พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองนั่งดื่มน้ำชาด้วยใจที่สงบ..เขารู้ว่ามีคนจ้องมองดูเขาหลายคน...แสดงให้

    เห็นว่าเขาคือจุดสนใจของคนส่วนใหญ่ที่ตลาดวัดสิงห์..อันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว...การที่มี

    ชายแปลกหน้ามาเยือนถึงถิ่น..ผู้คนย่อมสงสัยถึงสาเหตุการมา..และคิดกันไปต่าง ๆนาๆ....

    .....................เมืองจ้องมองดูน้ำชาในแก้วกระเบื้องเคลือบอย่างสงบนิ่งหลังจากดื่มไปแล้วแก้ว

    หนึ่ง...เขาก็รินกาน้ำชาใส่แก้วอีก......เมืองเริ่มสังเกตน้ำที่ไหลจากกาลงแก้ว..และมาหยุดนิ่งอยู่

    ในแก้วหลังจากที่มันกระฉอกไปมา...แล้วก็ดึงคำพูดของเด็กน้อยทั้งสองเขามาในความคิด...

    ที่ว่า"แม่น้ำ...ถ้าเจ้าไม่หยุดไหล..เจ้าจะไม่พบทาง"......เมืองเริ่มใช้ความคิดเปรียบเทียบ

    การไหลของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากับการไหลของแม่น้ำท่าจีน...เทียบกับการไหลของน้ำชา

    ที่เขาเทออกจากกาใส่แก้ว.....ว่าน้ำทั้งสามที่ต่างก็ไหลเหมือนกัน....แต่น้ำในแม่น้ำเจ้า

    พระยาและน้ำในแม่น้ำท่าจีนนั้นไม่มีวันหยุดไหลตามธรรมชาติของมัน....ส่วนน้ำชาในแก้วใบ

    นี้หลังจากที่เขาเทให้มันไหลแล้ว "น้ำชากลับหยุดไหลและสงบนิ่ง"

    .....................ปัญญาของเมือง มีสุขเริ่มสว่างขึ้น...เขาเริ่มถามตัวเองว่า"หากแม่น้ำเจ้า

    พระยาและแม่น้ำท่าจีนหยุดไหล..จะพบทางอะไรเล่า"....เขาจะต้องถามกลับไปยังเจ้าปัญหา

    ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร...แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นหลวงปู่ศุข....

    .....................เมืองคิดได้ดังนั้น..เขาจึงพูดกับแป๊ะเส็งทันทีตามความคิดของเขาที่จะกระทำ....

    ............................."อาแปะ...อาแปะมีแก้วแบบนี้ขายให้ข้าสักสองใบได้ไหม"

    .....................เมืองพูดพร้อมกับยกแก้วน้ำชาขึ้นให้เจ้าของร้านดู...สาวเหมยรีบตอบแทนเตี่ย

    ทันที

    ............................."ข้าขายให้ท่าน..ท่านจะเอาไปทำอะไร"

    .....................แป๊ะเส็งเห็นลูกสาวชิงพูดโดยไม่ปรึกษาตนก็ให้รู้สึกหงุดหงิด...ด้วยแก้วในร้านมีจะ

    ไม่พอให้ลูกค้าใส่น้ำชาดื่มอยู่แล้ว..จึงเอ่ยขึ้น

    ............................."ไอหยา..นังเหมย..ลื้อขายให้อีไป 2 ใบ..แล้วแก้วที่ให้ลูกค้าดื่มมัน

    พอหรือไง"

    ............................."ไม่เป็นไรนา..เตี่ย..เดี๋ยวเราซื้อใหม่ได้...แต่ข้าอยากรู้ว่า..เขาจะ

    เอาแก้วไปทำอะไร"

    ............................."ข้าตอบเจ้าก็ได้...ข้าจะเอาไปหยุดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำ

    ท่าจีนไม่ให้ไหล"

    .............................."หา...ว่าไงนะ" แป๊ะเส็งและลูกสาวประสานเสียง

    .............................."ลื้อ..บ้าไปหรือเปล่า..ที่จะเอาแก้วใส่น้ำชา 2 ใบไปหยุดน้ำในแม่

    น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนไม่ให้มันไหล" แป๊ะเส็งถามปนตำหนิ

    .....................เมืองหัวเราะ..ด้วยคิดบางสิ่งบางอย่างได้...เขาจึงเอ่ยตอบ

    ..............................."ข้าไม่ได้บอกว่า..ข้าจะไปหยุดน้ำในแม่น้ำทั้งสองสายให้หยุดทั้ง

