาจราคะดำกฤษณาให้เกิดความเสียวกระสัน จึงสลัดกายให้นายควาญท้ายตกลงแล้ว ก็คลุ้มคลั่งแทงสถานกำแพงอุทยานทะลายลง แล้วก็ลุยแล่นไปไม่หยุดยั้ง

    สมเด็จพระบรมกษัตริย์จึงทรงพระแสงขอคอเหนี่ยวเกี่ยวไว้ด้วยพละกำลังก็มิสามารถจะให้พญาคชสารนั้นหมดความบ้าคลั่ง และรู้สึกตัวกลัวเจ็บได้พญามงคลคชสารใหญ่จึงพาพระองค์สละจาตุรงคนิกายน้อยใหญ่ทั้งปวงไปโดยเร็ว ครั้นแล่นเข้ามาถึงอรัญราวไพรแล้วพระองค์ได้เสวยความลำบากบอบช้ำระกำพระองค์ แต่ก็จำต้องทรงพระทรมานมากับพญาหัตถี ทรงหมดพระปัญญาที่จะหยุดยั้งไว้ได้ ครั้นยิ่งแล่นไปนานนักหนา สมเด็จพระราชาก็ให้เกิดมีอันเป็นทรงพระมึนงง มิอาจที่จะทรงกำหนดทิศานุทิศได้ จึงทรงวินิจนึกในพระหฤทัยว่า “ถ้าเราจักไม่ปล่อยพญาช้างที่กำลังบ้าคลั่งตัวนี้เสียแล้ว เกลือกว่าไปประสบได้ประสานสัปยุทธกับช้างอื่นก็น่าที่จะทำให้อาตมาแตกกายทำลายชีวิตเสียเป็นแน่แท้อย่ากระนั้นเลย จำเราจะสละพญาหัตถีนี้เสียก่อนเถิด” มีพระสติดังนี้แล้ว จึงทอดพระเนตรสังเกตดูริมหมู่ไม้ริมทางจร ครั้นถึงไม้อุทุมพรคือ มะเดื่อใหญ่ต้นหนึ่ง มีกิ่งทิ้งทอดห้องลง พระองค์จึงโน้มพระกายขึ้นเกาะบนกิ่งไม้อุทุมพรนั้นได้ แล้วปล่อยให้พญาหัตถีวิ่งเตลิดไปตามเรื่อง ส่วนพระองค์นั่งบนกิ่งไม้ให้ทรงหิวกระหายนักหนา จึงทรงเสวยผลมะเดื่อนั้นไปพลาง

    ข้างฝ่ายพวกพลนิกายก็มีใจเป็นห่วงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของตนเป็นยิ่งนัก จึงพากันเร่งรีบตามรอยช้าง ล่วงทางมาได้ไกลนักหนาจนเข้ามาถึงป่าใหญ่ ครั้นยังไม่พบพระบรมกษัตริย์ก็กระทำอุโฆษประสานศัพท์สำเนียงบันลือลั่นสนั่นมา สมเด็จพระราชาได้ทรงสดับ จึงทรงอุโฆษร้องรับ พวกพลนิกายได้ยินพระสุรเสียงก็พากันเข้าไปถึงจึงเห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสถิตอยู่บนคบไม้มะเดื่อ ก็เชิญเสด็จรับพระองค์ลงมาจากคบพฤกษาแล้ว ก็ประโคมดุริยดนตรีเชิญองค์บรมนราธิบดีเสด็จกลับสู่พระนคร ครั้นประทับแท่นสีหอาสน์อันประเสริฐแล้ว จึงดำรัสสั่งให้หานายหัตถาจารย์เข้ามาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า

    “ดูกร นายหัตถาจารย์ผู้เจริญ ตัวท่านนี้มีความผิด ด้วยประสงค์จะใคร่ฆ่าเราเสียมิใช่หรือ”

    นายหัตถาจารย์ผู้ฝึกช้าง จึงกกลับทูลสนองพระราชปุจฉาว่า

    “ข้าแต่พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เหตุไฉน พระองค์จึงดำรัสเหนือเกล้ากับข้าพระพุทธเจ้าฉะนี้ ก็พญามงคลราชหัตถีนั้นเกล้ากระหม่อมก็ได้ฝึกสอนด้วยดีเป็นอย่างยิ่ง พระเจ้าข้า”

    “ก็เหตุไฉน พญาช้างจึงอาละวาดวิ่งพาเราเข้าป่าไปให้ได้รับความลำบากแทบล้มประดาตายเป็นการสนุกอยู่เมื่อไร” พระราชาทรงถามด้วยความขุ่นพระทัย

    “พระเจ้าข้า” นายหัตถาจารย์ทูลตอบ “ซึ่งพญาหัตถีให้มีอันเป็นวิปริตไปเช่นนั้น เป็นเพราะอำนาจความเร่าร้อนแห่งราคะกิเลส แม้ได้สมความต้องการของตนแล้ว ก็คงจะกลับมาดอก พระพุทธเจ้าข้า” เขาทูลอธิบายด้วยความเชี่ยวชาญมั่นใจในวิทยาการ

    “เออ ดีแล้ว” พระราชายังไม่หายขุ่นพระทัย “ถ้ากระนั้น จงยับยั้งอยู่ก่อน กว่ามงคลกุญชรนั้นจะกลับมา ถ้าพญามงคลหัตถีกลับมาก็เป็นบุญวาสนาของเจ้า ถ้าแม้นมิได้กลับมา ชีวิตของเจ้าก็จักมิได้มี” ดำรัสฉะนี้แล้ว ก็รับสั่งให้คุมตัวนายหัตถาจารย์ผู้วิเศษนั้นไว้ให้มั่นคงเพื่อรอการลงพระราชอาญา หากว่ามงคลหัตถีไม่กลับมาตามคำ

    ส่วนพญามงคลหัตถีตัวประเสริฐนั้น ครั้นวิ่งคลุ้มคลั่งไปด้วยอำนาจราคะดำกฤษณาไปทันนางช้างเถื่อนในไพร สำเร็จมโนรถประสงค์ของตนแล้ว ก็รีบกลับมาในเมืองเข้าไปในที่ตนอยู่ เมื่อเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง นายหัตถาจารย์ตื่นขึ้นเห็นมงคลคชสารยืนอยู่ในโรงแล้ว รุ่งเช้าจึงเข้าไปเฝ้ากราบทูลแด่สมเด็จพระราชา พระองค์ก็ทรงโสมนัสปรีดาหายโกรธเคือง รีบเสด็จลงมาจากปราสาทโดยด่วน ถึงโรงมงคลคชาธารทอดพระเนตรเห็นมงคลคชสารสีเศวต จึงเสด็จเข้าไปใกล้ยกพระกรขึ้นปรามาสลูบคลำท้องและงาพญาช้างแล้ว จึงมีพระดำรัสว่า

    “เออ ก็มงคลราชหัตถี ท่านสามารถฝึกสอนให้รู้ดีถึงเพียงนี้แล้ว เหตุไฉน เมื่อยามแล่นไปในวันนั้นเรากดเกี่ยวเหนี่ยวไว้โดยแรงด้วยพระแสงข้ออันคมยิ่ง ยังไม่สามารถที่จะห้ามได้ มันเป็นเพราะเหตุใดหนอ พ่อหัตถาจารย์”

    “พระเจ้าข้า เหตุไฉน พระองค์จึงตรัสดังนี้เล่า” ท่านอาจารย์ช้างผู้ขมังเวทย์ได้ทีจึงรีบทูลตอบ “ขึ้นชื่อว่าราคะดำกฤษณานี้ ย่อมมีคมเฉียบแหลมยิ่ง เกินกว่าคมแห่งพระแสงขอนั้นไปร้อยพันทวี อนึ่ง ถ้าจะว่าข้างร้อนเล่า ขึ้นชื่อว่าร้อนแห่งเพลิงคือ ราคะดำกฤษณานี้ ย่อมร้อนรุ่มอยู่ในทรวงของสัตว์บุคคลอย่างเหลือร้อน ยิ่งกว่าความร้อนแห่งเพลิงตามปกติเป็นไหนๆ อนึ่ง ถ้าจะว่าไปข้างพิษเล่า ขึ้นชื่อว่าพิษคือ ราคะดำกฤษณานี้ ย่อมมีพิษซึมซาบฉุนเฉียวเรี่ยวราดรวดเร็วยิ่งเกินกว่าพิษแห่งจตุรพิธภุชงค์ คือ พิษพระยานาคทั้งสี่ชาติตระกูลเป็นไหนๆ เพราะเหตุฉะนั้น ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงไม่อาจเพื่อจะเกี่ยวกดพญามงคลราชหัตถี ซึ่งแล่นไปด้วยแรงแห่งราคะดำกฤษณานั้น ให้หยุดยั้งด้วยกำลังพระแสงขอได้ พระเจ้าข้า” นายหัตถาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทูลอธิบายอย่างยืดยาว

    “เออ ก็ไฉนพญาคชสารนี้ จึงกลับมาโดยลำพังใจตนเอง” พระเจ้าอยู่หัวทรงถามขึ้น หลังจากที่ทรงนิ่งฟังท่านอาจารย์ช้างอธิบายอยู่ นายหัตถาจารย์จึงทูลตอบว่า

    “พระเจ้าข้า ข้อซึ่งพญาช้างไปแล้วและกลับมานั้น ใช่ว่าจะมาโดยใจตนก็หาไม่ โดยที่แท้ กลับมาด้วยกำลังอำนาจมนตรามหาโอสถของข้าพระพุทธเจ้าข้า”

    ได้ทรงสดับดังนั้น พระองค์จึงดำรัสว่า “ถ้ากระนั้นท่านจงแสดงกำลังมนต์และโอสถให้เราเห็นสักหน่อยเถิดเป็นไร”

    นายหัตถาจารย์ผู้เรืองเวทย์ รับพระราชโองการแล้ว หวังจักสำแดงอำนาจมนต์ของตนให้ประจักษ์แก่สายตาชาวพระนคร จึงสั่งให้บริวารไปนำเอาก้อนเหล็กก้อนใหญ่มา แล้วให้ช่างทองเอาใส่เตาสูบ เผาด้วยเพลิงให้ก้อนเหล็นนั้นสุกแดงแล้ว จึงเอาคีมคีบหยิบออกจากเตา เรียกพญาช้างเข้ามาแล้วก็ร่ายมนต์มหาโอสถประเสริฐ พลางบังคับให้คชสารจับเอาก้อนเหล็กแดงนั้นด้วยคำกำชับสั่งว่า

    “ดูกรพญานาคินทร์ผู้ประเสริฐ ตัวท่านจงหยิบเอาก้อนเหล็กนั้นในกาลบัดนี้ แม้นเรายังไม่ได้บอกให้วาง ท่านจงอย่าได้วางเลยเป็นอันขาด”

    พญาคชสารตัวทรงพลัง ครั้นได้ฟังคำนายหัตถาจารย์สั่งบังคับก็ยื่นงวงมาจ้องจับเอาก้อนเหล็กซึ่งลุกเป็นไฟ แม้ว่าจะร้อนงวงเหลือหลาย จนงวงไหม้ลุกเป็นเปลวควันขึ้นก็ดี ก็ไม่อาจจะทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสียได้ ด้วยกลัวต่อกำลังมนตราของนายหัตถาจารย์นั้นเป็นกำลัง สมเด็จพระบรมกษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นงวงคชสารถูกเพลิงไหม้อยู่เช่นนั้น ก็เกรงพญาช้างจะถึงแก่กาลมรณะ จึงดำรัสสั่งให้นายหัตถาจารย์บอกให้พญาช้างสารทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสียแล้ว ทรงหวนคิดถึงราคะดำกฤษณาของพญาช้างที่ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พร้อมกับคำชักอุปมาอธิบายของนายหัตถาจารย์เมื่อครู่นี้ ทรงรำพึงไป ก็ยิ่งทรงสังเวชในพระราชหฤทัยแสนทวี จึงทรงเปล่งออกซึ่งสังเวชวาทีว่า

    “โอหนอ น่าสมเพชนักหนา ด้วยฝูงสัตว์มาติดต้องข้องขัดอยู่ด้วยราคะดำกฤษณาอันมีพิษพิลึกน่าสะพรึงกลัวร้ายกาจยิ่งนัก ราคะคือความกำหนัดนี้ย่อมมีอาทีนวโทษเป็นอันมาก ก็เพราะเพลิงราคะมีกำลังหยาบช้ากล้าแข็ง ร้อนรุ่มสมทรวงสัตว์ทั้งหลายอยู่อย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายจึงต้องถูกราคะกิเลสย่ำยีบีฑา นำทุกข์มาทุ่มถมให้จมอยู่ในอู่แอ่งอ่าวโลกโอฆสงสาร ไม่มีวันสิ้นสุดลงได้เพราะราคะกิเลสนี่แล สัตว์ทั้งหลายจึงต้องไปตกหมกไหม้อยู่ในมหานรกทั้งแปดขุม และสัตว์ทั้งหลายบางหมู่ต้องไปเกิดอยู่ในอุสสทนรกบริวารมีประมาณร้อยยี่สิบแปดขุม อนึ่ง เพราะอาศัยราคะกิเลสนี้ สัตว์ทั้งหลายจึงต้องทนทุกขเวทนาอยู่ในเปตติวิสัยภูมิ และสัตว์ทั้งหลายบางหมู่ต้องไปเกิดอยู่ในกำเนิดเดียรฉาน สัตว์ทั้งหลายที่ต้องบ่ายหน้าไปสู่อบายภูมิ ก็เพราะอาศัยราคะดำกฤษณาเป็นประการสำคัญ ฉะนั้นจึงน่าสมเพชนัก”

    ครั้นทรงแสดงสังเวชวาทีฉะนี้แล้ว สมเด็จพระบรมกษัตริย์หน่อพระพุทธางกูร จึงตรัสแสดงอาทีนวโทษแห่งราคะดำกฤษณาต่อไปว่า

    “บรรดาสัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ เพราะอาศัยราคะดำกฤษณาย่อมเบียดเบียนบีฑาซึ่งกันและกัน เป็นต้นว่า บิดาย่อมเบียดเบียนบุตร บางทีฆ่าเสียก็มี
    บุตรย่อมเบียดเบียนบิดา บางทีฆ่าเสียก็มี

    บิดาย่อมเบียดเบียนธิดาตน เพราะร้อนรนด้วยราคะกฤษณาก็มี

    อนึ่ง ฝูงสัตว์ในโลกสันนิวาสนี้ เพราะร้อนด้วยราคะย่อมเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นต้นว่า

    บุตรย่อมเบียดเบียนชนนี บางทีฆ่าเสียก็มี

    ชนนีย่อมเบียดเบียนบุตร บางทีฆ่าเสียก็มี

    บางทีพี่ชายมุ่งหมายปองร้าย ราวีตีรันฟันฆ่าน้องชายของตนให้ตายก็มี

    บางทีพี่หญิงย่อมบีฑาฆ่าตีน้องสาว ที่สืบกษิรมารดาเดียวกันมาก็มี

    บางทีหลานสาวบีฑาลุงตัวให้ตายก็มี

    บางทีลุงลุ่มหลงทัณฑกรรมบีฑาหลานสาวตนเองก็มี

    บางทีภัสดาย่อมบีฑาโบยรันฟันแทงภริยาตน ให้ถึงตายก็มี

    บางทีภริยาบีฑาฆ่าตีสามีตน ให้ถึงตายก็มี สัตว์ทั้งหลายเป็นเช่นนี้เพราะอาศัยความร้อนแห่งเพลิงราคะดำกฤษณามาบีฑาให้ระทมตรมทุกข์ ถึงซึ่งความพินาศนานาประการ แม้แต่บุตรธิดา มารดาบิดา และภรรยาสามีที่แสนรักนักหนาแล้ว ยังเบียดเบียนฆ่าตีกันถึงเพียงนี้ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติเล่า ย่อมจะต้องเบียดเบียนบีฑากันเพราะอำนาจราคะกิเลสเป็นมูลฐานมากกว่ามากสุดประมาณ

    อีกประการหนึ่ง ฝูงสัตว์ในโลกสันนิวาสนี้ เพราะอาศัยอำนาจราคะดำกฤษณา บางคราย่อมจ่ายทรัพย์สินไปในทางไร้ประโยชน์ บางทีย่อมเสื่อมจากยศและเกียรติคุณ บางทีย่อมประกอบกรรมทำสิ่งที่เป็นโทษ บางทีย่อมทำความสุขให้เสื่อมสิ้นทุกเมื่อและให้ใจเชือดเบือนเบื่อจากกุศล ห้ามทางข้างฝ่ายสุคติภพ บางทีให้ลุอำนาจแก่ความโลภและความโกรธ และให้เจริญโทษทุกภพทุกชาติที่เกิด ให้ถือกำเนิดในอบายภูมิทั้งสี่เพียงเท่านี้ก็หาไม่ ฝูงสัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ เพราะอาศัยอำนาจราคะดำกฤษณา บางคราย่อมทำตนให้พินาศจากศีลสมาทาน บางกาลย่อมทำตนให้เสื่อมจากฌานภาวนาสมาธิจิตเป็นนิจกาล ก็อันว่าความอากูลด้วยราคะกิเลส ย่อมเป็นเหตุให้เกิดอาทีนวโทษให้เสวยทุกข์มากกว่ามาก และเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายต้องเศร้าหมองมีประการต่างๆ อย่างพรรณนามาฉะนี้”

    สมเด็จพระนราธิบดีสัตตุตาประชา ตรัสแสดงอาทีนวโทษแห่งราคะดำกฤษณาอย่างมากมายดังนี้แล้ว จึงพระราชทานรางวัลแก่นายหัตถาจารย์เป็นอันมาก แล้วก็ทรงคำนึงในพระราชหฤทัยว่า สัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ จักพ้นจากอำนาจราคะดำกฤษณาอันเป็นทุกข์ภัยในวัฏฏะนี้ได้ด้วยประการใด แล้วจึงเห็นแท้แน่ในพระราชหฤทัยว่ารวมทั้งหลายอื่นนอกจาก พุทธกรณธรรม แล้ว ก็ไม่เห็นว่าสิ่งไรอื่นจะมี ที่จะเปลื้องตนไปให้พ้นจากวัฏฏะ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงหยั่งพระราชหฤทัยลงเที่ยง ถือเอาพระพุทธภูมิปณิธานว่า

    “เราได้ตรัสรู้ซึ่งพระโพธิญาณแล้ว ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้รู้ด้วย เราพ้นแล้วจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อใดก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อนั้นด้วย”

    ครั้นทรงกระทำปณิธานปรารถนา เฉพาะพระพุทธภูมิในพระราชหฤทัยด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ทรงสละสิริราชสมบัติประหนึ่งว่าบุคคลสลัดเสียซึ่งก้อนข้าวอันคั่งค้างอยู่ปลายลิ้นสิ้นเยื่อใยในฆราวาสวิสัย พระองค์แต่ผู้เดียวเที่ยวไปสู่ป่าหิมวันต์ประเทศ แล้วทรงเพศเป็นดาบส บำเพ็ญพรตปฏิบัติชอบอยู่ตราบเท่าพระชนมายุขัยแล้วก็ได้ขึ้นไปบังเกิดในสวรรค์เทวโลกเสวยสุขอยู่สิ้นกาลนาน
    เรื่องในอดีตที่พรรณนามานี้ มีข้อความประการหนึ่งซึ่งควรนำมากล่าวไว้ในที่นี้ด้วย เพื่อเป็นเครื่องช่วยให้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอย่างแจ่มชัดก็คือว่า

    องค์สมเด็จพระนราธิบดีสัตตุปะราชา กลับชาติมาก็คือองค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้า ของชาวเราพุทธบริษัททั้งหลาย

    พญามงคลหัตถีกลับชาติมาในชาติสุดท้ายภายหลัง คือ พระมหากัสสปเถรเจ้าสังฆวุฒาจารย์ ซึ่งเป็นพระมหาเถระอรหันต์สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในศาสนาของเรานี้

    นายหัตถาจารย์ผู้ชำนาญเวทย์ กลับมาในชาติสุดท้ายภายหลัง จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจักมาตรัสในอนาคตกาล หลังจากศาสนาของสมเด็จพระศรีศากยมนีโคดมบรมครูเจ้าที่เราท่านทั้งหลายเคารพนับถือกันอยู่ทุกวันนี้ เสื่อมคลายสลายสูญไปจากโลกนี้แล้ว คราวหนึ่ง พระองค์จักเสด็จไปที่ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรตอันเป็นที่บรรจุศพของพระมหากัสสปเถรเจ้าแล้วพระองค์จักทรงยื่นพระหัตถ์เบื้องขวาช้อนเอาซากศพของพระสังฆวุฒาจารย์อรหันต์กัสสปนั้นขึ้นชูฝ่าพระหัตถ์อันประกอบด้วยจักรลักษณะแล้วจะมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอริยสงฆ์ทั้งหลายว่า

    “ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย เธอจงพากันมองดูซึ่งซากศพนี้ นี่คือศพของผู้เป็นพี่ชายของตถาคต ซึ่งเป็นสาวกผู้ใหญ่ในศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้า (สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย เคยบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพุทธกาลมีนามว่า อชิตภิกษุ เป็นภิกษุหนุ่มมีพรรษาน้อย ฉะนั้น พระองค์จึงทรงเรียพระมหากัสสปเถรเจ้าด้วยคำกล่าวออกนามว่า “พี่ชายของตนตถาคต” ในกาลครั้งนั้น) มีนามว่พระอริยกัสสปเถระ เป็นผู้ทรงคุณพิเศษถือธุดงควัตรจนตราบเท่าดับขันธปรินิพพาน”

    ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแนะนำดังนี้แล้ว สมเด็จพระศรีเมตไตรยก็ทรงสรรเสริญคุณแห่งพระมหากัสสปเถรเจ้าอีกมากมายลึกซึ้งนักหนา ต่อหน้าพระอริยสงฆ์ทั้งหลายเป็นอันมาก ในขณะนั้นเปลวอัคคีก็จะบันดาลมีเกิดขึ้นเองในซากอสุภของพระเถรเจ้า แล้วก็ค่อยลามเลียลุกไหม้ศพให้สิ้นซากปราศจากเถ้าถ่านอยู่ฝ่าพระหัตถ์ของสมเด็จพระสรรเพชญ์ศรีอริยเมตไตรยเจ้า ในกาลครั้งนั้นเป็นอัศจรรย์

    บัดนี้ เพื่อป้องกันความไขว้เขวออกไปนอกเรื่องมากมายเกินไปจะได้กลับมากล่าวถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณขององค์สมเด็จพระบรมโลกุตตมาจารย์ของเราทั้งหลาย ตั้งแต่ครั้งพระองค์ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์สืบต่อไป
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระพรหมดาบส

    กาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจุติจากเทวโลกแล้วก็มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลมีพระนามว่า พรหมกุมาร ครั้นเจริญวัยวัฒนาการแล้ว ก็ได้ศึกษาจนสำเร็จในไตรเวทางค์ และได้เป็นอาจารย์ผู้บอกเวทย์แก่มาณพห้าร้อยคนผู้เป็นนักศึกษา ครั้นจำเนียรกาลนานมา เมื่อท่านมารดาบิดาทั้งสองล่วงลับไปแล้ว พรหมกุมารจึงเรียกมาณพทั้งหลายผู้เป็นศิษย์มาพร้อมหน้ากันแล้ว ก็เร่งบอกมนต์ซึ่งตนควรจะสอนให้เสร็จสิ้นแล้ว ได้จัดการแบ่งปันทรัพย์สมบัติของตนสิ้นทั้งเรือนนั้นให้แก่มาณพผู้เป็นศิษย์ถ้วนทุกคนแล้วก็ให้โอกาสอนุสาสน์ และกล่าวคำอำลาเพื่อจะไปบรรพชาเป็นดาบส มิใยที่ศิษย์ทั้งหลายจะอาลัยไหว้วอนกล่าวห้ามด้วยความคารวะเป็นอันมากประการใด ก็มิได้เอื้อเฟื้ออาลัย สละฆราวาสวิสัยเที่ยวไปแต่พระองค์เดียว เข้าไปอาศัยบัณฑรบรรพต บรรพชาเป็นดาบส ปฏิบัติตนเลี้ยงชีพด้วยผลาผลเป็นอยู่เป็นสุขสืบมา
    ฝ่ายมาณพทั้งหลาย ผู้เป็นศิษย์ของพรหมดาบสนั้นครั้นมารดาบิดาของตนๆ ล่วงลับไปแล้ว ต่างก็พากันออกมาบวชเป็นดาบสอยู่กับพระโพธิสัตว์ทั้งนั้น ด้วยเหตุที่มีความรักเป็นกำลังมาแต่ปางก่อนพระโพธิสัตว์ก็สอนให้ประพฤติวัตรบำเพ็ญพรตตามแบบอย่างของดาบสโดยถ้วน อยู่ร่วมกันมาโดยผาสุกตามสมควร

    วันหนึ่ง เมื่อดาบสทั้งหลายเที่ยวไปแสวงหาผลาผลยังมิได้กลับมา ท่านอาจารย์พรหมดาบสจึงเรียกศิษย์ผู้ใหญ่ซึ่งอยู่เฝ้ากุฏิใกล้ตนมาแล้ว ชวนกันขึ้นไปสู่บัณฑรภูผาเพื่อแสวงหาผลไม้ เมื่อเที่ยวไปในที่นั้นๆ ก็มิได้ผลไม้อันใดอันหนึ่งเลย จึงแลลงไปที่เชิงภูเขาก็ได้เห็นแม่เสือตัวหนึ่ง มีลูกอ่อนออกใหม่ได้ประมาณสองสามวัน แม่เสือตัวนั้นอดอาหารอยู่แลเขม้นดูลูกของตนด้วยจิตโหดร้าย คิดจะใคร่จับลูกของตนเองเคี้ยวกินเป็นภักษา พระพรหมดาบสแลเห็นอาการก็รู้ว่าแม่เสือจะกินลูกของตนเองแน่แล้ว จึงรำพึงในหฤทัยว่า

    “โอหนอ วัฏสงสารนี้ ควรที่จะพึงติเตียนโดยแท้ ดูรึแม่เสือตัวนี้คิดจะขบกัดเคี้ยวกินลูกที่เกิดแต่สายโลหิตตน เพื่อจะรักษาชีวิตแห่งตนไว้ถ่ายเดียว เช่นนี้ จึงควรที่เห็นว่าวัฏสงสารนี้เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก” ครั้นรำพึงดังนั้นแล้วพระพรหมดาบสจึงใช้ดาบสศิษย์ผู้ใหญ่ซึ่งไปด้วยกันนั้นว่า “ท่านจงรีบไปหาเนื้อเดนเสือหรือราชสีห์ตามข้างๆ ภูเขานี้ดูทีหรือ หากว่าจะมีอยู่บ้าง แม้นได้แล้วจงรีบนำมาโดยเร็ว เราจักให้แก่แม่เสือตัวนี้” ดาบสศิษย์ผู้ใหญ่รับคำแล้ว ก็รีบไปหาเดนมัสสะในที่ทั่วๆไป แต่ก็หามิได้

    ฝ่ายพระพรหมดาบสผู้โพธิสัตว์ เมื่อศิษย์ผู้ใหญ่ไปนานแล้ว และยังมิได้กลับมาจึงรำพึงในหฤทัยว่า

    “โอ ร่างกายนี้ เป็นของเปล่าปราศจากแก่นสารเป็นที่อาศัยแห่งชาติ ชรา พยาธิ มรณะ และมีโสกะความแห้งใจ ปริเทวะความร่ำไรรำพัน ทุกข์ยากลำบากกายไม่สบายใจโทมนัสขุ่นข้องหมองใจอุปายาสะความคับแค้นใจ อนึ่งกายนี้เป็นที่เกิดของกองทุกข์กับทั้งมีราคะกิเลสเป็นประดุจหัตถีที่บ้างคลั่งเมามัน มีโมหะมืดมิดปิดธรรมเป็นประดุจดังผีเสื้อน้ำรักษาสระมีอุปนาหะความผูกโกรธ เป็นประดุจดังแว่นแคว้นเมืองมากด้วยคนพาล มีมักขะความลบหลู่คุณท่านเป็นประดุจที่อยู่ของกุมภัณฑ์ มีปลาสะความสำคัญวิปลาสเป็นประดุจดังนายทวารผู้มีสันดานดื่มไปด้วยอิสสาฤษยา มีทุจริตเป็นบริวารแวดล้อมไปด้วยโลภ มีนันทิภวราคะความกำหนัดยินดีในภพเป็นมหาโยธา มีมิจฉาทิฐิเป็นธรรมวินิจฉัย คือ ราชบัญญัติบทอัยการ มีอวัณณะความพรรณนาโทษเป็นกองทุกข์มาก มีวิตกความตรึกตรองเป็นหมู่แมลงวันพึงเกลียดชัง มีมทะความมัวเมาเป็นเหล่าคนธรรพ์ขับร้อง มีปมาทะความมัวเมาเป็นช่างฟ้อนมาซ่องเสพอยู่ มีทิฐิเป็นที่อาศัย มีอนุสัยเป็นบ้านที่อยู่ของหมู่พราหมณ์ มีสัญโภชน์ความผูกล่ามไว้ในสามภพเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ในกายนคร และมีอวิชชาเป็นอันธการราชบรมกษัตริย์เถลิงราชสมบัติเป็นอิสสราธิบดีอยู่ในกายนครนี้”

    ครั้นพระมุนีพรหมดาบสพิจารณารำพึงถึงธรรมสรีระดังนี้แล้ว ดาบสศิษย์ผู้ใหญ่ที่ตนใช้ให้ไปหาเศษเนื้อก็ยังไม่กลับมา จึงจินตนาการสืบไปอีกว่า ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายบรรดาที่มีรูปกายครองอยู่ได้เสวยทุกข์เห็นปานนี้ จะมีทางปลดเปลื้องทุกข์นั้นด้วยธรรมสิ่งไร เมื่อนึกไปก็เห็นว่าพุทธกรธรรมเท่านั้นที่สามารถจะทำสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อมองเห็นแท้แน่ฉะนี้แล้วจึงจินตนาการต่อไปว่า

    “อันพุทธการกธรรมนี้ ถ้าบุคคลใดไม่สามารถที่จะทำกรรมที่บุคคลอื่นทำได้ยาก ไม่สามารถบริจาคสิ่งที่บุคคลอื่นบริจาคได้ยาก ไม่สามารถให้ทานที่บุคคลอื่นให้ได้โดยยาก ไม่สามารถอดกลั้นกรรมที่บุคคลอื่นอดกลั้นโดยยาก อย่างนี้แล้วบุคคลนั้นจะบำเพ็ญพุทธการกธรรมนี้ให้สำเร็จหาได้ไม่ ก็แลสรีราพยพคือร่างกายของเรานี้ ย่อมมีอาทีนวโทษเป็นอันมากมิได้ยั่งยืนอยู่สิ้นกาลนาน และจิตใจเรานี้อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ย่อมมีอารมณ์ไม่เป็นหนึ่ง คือ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ย่อมแปรปรวนไปเป็นนิตย์ เอาเถิด บัดนี้เราจักให้สรีระร่างของเรากับทั้งชีวิตนี้ให้เป็นทานแกแม่เสือหิวตัวนี้ ให้ทันกาลที่จิตกำลังเสื่อมใสใคร่บริจาคในกาลนี้เถิด เออ ก็เราจะเป็นห่วงอันใดด้วยการจะให้อาหารที่อื่นเล่า”

    พระโพธิสัตว์เจ้าคำนึงจินตนาการดังนี้แล้ว จึงตั้งจิตปณิธานว่า

    “ด้วยเดชะบุญกรรมนี้ ขอเราจงได้ตรัสเป็น
    พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ให้เรานำสัตว์ทั้งหลาย
    ออกจากวัฏสงสารให้ถึงความระงับดับทุกข์ด้วยเถิด”

    ครั้นตั้งจิตปณิธานปรารถนาพระพุทธภูมิดังนี้แล้ว เพื่อจะประกาศแก่หมู่เทพยดาให้รู้ทั่วกันอีกเล่า พระพรหมดาบสโพธิสัตว์เจ้าจึงประกาศเป็นเนื้อความว่า

    “ขอทวยเทพเจ้าทั้งปวงคือ ภูมิพฤกษาเทวา และอากาสเทวาทั้งสมเด็จพระอัมรินทราเจ้า และท้าวมหาพรหมปชาบดี ศศิธรเทพบุตร ทั้งพญายมและท้าวจาตุมหาราชโลกบาลทั้งสี่ ทวยเทพซึ่งสถิตอยู่ ณ สถานทุกถิ่นที่ ตลอดจนนารทบรรพตจอมภูผาขออัญเชิญทั่วทุกพระองค์ จงมากระทำอนุโมทนาในชีวิตสรีรทานของข้าที่ได้รับอบรมสั่งสมกระทำ ณ กาลบัดนี้เถิด”

    ครั้นประกาศแก่ทวยเทพเจ้าดังนี้ ขณะที่ดาบสศิษย์ผู้ใหญ่ยังมิทันได้กลับมาถึง พระพรหมดาบสซึ่งมีน้ำใจกล้าหาญก็โจนทะยานจากยอดบัณฑรภูผาตกลงเฉพาะหน้าเสือโคร่งแม่ลูกอ่อน ขณะนั้นนางพยัคฆ์ที่กำลังหิวกระหายนักหนา เมื่อเห็นอาหารตกลงมากองอยู่ข้างเช่นนั้นก็ละไม่กินลูกของมัน แล่นมาบริโภคมังสะสรีราพยพของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าในกาลบัดนั้นทันที

    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย บรรดาที่มีใจเคารพเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา จงพิจารณาดูเถิดว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านปรารถนาพระพุทธภูมิเพื่อตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านต้องมีน้ำพระทัยมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอาจหาญเพียงไร ใช่แน่แล้ว พระองค์ต้องทรงสละชีวิตเข้าแลกกับพระโพธิญาณมาจนนับครั้งไม่ถ้วน เช่นครั้งที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพรหมดาบสที่เล่ามาแล้วนี้ นี่เป็นเพียงครั้งหนึ่งในจำนวนมายหลายเท่านั้น นอกจากนี้แล้วในระยะการสร้างพระบารมีตอนต้นนี้ พระองค์ยังต้องประสบกับความทุกข์ยากมากมาย เพราะอำนาจของการเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารตามเรื่องที่ปรากฏมีในพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาดังต่อไปนี้
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    มาณพหนุ่มช่างทอง

    หลังจากที่ได้อุบัติเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์แดนสุขาวดีและเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ด้วยอำนาจการเวียนว่ายตายเกิดหลายชาตินักแล้ว ต่อมา กาลครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลช่างทอง รูปร่างสิริเลิศล้ำบุรุษงดงามนักหนา เมื่อเจริญวัยใหญ่กล้าขึ้นก็มีอาชีพเป็นช่างทองผู้ชำนาญสืบสายตระกูลของตน วันหนึ่ง มีเศรษฐีมาว่าจ้างให้ไปทำเครื่องประดับให้แก่ธิดาสาวโสภซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์มงคล ครั้นไปถึงคฤหาสน์แล้ว เศรษฐีจึงถามว่า “ดูกรช่างทองผู้เจริญ ถ้าท่านได้เห็นเพียงมือและเท้าเท่านั้น ท่านยังจะสามารถทำเครื่องประดับได้หรือไม่” เมื่อช่างทองหนุ่มรับคำว่าทำได้ เศรษฐีจึงให้ธิดาของตนยื่นแต่มือและเท้ามาแสดงให้ปรากฏ ช่างทองหนุ่มก็สังเกตกำหนดบาทและหัตถาวัยวะที่ได้เห็นแต่ห่างๆ และกระทำได้ด้วยความชำนาญ
    ขณะนั้น ธิดาเศรษฐีซึ่งมีนามว่ากาญจนวดีกุมารีให้นึกสงสัยอยู่เป็นกำลังว่า “เหตุไฉนหนอ บิดาจึงมิให้เราปรากฏต่อหน้าช่างทองให้แสดงเพียงมือและเท้าเท่านั้น”ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงลอบแลดูตามช่องไม้ แต่พอได้เห็นสิริรูปสมบัติของช่างทองก็ให้เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่เป็นกำลัง คลุ้มคลั่งในดวงใจด้วยอำนาจราคะดำกฤษณา นางจึงจารึกอักษรเป็นศาลา ใจความว่า

    “ดูกรพ่อช่างทองผู้เป็นที่รัก หากท่านมีจิตใจรักใคร่เราแล้ว ณ ที่หลังเรือนใหญ่นี้มีบุปผพฤกษชาติต้นหนึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่ ในค่ำคืนวันนี้ ท่านจงมาซุ่มนั่งอยู่บนต้นไม้ ถึงราตรีกาล เราจะออกไปพบกับท่านด้วยใจรัก” จารึกเรื่องความรักดังนี้แล้ว จึงค่อยทิ้งลงไปให้ตกลงตรงหน้าช่างทอง เมื่อช่างทองหนุ่มอ่านดูแล้วกำหนดไว้ในใจ ถึงเวลาเลิกงานสายัณหสมัย เลิกงานแล้ว จึงกลับมาอาบน้ำชำระกายรับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว พอเวลาสุริยะอัสดงคตพลบค่ำลงก็รีบตรงมาสถานที่นางนัด ขึ้นไปบนต้นพฤกษชาตินั้น ตั้งตาชะแง้ดูทางที่กาญจนวดีกุมารีนั้นจะมา ณ ระหว่างคาคบไม้ แต่นางก็ยังไม่มา เพราะว่าเมื่อตอนกลางวันนั้นตนเร่งทำงานอยู่วันยังค่ำ ก็ลำบากกายพออยู่แล้ว เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแลมานั่งเงียบเหงาเฝ้าคอยอยู่แต่ผู้เดียวฉะนี้จึงเอนองค์ลงกับกิ่งไม้ใหญ่ก็เลยเผลอม่อยผล็อยหลับ

    ก็กาญจนวดีกุมารีทรามวัยนั้นก็มีความยำเกรงบิดามารดาอยู่โดยมากเป็นธรรมดา เมื่อมารดาบิดายังมิได้หลับนอน นางจึงไม่มีโอกาสออกมาได้ ครั้นท่านทั้งสองหลับไปแล้ว นางจึงค่อยลุกมาจากที่นอนออกมาจัดหาอาหารได้ข้าวสาลีกับแกงมังสะสดใส่ลงในขันทองเสร็จแล้วก็รีบลอบนำลงมาจากปราสาทไปสู่ที่นัด ณ ต้นไม้ใหญ่ เพื่อไปหาชายสุดที่รัก ครั้นเห็นเขาหลับอยู่ก็มิรู้ที่จะปลุกให้รู้สึกตนตื่นขึ้นมาได้ ด้วยเหตุว่ามนุษย์ในสมัยนั้นถือลัทธิธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าบุคคลหลับสนิทอยู่ ผู้ใดปลุกให้ลุกตื่นขึ้นแล้วผู้ปลุกนั้นย่อมมีบาป ตายไปต้องตกนรกหมกไหม้ตลอดกาลกัปหนึ่ง” เพราะฉะนั้น นางจึงไม่สามารถปลุกช่างทองนั้นให้ตื่นขึ้นมาได้ แต่คอยอยู่นานนักหนา เมื่อเห็นว่าไม่ตื่นแน่ นางจึงเก็บใบรุกขชาติปูลาดลงตั้งขันทองใส่อาหารไว้แล้วกลับลับไป