    หมดนี่...ข้าเพียงแต่ให้มันหยุดไหลเหมือนน้ำชาในแก้วใบนี้"

    ..............................."หมายความว่าอย่างไร" สาวเหมยถามบ้าง

    ..............................."ก็ข้าเพียงแต่ตักน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาใส่แก้วใบหนึ่ง..แม่น้ำเจ้า

    พระยาในส่วนที่แก้วตักก็หยุดไหล....และข้าก็ตักน้ำในแม่น้ำท่าจีนใส่แก้วอีกใบหนึ่ง...แม่น้ำ

    ท่าจีนในส่วนที่แก้วตักก็หยุดไหล..แล้วที่นี่อาแปะรู้หรือยังว่าข้าหยุดแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่

    น้ำท่าจีนไม่ให้ไหลได้อย่างไร"

    .....................เมืองหัวเราะอย่างอารมณ์ดี..เขาคิดว่า..."เขาจะเอาน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำ

    ท่าจีนใส่แก้ว..แล้วมอบให้กับเด็กน้อยทั้งสองและฝากคำพูดไปถึงคนที่สั่งให้เด็กน้อยทั้งสองมากระทำ

    การให้ปัญหาแก่เขาขบคิด....โดยเมืองจะบอกกับเด็กน้อยแต่เพียงว่า..."แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำ

    ท่าจีนหยุดไหลอยู่ในแก้วแล้ว...ก็ยังไม่พบทาง".............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1387.JPG
      IMG_1387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      31
    • IMG_2264.JPG
      IMG_2264.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      36
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2012
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....ตอนที่ 93 วันที่กรมหลวงชุมพรได้เป็นศิษย์หลวงปู่ศุข.....




    .....................ขณะที่เมืองกำลังคิดทำการดังกล่าว..ตาเข่งและทิศด้วงก็เดินเข้ามาในร้านแป๊ะ

    เส็งและสั่งกาแฟมากิน...ทั้งสองมองชายหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตนที่เคยนั่งอยู่โดยไม่

    พูดอะไร..แต่ก็สงสัยอยู่ในใจพลางพากันไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง...

    .....................ครู่ต่อมา ลุงบุญ เจ้าแต้ม และเจ้าทิวคนที่หลงรักสาวเหมยก็ตามมาสมทบ..และมา

    นั่งกับตาเข่งและทิศด้วง...พลางเจ้าแต้มได้เอ่ยขึ้นในวงสนทนาทันที

    ............................."เมื่อกี้..ข้าพายเรือมากับลุงบุญ..ตรงปากคลองเห็นแพของใครไม่รู้มันมี

    ขนาดใหญ่มาก..ข้ามองไปเห็นมีที่พักหลับนอนอยู่พร้อม...เห็นมีคันธนูอันใหญ่และลูกธนูหลายดอก

    แขวนอยู่ในแพนั้นด้วย"

    .....................เมืองนั่งสงบนิ่งเพื่อฟังการสนทนาถึงเรือนแพของตน

    ............................."นั่นนะสิ..แสดงให้เห็นว่าแพนี้ต้องมาไกล..จึงมีที่หลับนอนอยู่ในแพ" ลุง

    บุญเอ่ยเสริม

    .....................เจ้าทิวจึงออกความเห็นบ้าง

    ............................."ข้าคิดว่า..เจ้าของแพอาจไปที่บางกอก(กรุงเทพ) และแวะมาหาหลวงปู่..

    เพื่อขอเครื่องรางของขลังก็เป็นได้"

    ............................."ไม่แน่หรอก..อาจเป็นพวกมือปราบมาตามล่าโจรที่หลบหนีมาก็ได้" ตา

    เข่งเอ่ยขึ้นบ้าง

    .....................ในขณะที่ทิศด้วง...ก็เอ่ยถามเจ้าแต้มต่อ

    ............................."เจ้าแต้ม..แล้วเจ้าเห็นว่าลักษณะข้าวของที่อยู่บนแพ..น่าจะมากันกี่คน"

    ............................."คนเดียว..แต่ข้าสังเกตเห็นไหที่ตั้งเรียงไว้..น่าจะเป็นไหเหล้า"

    ............................."แสดงคนผู้นี้จะต้องเป็นผู้ชายที่ติดเหล้า"