    ฝ่ายนายช่างทองตื่นขึ้นมาได้เห็นภาชนะขันทองนั้น จึงกำหนดว่าชะรอยนางกุมารีมาแล้วเห็นเราหลับ จึงกลับไปเป็นมั่นคง เมื่อผันแปรแลไปดูข้างโน้นข้างนี้ก็ได้แลเห็นนางดำเนินกลับลับไปในปราสาทในขณะนั้น จึงให้น้อยใจจิตคิดเคืองโกรธตัวเองเป็นนักหนาว่า ควรหรือมานอนหลับใหลไปเสียได้ น่าเคืองตัวเองนัก รำพึงพลางก็ถือสุพรรณภาชน์โภชนะนั้นกลับมาเรือนตน ครั้นรุ่งวันใหม่ได้เวลาก็ไปทำงานอยู่ที่เก่าอีก ไม่ช้าก็มีสารกตกลงมาอีก อักษรจารึกมีใจความว่า “วันนี้ท่านจงอุตสาหะข่มขี่ใจไว้ อย่าได้หลับใหลไปเสียอย่างเมื่อคืนนี้เล่า” นายช่างอ่านดูรู้ความแล้ว ก็ไม่พูดจาอะไร ประกอบการงานทำเครื่องประดับต่อไป พอได้เวลาตอนราตรีจึงมานั่งคอยท่าอยู่เช่นเคย ไม่ช้าก็บังเอิญหลับไปเสียอีกเล่า กาญจนวดีกุมารีเมื่อถือโภชนาหารมาเห็นเขาหลับไปแล้วก็กลับไปเหมือนคืนก่อน

    ครั้นถึงคืนที่สาม กาญจนวดีกุมารีเมื่อได้มาเห็นนายช่างทองสุดที่รักหลับไปเหมือนเดิม นางก็มีความเศร้าในน้ำใจนักหนา จึงพิไรร่ำด้วยคำว่า

    “น่าเสียดายนัก กุมารน้อยนี้เป็นที่รักใคร่เจริญใจแห่งเราชะรอยสันนิวาสเรานี้มิได้มีแต่ปางก่อน จึงเผอิญให้กุมารนี้เป็นผู้มักหลับเสียได้สามวาระหน ความพยายามของเราสองคนนี้ปราศจากประโยชน์เสียแล้ว พ่อจงไปโดยสุขสวัสดีเถิดหนาเจ้าแต่วันนี้ไปเราก็จักหมดอิสระมิได้มาพบหน้าอีกแล้ว” เธอพิไรรำพันด้วยความโศกศัลย์เป็นอันมากแล้วก็ยกโภชนะนั้นวางตั้งไว้ แล้วก็ตัดอาลัยกลับไป นายช่างทองเมื่อตื่นขึ้นมาก็ให้เจ็บใจตนเองยิ่งกว่าวันก่อน มีความโศกาอาดูรด้วยความรักเป็นนักหนา จึงรำพึงรำพันออกมาว่า

    “กุมารีมีรูปงามอย่างนี้ ควรที่จะทอดทัศนานำความภิรมย์มาให้แก่ใจ นี่เป็นกรรมอะไร จึงตักเตือนให้หลับใหล ไม่รู้สึกตัวตื่นได้สามวาระบุญญาภิสมภารเราแต่ก่อนมิได้มี ชะรอยเรากับนารีนี้มิได้เคยร่วมกันกระทำทานหรือว่าตัวเรานี้มิได้มีกมลสันดาน เคยอนุโมทนากุศลของเศรษฐี จึงให้มีอันเป็นสักแต่ว่าได้พบเห็นนารีงามเท่านั้น มิทันได้ร่วมภิรมย์ก้ให้จางจากกันไป” นายช่างทองรำพันพลางถือเอาโภชนาหารที่นางตั้งไว้ แล้วกลับไปสู่เรือนของตนเด้วยความเศร้าเป็นล้นพ้น

    ครั้นรุ่งขึ้นถึงวันอาสหสมัย ฝ่ายเศรษฐีบิดาเจ้าบ่าวจึงบรรทุกข้าวของสำหรับการแต่งงานมากมายหลายร้อยเล่มเกวียน พอมาถึงแล้วทั้งสองฝ่ายก็ประชุมกันกระทำอาวาหมงคลเลี้ยงดูกันเป็นนักษัตรฤกษ์โกลาหล ฉลองกันอยู่สิ้นกาลประมาณหนึ่งเดือนโดยกำหนด ครั้นการฉลองอันมีเวลานานถึงหนึ่งเดือนล่วงแล้ว เศรษฐีผู้เป็นบิดาเจ้าบ่าวก็พาบริวารกลับไปบ้านตน

    ฝ่ายนายช่างทองผู้งามโสภาจำเดิมแต่วันแคล้วคลาดจากนางมาก็รำพึงรำพันถึงนางอยู่ไม่วางวายว่า นางกุมารีนี้ได้มีน้ำใจรักเป็นปิยสหายแต่เรามาก่อน บุรุษเช่นเรานี้จึงสมควรจะได้นาง รำพึงพลางจึงคิดหาอุบาย ครั้นคิดได้แล้ว จึงอุตสาหะทำเครื่องประดับสำหรับศอสำรับหนึ่งสวยสดงดงามนักหนา แล้วไปด้วยแก้วมุกดาวิจิตรบรรจงเป็นลวดลายละเอียดอุดม สมควรเป็นราชอลังการแล้ว ก็น้อมนำเข้าไปถวายพระมหาอุปราชเจ้า

    “เอ๊ะ เจ้านำของที่ชอบใจมาให้เราเช่นนี้ จักมีความประสงค์สิ่งใดหรือ” พระมหาอุปราชซึ่งมีพระกมลโสมนัสตรัสถามขึ้น นายช่างทองจึงทูลสนองความประสงค์ของตนให้ทรงทราบ “อย่าวิตกไปเลยจะเป็นไรมี เรานี้รับธุระจะทำอุบายให้เจ้าได้สมมโนรถจงได้” พระมหาอุปราชตรัสรับรองแล้วจึงทรงให้นายช่างทองแต่งตัวเป็นสตรีเพศทรงสรรพาภรณ์พิจิตร บิดเบือนแสร้งแปลงองค์เป็นขัตติยอนงค์กัญญาเสร็จแล้วจึงให้นั่ง ณ ภายในกูบกระโจมทองช้างพระที่นั่ง ส่วนพระองค์ทรงพระแสงของสถิตบนคอมงคลคชสาร เสด็จมาถึงบ้านท่านเศรษฐีประทับหยุดยืนช้างพระที่นั่ง แล้วรับสั่งให้เศรษฐีเข้ามาเฝ้า และแสร้งดำรัสถามว่า

    “ปราสาทหลังใหมนั่น เป็นของใครอีกเล่า”

    “เป็นปราสาทธิดาของข้าพระพุทธเจ้า” เศรษฐีทูลกล่าว

    “เออพ่อ ดีแล้ว บัดนี้ พระบรมชนกาธิราชดำรัสราชวโรงการให้เราไปปราบพวกโจรร้ายในชนบทประเทศ จะขอฝากพระกนิษฐภคินีน้องสาวเราไว้ให้อยู่กับธิดาของท่านด้วยเป็นการชั่วคราวกว่าเราจะกลับมา เมื่อกลับมาแล้ว เราจึงจะมารับพระน้องนางนั้นไป” พระอุปราชตรัสขึ้นตามอุบายทรงวางไว้

    “พระเจ้าข้า แต่ว่าธิดาเกล้ากระหม่อมนั้น นางได้สามีแล้ว พระภคินีของพระองค์จะทรงอยู่ด้วยธิดาเกล้ากระหม่อมได้หรือ” เศรษฐีทูลด้วยความกังวลใจ

    “จะเป็นไปเล่า ท่านเศรษฐี” พระมหาอุปราชตรัสดุจไม่พอพระหฤทัย “ท่านจงให้ธิดาจของท่านงดการอยู่ร่วมกับสามีชั่วคราวก่อนให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพระน้องนางเราสักหน่อยเถิด เราไปไม่นานนักก็จักรีบกลับมารับไป”

    “ถ้ากระนั้นก็พอจะผ่อนผันรับพระธุระสนองพระเดชพระคุณได้ พระเจ้าข้า” ท่านเศรษฐีรีบทูลแล้ว เรียกธิดามาบอกความต่อหน้าพระที่นั่ง แล้วสั่งให้นำพระภคินีปลอมนั้นขึ้นสู่ปราสาทและก่อนที่เจ้ามหาอุปราชจะอำลาไป พระองค์ยังได้ทรงสั่งซ้ำดุจเป็นห่วงนักหนาว่า

    “ดูกรท่านเศรษฐี” ขอท่านจงอย่าได้ประมาทเลย จงเห็นแก่เราเถิด จงช่วยเป็นธุระเอาใจใส่ของสิ่งไรทีน้องรักเราต้องการ ท่านจงจัดอย่าได้ขัดใจเจ้าเลย อนึ่ง บุคคลทั้งหลายอื่นๆ ท่านต้องคอยระวังจงห้ามอย่าให้ขึ้นไปจุ้นจ้านบนปราสาทเป็นอันขาด โดยที่สุด แม้แต่สามีของธิดาท่านก็จงอย่าให้ขึ้นไปอย่างเด็ดขาดเลยทีเดียว เข้าใจไหมเล่า”

    “ไว้ใจเถิด พระเจ้าข้า” ท่านเศรษฐีรีบทูล “จงวางพระทัยไว้ธุระข้าพระบาททุกประการเถิด พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย” ทูลรับรองอย่าหนักแน่นแล้วก็ตามส่งเสด็จจนถึงนอกกำแพงปราสาท

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มาณพหนุ่มช่างทองก็ได้อยู่ร่วมภิรมย์กามรดีกับด้วยกาญจนวดีกุมารีสมมโนรถความปรารถนาเป็นเวลานานสิ้นกำหนดสามเดือนจะได้มีบุคคลผู้ใดใครผู้หนึ่งในที่นั้นล่วงรู้ความลับนี้ก็หามิได้ ฝ่ายพระมหาอุปราชนั้น ครั้นกาลล่วงไปครบสามเดือนแล้วก็ทรงทำเป็นเสด็จมารับพระกษิณฐภคินีกลับไป

    พระพุทธางกูรโพธิสัตว์ เมื่อพระองค์ดำรงฤกษดาภินิหารพระบารมีญาณยังอ่อนต้องถูกเพลิง คือ ราคะกิเลสเบียดเบียนบีฑา บังเกิดขึ้นมาแล้วและมิอาจระงับเสียได้ จึงเป็นไปตามอำนาจราคะกิเลสประกอบปรทารโทษล่วงเกินภรรยาของผู้อื่นเป็นกายทุจริตเช่นนี้ ครั้นดับขันธ์สิ้นชีวิตในครั้งนั้นแล้วก็ต้องสืบปฏิสนธิไปบังเกิดในนรกหมกไหม้ต้องได้รับทุกขเวทนาถึงสาหัสเป็นหลายครั้งหลายหน เวียนวนอยู่ในภูมิอันต่ำช้านานนับเป็นเวลาถึง 14 มหากัป

    ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระชินสีห์บรมโลกุตมาจารย์ ครั้นได้รับสำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว จึงได้ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนพวกเราชาวพุทธบริษัทว่า

    “สัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาสนี้ ย่อมได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสในอบายภูมิสี่ ถือเป็นสัตว์นรกในนิรยภูมิเป็นต้น เพราะความกระวนกระหายเดือนร้อนด้วยอำนาจราะคกิเลส สัตว์ที่ไม่รู้พระสัทธรรมย่อมถึงความก่อเกิดเป็นร่างกายเที่ยวเวียนว่ายอยู่ในโอฆสงสารเจริญภพเจริญชาติมากมาย แม้จะนับด้วยหลายล้านหลายโกฏิอสงไขยนั้นก็นับหาได้ไม่ ต่อเมื่อพุทธบุคคลแล้วนั่นแล จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้พ้นจากอบายภูมิ”

    เมื่อได้ทราบตามพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงเชื่อถือคำสอนของพระพุทธองค์เถิด จงทำใจให้เห็นโทษภัยในอบายภูมิจงมาก หากแต่น่าสังเวชอยู่ที่ว่า วิสัยจิตใจของปุถุชนคนเราโดยมากทุกวันนี้ มักคิดไปเองว่าตนนั้นมีปัญญาดี เมื่อมีผู้เอาภัยในอบายภูมิมาชี้แจ้งแสดงบอก ก็มักคิดไปว่าแกล้งมากล่าวหลอกลวงให้เกรงกลัวไม่ยอมเชื่อว่าเป็นจริงเพราะสิ่งที่ว่าคือ นรกตนเองพิสูจน์ไม่ได้ ให้หันเหคิดขวางๆ ไปว่าเป็นเพียงอุบายสอนคนโบราณกาลก่อน ตั้งแต่ครั้งสมัยคนเรายังโง่อยู่เท่านั้นเอง นรกสวรรค์มีที่ไหนกัน เมื่อคิดผันแปรไปเช่นนี้ก็จะพอกพูนความประมาทให้เกิดมากยิ่งขึ้นในสันดานตน อาจประกอบอกุศลกรรมต่างๆ อันเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิได้ ฉะนั้นต้องสอนตนให้กลัวภัยในอบายภูมิก่อนนั่นแลเป็นดี
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี

    เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา แต่ครั้งมีพระบารมียังอ่อนถูกราคะกิเลสครอบงำ ทำให้ประกอบกรรมกามมิฉาแล้วไปสืบปฏิสนธิเกิดในนรกเสวยทุกข์แสนสาหัสเป็นเวลานานถึง 14 มหากัป ดังกล่าวแล้ว ต่อจากนั้น ด้วยอำนาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยู่ไม่เสื่อมคลายไปง่ายๆ ครั้นจุติจากนรกแล้วจึงต้องไปสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเกิดเป็นลา เป็นเวลานานนับได้ 500 ชาติ แล้วจึงไปถือกำเนิดเป็นโคอีก 500 ชาติ แล้วจึงกำเนิดเป็นคนพิการ ตาบอดหูหนวกแต่กำเนิดอีก 500 ชาติ แล้วมิหนำซ้ำให้ถือกำเนิดเป็นกระเทยอีก 500 ชาติ แล้วึงมาถือกำเนิดเป็นสตรีอีกเป็นเวลานานถึง 500 ชาติ

    ในกรณีนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย พึงสันนิษฐานลงเถิดว่าแต่เพียงเศษอกุศลกรรมที่ทำด้วยความประมาทมาตามสนองก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักหนา
    ฉะนั้นจงอย่าได้ประมาทในอกุศลกรรมความชั่วทั้งปวงเลย ดูแต่พระโพธิสัตว์เจ้าของเรานี่เถิด ทั้งๆที่ตั้งพระหฤทัยไว้แล้วว่า จะขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอนุกูลสงเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลายอยู่โดยแท้ ควรแลหรือที่พระองค์ยังต้องถูกราคะกิเลสมาครอบงำเหยียบย่ำบีฑา แต่ครั้งเป็นมาณพหนุ่มช่างทองให้เกิดปรองดองรักใคร่กับภรรยาของผู้อื่น ได้ชื่นชมรื่นรมย์อยู่เพียงสามเดือน แต่ต้องถูกกรรมมาซัดทำให้วิบัติขัดขวางเสียเวลาที่จะสร้างบารมีเพื่อพระโพธิญาณนับเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ได้ ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงสามัญชนสัตว์ทั่วไปนี่เล่า อย่าได้ประมาทเลย

    เมื่อถือกำเนิดเกิดเป็นสตรีเพศได้สี่ร้อยกว่าชาติแล้ว ครั้นถึงพระชาติที่สิ้นสุด เศษปรทากรรมคือล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น พระชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นสตรีเพศครบห้าร้อยนั้นด้วยอปราปรเวทยียกรรมตามสนองจึงเป็นเหตุให้พระองค์ถือกำเนิดเป็นขัตติยกุมารี ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชผู้เป็นใหญ่

    ก็ในสมัยนั้นเป็นกัปที่มีชื่อว่า สารกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์เดียว ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรของพระสุปปบุตรมหาราชเช่นกัน ฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราซึ่งทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารีจึงทรงเป็นพระกนิษฐภคินีของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระองค์นั้น แต่ต่างพระมารดากัน

    เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรจอมไตรโลกุตมาจารย์เจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกกาลครั้งนั้น หมู่มนุษยนิการนานาประชาชาติ มีสมเด็จพระพุทธบิดาคือพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชาธิราชเป็นประธาน ได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอันมาก พากันจัดสรรทำสักการบูชาอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาและอุปฏฐากบำรุงด้วยจตุปัจจัยในสังฆมณฑล พระพุทธศาสนาถึงความเจริญรุ่งเรืองนักหนา ประชาสัตว์ต่างได้ลิ้มรสอมตธรรมสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเป็นอันมาก ตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของตนที่สร้างไว้
    วันหนึ่ง เป็นเวลาสายัณหสมัยใกล้ค่ำแล้ว เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรี ประทับยืนอยู่บนปราสาทชั้นที่ 7 ทอดพระเนตรลงมาข้างล่างได้ทอดทัศนาเห็นภิกษุรูปหนึ่งทรงสมณสารูป มีกิริยาอาการน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เจ้ากูมาประดิษฐานบิณฑบาตอยู่แทบพระทวารวังพระนางเจ้าจึงทรงจินตนาการว่า “ภิกษุมาบิณฑบาตในเวลาเย็น อันมิใช่กาลที่ควรบิณฑบาตเช่นนี้ ชะรอยจะมีประสงค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมั่นคง” ทรงจินตนากาลดังนี้แล้ว จึงดำรัสใช้บุรุษคนหนึ่งว่า “ท่านจงลงไปถามความต้องการของพระผู้เป็นเจ้าให้รู้แจ้งแล้วจงมา” ราชบุรุษรับพระดำรัสถวายบังคมลงมาถามได้ความแล้ว กลับขึ้นไปทูลว่า “พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน”

    เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุรีนั้น จึงให้ไปอาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมาเอง ณ อาสนะอันสมควรแล้ว จึงมีพระดำรัสถามว่า

    “พระผู้เป็นเจ้า ต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด”

    “ขอถวายพระพร พระราชธิดา อาตมภาพโคจรบิณฑบาตน้ำมันได้เป็นอันมากแล้ว ก็แต่งประทีปมากมายนักหนาทำสักการบูชาแด่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราญทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียังรุ่ง ครั้นเวลาสายสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน ณ สำนักแห่งพระบรมครูอาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายอีกเล่า แต่เฝ้ากระทำอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์เสมอมานะ พระราชธิดา ขอถวายพระพร”

    ทรงได้ฟังพระคุณเจ้าเล่าถวายให้ฟังดังนี้ เจ้าสุมิตตาราชบุตรีก็มีจิตยินดีเลื่อมใสนักหนา จึงทรงถือขันสุพรรณภาชน์ยุรยาตรไปตักตวงน้ำมันพันธุ์ผักกาดจนเต็มขันแล้วก็ทูนเหนือเศียรเกล้านำมา ในขณะนั้นเจ้าฟ้าหญิงราชธิดาก็ทรงบังเกิดความคิดอันสูงส่งบรรเจิดจ้าขึ้นมาว่า

    “สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของเรา ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตว์โลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไปเบื้องหน้า ขอจงอาตมาได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่อจะอนุกูลสงเคราะห์สัตว์โลกฉันนั้นเถิด”

    เมื่อเกิดความคิดคำนึงฉะนี้แล้ว พระราชธิดาจึงนำสุพรรณภาชน์น้ำมันลงมาจากเบื้องบนพระเศียรเกล้าแล้วก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตั้งมโนปณิธานว่า

    “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัยใหความปรารถนาของข้าพเจ้าสำเร็จดังมโนรถเถิด พระคุณเจ้าขา ขอพระคุณเจ้าจงเอาน้ำมันนี้ไปบูชาองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธรรมิกราช ซึ่งตรัสเป็นองค์พระสัมพัญญูของข้าพเจ้าแล้ว ขอพระคุณเจ้าจงมีจิตการุณช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยว่า พระราชบุตรีกนิษฐภคินีของสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านี้ ซึ่งมีนามว่าสุมิตตากุมารี มีกมลปราสาทโสมนัสศรัทธายิ่งนักหนา ขอน้อมพระเกศถวายอภิวาทพระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณและขอตั้งปณิธานปรารถนาดังนี้ว่า ด้วยเดชะอานิสงค์ผลทานนี้เป็นปัจจัยนานไปในอนาคต จักขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งแลขอให้ทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เหมือนด้วยชื่อแห่งน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด”

    ครั้นมีพระดำรัสไปดังนี้แล้ว สุมิตตาราชกุมารีก็ถวายอภิวาทพลางส่งพระผู้เป็นเจ้านั้นกลับไป

    ฝ่ายพระภิกษุผู้เป็นเจ้ารูปนั้น ครั้นได้น้ำมันตามความประสงค์มากกว่าทุกวันแล้วก็ดีใจนักหนา รีบอุ้มบาตรน้ำมันกลับมาสู่มหาวิหารในราตรีกาลวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ได้มีโอกาสกระทำประทีปบูชาให้สว่างไสวมากกว่าทุกวัน ครั้นแล้วจึงเข้าไปถวายอภิวาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงกราบทูลว่า

    “ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาค พระเจ้าข้า เวลาราตรีนี้ข้าพระองค์ได้ตกแต่งประทีปบูชามากขึ้นกว่าทุกราตรีเช่นที่เห็นอยู่เวลานี้ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันภคินีของพระองค์ถวายมาและพระนางเจ้าได้ทำพุทธภูมิปณิธานว่า ด้วยเดชะผลทานที่ถวายด้วยใจเลื่อมใสยิ่งนักนี้ พระกนิษฐภคินีเจ้าปรารถนาขอได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระสักองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สิทธัตถะในอนาคต ข้าพระองค์ขอโอกาสกราบทูลถามว่า ความปรารถนาของพระภคินีเจ้าจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า

    สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรบรมศาสดาได้ทรงสดับแล้วจึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    “ดูกรภิกษุ บัดนี้ สุมิตตาราชกุมารีกนิษฐภคินีของเรานั้น เจ้ายังตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรีเพศ จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ก่อน”
    “พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ ก็พระภนิษฐภคินีของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า” พระคุณเจ้ารูปนั้นถวายนมัสการกราบทูลถามขึ้นอีก

    ลำดับนั้น พระจอมไตรโลกนาถปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงพิจารณาดุในอดีตภาคก็ทรงทราบว่าพระกนิษฐภคินีสุมิตตากุมารีเจ้าได้เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้นานนักหนา แต่ครั้งเป็นมาณพแบกมารดาว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรเป็นเดิม เมื่อทรงพิจารณาดูในกาลส่วนอนาคตภาค ก็ทรงทราบว่าพระน้องนางเจ้าอาจสำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิปณิธานได้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาว่า

    “ดูกรภิกษุ กาลข้างหน้าในอนาคตนับแต่นี้ไปอีก 16 อสงไขยหนึ่งแสนมหากัปจักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าสมเด็จพระทีปังกรซึ่งเป็นนามเสมอกับด้วยเรานี้ จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ในกาลนั้นแล สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าวพยากรณ์ซึ่งพระภคินีของเรา พระน้องนางจักได้รับลัทธยาเทศในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”

    เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสฉะนี้แล้วพระภิกษุรูปนั้นก็ถวายนมัสการกระทำปทักษิณแล้ว ก็ไปสู่ปราสาทเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตากุมารีเล่าแจ้งความตามที่ได้ฟังมาจากพระโอษฐพระผู้มีพระภาคเจ้า พอได้ทรงสดับคำเล่าบอกจบจง เจ้าฟ้าหญิงก็ทรงมีพระกมลโสมนัสยิ่งนัก มีพระเสาวนีย์ถวายนิตยปวารณาว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าข้า แต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าจงอย่าได้เที่ยวไปแสวงหาที่อื่นเลย พระคุณเจ้าจงมารับน้ำมันในสำนักแห่งข้าพเจ้านี้เป็นนิตย์ทุกวันเถิด”

    ตั้งแต่วันนั้นมา พระผู้เป็นเจ้าก็มารับน้ำมันพันธุ์ผักกาดจากปราสาทของเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารีไปทำประทีปบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกเป็นนิตย์ทุกวัน

    ฝ่ายเจ้าฟ้าสุมิตตาราชกุมารีนั้นเล่า ครั้นเวลาอรุณรุ่งเช้าก็ให้จัดแจงอาหารอันประณีตเป็นอันมากพร้อมด้วยเครื่องสักการบูชามีมาลาและของหอมเป็นอาทิ แวดล้อมด้วยบริวารเข้าสู่มหาวิหารถวายบิณฑบาตทานแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าเป็นประธาน ด้วยความเชื่อมั่นเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งก็จำเดิมแต่กาลนั้นมา เจ้าฟ้าหญิงก็มีให้พระหฤทัยเบื่อหน่ายจากความที่ได้อัตภาพเป็นสตรีเพศยิ่งนัก จึงสู้อุตส่าห์ก้มหน้าบำเพ็ญกุศลเป็นต้นว่าบริจาคทาน รักษาศีล สมาทานอุโบสถประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ ครั้นสิ้นพระชมมายุแล้ว ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดเสวยทิพยสมบัติในดุสิตเทวโลกก็เป็นอันว่าบัดนี้ สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าอขงเราหมดสิ้นจากเศษกรรมปรทาวรกรรมความล่วงเกินภรรยาของผู้อื่นแต่เพียงนี้
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    อรดีเทวราชบพิตร

    เมื่อเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี สิ้นพระชมมายุไปบังเกิดในสวรรค์เทวโลกชั้นดุสิต เป็นเทพบุตรเสวยทิพย์สมบัติอยู่สิ้นกาลนานกำหนดได้ห้าสิบเจ็ดโกฏิกับอีกหาล้านปีแล้ว ก็จุติจากดุสิตสวรรค์ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจวัฏสงสารอีกสิ้นกาลนานช้า

    กาลครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ทรงมาถือกำเนิดในราชตระกูลครั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตแล้วก็ได้สืบราชสมบัติแทนพระราชบิดาได้ราชาภิเษกเป็นเอกองค์อัครราชาธิบดี เถลิงสิริราชสมบัติสืบสันติวงศ์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตรดำรงราชกิจโดยทศพิธราชธรรม มีอำมาตย์ผู้หนึ่งนามว่า สิริคุตมหาอำมาตย์ เป็นผู้อนุศาสน์บอกอรรถธรรม

    ก็ในกาลครั้งนั้น ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎมหาพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้า คราวหนึ่ง พระองค์ทรงอุตสาหะเสด็จพระพุทธดำเนินมา ณ กรัณฑกะนครของพระเจ้าอรดีเทวราช เพื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาประกาศพระบวรพุทธศาสนาให้เหล่าประชาสัตว์ได้ดื่มอมตธรรม ในขณะที่พระองค์เสด็จมาถึงพระนครนั้น พระฉัพพรรณรังสีหกประการอันซ่านออกจากพระพุทธสรีระกาย ปรากฏมากมายนักหนาครอบงำทั่วภารา แลดูราวกับว่าภานุมาศเทพมณฑลคือ พระจันทร์มาอุทัยไขรัศมีพร้อมกันทั้งพันดวง มีรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสวน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

    ในขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตรกำลังประทับนั่งบนพระแท่นรัตนราชบัลลังก์ ณ พื้นเบื้องบนพระมหาปราสาท มีสิริคุตมหาอำมาตย์หมอบเฝ้าอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์ ครั้วท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรังสีมาปรากฏอย่างอัศจรรย์มิได้ทันที่จะทรงพระอนุสรณ์คำนึงเห็นว่าเป็นอะไรกันแน่ จะว่าพญาไกรสรสีหราชหรือว่าเป็นเทพยดามนุษยนิกรคนธรรมพ์กินนรมากระทำฤทธิ์ให้วิปริตไปไม่ทันจะได้ทรงไตร่ตรองให้ทราบความเป็นไป แต่พอได้ทอดพระเนตรก็ให้ทรงมีพระกมลสะท้านหวาดเสียวเป็นที่สุด ทรงมีพระอาการจะทรุดพระองค์ลงมาจากพระบัลลังก์อาสน์

    สิริคุตมหาอำมาตย์ได้เห็นพระอาการสะดุ้งพระราชหฤทัยดังนั้นจึงรีบผายผันไปทัศนาดูโดยสีหบัญชรช่องพระแกล ก็แลเห็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดาซึ่งทรงพระสิริโสภาประดับด้วยพระทวัตติงสะมหาปุริสลักษณ์และพระอสีตยานุพยัญชนะมีพระฉัพพรรณรังสีโอภาสทำให้สว่างกระจ่างแจ้งจับทั่วสกลภาราสิริคุตมหาอำมาตยาบดี แต่พอได้ทอดทัศนาเห็นพระองค์เช่นนี้ก็ทราบได้ทันทีว่า เจ้าของรัศมีนั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคราวนี้ หากจะมีปัญหาว่า ทำไมสิริคุตอำมาตย์จึงทราบได้ทันทีเช่นนี้ มีคำวิสัชนาว่า สิริคุตอำมาตย์ผู้นี้หรือก็คือ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ซึ่งได้มีอภินิหารบารมีอบรมมานานนักหนากว่าพระเจ้าอรดีเทวราชมหากษัตริย์แห่งตน ได้เคยประสบพบปะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามากมายหลายร้อยชาติแล้วทั้งในชาตินี้ก็เป็นพระราชครูผู้รอบรู้สั่งสอนอรรถธรรมแก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นพอได้ทอดทัศนาเห็นสมเด็จพระจอมมุนีจึงพลันทราบได้ทันทีว่า องค์พระผู้ทรงพระรัศมีเห็นปานฉะนี้ คือ องค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นสิริคุตอำมาตย์ทราบชัดด้วยใจตนเองเช่นนี้ ก็มีจิตยินดีโสมนัสเป็นล้นพ้น รีบลนลานกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของตนว่า

    “ข้าแต่มหาราช พระเจ้าข้า ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดเสียว ทรงพระวิตกถึงภัยสิ่งใดเลย แสงพระรัศมีที่เห็นนั้นเป็นแสงแห่งรัศมีของท่านผู้ทรงบุญญาธิการยิ่งผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังมุ่งหน้ามาสู่พระนครของเรานี้ และท่านผู้ที่กำลังมาสู่พระนครเรานี้นั้น จะได้เป็นสามัญบุคคลก็หามิได้ โดยที่แท้ ท่านผู้นั้นคือสมเด็จพระมิ่งมงกุฎบรมศาสดาจารย์ผู้ทรงพระสัพพัญญตญาณยอดโลกแล้ว ท่านผู้นี้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้อุดมในไตรโลกเป็นเอกอัครโลกนายก ทรงอุบัติขึ้นเพื่อจะเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชนะมารและสมควรจะรับสักการบูชาน้อยใหญ่ของประชาสัตว์ทั้งหลาย ทรงมีคติที่ไปเป็นอันดี เพราะมีพระนิพพานธรรมเป็นอารมณ์ ทรงเป็นผู้จำแนกแจกธรรม ทรงไพบูลย์ด้วยวิทยาและจรณธรรม เป็นผู้อำนวยนำนิพพานสุขให้แก่ฝูงสัตว์ได้ พระองค์ย่อมเป็นใหญ่ในสามภพตรัสรู้แจ้งจบในสรรพเญยยธรรมทั้งปวง ด้วยพระองค์เป็นผู้วิเศษในทางทรมานสัตว์บุรุษดุจสารถีอุดุม ทรงเป็นบรมศาสดาของหมู่เทพยดาแลมนุษย์ เป็นพุทธบุคคลเบิกบานในโลก จะหาผู้ใดเปรียบโดยคุณธรรมใดๆ มิได้เป็นผู้ไม่มีความอาลัยแล้วในสรรพสมบัติอันเป็นเครื่องผูกมัดรัดรึงสัตว์ทั้งปวงไว้ มีปัญญาจักษุลุล่วงในทางเป็นประโยชน์ ทรงเป็นธรรมสามีใหญ่ในธรรมสำเร็จพระพุทธภูมิเหมือนพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน ทรงมีพระกมลมากด้วยละเอียดอ่อนยิ่งด้วยพระมหากรุณา ทรงสามารถที่จะประกาศธรรมโฆษณา ทั่วทั้งไตรโลกธาตุ พระเจ้าข้า”

    เมื่อสิริคุตอำมาตย์ประกาศพรรณนาพระพุทธคุณด้วยพจนากถาอยู่ฉะนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์พรหมเทวาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาใกล้สถานที่นั้นโดยลำดับกาล สิริคุตมหาอำมาตย์เห็นสมเด็จพระพิชิตมารเสด็จมาใกล้ จึงทูลเตือนให้พระสติแก่พระเจ้าอรดีเทวราชว่า “ข้าแต่มหาราช ขอเชิญเสด็จอุฎฐานจากราชบัลลังก์ ไปทำปัจจุคมนาการต้อนรับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าข้า”

    สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบรมกษัตริย์ ครั้นได้ทรงสดับสิริคุตมหาอำมาตย์กราบทูลดังนี้ พระองค์ก็ทรงมีพระกมลโสมนัสเต็มตื้นไปด้วยพระปิติ ซาบซ่านไปทั่วทั้งพระสรีระกายทรงมีพระพักตรมืดมนด้วยพระปิติกล้า ในขณะนั้น พระองค์ก็ทรงมีปวัตตนาการวิงเวียนล้มและตกลงมาจากชานพระทวาร น่าตกใจกลัวจะสิ้นพระชมน์นักหนา แต่ด้วยอำนาจพระราชศรัทธาอันกล้าหาญของพระองค์มาโอบอุ้ม จึงเกิดอัศจรรย์บันดาลเป็นดอกเศวตโกสุมปทุมชาติงามสะอาดตระการประมาณเท่ากงเกวียน แหวกพื้นปฐพีผุดขึ้นบานรัปประคับประครองพระองค์ไว้ ครั้นทรงได้พระสติจึงทรงเลื่อนพระองค์ลงมาจากดอกปทุมบุปผชาติ และดอกปทุมบุปผชาตินั้นก็เลื่อนหายไปในขณะนั้นทันที สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราช จึงเสด็จยุรยาตรไปด้วยพระบาทเปล่า เข้าไปสู่สำนักเฉพาะพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระพรหมเทวาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถวายนมัสการและกระทำสักการะบูชาด้วยสมุนบุปผชาติเลือกล้วนแต่ที่ดีๆ บริบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นบริสุทธิ์สดสะอาด ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใสโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่ทรงนิ่งงัน เฝ้ามนัสการบูชาแล้วบูชาเล่าอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานแสนนาน

    ภายหลังต่อมา สมเด็จพระอรดีเทวราชบพิตรพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธา ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมภารถวายเครื่องอุปกรณ์ทานทั้งหลายอื่นเป็นอันมาก ทรงมีพระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัสนักแล้วทรงเกิดความคิดบรรเจิดจ้าปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ จึงทรงซบพระเศียรเกล้าก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตั้งพระทัยอุทิศคำพุทธภูมิกปณิธานว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้สัพพัญญู พระองค์ได้ตรัสเป็นพระพุทธองค์บรมนารถ สามารถยังสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้ตามได้ฉันใด ขอให้ข้าพระองค์ จงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจงสามารถนำสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้ตามด้วยฉันนั้น อนึ่ง พระองค์ได้ตรัสรู้พระสัพพัญตญาณพ้นจากภพกันดารแล้วและสามารถเปลื้องตัวในโลกทั้งหลาย ให้ล่วงพ้นจากภพกันดารด้วยฉันใด ขอให้ข้าพระองค์จงได้ตรัสรู้ธรรมเช่นนั้น และสามารถเปลื้องสัตว์โลกทั้งหลาย ให้ล่วงพ้นจากภพกันดารฉันนั้นเถิด”

    เมื่อสมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชได้ทรงกระทำพระพุทธภูมิกปณิธานในพระทัยฉะนี้แล้ว ก็มีพระกมลเบิกบานบันเทิงเป็นนักหนาแล้วจึงถวายนมัสการลา เสด็จอุฏฐาการกระทำประทักษิณสมเด็จพระพรหมเทวาโลกนายกแล้ว ก็เสด็จกลับคืนสู่พระราชกุศล ทรงบริจาคทานสมานศีลอุโบสถ ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ มีพระกมลนิยมยินดีในกุศลธรรมสุจริตมิได้เบื่อหน่าย ทรงมุ่งหมายในพระพุทธภูมิเป็นนิรันดร์ จนสวรรคตสิ้นพระชมมายุแล้ว เสด็จไปอุบัติเกิดในสวรรค์เทวโลก

    การสร้างพระพุทธบารมีที่เล่ามานี้ เป็นการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณตอนเริ่มแรก คือ ตอนมโนปณิธาน ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้แต่ในหฤทัยอย่างเดียว มิได้ออกโอษฐ์เปล่งวาจาปรารถนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูแห่งเราทั้งหลาย แต่เพียงส่วนน้อยในอสงไขยต้นเท่านั้น มิใช่ทั้งหมด อย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด ความจริง พระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีในตอนนี้และได้พบพระพุทธเจ้ามากมายหลายชาตินักหนา จนนับไม่ถ้วน ไม่สามารถประมวลพระชาติของพระองค์มากล่าวไว้ให้หมดสิ้นในที่นี้ได้จำไว้ง่ายๆ ก็แล้วกันว่า องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเราทั้งหลายนี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีตอนเริ่มแรกได้แต่นึกปรารถนาพระพุทธภูมิในพระหฤทัย ตามเรื่องที่ยกมาเล่าเป็นตัวอย่างนี้ นับเป็นเวลานานถึง 7 อสงไขย

    ในกรณีนี้ ท่านผู้มีปัญญาก็ย่อมจะพิจารณาเห็นกันทั่วไปแล้วหรือมิใช่เล่าว่า การสร้างพระบารีเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นการลำบากแลใช้เวลายืดยาวนานเพียงไร

    พรรณนาในมโนปณิธาน ความปรารถนาเริ่มแรกซึ่งพระพุทธภูมิแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศากยมุนีโคดมเห็นสมควรที่จะยุติลงได้แล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    บทที่ 3 พระบารมีตอนกลาง

    บัดนี้ จักพรรณนาถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเราในตอนวจีปณิธาน คือตอนที่พระองค์ออกโอษฐ์เปล่งวาจาปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิต่อไป

    ก็องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาเจ้าของเราทั้งหลายนั้น พระองค์ท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะสร้างพระบารมีมาชนิดยอดเยี่ยมด้วยพระปัญญาฉะนั้น หลังจากทรงตั้งมโนปณิธาน ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในพระหฤทัย มิได้ออกพระวาจามาครบถ้วน 7 อสงไขยดังกล่าวมาแล้ว พระองค์ยังจะต้องทรงตั้งวจีปณิธานคือ ออกพระวาจาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอีก เป็นเวลานานถึง 9 อสงไขย ตามความเป็นไปที่จะได้พรรณนา ดังต่อไปนี้


    สาครจักรพรรดิภูมิบดี

    เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ทรงท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ด้วยอำนาจวัฏสงสารสิ้นกาลช้านานนักหนา บางเวลาก็มาเกิดเป็นมนุษย์ บางชาติก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร เสวยทิพยสมบัติในสรวงสวรรค์นั้น กาลครั้งหนึ่ง พระองค์ได้อัตภาพมาอุบัติเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยนั้นเป็นสุญกัป โลกว่างจากพระบวรพุทธศาสนา พระองค์จึงได้ออกบรรพชาเป็นดาบสประพฤติพรตอยู่ในป่าใหญ่ พยายามบำเพ็ญกสิณบริกรรมภาวนาจนสำเร็จปฐมฌาน ครั้นดับสังขารสิ้นชีวิตแล้วก็ได้ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษ อยู่ ณ พรหมโลกชั้นปฐมฌานพรหมภูมิเสวยพรหมสมบัติชมฌาน เป็นสุขอยู่เป็นเวลาหนึ่งมหากัป แล้วจึงจุติลงมาจากพรหมโลก