    ............................."ถ้าจะจริงของเอ็งทิศด้วง" ลุงบุญคล้อยตาม

    ....................ทั้งห้านั่งจิบกาแฟ..ที่เหมยนำมาเสริฟ..หมวยพันธุ์แท้นึกรู้อยู่ว่าเป็นแพของชาย

    หนุ่ม...ซึ่งเพิ่งบอกตนเองเมื่อกี้นี้ว่า"จอดแพไว้ที่ปากคลอง"...แต่ไม่รู้ว่าแพมันจะดูแปลกแตกต่างจาก

    แพทั่วไปอย่างที่เจ้าแต้มเอ่ยเช่นนี้....หมวยพันธุ์แท้จึงขยิบตาไปยังเจ้าทิว..แล้วใช้สายตาส่งมาที่โต๊ะ

    ของชายหนุ่มผมยาวที่นั่งอยู่โต๊ะข้างของกลุ่มสนทนา

    .....................ทั้งห้าจึงมองตามมาที่ชายหนุ่มผมยาวหนวดเครารุงรังทันที...ตาเข่งกับทิดด้วง

    ต้องหันกลับมามองชายผมยาวอีกครั้ง....ครั้งนี้ร่วมสังเกตพิจารณาก็พบว่า"ลักษณะของชายผู้นี้ดูน่า

    เกรงขาม..และก็เข้าใจในกริยาที่หมวยพันธุ์แท้ส่งสายตาบอกว่า..ชายผู้นี้คือเจ้าของแพ"......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2267.JPG
      IMG_2267.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      49
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2012
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เจ้าทิวพิจารณาอย่างสงสัยพลันหันมาสบตากับผู้ร่วมโต๊ะเดียวกับตน...แล้ว

    เอ่ยขึ้นอย่างกระซิบเกรงว่าผู้ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างเคียงจะได้ยิน

    ............................"เอาอย่างไรดีล่ะ"

    ............................"ก็ถามให้รู้เรื่องไปเลยสิ..ว่าเขามาทำอะไรที่หมู่บ้านนี้..ญาติพี่น้องกันทั้ง

    นั้น" ทิดด้วงเสนอแนะอย่างกระซิบตามเจ้าทิว

    ............................"ไอ้ที่ทิดด้วงให้ถามไปเลยนะข้าเข้าใจ..แต่ที่ทิดด้วงว่าญาติพี่น้องกันทั้ง

    นั้น..ข้าไม่เข้าใจว่าพี่ชายผมยาวมาเป็นญาติพี่น้องกับเราเมื่อไร"

    ............................"เอ็งไม่รู้เลยหรือไร..ที่หลวงปู่บอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่าคนเราเกิด

    มาหลายภพหลายชาติกระดูกกองเป็นภูเขา..ที่เกิดมาแล้วคนในโลกนี้จะไม่เคยเกี่ยวพันเป็น

    ญาติพี่น้องกันมาก่อนเป็นไม่มี..บางทีก็เป็นแม่เป็นลูกกัน..เป็นสามีภริยากัน" ทิดด้วงเอ่ยตาม

    ประสาคนเคยบวชเรียนที่อยู่กับหลวงปู่ศุขและฟังหลวงปู่เทศน์สอนบ่อย

    ....................ทิดด้วงพูดจบตาเข่งถึงกับหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นอย่างขัน ๆ

    ............................"เออจริงของเอ็งว่ะ..ข้าก็เคยได้ยินหลวงปู่พูดบ่อย ๆ....งั้นแป๊ะเส็งกับนัง

    เหมยมันก็เป็นญาติของพวกเราด้วยสิ"

    ............................"ใช่..มันเป็นทำนองนั้น" ทิดด้วงยังยืนยัน

    ............................"แล้วทำไม..มันไม่ให้กาแฟเรากินฟรีบ้างวะ"

    ............................"พอ ๆ ได้แล้ว..เจ้าทิวเข้าไปถามเป็นงานเป็นการหน่อยสิ...จะได้รู้เรื่องให้

    จบ ๆ ไป" ลุงบุญพูดตัดบท

    .....................เจ้าทิวพยักหน้า..แล้วขยับเก้าอี้ของตนไปนั่งอยู่หน้าชายผมยาวพลางเอ่ยขึ้น

    ............................."พี่ชาย พี่ชายเป็นเจ้าแพที่จอดอยู่ที่ปากคลองหรือ"

    .....................เมืองจ้องหน้าทิวพร้อมพยักหน้า...ด้วยเห็นพวกชาวบ้านกลุ่มนี้ไม่มีพิษภัย...และ