    ด้วยเดชะอานิสงค์ผลบุญกุศลที่พระองค์ได้ทรงสั่งสมสุจริตธรรมความประพฤติดีงามไว้ในอดีตชาติแต่ปางก่อนเป็นอันมาก หากมาอำนวยผลให้ในคราวนี้ พอจุติจากพรหมโลกแล้ว พระองค์ก็ได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในราชตระกูล ณ ธัญญวดีมหานคร เมื่อถึงศุภวารดิถีวันที่จะเฉลิมพระนามนั้น จึงประชุมพระบรมวงศ์ได้พร้อมกันขนานพระนามถวายว่า สมเด็จพระสาครราชกุมาร ครั้นเจริญวัยวัฒนาการนานมา เมื่อสมเด็จพระชนกาธิบดีดับขันธ์สวรรคตแล้ว ก็ได้ดำรงสิริราชสมบัติสืบกษัตริย์ขัตติยวงศ์โดยทศพิธราชธรรมต่อมาทรงพระอุตสาหะปฏิบัติในจักรพรรดิวัตรที่เหล่าราชปุโรหิตจารย์กำหนดถวายต่างๆ อย่างครบถ้วน แต่ที่พิเศษก็คือว่า เมื่อถึงวันอุโบสถขึ้น 15 ค่ำแล้ว สมเด็จพระสาครจักรพรรดิภูมิย่อมเสด็จเข้าที่สรง ทรงชำระสระสนานพระองค์ให้สะอาดแล้ว ก็ทรงพระภูษาโขมพัสตร์พื้นขาวคู่อุโบสถวิเศษ เสด็จขึ้นสถิตอยู่เบื้องบนพระมหาปราสาททรงพระอาวัชชนะนึกถึงอุโบสถศีลที่พระองค์สมาทานเสมอมามิได้ขาด

    ลำดับนั้น ด้วยเดชะอำนาจผลแห่งพระราชกุศลที่พระองค์ทรงรักษาอุโบสถศีลเป็นประธาน จึงบันดาลให้สัตตรัตนะอุบัติเกิดขึ้น คือ

    1.ทิพยรัตนะจักรแก้ว บังเกิดแต่เบื้องปุริมทิศแห่งมหาสมุทรงามบริสุทธิ์พร้อมด้วยพันแห่งกำกงอลงกต ย่อมมีมหิทธิประสิทธิสามารถจะให้สำเร็จตามความประสงค์ทุกปราการ

    2.พญาคชสารหัศดินทร์รัตนสาร คือ ช้างแก้วตัวประเสริฐ บังเกิดมีมาแต่อุโบสถตระกูลอันยิ่งใหญ่

    3.พญาอัศดรรัตนะมัย คือ ม้าแก้วสินธพชาติตัวประเสริฐบังเกิดมีแต่พลาหกตระกูลอาชาไนย

    4.ดวงจินดารัตนะมณี คือ แก้วมณีอันช่วงโชติรัศมีบังเกิดมีมาแต่บรรพคีรี

    5.ดรุณรัตนะนารี คือ นางแก้วที่เกิดคู่สำหรับบรมกษัตริย์ ซึ่งเทพเจ้าจัดสรรนำมาแต่อุตตรกุรุทวีป

    6.คหบดีรัตนะ คือ ขุนคลังแก้วผู้ประเสริฐคู่บารมี

    7.ปรินายกรัตนะ คือ พระองค์ทรงมีพระบวรดนัยเชษฐวโรรสดำรงตำแหน่งที่ปรินายกรัตนะขุนพลแก้วบริหารราชกิจให้ชาวประชาผาสุกอยู่เป็นนิตย์

    สมเด็จพระเจ้าสาครราชจักรพรรดิทรงประกอบด้วยรัตนะทั้ง 7 ประการ ครบถ้วนบริบูรณ์ เสวยมไหศูนย์ราชสมบัติโดยราชธรรมประเพณี ทรงมีพระเดชานุภาพแผ่ไปทั่วพิภพจบสกลพื้นปฐพี มีสาครสมุทรทั้งสี่กั้นเป็นขอบเขต ทรงเสวยจักรพรรดิสุขอยู่แสนจะสำราญ

    กาลครั้งนั้น ปรากฏมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้หนึ่งพระองค์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัฒนสูตรตามพระพุทธประเพณีอันมีสืบมา ด้วยพระมหาเดชานุภาพแห่งพระธรรมจักรของพระองค์ ที่ทรงแสดงในกาลครั้งนั้นหนักยิ่งนัก ประหนึ่งว่าพื้นแผ่นปฐพีนี้ จะทรงน้ำหนักซึ่งพระคุณไว้มิได้ ก็เกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์โลกธาตุก็เพราะให้มีอันเกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวไปทั่วพื้นปฐพีนี่เอง จึงเป็นเหตุให้จักรแก้วของสมเด็จพระเจ้าสาครราชจอมจักรพรรดิเคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ เป็นนิมิตให้เห็นประจักษ์ตาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

    แท้จริง ธรรมดาจักรแก้วของพระบรมจักรพรรดิราชเจ้านั้น มหาอำมาตย์ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมมั่นคงสวยงามที่เสาสองต้นแล้วเอาเชือกผูกจักรแก้วประดิษฐานตั้งไว้มั่นคงเป็นอันดี อภิบาลรักษาอย่างถ้วนถี่ไม่มีโอกาสที่จะเคลื่อนคลาดพลาดตกลงมาได้ ครั้นเมื่อเกิดกัมปนาทไปทั่วทั้งแผ่นดินเช่นนั้น จักรแก้วก็พลันตกลงมาจากที่ตั้งอยู่ ณ ภายใต้เสาทั้งสองนั้น ฝ่ายราชบุรุษผู้อภิบาลรักษาได้เห็นแล้วก็ตกใจจึงรีบเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระสาครราชบรมจักรพรรดิ์ พระองค์ได้สดับก็ทรงสะดุ้งพระทัยว่าจักรแก้วนี้ ย่อมเป็นที่นับถือทั่วโลกเหตุไฉนจึงพลัดตกไปจากที่ตั้งไว้ ในกรณีเช่นนี้อันตรายแห่งชีวิตจะมีแก่เราหรือว่าอันตรายจะปรากฏมีแก่ราชสมบัติเห็นประการใด ทรงสงสัยดังนี้แล้ว จึงดำรัสถามโหราราชเนมิตทิพาจารย์ทั้งหลายว่าเป็นประการใด

    พระโหราราชครูผู้นิมิตทั้งหลาย จึงถวายพยากรณ์กราบทูลว่า
    “ข้าแต่สมมติเทวราช เหตุที่ทำให้จักรแก้วนี้เกิดมีอันเป็นเลื่อนเคลื่อนตกลงไปนั้นมีอยู่ 2 ประการ คือ

    1.เป็นนิมิตแห่งอันตรายต่อพระชมน์ของสมเด็จพระบรมจักรพรรดิ และ
    2.เป็นนิมิตแห่งเหตุที่สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติในโลก
    จักรแก้วจะเคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ได้ ด้วยเหตุ 2 ประการนี้เท่านั้น พระเจ้าข้า”

    สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ จึงตรัสถามต่อไปว่า
    “ก็จักรแก้วของเราที่เคลื่อนตกครั้งนี้ จะเป็นด้วยเหตุประการใดเล่า”
    พระโหราราชครูทั้งหลายจึงพร้อมใจกันตรวจดูจนแน่แก่ใจแล้ว จึงกราบทูลว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ การที่จักรรัตนะตกลงมาครั้งนี้ จะได้ปรากฏเป็นนิมิตแห่งชีวิตอันตรายของพระองค์นั้น หามิได้ดอก พระเจ้าข้า โดยที่แท้ เป็นนิมิตแห่งความที่สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แท้ทีเดียว

    ก็สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แล้ว ย่อมทรงมีพระเกียรติศัพท์บันลือด้วยพระคุณมากมายเป็นอดุลนับไม่ได้ ทรงไว้ซึ่งเนมิตตกนามดังต่อไปนี้ คือ

    1.อรหํ ทรงเป็นพระอรหันต์กอปรด้วยพระคุณควรที่จะรับสรรพสักการะน้อยใหญ่ได้ทุกประการของชาวโลกทั้งผองอาจทำให้เกิดอานิสงค์เนืองนองมากมาย แก่สรรพสัตว์ผู้กราบไหว้บูชา

    2.สมฺมาสมฺพุทฺโธ ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ด้วยอำนาจพระบารมีธรรมที่พระองค์ได้ทรงสั่งสมมาช้านานธรรมทั้งปวงมาเกิดขึ้นพร้อมในพระหฤทัยของพระองค์เอง

    3.วิชชาจรณสมฺปนฺโน ทรงไพบูลด้วยไตรวิชาและอัษฎางควิชา พร้อมทั้งจรณะสิบห้าประการ

    4.สุคโต ทรงดำเนินไปดี เพราะมีพระนิพพานคติอันดีเป็นที่ดำเนินไป

    5.โลกวิทู ทรงรู้แจ้งโลก เพราะทรงพระสัพพัญญตญาณรู้แจ้งจบทั้งสังขารโลก (โลกแห่งความมีความเป็น) แลโอกาสโลก (โลกแห่งความว่าง)

    6.อนุตฺตโร ปุริสทมมฺสารถิ ทรงเป็นสารถีมีพระปรีชารู้ทรมานบุรุษผู้ควรทรมานอย่างประเสริฐ เลิศยิ่งในไตรภพเป็นอันดีไม่มีผู้เสมอเหมือน

    7.สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ทรงเป็นบรมครูใหญ่ ได้โอกาสตรัสพระพุทธฎีกาแก่ฝูงสัตว์ เทพยดา และหมู่มนุษย์พุทธเวไนยทั่วโลกสันนิวาส ให้สามารถบรรลุถึงคุณธรรมอันมีผลเป็นสุขพิเศษ มีพระนิพพานธรรมเป็นที่สุด

    8.พุทฺโธ พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้วเต็มที่ เป็นผู้ตื่นแล้วจากความหลับ คือ กิเลสนิทรา

    9.ภควา พระองค์ทรงเป็นผู้จำแนกธรรม และเป็นผู้มีส่วนแห่งพระบารมีมีธรรมอันจำเริญ
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    โดยพระเดชานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐล้ำเลิศในไตรโลก จักรรัตนของพระองค์จึงหวั่นไหวให้มีอันตกลงมา จะได้มีอันตรายอันใดอันหนึ่ง ก่อนนั้นหามิได้ ขอเดชะ” พระโหราราชครูกราบทูลอธิบายอย่างยืดยาว

    สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิโพธิสัตว์ได้ทรงสดับคำเนมิตตกามาตยโหราจารย์กราบทูลพรรณนาบรรยายโดยอเนกประการเช่นนั้น ก็ทรงมีพระกมลตื้นตันเต็มไปด้วยปีติมิอาจจะดำรงพระสติให้มั่นคงได้ จึงตรัสถามเพื่อให้แน่พระทัยว่า

    “เมื่อครู่นี้ ท่านว่ากระไรนะ พระราชครู ดูเหมือนท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือกล่าวว่ากระไร”

    พระราชครูโหรา จึงกราบทูลสนองไปว่า

    “พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทวราช บัดนี้สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติเกิดในโลกนี้แล้วพระเจ้าข้า”

    ขณะนั้น จึงนายเนมิตตกาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งปัญญาดี มีความฉลาดไหวพริบรวดเร็ว ได้กระทำผ้าสไบเฉียงบ่าข้างซ้าย และยอกรประณมถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ บ่ายหน้าไปทางทิศที่ตนทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าประทับอยู่แล้วกล่าวคำประกาศพระพุทธคุณทูลซ้ำอีกว่า

    “ข้าแต่มหาราชะ สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงเป็นบรมไตรโลกนาถ ไม่มีผู้ใดจะยิ่งกว่า เป็นพระอริยะผู้ทรงคุณประเสริฐ เป็นพระบรมครูตรัสรู้ไญยธรรมทั้งปวงเป็นผู้จำแนกธรรม คือ มรรถผลนิพพาน ทรงพระพุทธลักษณะงดงามศิริพิลาส ข้าพระบาทได้ทราบมาว่าพระองค์ทรงปรากฏโดยพระนามขนานว่า สมเด็จพระศรีศากยมนีชินสีห์ สัมมาสัมพุทธเจ้า อนึ่งเล่า พระองค์กำลังเสด็จมาประดับอยู่ ณ มิจจีนอุทยานกรุงธัญวดีของเรานี้ พระเจ้าข้า”

    สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิได้ทรงสดับดังนี้ก็ทรงมีพระกลมโสมนัสยินดียิ่งนัก จักใคร่เสด็จไปนมัสการสักการะบูชา จึงมีพระบรมราชโองการชักชวนว่า

    “มาเถิด ชาวเราเอ๋ย เราจักพากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้า เพื่อเป็นกุศลส่วนทัสสนานุตตริยะการได้ทอดทัศนายอดเยี่ยม” ดำรัสสั่งแล้ว ก็ทรงจัดแจงประทีปธูปเทียนและมาลัยเครื่องสักการะบูชา เสด็จด้วยจาตุรงคิกเสนาบรมจักรพรรดิ มีเสวกามาตย์ราชบริษัทเป็นปริมณฑลแวดล้อมมากมายเสด็จไปยังมิคจีนอุทยาน ครั้นไปถึงได้ทรงทอดทัศนาการเห็นพระตถาคตเจ้า พระองค์กำลังสถิตเหนือพระบวรบัลลังก์พุทธอาสน์ ทรงงามพิลาสด้วยพระทวัตติงสมหาปุริสลักษณะและพระอสีตยานุพยัญชนะ ก็ทรงถวายอภิวาทด้วยเบญจางคประดิษฐ์ซบพระเศียรเกล้าลงแทบพระบวรพุทธบาทอันไพจิตรด้วยจักรลักษณะทั้งคู่ของสมเด็จพระศรีศากยมุนีโลกนาถเจ้าแล้ว จึงตรัสสดุดีสรรเสริญพระพุทธสรีระอันงามหาที่เปรียบมิได้ ด้วยพระหฤทัยอันโสมนัสชื่นชมว่า

    “โอ้ นับว่าเป็นบุญแท้ของตน เราได้ยลพระตถาคตเจ้าพร้อมทั้งได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ณ โอกาสบัดนี้ ความเห็นของเราคราวนี้ นับว่าเป็นความเห็นอย่างประเสริฐได้ การระบายลมหายใจของเราคราวนี้ ควรนับได้ว่าเป็นการระบายได้คล่อง ไม่ข้องขัด ชีวิตของเราคราวนี้ ก็จัดได้ว่าเป็นชีวิตดีมีผลประเสริฐ”

    ครั้นตรัสสดุดีเป็นโถมนวาทีฉะนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครจักรพรรดิราชก็บังเกิดพระปีติกล้า ทรงรำพึงในพระหฤทัยว่า “เรานี้ได้อุดมสมบัติปรากฏเยี่ยมเทียมเทพมไหศูรย์อันประเสริฐล้ำเลิศเกิดแก่เราในชาตินี้ ก็เพราะมีอุตสาหะสร้างสมกุศลสมบารมีทานบริจาคและเป็นผู้มากด้วยศีลสมาทานไว้แต่ชาติปางก่อน จึงอำนวยผลให้ได้ประสบสุขเห็นปานนี้ นี่เป็นส่วนหนึ่ง ก็ในอนาคตเบื้องหน้าเล่า บัดสี้สมเด็จพระตถาคตศรีศากยมุนีเจ้าได้ทรงเปลื้องพระองค์ให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารได้แล้ว ทั้งยังทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ในวัฏสงสารได้แล้ว ทั้งยังทรงนำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ด้วยฉันใด แม้เรานี้ก็จะตั้งใจเปลื้องตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารแล้วจะนำสัตว์ทั้งหลายอื่นให้หลุดพ้นได้ด้วยฉันนั้น” เมื่อทรงมีพระมนัสมุ่งหมายซึ่งพระโพธิญาณดังนี้แล้วก็ถวายบังคมลาลุกจากอาสน์ทำประทักษิณสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคศรีศากยมุนีแล้วก็เสด็จกลับคืนสู่พระนคร

    ครั้นเสด็จมาถึงแล้ว ก็ทรงเร่งร้อนดำรัสสั่งให้ราชบริพารนำเอาแก่นจันทร์บริบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมาเป็นอันมาก รับสั่งให้ประชุมนายช่างก่อสร้างทั้งหลายมากมายหลายหมวดหลายกองเร่งให้สร้างปราสาทกุฏีอันเป็นที่อยู่ของพระภิกษุสงฆ์ด้วยไม้แก่นจันทร์มากมายหลายหลังแล้วรับสั่งให้สร้างกุฏีศาลามณฑปที่พักผ่อนที่หลีกเร้นในราตรีทิวาวัน สร้างหอฉัน ที่จงกรม โรงไฟและซุ้มทวาร ล้วนแล้วแต่แก่นจันทร์อีกเช่นกัน ในวาระสุดท้าย ทรงให้เรียกนายช่างชั้นเอกมาประชุมกันออกแบบสร้างพระคันธกุฏีที่ประทับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคสวยงามวิจิตรสัมฤทธิ์ด้วยแก่นจันทร์มีกลิ่นหอม ครั้นพระมหาวิหารอันสร้างด้วยไม้แก่นจันทร์สำเร็จลงเรียบร้อยทุกประการแล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครบรมโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยราชบริวารเสด็จออกมาเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทรงถวายอภิวาทกราบทูลถวายพระมหาวิหารว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าข้า พระมหาจันทนวิหารนี้ ข้าพระบาทสร้างถวายเฉพาะพระพุทธองค์ ขอพระพุทธองค์จงทรงพระมหากรุณาอนุเคราะห์ข้าพระบาท ขอจงรับเสนาสนะมหาจันทวิหารแห่งข้าพระบาทนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

    ครั้นกราบทูลถวายมหาจันทนวิหารฉะนี้แล้วก็ทรงนำเสด็จพระพุทธดำเนินเข้าสู่ภายในวิหาร ถวายอาหารบิณฑบาตทานแก่พระอริยสงฆ์มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน พร้อมกับทรงอุทิศถวายเครื่องอุปกรณ์ทานอีกมากมาย ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองแล้ว ทรงมีพระกมลผ่องแผ้วชื่นชมโสมนัส บัดนั้น สมเด็จพระบรมจักรพรรดิสาครราชบรมโพธิสัตว์จึงเปล่งพระวจีปณิธานว่า

    “ด้วยเดชะอำนาจแห่งบุญกรรมนี้ ขอจงเป็นปัจจัยราสีเสริมส่งให้ข้าพระองค์ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศากยมุนีโคดม เสมอด้วยพระนามพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ด้วยเถิด”

    ครั้นตรัสฉะนี้แล้ว พระองค์จึงทรงตั้งวจีปณิธาน ซ้ำลงไปอีกว่า

    “พระบรมไตรโลกนาถเจ้านี้ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วยฉันใด ข้าพระบาทจักขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าจะยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วยฉันนั้น พระผู้ทรงพระภาคผู้นาถะของโลกนี้ ได้ล่วงพ้นจากสงสารแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันใด ข้าพระบาทขอจงได้เป็นนาถะของโลกล่วงพ้นจากทุกข์ในสงสารแล้ว และสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันนั้น พระผู้มีพระภาคนาถะของโลกนี้ ทรงข้ามได้แล้วจากโลกและย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วยฉันใด ขอข้าพระบาทจงได้เป็นพระโลกนาถะข้ามได้แล้วจากโลก และยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วยฉันนั้นเถิด”

    ลำดับนั้น สมเด็จพระปุณาณศรีศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    “ดูกรมหาบพิตร การที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักที่บุคคลจะทำสำเร็จได้ ถ้าพระองค์ใคร่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จงค่อยสดับความอุปมาดังนี้ คือในเมื่อห้วงจักรวาลอันกว้างลึกสุดที่ประมาณ เต็มไปด้วยภูเขาเหล็กลุกเป็นไฟโพลงอยู่ไม่รู้ดับและมีพื้นเบื้องต่ำตามระหว่างๆ ข้างซอกแห่งภูเขานั้นเต็มไปด้วยน้ำทองแดงที่ร้อนแรงจนเหลวละลายไหลเหลวคว้างๆ อยู่ดูดุจมหากุมภีนรก ผู้ใดมีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สามารถที่จะว่ายน้ำทองแดงไปได้ด้วยกำลังแขนของตน จนตลอดถึงฟากจักรวาลโน้นได้ โดยมิได้อาลัยถึงเลือดเนื้อร่างกายและชีวิต ผู้มีน้ำจิตองอาจเห็นปานนี้จึงจะทำตนให้ถึงพุทธภาวะความเป็นพระพุทธเจ้าได้ นี่แหละมหาบพิตร พระพุทธภูมิสำเร็จได้โดยยากดังกล่าวมานี้ ขอจงทราบไว้ในพระทัยเถิด”