    อีกประการเขาก็มีเรื่องสอบถามชาวบ้านกลุ่มนี้อยู่เหมือนกัน

    ............................."พี่ชายมาที่นี่ทำไมและกำลังเดินทางไปไหนหรือ" ทิวถามต่อ

    ............................."ข้ายังไม่มีทึ่ไปเลยน้องชาย..และที่จอดแพก็เพียงเพื่อสอบถามเส้น

    ทางของคลองนี้ว่ามีทิศทางไปไหน"

    ............................."อ้อ..เป็นอย่างงั้นรึ" ตาเข่งหันหน้ามารวมแจมพร้อมกับคนอื่นที่นั่งอยู่ที่

    โต๊ะข้าง ๆก็ขยับเก้าอี้มาร่วมนั่งกับชายผมยาว

    ............................."หลานชายไม่มีที่ไปก็ลองพักอยู่ที่หมู่บ้านนี้ดูก่อนก็ได้นี่นา..ที่นี่ปลาชุกชุม

    เยอะมาก...ข้าหาได้ทุกวัน..แต่ตอนนี้ยกเว้นวันพระ" ลุงบุญเอ่ยชวนพร้อมบอกวันหยุดหาปลา

    ............................."ขอบใจลุง..ข้าขอคิดดูก่อน..แล้วทำไมลุงต้องยกเว้นวันพระ"

    เมืองถามอย่างสงสัย...อันเป็นเรื่องที่เปิดประเด็นถึงหลวงปู่ศุขอย่างบังเอิญ

    ............................."ก็หลวงปู่ศุขนะสิ..มาเดินบนน้ำให้ข้ากับเจ้าแต้มเห็นบนผิวน้ำ..ใน

    วันพระขณะที่ข้ากับเจ้าแต้มตกเบ็ดอยู่" ลุงบุญพูดพร้อมกับชี้ไปที่เจ้าแต้มทำให้เมืองเริ่มรู้จัก

    ชื่อคนในกลุ่ม

    ............................."เดินบนผิวน้ำหรือ" เมืองทวนคำเบา ๆอย่างแปลกใจเกี่ยวกับหลวง

    ปู่ศุข..ทำให้เขาสนใจในตัวพระภิกษุรูปนี้เพิ่มขึ้นมาอีก.....หลังจากที่เชื่อว่า"ท่านได้นำปัญหา

    มาให้เขาแก้".............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1387.JPG
      IMG_1387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      41
    • IMG_2264.JPG
      IMG_2264.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      35
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2012
  4. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,671
    เอาใจช้วยอีกแรงครับ ท่าน อุตตโม
     
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ........"ขอบพระคุณอย่างสูงครับ"...เห็นท่านดูงานติดตามมา

    ตลอด..เป็นกำลังใจให้ผมเสมอ...

    ........ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆขึ้นไป..และมีความสุขสมหวังตลอด

    ปี พ.ศ.2555 นี้ด้วยครับ.......
     
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..........พอดีจะเขียนต่อตอนราว 5 ทุ่ม..เห็นเวปประกาศจะปิดตอน เที่ยง

    คืนถึงหกโมงเช้า...คงเขียนไม่ทันจบ..ขออนุญาตต่อพรุ่งนี้ครับ........
     
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองหันไปที่เจ้าแต้มแล้วถามอย่างสนใจ

    ............................"เรื่องราวเป็นมาอย่างไรหรือน้องชาย"

    ....................เจ้าแต้มทบทวนความทรงจำแล้วจึงเล่าเรื่อง

    ............................"คืนนั้นเป็นคืนวันพระขึ้น 15 ค่ำ..ข้ากับลุงบุญไปปักคันเบ็ดตกปลาไว้ที่ริม

    ตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา...และนอนเฝ้าอยู่เพิงพักพักริมแม่น้ำจนหลับไป..พอราวตีสี่ข้าปวดฉี่และลุกเดิน

    ออกมาที่ป่าไผ่ริมแม่น้ำ..แล้วหันไปดูคันเบ็ด..พร้อมกับมองไปที่แม่น้ำก็เห็นร่างของคนเดินอยู่บนผิว

    น้ำ...มาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ไปทางวัดอู่ทองท่ามกลางแสงจันทร์ที่สว่างข้าเห็นชัดมาก...ข้า

    เลยไปปลุกลุงบุญให้ลุกขึ้นมาดูกับข้า..ก็เห็นศีรษะคนผู้นั้นโล้นเหมือนพระและที่แน่ใจว่าเป็นพระก็เห็น