    สมเด็จพระบรมจักรพรรดิ ได้ทรงสดับพระบรมพุทธาธิบายเปรียบดังนั้น ด้วยกำลังพระปีติกล้า ก็ทรงออกพระวาจารับเอาว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าข้า ข้าพระบาทนี่แลจะก้มหน้าว่ายข้ามแม่น้ำทองแดงร้อนนั้นไปให้ได้ อย่าว่าแต่สิ่งที่มีในมนุษยโลกที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาชักอุปมาเปรียบเทียบมานี่เลย ถึงแม้ว่าพระสัพพัญญตญาณจะมีอยู่ใต้อเวจีมหานรกก็ดี ตัวข้าพระบาทนี่แลพระเจ้าข้า จะสู้ก้มหน้าดำด้นลงไปค้นคว้าหาพบให้จงได้”

    สมเด็จพระปุราณศรีศากยมนีได้สดับดังนั้น ก็ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญตญาณว่า ปณิธานของพระบรมจักรพรรดิพุทธางกูรโพธิสัตว์นี่ นานไปอีกแสนนานถึง สิบสองอสงไขยกับเศษแสนมหากัปจึงจักสำเร็จได้ และพระราชาผู้นี้จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดมเสมอด้วยนามเราตถาคตนี้ เมื่อพระองค์ทรงทราบชัดฉะนี้จึงมีพระพุทธฎีกาดำรัสเป็นพระโอวาทว่า

    “ดูกรมหาบพิตร ถ้าพระองค์มีพระราชประสงค์ซึ่งพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว จงทรงบำเพ็ญพระบารมี 30 ให้ครบบริบูรณ์เถิด”

    ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิเจ้า ครั้นได้ทรงสดับพระพุทธโอวาทดังนั้น ก็มีพระกมลโสมนัสเป็นนักหนาประหนึ่งว่า ตนจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันพรุ่งนี้ก็ปานนั้น จำเดิมแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ทรงบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหลายเป็นอันมาก กระทำบุญสร้างกุศลปลูกฝังไว้ในพระบวรพุทธศาสนา แต่ยังหาทรงอิ่มในพระทัยไม่ ในภายหลัง จึงได้ออกบรรพชาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์องค์สาวกของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงพระอุตสาหะหมั่นศึกษาในทางคันถธุระจนชำนิชำนาญในพระไตรปิฏกแล้ว จึงทรงบำเพ็ญเพียรในสมถกรรมฐานภาวนาอภิญญามิให้เสื่อม ครั้นสิ้นพระชมมายุแล้ว ก็ขึ้นไปอุบัติเกิดในรูปาพจรพรหมโลก

    การสร้างพระพุทธบารมีที่เล่ามานี้ เป็นการสร้างพระบารมีตอนกลาง คือ ตอนเปล่งวจีปณิธานออกโอษฐปรารถนาพระพุทธภูมิของสมเด็จพระบรมครูเจ้าของเราทั้งหลายแต่เพียงชาติแรกชาติเดียว ต่อจากชาตินี้ไป พระองค์ก็ได้ทรงเปล่งพระวาจาปรารถนาพุทธภูมิต่อพระพักตร์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกมากมาย จนไม่สามารถจะนำมากล่าวไว้ในที่นี่ให้หมดสิ้นลงได้ จำไว้ง่ายๆ ก็แล้วกันว่า องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าที่ทรงมีพระมหากรุณาประทานคำสอนไว้ให้พวกเราได้ประพฤติปฏิบัติทุกวันนี้นะ พระองค์สร้างพระบารมีตอนเปล่งวจีปณิธานนี้ เป็นเวลานานได้ 9 อสงไขย

    พรรณนาในวจีปณิธาน ความปรารถนาตอนออกโอษฐเปล่งพระวาจาว่าจะตรัสรู้แห่งองค์สมเด็จพระบรมครูศรีศากยมุนีโคดมเห็นสมควรจะยุติลงไปแล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    บทที่ 4 พระบารมีตอนปลาย

    บัดนี้ จักพรรณนาถึงการสร้างพระบารมี เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณขององค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าตอนปลาย คือตอนที่ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายต่อไป

    เมื่อพระองค์ได้ทรงเริ่มสร้างพระบารมีตอนต้นเป็นมโนปณิธานตั้งความปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิแต่ในพระหฤทัยเป็นเวลานาน 7 อสงไขยและต่อมาได้ทรงสร้างพระบารมีตอนกลางเป็นวจีปณิธาน ตั้งความปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิด้วยการออกโอษฐเปล่งพระวาจาเป็นเวลานาน 9 อสงไขย ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน

    ตอนนี้ ก็ถึงการสร้างพระบารมีตอนปลายซึ่งเป็นตอนที่สำคัญ เพราะความมุ่งมั่นในพระโพธิญาณของพระองค์ใกล้จะสำเร็จลงแล้ว โดยได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายว่าจักได้ตรัสเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในกาลอนาคตแน่นอน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า พระองค์ได้ทรงเป็นนิตยโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้แน่นอนต่อการได้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในตอนนี้เอง แม้ว่าพระองค์ใกล้จะสำเร็จพระโพธิญาณ เพราะได้ผ่านการสร้างพระบารมีมานาน 2 ตอนต้น รวมกันถึง 16 อสงไขยก็ดี ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังต้องทรงสร้างพระบารมีในตอนปลายนี้อีก เป็นเวลานานถึง 4 อสงไขยกับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป

    ก่อนอื่นขอแจ้งให้ทราบว่า ในการกล่าวถึงการสร้างพระบารมีตอนปลายนี้ตั้งใจว่าจะพรรณนาให้มากกว่าตอนอื่น เพราะเป็นตอนสำคัญที่เราท่านควรสนใจ เมื่อได้ปรับความเข้าใจกันเป็นอันดีเช่นนี้แล้ว ก็จะได้เริ่มเข้าเรื่องเสียที

    ที่ว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเราทั้งหลายได้ทรงพระอุตสาหะสร้างพระบารมีในตอนปลายนี้ เป็นเวลานานถึง 4 อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัปนั้นพึงทราบตามลำดับพระชาติที่พระองค์ทรงมีโอกาสพบสมเด็จพระพุทธเจ้าและได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่พระองค์พบในพระชาตินั้นๆ ดังต่อไปนี้
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    1. สมเด็จพระทีปังกรอุบัติ

    บรรดาเวลา 4 อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัปนั้น ในอสงไขยที่หนึ่งตอนแรกทีเดียว ปรากฏว่ามีสารมัณฑกัปหนึ่งบังเกิดขึ้น ก็คำว่าสารมัณฑกัปนี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายคงจะจำได้ว่าเป็นกัปที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก 4 พระองค์ใช่ไหมเล่า เพราะได้เคยกล่าวไว้แล้วในตอนว่าด้วยเรื่องอสุญกัปโน่นแล้ว ก็สารมัณฑกัปที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่ ก็มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก 4 พระองค์ คือ

    1.สมเด็จพระมิ่งมงกุฏตันหังกรพุทธเจ้า
    2.สมเด็จพระมิ่งมงกุฏเมธังกรพุทธเจ้า
    3.สมเด็จพระมิ่งมงกุฏสรณังกรพุทธเจ้า
    4.สมเด็จพระมิ่งมงกุฏทีปังกรพุทธเจ้า

    ก็ในระยะกาลที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก คือ สมเด็จพระตันหังกรพุทธเจ้า สมเด็จพระเมธังกรพุทธเจ้า และสมเด็จพระสรณังกรพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกและประกาศพระศาสนาอยู่นั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราก็ได้มาเกิดในโลกนี้ ได้ประสบพบปะและสร้างพระบารมีในสำนักของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทุกๆ พระองค์มา แต่เพราะวาสนาบารมียังไม่เต็มที่บริบูรณ์ดี จึงยังไม่ได้รับลัทธยาเทศพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์นั้นเลย ฉะนั้นตอนนี้จึงไม่ค่อยสำคัญเท่าใดนัก มาถึงตอนสำคัญเอาเมื่อถึงศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในสารมัณฑกัปนั้น คือ ศาสนาของ สมเด็จพระสรรเพชญทีปังกรพุทธเจ้า จึงจะเกิดเหตุสำคัญ ซึ่งจะได้พรรณนาดังต่อไปนี้

    จะกล่าวกลับจับความ จำเดิมตั้งแต่ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจ้าค่อยเสื่อมสลายสูญิสิ้นหมดไปแล้ว โลกก็ว่างจากศาสนาอยู่ชั่วระยะกาลนานช้า ต่อมาจึงได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นอีกพระองค์หนึ่ง สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็ทรงประกาศพระพุทธศาสนายังศาสนธรรมให้แผ่กว้างออกไปเหล่าสัตว์ทั้งหลายในสมัยนั้น ครั้นได้รับรสพระธรรมเทศนาต่างก็ได้บรรลุมรรคผลตามสมควรแก่อุปนิสัยของตนเป็นอันมากแล้ว

    กาลครั้งนั้น ยังมีพรหมณ์มาณพหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏนามว่า สุเมธพราหมณ์ มีทรัพย์มหาศาลนับได้มากมายหลายโกฏิทีเดียว นอกจากนั้นยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงมนต์ เฟื่องฟุ้งรู้แจ้งในไตรเพทางคศาสตร์ฉลาดในศิลปะสิ้นทุกประการ วันหนึ่งสุเมธพราหมณ์ผู้หนุ่มนั้น นั่งอยู่ภายในห้องระโหฐานเป็นที่สงัดแล้วรำพึงขึ้นด้วยจิตตามยปัญญาว่า

    “ขึ้นชื่อว่า การก่อภพกำเนิดเกิดเป็นรูปกายขึ้นใหม่ย่อมมีกองทุกข์ท่วมท้นหฤทัยเที่ยงแท้ อนึ่ง แม้เมื่อชมน์ชีพแตกพรากจากกายทำลายร่างสรีรพยพนั้นเล่าก็เป็นทุกข์ถึงที่สุดใหญ่ยิ่งกว่าทุกข์ทั้งปวง การก่อภพชาติใหม่นี้เป็นทุกข์ใหญ่หลวง เพราะว่าก่อชาติกำเนิด ชาติก่อให้เกิดชรา ชราก่อให้เกิดพยาธิมรณะ เมื่อชาติชรา พยาธิ มรณะ มีขึ้นมาได้แล้ว ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไข้ ไม่ตาย ก็คงจะมีเป็นแม่นมั่น อย่ากระนั้นเลย ควรที่เราจะประสงค์เจาะจงแสวงหาความดับชาติชรา พยาธิ มรณะนั้นให้จงได้

    อนึ่ง ตัวเราคงต้องตายต้องทอดทิ้งซึ่งร่างกายอันเน่าเปื่อยปฏิกูลนี้ แล้วไปเกิดใหม่ให้ได้ทุกข์อีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไฉนจึงยังหนักหน่วงห่วงใยในร่างกายเครื่องปฏิกูลนี้อยู่เล่า ควรที่เราจะพึงหาทางออกไป ไม่เกิดเสียจะดีกว่าก็แต่ว่าหนทางนั้นเห็นทีจะพึงพบได้โดยยาก จำเราจะพึงพยายามให้จงมาก อุตสาหะเสาะแสวงหาหนทางนั้นให้พบจงได้ อนึ่งความทุกข์ภัยพยาธิมีแล้วฉันใด ความสุขก็คงมีเช่นเดียวกัน

    อีกประการหนึ่ง เมื่อภวะกำเนิดคือ ความก่อเกิดมีแล้วฉันใด วิภวะคือความไม่ก่อกำเนิดเป็นร่างกาย ก็คงจะมีเช่นเดียวกัน อีกประการหนึ่ง เมื่อความร้อนคือเตโชธาตุไฟมีอยู่แล้ว ความเย็นคืออาโปธาตุ ก็มีไว้สำหรับความร้อนแก้กันฉันใดก็เมื่อไฟคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย บังเกิดมีแล้ว สิ่งที่พึงระงับดับอัคคีเหล่านั้น ก็คงมีเป็นแม่นมั่น อีกประการหนึ่ง เหมือนการบาปมีแล้ว ย่อมมีการบุญแก้ ความเกิดมีแน่ ความไม่เกิดเที่ยงแท้ที่สัตว์พึงปรารถนา ก็คงจักมีเป็นแม่นมั่น

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้ทรงพลัง แต่มีตัวแปดเปื้อนคูถอุจจาระเน่าเหม็นร้ายกาจนักหนา เมื่อมาเห็นสาระอันเต็มเปี่ยมด้วยน้ำในสะอาด ควรหรือที่เขาจะไม่กระวีกระวาดล้างเนื้อล้างตัวเสียให้หมดมลทิน ก็ตัวเรานี้ ในเมื่อมลทินคือ กิเลสที่ควรล้างกำลังแปดเปื้อน ฉันใด ตัวเรานี่เล่า ก็มีร่างกายอันเปรียบประหนึ่งหมู่มหาโจรในฉกาจสามารถที่จะปล้นผลาญจิตใจให้ขาดจากกุศลธรรมทั้งปวง จำเราจะตัดห่วงเสน่หาในกายทอดทิ้งอย่าให้มีอาลัย เหมือนหนึ่งบุรุษที่ถูกโจรชิงทรัพย์ไปฉันนั้นเถิด”

    สุเมธมาณพผู้มีปรีชา ครั้นคิดอุปมาทบทวนย้อนหน้าย้อนหลังวิจิตรพิสดารมากมายดังนี้แล้ว ในที่สุด ก็ตัดสินใจให้เปิดคลังสมบัติของตนมากมายหลายโกฏิบริจาคให้เป็นทานแจกจ่ายยาจกวณิพกพวกอนาถาหาที่พึ่งมิได้จนหมดสิ้นแล้ว ก็ออกไปสู่ประเทศเขตป่าใหญ่ ณ ที่ใกล้เชิงเขาธรรมิกบรรพตจัดแจงสร้างบรรณศาลาอาศรทบทเป็นที่อาศัยเสร็จแล้วก็เปลื้องผ้าสาฏกเนื้อดีที่ตนครอง นุ่งผ้าเปลือกป่านและคากรองบวชเป็นดาบสสร้างพรตพรหมจรรย์ ไม่กี่วันต่อมา ก็ละทิ้งเสียซึ่งบรรณศาลาที่อยู่ เพราะรู้ว่ายังทำให้เกิดห่วงใย เข้าป่าลึกเข้าไปอีกอาศัยสถานร่มไม้รุกขมูลเป็นที่อยู่ เลือกดูผลไม้ที่หล่นลงมาเองเป็นประมาณ รับประทานเป็นอาหารพอแต่ว่าเป็นยาปนมัติเครื่องเลี้ยงชีพเท่านั้น มีจิตมุ่งมั่นปฏิบัติโดยทางกสิณานุโยคพยายามอยู่ในอรัญญสถานไม่นานก็ได้บรรลุอภิญญาสมาบัติ

    ครั้นเมื่อสุเมธดาบสผู้ยิ่งด้วยพรตพรหมจรรย์ ท่านได้สำเร็จอภิญญาฌานสมาบัติบริบูรณ์ดี มีวสีภาพเชี่ยวชาญชำนาญแล้ว ก็เพลิดเพลินเจริญฌานเป็นสุขอยู่ หารู้ไม่เลยว่าบัดนี้ สมเด็จพระชินสีห์ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มาตรัสเป็นพระบรมโลกนายกแล้ว ความจริงนั้นควรจะรู้ หากไม่มัวเพลิดเพลินเจริญฌานอยู่ เพราะธรรดาวิสัยของผู้ได้อภิญญาสมาบัติย่อมรู้เห็นซึ่งนิมิตในกาลทั้ง 4 ก่อน คือ กาลเมื่อผู้ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาปฏิสนธิ 1 กาลเมื่อพระองค์ประสูติจากพระครรภ์ 1 กาลเมื่อได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 1 กาลเมื่อทรงประทานพระธรรมจักรเทศนา 1 ซึ่งสุเมธดาบสฌานมีอยู่แล้ว จะไม่แสวงหาสระน้ำที่มีอมตธรรมเป็นอุทกวารีแล้วล้างเสียซึ่งมลทินคือกิเลสนั้นหรือไฉน

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนโยธีนายทหารผู้ชาญฉลาดที่ถูกข้าศึกศัตรูหมู่ปรปักษ์ปัจจามิตรมาล้อมไว้ เมื่อหนทางที่พอจะประลาตหลีกลี้หนีไปได้ยังมีอยู่ ควรหรือที่จะหลงมุมานะสู้จนเสียชีวิตไม่คิดหนี ก็ตัวเรานี้เมื่อข้าศึกคือกิเลสมีอำนาจร้อนรุมหุ้มห้อมล้อมไว้อยู่ และหนทางเป็นที่เกษมเปรมใจคือพระนิพพาน อันเป็นที่หลีกหนีจากกิเลสมีอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้จักไม่คิดหลีกหนีไปหรือไฉน

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีโรคาพยาธิบีฑาอยู่ เพื่อได้พบแพทย์ผู้วิเศษแล้ว ควรหรือที่บุรุษนั้นจะไม่คิดอ่านเยียวยารักษาพยาธิแห่งตนให้หาย ก็ตัวเรานี้ เมื่อโรคาพยาธิคือกิเลสมาย่ำยีบีฑาเบียดเบียนอยู่ จะไม่เสาะแสวงหาแพทย์ทิพยาจารย์ให้พยาบาลขจัดเสียซึ่งโรคาพยาธิ คือ กิเลสหรือไฉน

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนชายผู้มีน้ำใจรักความสะอาด ซึ่งมีซากศพอันแรงร้ายกาจด้วยกลิ่นเหม็นปฏิกูลน่าเกลียดยิ่ง มาผูกพันกระสันติดอยู่กับคอตน ควรหรือที่ชายคนนั้นจะสู้ทนกลิ่นเหม็นได้ เขาย่อมจะร้อนรนขวนขวายปลดเปลื้องซากศพนั้นให้พ้นจากคอตนเสียโดยเร็วฉันใด ตัวเรานี้เล่าจะเอื้อเฟื้ออาลัยอาวรณ์อะไร ในร่างกายอันเน่าเปื่อยปฏิกูลมากมายอยู่ด้วยซากสารต่างๆ จงรีบหาทางปลดเปลื้องทอดทิ้งเสีย อย่าให้เป็นห่วงใยเฝ้าอาลัยเหลียวแลอยู่ เหมือนบุรุษผู้มีซากศพติดคออยู่นั่นเถิด

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษถูกหมู่โจรฉกาจมันอาจหาญพากันมาปล้นกลุ้มรุมชิงฉวยเอาห่อทรัพย์ได้แล้ว แลเห็นว่าตัวจักไม่สามารถเพื่อจะหักชิงเอาห่อทรัพย์กลับคืนมาได้ เขาย่อมสิ้นอาลัยในทรัพย์ไม่เสียดาย หมายแต่จะเอาชีวิตรอดรีบวิ่งหนีไปโดยเร็ว ข้อนี้มิได้รู้ในกาลสำคัญที่กล่าวมานี้ ก็เพราะความที่ตนเพลิดเพลินเจริญฌานเป็นการหนักอยู่ จึงมิได้เห็นมิได้รู้ด้วยมิได้ใฝ่ใจดูซึ่งเหตุอื่นเลย ต่อเมื่อหมู่มหาชนเป็นอันมาก อาราธนาสมเด็จพระทีปังกรตถาคตมาแต่ปัจจันตประเทศ จึงเกิดเหตุมหาโกลาหลเป็นการใหญ่ เพราะว่าประชาชนทั้งหลายมีความชื่นชมโสมนัสต่างก็พากันจัดแจงตกแต่งหนทาง แผ้วถางเกลี่ยมูลพูนถมระดมกันกระทำทางเป็นที่สมเด็จพระพุทธดำเนินอยู่

    ในขณะนั้น สุเมธดาบสผู้มีตบะอันสูง เพราะบรรลุฝั่งแห่งอภิญญาเที่ยวจาริกมาทางอากาศกลางเวหา มองลงมาเห็นประชาชนประชุมอยู่เป็นหมู่มาก ดูหลากประหลาดด้วยล้วนรื่นเริงบันเทิงจิตน่าพิศวง สุเมธดาบสถึงลงจากคัคฆฌัมพรห้วงเวหาหาว แล้วมีพจนประภาษถามข่าวคราวชนมนุษย์หมู่นั้นว่า

    “มหาชนชวนรื่นเริงบันเทิงจิต ชวนกันประกอบกิจแผ้วถางปฐพีโสภโณภาสเพื่อบุคคลผู้ใดจะจรมา”

    มหาชนเหล่านั้นได้ฟังถาม จึงแจ้งความแก่สุเมธฤาษีผู้มีฤทธิ์ว่า
    “ข้าแต่ท่านฤาษี สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้อนุตรโลกนายกยอดบุคคลเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว กาลบัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายมีใจเลื่อมใสในพระองค์เป็นยิ่งนัก จึงชวนกันแผ้วถางเพื่อให้เป็นทางที่เสด็จพระพุทธดำเนิน ณ สถลมารควิถีเพื่อที่จะได้เสด็จมาแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพวกเราชาวเมืองนี้”

    สุเมธฤาษี แต่พอได้สดับว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้วในโลกเท่านั้น ก็พลันเกิดปีติเป็นล้นพ้นสุดประมาณ จึงมาจินตนาการว่า กาลนี้ควรที่เราจะหว่านพืชเพื่อผล ขณะนี้เป็นมงคลขณะบังเกิดมี หาควรที่เราจะมาทำละเมินเสียไม่ ครั้นได้คำนึงจินตนาด้วยอำนาจศรัทธากอปรด้วยญาณโสมนัสฉะนี้แล้วจึงกล่าวกะชนเหล่านั้นว่า

    “แม้ท่านทั้งหลาย แผ้วถางทางถวายพระพุทธเจ้าละก็จงขอให้โอกาสแก่เราสักแห่งเถิด เราบังเกิดศรัทธาปรารถนาใคร่จะทำทางถวายพระพุทธเจ้าบ้าง”

    คราวนั้น ชนทั้งหลายเห็นว่าฤาษีเป็นผู้มีฤทธิ์เพราะเหาะมากลางอากาศได้เช่นนั้น ก็เลยชี้มือไปตรงบริเวณที่ซึ่งถากถางทางยากลำบากเพราะมีเปือกตนโคลนเลน เป็นบริเวณที่ต้องถมหามูลดินมาเกลี่ยให้เสมอ เป็นส่วนที่ทำยาก แล้วบอกแก่ฤาษีว่า “ถ้าท่านปารถนาจะทำทางถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จงทำบริเวณที่ตรงนั้นให้สำเร็จด้วยดีเถิด ท่านฤาษี”

    สุเมธดาบสบรมโพธิสัตว์ ครั้นเขายกอนุญาตให้ทำที่ตรงนั้นให้สะอาดเรียบร้อยก็มิรอช้าอุตสาหะตั้งหน้าประกอบการมีจิตวารรำพึงพระพุทธนาม พุทโธ นั้นเป็นเนืองนิตย์ เปลื้องหนังเสือที่รองนั่งออกผูกทำเป็นถุงกะทอห่อหิ้วซึ่งมูลดิน เอามาถมในที่ลาดลุ่มลึกเป็นเลนเหลวอยู่นั้น มิทันทีจะทำให้สำเร็จตลอด เหลืออยู่ยาวประมาณชั่วตัวคนก็ได้เวลาที่สมเด็จพระทศพลมิ่งมงกุฎพุทธทีปังกรศาสดา เสด็จพาพระขีณาสวสงฆ์มากมายมาใกล้จะถึง

    เสียงศัพท์บรรเลงอื้ออึง ด้วยสำเนียงทวยเทพศุภสุรคณานิการเป็นถ่องแถวแนวสลอนด้วยมหาชนอเนกแน่นหนา ทำปัจจุคมนาการนำเสด็จพระพุทธดำเนินมา บางหมู่ก็ประโคมดุริยดนตรีแตรสังข์กังสดาลฆ้องกลองก้องสนั่นศัพท์แซ่ซ้องสาธุการ เอิกเกริกด้วยความโสมนัสทั้งมนุษย์และเทพยดาอินทรีย์พรหมต่างก็มีกรประฌมมิได้คลายเคลื่อนแลละลานเลื่อนตามเสด็จพระพุทธดำเนินมา ฝูงเทพยดาก็ประโคมทิพยดนตรีหมู่มนุษย์ก็
    ประโคมดีดสีตีเป่าตามภาษามนุษย์ ดำเนินนำตามเสด็จพระพุทธลีลา บางเทพยดาก็โปรยปรายทิพยบุปผา ก็ดวงดอกทิพยมณฑารพโกสุมเป็นประธานลอยเลื่อนเกลื่อนทั่วทั้งทิศานุทิศ ณ เบื้องบนนภากาศ หมู่มนุษย์ชาติก็ยกขึ้นซึ่งเครื่องสักการบูชาล้วนเครื่องหอม แห่ล้อมจรลีตามเสด็จพระพุทธดำเนินมา

    กาลครั้งนั้น สุเมธดาบสก็มีจิตเบิกบานอธิษฐานอุทิศชีวิตถวายแด่พระพุทธองค์ จึงปลดเปลื้องชฎาสยายเกษาลง ลาดปูผ้าเปลือกไม้กับหนังเสือรองนั่งบนเปือกตมนั้นแล้ว ก็ทอดกายนอนคว่ำหน้าลงต่อถนนที่ขาดลาดลุ่มเป็นเลนเหลวที่ตนทำยังไม่ทันเสร็จนั้น พลันตั้งใจคำนึงนึกว่า

    “ขออาราธนาพระพุทธองค์ จงทรงพระมหากรุณาพระขีณาสวสงฆ์ทั้งหลายเสด็จทรงย่างพระบาทดำเนินไปบนกายแห่งข้าพระบาทนี้เถิด จะได้เกิดเป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่ข้าพระบาท พระองค์อย่าได้ย่างพระบาทหลีกลงเลียบลุนเลนเหลวนี้เลย” แล้วก็หมอบคว่ำหน้านิ่งเฉย เพื่อรอให้สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าพาพระอริยสงฆ์ทรงเหยียบกายของตน ซึ่งทอดเป็นสะพานอยู่อย่างนั้น

    มีกรณีที่เราท่านทั้งหลาย ควรจะทราบไว้ในตอนนี้ก็คือว่า ในขณะนี้หากสุเมธปรารถนาจะหน่วงเอาอมตธรรมกำจัดกิเลสเสียให้ขาดจากสันดานแล้ว ก็จักได้สำเร็จแน่นอน เพราะอุปนิสัยแห่งพระอรหัตรุ่งเรืองเต็มอยู่ในสันดานแล้ว เพียงแต่ได้สดับพระสัทธรรมเทศนากึ่งบาทพระคาถาก็จักได้บรรลุอรหัตผล สำเร็จเป็นพระอรหันตอริยบุคคลทันที แต่สุเมธมหาฤาษีเคยสร้างพระบารมีมาเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณปรารถนาการได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามานานนักหนา จึงในขณะนี้ท่านมหาฤาษีก็คิดไปว่า

    “จะมีประโยชน์ใหญ่หลวงอย่างไร หากเราจะได้อมตธรรมแต่เพียงตน จะมีประโยชน์ใหญ่หลวงอย่างไร ด้วยการได้ข้ามโอฆสงสารแต่ผู้เดียว แต่เมื่อใด เราได้ถึงความเป็นพระสัพพัญญูผู้ข้ามโลกแล้ว เมื่อนั้นเราจักยังสัตว์ทั้งหลายทั้งมนุษยโลกและเทวโลกให้ข้ามได้ด้วย จักให้ขึ้นสถิตสำเภาธรรม ขนส่งให้ลุล่วงข้ามถึงฝั่งแห่งพระนฤพานให้จงได้” จินตนาคิดไปเสียเช่นนี้ จึงมิปรารถนาเป็นสาวกสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในกาลครั้งนี้

    คราทีนั้น สมเด็จพระภควันตทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเสด็จมาถึง จึงเสด็จสถิตอยู่ ณ เบื้องเศียรเกล้าแห่งสุเมธฤาษีนั้น ครั้นทรงพิจารณาดูด้วยพระสัพพัญญตญาณแล้ว ก็พลันมีพุทธฎีกาตรัสแก่ชาวประชาพุทธบริษัททั้งหลายในที่นั่นว่า

    “ถ้าท่านทั้งหลาย แคล้วคลาดจากอมตธรรมไม่ได้บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษในศาสนาของเรานี้แล้ว และยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในภพสงสาร นานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้าก็จงปรารถนาให้ได้บรรลุในศาสนาของดาบสนี้เถิด ต่อไป ดาบสผู้นี้จักอุบัติตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในโลกทรงนามว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดม ในระยะเวลาอีก 4 อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัป นับตั้งแต่กัปนี้เป็นต้นไป ในกรณีย่อมเปรียบเหมือนบุรุษที่ว่ายข้ามมหานทีถึงจะคลาดเคลื่อนจากท่าเหนือนี้ข้ามขึ้นไม่ได้แล้วไซร้ ก็คงจะข้ามขึ้นจากท้องนทีได้ ณ ท่าน้ำต่ำลงไปอีกเป็นแน่แท้ฉันใดเมื่อท่านทั้งหลายแม้คลาดจากศาสนาของเรานี้แล้วหากมีวาสนาก็คงจะได้สำเร็จในศาสนาของพระพุทธังกูรเจ้าดาบสนี้ ในอนาคตกาลฉะนั้น”

    เมื่อองค์พระภควันตทีปังกรพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ฉะนี้แล้ว ก็ทรงสงเคราะห์ยกทักขิณบาทเบื้องขวาขึ้นจรดกายสุเมธดาบสนั้นก่อนแล้วก็เสด็จบทจรพาพระขีณาสวสงฆ์เหยียบกายสะพานนั้นไป ฝ่ายเทพ นิกร นาค ครุฑ มนุษย์ คนธรรพ์เมื่อได้สดับพระพุทธฎีกาดังนั้น ต่างก็น้อมหัตถ์นมัสการพระพุทธังกูรสุเมธดาบสเจ้า แล้วก็เลยหลีกจรดลโดยเสด็จพระพุทธดำเนินต่อไป ครั้นล่วงทัศนวิสัยสมเด็จพระพุทธองค์สงฆ์บริษัทแล้ว สุเมธดาบสมหาบุรุษก็อุฏฐาการลุกขึ้นจากนั้น หากแต่มีมนัสเต็มไปด้วยความสุขสันต์ปรีดาปราโมทย์ จึงมิได้เคลื่อนกายไปไหน กลับทำบัลลังก์นั่งสมาธิคำนึงด้วยปิติว่า

    “เรามีฌานชำนาญเป็นอันดี หมู่ฤาษีทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุจะได้มีอิทธิวิธีธรรมสามารถเสมอด้วยเรานั้นหามิได้ เพราะเราได้อาศัยสมาบัติธรรมมากอยู่ในสันดาน จึงได้เสวยความสุขสิ้นกายวิการเห็นปานนี้”

    กาลเมื่อสุเมธฤาษีนั่งบัลลังก์สมาธิอยู่นั้น บรรดาเทพยเจ้าทุกราศีสถานในโลกจักรวาล ต่างก็มาประสานศัพท์นฤนาทก้องแซ่ซ้องสาธุการถวายพรว่า

    “ท่านจักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเที่ยงแท้ มิได้แปรปรวนวิปริต ขอองค์ท่านจงสถิตถือมั่นผูกพันความพยายามไว้อย่าทำให้ความเพียรมั่นนั่นกลับถอยน้อยลงไป จงทำวิริยะบารมีให้ยิ่งใหญ่ เพื่อได้พบพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณต่อไปเถิด”

    สุเมธดาบสบรมโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อได้สดับพระพุทธพยากรณ์ทำนายและเทพยดาเจ้าทั้งหลายถวายพระพรดังนั้น ก็ยิ่งมีกมลมั่นคำนึงพินิจฉัยในพระพุทธพยากรณ์ว่า

    “อันธรรมดาพระพุทธยกถาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ย่อมเป็นสุภาษิตจะได้วิปริตผิดพจนะกระแสแปรไปเป็นสอง หรือเปล่าสูญเสียมิเป็นจริงนั้นย่อมเป็นไปมิได้ พระองค์ดำรัสอรรถคดีสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีเป็นแน่แท้สมกระแสพระพุทธบรรหาร พระโพธิญาณของเราเห็นจะไม่สูญคงจะสำเร็จสมประสงค์เป็นมั่นคง เราคงได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเที่ยงแท้แน่นอน”

    ครั้นคิดพินิจฉัยดังนี้แล้ว สุเมธมหาฤาษีจึงพิจารณาพระทศบารมีธรรมทั้งสิบสืบไป ด้วยอำนาจอภิญญาสมาบัติอันตนชำนาญด้วยดีเป็นวสีภาพ จึงได้ทราบว่าโพธิปริปาจนธรรมสำหรับบ่มพุทธภูมินั้น ตนได้สั่งสมมามากมายชั่วระยะเวลานานนักหนาแล้ว ก็แลด้วยเดชะมหานุภาพที่พระดาบสนั่งพิจารณาบารมีที่เคยสร้างไว้มากมายนับไม่ถ้วนอยู่ในขณะนั้น พอจบลงก็พลันบันดาลเกิดโกลาหล ทั่วพิภพจบสกลพสุธาดลพื้นปฐพี ก็มีอันก้องกึกพิลึกลั่นสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งว่าจะแหลกทำลายลงก็ปานกัน

    ครานั้น มหาชนต่างก็ล้มสยบหวาดเสียวอยู่มิได้ล่วงรู้ร้ายดีประการใด พากันตกใจกลัวแต่เหตุการณ์ข้างที่ร้ายนั่นแหละเป็นกำลัง จึงรีบพากันไปเฝ้าสมเด็จพระทีปังกรสัมพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ มหาโกลาหลนี้ จักเป็นด้วยมหาศักดานุภาพของทวยเทพ อินทร์ พรหม ยมยักษ์ ฤาษีสิทธิศักดิ์ อสูร มานพ นาค ครุฑ ตนใด ข้าพระบาททั้งหลายจักได้ทราบนั้นหามิได้ จักเป็นมหาวินาสภัยมาบีฑาโลกธาตุ หรือจักเป็นด้วยอำนาจอุปัทวะการบาปกรรมสิ่งใดประดามี หรือว่าจะมีสวัสดีมงคลเป็นประการใด ขอพระองค์จงแสดงเหตุให้ทราบเกล้าแก่เหล่าข้าพระบาททั้งปวงด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

    สมเด็จพระทีปังกรสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฏีกาสำแดงเหตุมหาโกลาหลแก่มหาชนเหล่านั้นว่า

    “ท่านทั้งหลาย อย่ามีความสะดุ้งหวาดเสียวต่อภัยสิ่งใดเลยเหตุที่เมทนี คือ แผ่นดินเกิดกึกก้องโกลาหลกำเริบขึ้นนี้ ก็เพราะเราตถาคตได้พยากรณ์สุเมธฤาษีว่า เธอจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล บัดนี้ สุเมธดาบสนั้นพินิจฉัยคำนึงในบารมีธรรมของตนด้วยเหตุนั้น มหาโกลาหลจึงบังเกิดขึ้น ด้วยเดชะอำนาจคุณบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นเป็นเหตุ”

    หมู่มหาชน ครั้นได้สดับพระพุทธฎีกาดังนั้น ต่างก็มีกลมโสมนัสปสันการในพระสุเมธโพธิสัตว์ จึงพากันรีบจัดประทีปธูปเทียนบุปผาสุมาลัย ออกไปประชุมกันกระทำสักการบูชา ต่างคนก็มีมุรอัตถวาทีถวายพรด้วยคำมงคลเป็นต้นว่า

    “ขอให้ท่านดาบส ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้า สมจริงเถิด”

    แม้ทวยเทพในสกลสถานทั่วหมื่นโลกธาตุ ก็พากันมาประชุมสักการะบูชา ด้วยทิพยสุคนธมาลัยงามเลิศต่างๆ โปรยปรายลงมาราวกะห่าฝน ที่พื้นปฐพีดลดารดาษทั่วทิศ บันลือศัพท์สาธุการเพรียกพร้องร้องถวายเทพพรมงคลว่า

    “ข้าแต่พระสุเมธดาบสผู้เจริญ วันนี้ท่านมาทำปณิธานอันยิ่งใหญ่ได้แล้วซึ่งคำพยากรณ์จากสำนักแห่งสมเด็จพระทีปังกรทศพลญาณ ขอสมความปรารถนาของท่าน จงสำเร็จสมประสงค์ ขอท่านจงได้ตรัสเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณเหมือนเช่นพรรณพฤกษชาติย่อมทรงช่อต่อผลอุบัติโดยฤดูกาล

    อนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์พระองค์ที่ล่วงแล้วๆ แล้วแต่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงที่สุด ก็ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณสถิตเหนือ อปราชิตบัลลังก์และได้ทรงแสดงพระธรรมจักรเทศนาอันเป็นพระพุทธประเพณีสืบมาฉันใด ขอท่านดาบสจงบำเพ็ญบารมีให้ถึงที่สุด แล้วสถิตเหนืออปราชิตบัลลังก์แสดงธรรมจักรเทศนา เหมือนกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นเถิด อนึ่ง นทีแม่น้ำน้อยใหญ่ใดๆ ย่อมมีกระแสชลอันไหลหลั่งมาสู่มหาสมุทรทั้งหมดนี้ฉันใด ขอท่านจงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์จอมโลก เป็นที่ไหลหลั่งมาแห่งสรรพสัตว์ทั่วโลกธาตุประชุมเป็นสโมสรสันนิบาตกัน ณ สำนักแห่งพระองค์ ดังมหาสมุทรใหญ่เป็นที่รวมแห่งกระแลชลฉะนั้น”

    เมื่อสุเมธฤาษีผู้มีฤทธิ์ใหญ่ ได้เห็นหมู่เทพยดาและมนุษยนิกรมาสโมสรประชุมกันกระทำสักการะบูชา และอำนวยศุภพรด้วยประการเป็นอันมากเช่นนี้ก็มีความปรีดาว่า กาลยังอีก 4 อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัปเท่านั้น เราก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้ เมื่อแน่แก่ใจตนเช่นนั้น ก็มีความอิ่มใจยิ่งนัก จึงอธิษฐานมั่นด้วยวิริยะบารมีหน่วงพระพุทธานุสสติเป็นอารมณ์ น้อมกายบ่ายพักตร์นมัสการเฉพาะทิศ ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทีปังกรแล้ว ก็เหาะไปสู่ประเทศป่าใหญ่อันเป็นที่อยู่ของตนโดยนภากาศอยู่เจริญอภิญญาสมบัติมิให้เสื่อม สิ้นชนมายุแล้วก็ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    2. สมเด็จพระโกณฑัญญะอุบัติ

    เมื่อสมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงไปแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็ยังเจริญถาวรอยู่ในโลกนี้สืบต่อมาอีกหนึ่งแสนปี เมื่อครบกำหนดหนึ่งแสนปีแล้วศาสนาของพระองค์ก็สิ้นอายุลง เพราะว่า พระอริยสงฆ์สาวกผู้ได้ดื่มอมตธรรมวิเศษสำเร็จเป็นพระอรหันต์ต่างก็ดับขันธ์นิพพานไปหมดสิ้น ทั้งเหล่าพุทธศาสนิกชนคนนับถือพระพุทธศาสนาต่างก็ทำกาลกิริยาตายไปๆ ศาสนธรรมก็เสื่อมถอยน้อยลงจนหาผู้ทรงจำคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดามิได้ ด้วยอำนาจแห่งโลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำอยู่ในดวงจิตของสัตว์ทั้งหลายนักหนา ปวงประชาจึงไม่สนใจใยดีในพระสัทธรรม มิหนำซ้ำพากันประพฤติย่ำยี บรรพชิตนักบวชก็เป็นอลัชชีหลงใหลในอามิสสักการะ ไม่นำพาที่จะทรงไว้ซึ่งศาสนธรรมคำสอนของพระองค์ ด้วยการประพฤติปฏิบัติชอบในพระธรรมวินัย จะป่วยกล่าวไปใย ถึงฝ่ายคฤหัสถ์ชาวบ้านที่ยังครองเรือน เมื่อเจ้ากูทั้งหลายไม่สนใจทรงจำคำสอนในพระศาสนาแล้ว ก็จักทรงศาสนาไว้ได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสื่อมสูญลงสิ้น จะได้ยินแม้แต่เพียงบทว่า นโม ตสฺส ดังนี้จากปากของผู้ใดผู้หนึ่งย่อมไม่มี จึงนับได้ว่า บัดนี้ศาสนาของพระองค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว

    กาลเวลาค่อยล่วงเลยไปเรื่อยๆ นานนักหนา เป็นเวลาถึงอสงไขยหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า สุญกัป เพราะไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและสมเด็จพระบรมจักรพรรดิเสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้เลย ครั้นต่อมาจึงมีสารกัปเกิดขึ้น คำว่าสารกัปนี้ ท่านทั้งหลายยังพอจำกันได้หรือไม่ว่าความหมายว่าอย่างไร ใช่แน่แล้ว กาลเวลาที่เรียกว่า สารกัปนี้หมายถึงกัปที่มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัสในโลกหนึ่งพระองค์ ทรงมีพระนามว่าสมเด็จพระมิ่งมงกุฎโกณฑัญญะ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมโลกนายก ทรงพระเดชพระยศหาที่สุดมิได้ ประกาศศาสนธรรมให้เหล่าสัตว์ผู้เลื่อมใสได้ดื่มอมตธรรม นำตนให้พ้นจากภัยในวัฏสงสารเป็นอันมาก

    กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เข้าของพวกเราได้อุบัติเกิดเป็นสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าวิชิตาวีบรมจักรพรรดิ พระองค์ทรงตั้งอยู่ในจักรพรรดิธรรม มีน้ำพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาการุญภาพในสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้าทั้งมนุษย์และนก โดยมิได้อาชญาและศาสตราเครื่องประหารสัตว์ ทรงบำรุงประชาชนและบำเพ็ญราชกิจในรัชสีมามณฑลโดยธรรมสม่ำเสมอเป็นนิตย์

    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระโกณฑัญญะศาสดาจารย์เจ้าทรงมีพระอริยสงฆ์สาวกแวดล้อมเป็นบริวาร เสด็จจารกไปโดยลำดับจนถึงพระนครของพระเจ้าวิชิตารีราชบรมจักรพรรดิ พระองค์จึงเสด็จออกไปทรงกระทำการต้อนรับด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้วได้ทรงบำเพ็ญมหาทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเป็นประธานเป็นเวลานาตลอดไตรมาสมิได้ขาดเลย สมเด็จพระโกณฑัญญะสัพพัญญูเจ้าไดทรงกระทำพุทธทำนายไว้ในคราวนั้นว่า

    “พระบรมขัตติยาธิบดีวิชิตาวีจักรพรรดิพระองค์นี้ คือ หน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์ สืบไปเมื่อหน้าในอนาคตกาล พระองค์จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าสมเด็จพระศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าเป็นแม่มมั่น”

    สมเด็จพระโกณฑัญญะสัพพัญญูเจ้าดำรัสพยากรณ์ทำนายพระบรมโพธิสัตว์โดยนัยนี้แล้ว ก็ทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาสมเด็จพระบรมจักรพรรดิราชทรงปสาทะเลื่อมใส จึงทรงสละมไหศูรย์สมบัติให้แก่ข้าราชการบริพารผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้วก็ทรงบรรพชาในสำนักพระบรมศาสดาเพื่อบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในพระบวรพุทธศาสนาทรงศึกษาเล่าเรียนในคันถธุระพระปริยัติธรรมไตรปิฏก และทรงบำเพ็ญสมถกรรมฐาน ในที่สุดก็ได้สำเร็จฌานอภิญญามิได้เสื่อมถอย ครั้นกาลเวลาเคลื่อนคล้อยล่วงไป ถึงคราวที่พระภิกษุวิชิตาวีบรมโพธิสัตว์ผู้มีพุทธบารมีถึงแก่ชีพิตักษัยแล้ว ก็ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมในพรหมโลกเสวยพรหมสมบัติเป็นสุขสืบไป
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    3. สมเด็จพระสุมังคละอุบัติ

    เมื่อศาสนาสมเด็จพระสัพพัญญูโกณฑัญญะพุทธเจ้าเสื่อมสูญไปหมดแล้ว กาลเวลาก็ล่วงมาจนสิ้นสารกัปนั้น และเวลาต่อมาจากนั้นมา โลกก็ว่างจากพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประกาศอมตธรรมนำสัตว์ออกจากโอฆสงสารช้านาน ต่อกาลครั้งหนึ่ง จึงมีสารมัณฑกัปบังเกิดขึ้นอีก ก็ในสารมัณฑกัปนี้ ปรากฏมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก 4 พระองค์ คือ

    1.สมเด็จพระมิ่งมงกุฏสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า
    2.สมเด็จพระมิ่งมงกุฏสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    3.สมเด็จพระมิ่งมงกุฏเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    4.สมเด็จพระมิ่งมงกุฏโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ในสมัยที่สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์แรกในสารมัณฑกัปนี้ คือ ขณะที่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังทรงประกาศพระศาสนายังมหาชนให้ดื่มอมตธรรมคุณพิเศษนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของพวกเราก็ได้มาอุบัติเกิดถือกำเนิดในตระกูลพรหมณ์มหาศาลมีนามอันเป็นมงคลว่า สุรุจิพราหมณ์

    อยู่มาวันหนึ่ง สุรุจิพราหมณ์ได้ออกไปถวายนมัสการและสดับธรรมีกถา ณ สำนักแห่งองค์สมเด็จพระสุมังคละสัมพุทธเจ้าบรมโลกนายกแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ วันพรุ่งนี้ข้าพระบาทขออาราธนาพระพุทธองค์พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงไปรับอาหารบิณฑบาตของข้าพระบาท พระเจ้าข้า”

    สมเด็จพระสุมังคละศาสดาทรงรับอาราธนาแล้ว พราหมณ์ก็ถวายบังคมลาสู่เรือนและรำพึงว่าพัสดุสิ่งของทั้งหลายที่ตกแต่งเป็นยาคูภัตตาหารกับทั้งผ้าไตรจีวรที่จะถวายแก่พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคที่อาราธนาไว้เป็นจำนวนมากก็พอจะมีถวายทั่วทุกองค์ได้ ก็แต่ว่าสถานที่ๆ จะแต่งตั้งอาสนะที่นั่งของภิกษุทั้งหลายให้เพียงพอนี่แล รู้สึกว่าจะอัตคัดคับแคบขัดข้องนัก จักทำฉันใดดี สุรุจิพราหมณ์เธอครุ่นคิดวิตกอยู่อย่างนี้ ก็เพราะว่าพระภิกษุสงฆ์สาวกของพระตถาคตเจ้าในกาลครั้งนั้นมีมากมายนัก นัยว่ามีตั้งแสนกว่ารูปขึ้นไป แต่ด้วยใจเลื่อมใสโอฬารกว้างขวาง เธอจึงนิมนต์อารารธนามาฉันที่เรือนของตนหมดทุกตนทุกรูปไม่ทันคิด มาคิดได้เอาก็เมื่อกลับถึงบ้านแล้วนั่นเอง

    ด้วยเดชะอำนาจอภินิหารทานบารมีของพระโพธิสัตว์เจ้าก็ให้บันดาลร้อนถึงบัณฑุกัมพลสิลาอาสน์สมเด็จพระอินทราธิราชเจ้าจอมไตรตรึงษ์สวรรค์ ท้าวเธอจึงพลันตรวจดูก็ทรงรู้เหตุว่า

    “พระบรมโพธิสัตว์สุรุจิพราหมณ์ เธออาราธนาพระภิกษุสงฆ์กับพระสัพพัญญูเจ้าแล้ว บัดนี้ วิตกด้วยว่าจะตกแต่งปูลาดอาสนะให้พอเพียงแก่พระสงฆ์อันมากมายนักหนา กาลนี้ควรที่เราจะต้องลงไปช่วยสงเคราะห์ในบุญกรรมนั้น”

    ทรงดำริดังนี้แล้ว สมเด็จพระอมรินทราธิราชจอมทวยเทพเจ้าเหล่าชาวสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ จึงจำแลงแปลงเพศเป็นนายช่างใหญ่มีมือถือขวานมายืนปรากฏอยู่ตรงหน้าพราหมณ์โพธิสัตว์ แล้วจึงทรงเอื้อนอรรถตรัสถามว่า

    “ท่านผู้เจริญ ท่านจะต้องการจ้างทำงานสิ่งใดบ้างหรือไม่”
    “ท่านรับจ้างทำงานสิ่งใดเป็นบ้างเล่า” สุรุจิพราหมณ์ถามขึ้นทั้งๆ กำลังวิตกอยู่
    “ขึ้นชื่อว่าศิลปะศาสตร์ในการช่าง สิ่งไรที่ข้าพเจ้าจะมิได้รู้ มิได้เชี่ยวชาญนั้นมิได้มี คือ การสร้างโรงร้านหรือเรือนอยู่หรือมณฑปใหญ่ ใครจะสร้างทำสิ่งใดๆ ข้าพเจ้าก็ย่อมทำได้อย่างสวยงามสิ้นทุกประการ” อินทวัฑฒกี คือ นายช่างพระอินทร์บอกความสามารถของตน

    “ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว เรามีการที่จะจ้างท่านใหทำสักอย่างหนึ่ง แต่ก็สงสัยว่าท่านจะทำไม่ได้เสร็จตามความประสงค์ของข้าพเจ้า” พราหมณ์กล่าวขึ้นตามความรู้สึกจริงใจของตนในขณะนั้น “ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์ การสิ่งใดของท่านมี ก็จงบอกแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าคิดว่าจักทำให้สำเร็จตามความต้องการของท่านได้” นายช่างพระอินทร์รุกเร้าถาม

    สุรุจิพราหมณ์จึงว่า “ดูกรนายช่าง บัดนี้เราได้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ประมาณแสนกว่ารูปเอาไว้ ให้มารับบิณฑบาตฉันในวันพรุ่งนี้ตอนอรุณรุ่งเช้า เราคิดว่าจะจ้างให้ท่านสร้างมณฑปใหญ่ ให้ปูลาดอาสนะถวายพระสงฆ์มากมายเห็นปานนั้น ท่านยังจะสามารถรับทำได้หรือไม่”

    “ข้าพเจ้ารับจะสร้างให้เสร็จตามความต้องการของท่านได้ แต่ว่าท่านสามารถจะให้ค่าจ้างแก่ข้าพเจ้าได้หรือ” นายช่างพระอินทร์กลับถามถึงเรื่องค่าจ้างแรงงาน

    “เอาเถิด เมื่อท่านทำได้ตามความต้องการของข้าพเจ้าแล้ว ท่านประสงค์ค่าจ้างเท่าใด ข้าพเจ้าจะไม่ขัดข้องเลย แม้แต่ชีวิตของข้าพเจ้าก็ยินดีสละให้ได้ อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติที่ข้าพเจ้ามีอยู่เลย ขอให้ข้าพเจ้ามีสถานที่ๆ จะถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสงฆ์ตามความตั้งใจของข้าพเจ้าก็แล้วกัน” พราหมณ์กล่าวตอบ

    อินทวัฑฒกีก็กล่าวว่า “ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าจะรับทำเองขอท่านจงบอกสถานที่ๆ จะก่อสร้างมณฑปนั้นเถิด” เมื่อสุรุจิพราหมณ์ชี้มือไปยังบริเวณเนื้อที่อันกว้างใหญ่ของตนแห่งหนึ่ง จึงไปยืนแลดูที่บริเวณนั้นด้วยกำลังเทพศักดามหานุภาพก็บันดาลภูมิสถานบริเวณกว้างใหญ่นั้นให้มีเตียนเลี่ยนตลอดราบรื่นมีพื้นเสมอเป็นอันดี สมเด็จท้าวสักรินทโกสีย์จึงดำริว่า

    “ในภูมิสถานมีประมาณเท่านี้ มหามณฑปแล้วไปด้วยแก้วเจ็ดประการ จงบังเกิดมี ณ กาลบัดนี้”

    คราที่นั้นก็บังเกิดมหัศจรรย์ด้วยเทพนฤมิต มหามณฑปวิภูสิตสำเร็จแล้วด้วยแก้วหลังใหญ่ ก็ทำลายปฐพีผุดขึ้นมา เสาและขื่อแห่งมหามณฑปนั้นประดับสลับต้นกันแล้วไปด้วยแก้วและเงินทอง ตามเชิงชายรายรอบเขตมณฑปนั้น มีระบายตาข่ายกระดึงแก้วและทองห้อยอยู่ระยับสลับกันเป็นอันดี เวลามีลมอ่อนรำเพยพัด ก็อุบัติเสียงเสนาะศัพท์สำเนียงกระดึงดังวังเวงฟังเสียงดังเพลงทิพย์ อนึ่ง ในที่ว่างบางแห่งย่อมมีทิพย์สุคนธบุปผชาติหอมฟุ้งขจรตลบอบอวลไปทั่วมหามณฑปสถาน แล้วสมเด็จท้าวมัฆวานเทวราชจึงอธิษฐานจิตเนรมิตว่า

    “อาสนะอันสมควรพร้อมตั่งรองเท้าน้ำใช้น้ำฉัน จงพลันบังเกิดขึ้นภายในมณฑปนี้”

    ทรงอธิษฐานแล้วก็ทอดพระเนตรไปในมหามณฑปขณะนั้นอาสนะสงฆ์ครบจำนวนก็บังเกิดขึ้นพลันพร้อมไพบูลย์และมีตุ่มใหญ่ๆ เต็มไปด้วยน้ำใสตั้งไว้ตามมุมมหามณฑปนั้นครั้นสำเร็จสิ่งประสงค์แล้ว ก็กลับมาบอกความแก่สุรุจิพราหมณ์ผู้เป็นนายจ้าง ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งวิตกอยู่ในเรือนด้วยคิดว่า บุรุษนายช่างคนนั้นคงทำไม่สำเร็จเสียมากกว่าเพราะตามธรรมดาต้องใช้เวลาสร้างนานเป็นเดือนเป็นปี ครั้นท้าวโกสีย์แปลงมาบอกว่า

    “ข้าแต่ท่าน บัดนี้มหามณฑปนั้น ข้าพเจ้าทำสำเร็จแล้วท่านจงไปดูก่อน เสร็จแล้วอย่าลืมย้อมกลับมาให้ค่าจ้างค่าออนแก่ข้าพเจ้าเสียก็แล้วกัน”

    พราหมณ์ผู้โพธิสัตว์เจ้าได้สลัดดังนั้นก็ดีใจ รีบผลุนผลันลุกขึ้นออกไปดู ครั้นเห็นประจักษ์แจ้งแก่สายตาตนก็มีความโสมนัสเป็นล้นพ้น มีกลมเต็มไปด้วยปิติ มิได้ทันจะคิดถึงสิ่งใด รีบกลับเข้าไปในเรือนเพื่อจักจ่ายทรัพย์อันเป็นค่าจ้างแก่นายช่างผู้วิเศษก็ให้เกิดเหตุอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น เพราะว่าคนผู้เป็นนายช่างซึ่งทวงค่าจ้างอยู่เมื่อครู่นี้ให้มีอันเป็นอันตรธานหายไปเสียแล้ว จึงได้สติวิจารณ์ดูด้วยปัญญาก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า

    “มหามณฑปประดับงามตระการเป็นปานนี้ มนุษย์ที่ไหนจักทำได้ นี่ชะรอยเท้าสหัสนัยย์จอมไตรตรึงษ์ทรงรู้ความวิตกหนักใจของเรา จึงทรงอุตสาหะเสด็จมากระทำความอนุเคราะห์แก่อาตมาเป็นแน่แท้” ครั้นตระหนักแน่ในใจฉะนี้ ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาเป็นทวีตรีคูณในบุญวิบากนักหนา จึงจินตนาสืบไปว่า

    “ด้วยความงามของมหามณฑปมีความประเสริฐถึงเพียงนี้อาตมาจะถวายทานแก่พระสงฆ์คือองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเป็นประธาน แต่เพียงกาลเวลาวันเดียวเท่านั้นหาควรไม่ จำเราจักอาราธนาพระสงฆ์ถวายทานสืบไปอีก ให้ได้สักเจ็ดวันเถิด นั่นแหละจึงจะสมควร”

    ดำรังดังนี้แล้ว สุรุจิพราหมณ์ผู้มีทรัพย์มหาศาลก็สั่งให้จัดแจงพัสดุสิ่งของสำหรับถวายทานเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก ได้บำเพ็ญมหาทานบริจาคแด่พระสงฆ์มากมายสุดประมาณทุกๆ วันถ้วนถึงเจ็ดวัน ครั้นถึงวันอวสานที่สุดจะเลิกแล้วนั้น สุรุจิพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ได้จัดบำเพ็ญมหาทานเป็นพิเศษ คือ ครั้นพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยก็ให้ชำระบาตรเช็ดถูให้สะอาดดีแล้ว ก็ให้ใส่ให้เต็มด้วยน้ำมันเนย น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ทั้งแสนกว่าบาตรเป็นส่วนเภสัชทานแล้วก็จัดการถวายไตรจีวรครบผ้าบริวารอันกอปรด้วยมูลค่าเป็นอันมาก แต่ผ้าไตรจีวรที่มิสู้งามที่ถึงแก่พระภิกษุนวกะผู้บวชใหม่ สถิต ณ อาสน์สุดท้ายนั้น ก็ยังมีค่านับได้หลายตำลึง จะป่วยการกล่าวไปใย ถึงไตรจีวรที่ได้แก่พระเถระผู้ใหญ่ในสังฆมณฑลนั้นเล่า

    คราวนั้น สมเด็จพระสุมังคละบรมโลกุตมาจารย์ เมื่อจะทรงประทานภัตตานุโมทนากถา จึงทรงพิจารณาว่า

    “มหาพราหมณ์ผู้นี้ มีอุตสาหะบำเพ็ญอามิสมหาทานใหญ่ยิ่งนักฉะนี้ จะมีอานิสงค์เป็นประการใดหนอ” ก็ทรงทราบด้วยพระญาณทุกประการแล้ว จึงโปรดประทานพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า

    “ดูกรมหาพราหมณ์ กาลล่วงหน้าไปในอนาคตกำหนดไว้ 2 อสงไขยเศษอีกแสนมหากัป ในเบื้องหน้านั้นตัวท่านจะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคคม ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุด 2 อสงไขยกับเศษแสนมหากัปนั้น”

    ครั้นได้สดับพระพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระชินสีห์เป็นลัทธยาเทศเช่นนี้ สุรุจิพราหมณ์โพธิสัตว์ก็ปรีดาปราโมทย์ยิ่งนัก ดำริว่า

    “เราจักได้สำเร็จโพธิญาณเป็นเที่ยงแท้แน่แล้ว ก็แต่ว่า บัดนี้จักมีประโยชน์อันใด ด้วยฆราวาสวิสัยครองเรือนอยู่ จำเราจักสู้อุตสาหะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีออกบวชจะดีกว่า”

    เบื้องว่าพระโพธิสัตว์นั้น ครั้นคิดบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเช่นนี้ จึงสละสมบัติอันไพบูลย์มิได้อาลัย ออกบรรพชาในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าบรมศาสดา อุตส่าห์บำเพ็ญคันถะธุระและสถมถกรรมฐาน ก็สำเร็จฌานอภิญญาสมาบัติมิได้เสื่อม สิ้นชนมายุแล้ว ก็ไปอุบัติเกิดเป็นองค์พระพรหมวิเศษเสวยพรหมสุข ณ ชั้นพรหมโลก
     

แชร์หน้านี้

Loading...