    จีวรกระทบแสงจันทร์และปลิวไหว ๆเมื่อลมพัด...ข้าเพ่งมองพระรูปนั้นที่เดินผ่านไปก็จึงรู้ว่าคือ "หลวง

    ปู่ศุข"..ข้ากับลุงบุญจึงคิดว่า หลวงปู่มาปรากฎให้เห็นเหมือนเตือนว่า"วันพระอย่างฆ่าสัตว์"

    ข้าก็เลยตกลงกับลุงบุญว่าจะไม่ตกปลาวันพระ.....ต่อมาข้ากับพี่ทิวได้ไปสอบถามเจ้าบุญนำกับ

    เจ้าสมพงษ์ที่อยู่กับหลวงปู่...ว่าเมื่อคืนหลวงปู่อยู่ที่ไหน...มันบอกว่าหลวงปู่ไปสวดมนต์ต่อหน้า

    หลวงพ่อธรรมจักรที่วัดธรรมามูล..และกลับมาเมื่อไรก็ไม่รู้.....ข้าจึงเชื่อว่าหลวงปู่เดินจากวัด

    ธรรมามูลกับวัดเมื่อตอนตีสี่.."

    ....................เมืองพยักหน้ารับรู้..ด้วยความทึ้งในอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"แสดงว่าหลวงปู่ศุข..ท่านเป็นพระที่สำเร็จทางอิทธิฤทธิ์เช่นนั้นหรือ"

    ............................"น่าจะเป็นอย่างงั้น...ถ้าอยากรู้เรื่องอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่..หลานชายต้อง

    ถามทิดด้วงดู...เพราะเขาบวชอยู่กับหลวงปู่...และรู้เห็นเรื่องราวที่เสด็จในกรมท่านมาพบหลวงปู่

    ที่วัด"ตาเข่งเอ่ยพร้อมกับหันไปทางทิดด้วง

    ............................"เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นหลวงปู่ท่านมีอยู่แล้ว..ไม่เช่นนั้นเสด็จในกรมคง

    ไม่มาฝากตัวเป็นศิษย์...แต่พวกลุงรู้ไหมว่ามูลเหตุที่แท้จริง..ที่เสด็จในกรมขึ้นมาพบหลวงปู่วัน

    นั้น...เกิดจากการที่หลวงปู่ต้องการช่วยเสด็จในกรมท่านต่างหาก...เจ้าบุญนำกับเจ้าสมพงษ์

    น่าจะรู้ดี..เพราะวันนั้นพวกมันเป็นคนไปตัดหัวปลีกล้วยมาเตรียมการณ์กองไว้ที่ลานวัด..เพื่อ

    ให้หลวงปู่เสกหัวปลีเป็นกระต่ายให้เสด็จในกรมดู.." ทิดด้วงอธิบายเปิดเรื่องราว
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ทิดด้วงเปิดเรื่องอย่างน่าสนใจ..เกี่ยวกับเรื่องที่หลวงปู่ช่วยเสด็จในกรมว่า

    เป็นเช่นใด..เมืองจึงเอ่ยถาม

    ............................"แล้วเรื่องราวเป็นเช่นไรหรือพี่ทิด"

    ............................"เรื่องมีอยู่ว่า..แต่เดิมตอนที่เสด็จในกรมท่านเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ...

    และทหารเรือของท่านพอขึ้นบกแล้วไปเมามีเรื่องกับ.....พวกมหาดเล็กของในหลวง(รัชกาลที่ 6)..

    แล้วพวกมหาดเล็กไปฟ้องพระองค์ท่านว่าถูกทหารเรือทำร้ายร่างกาย...และเกิดเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้ง..ทำ

    ให้ในหลวงท่านขุ่นในพระทัย...และมีฝ่ายที่ไม่ต้องการให้เสด็จในกรมเป็นใหญ่เป็นโตขึ้น...ได้พยายาม

    เพ็ดทูลว่าเสด็จในกรมท่านจะก่อกบฏและพยายามทูลชี้นำพระองค์ท่านให้ปลดเสด็จในกรม...แต่

    ในหลวงก็คิดว่า เสด็จในกรมเป็นพระเชษฐาและจงรักภักดี..ต้องไม่เป็นอย่างที่ผู้ที่มาทูลฟ้อง....ก็มีคน

    ที่เพียรพยายามจะให้เสด็จท่านออกนอกเมืองหลวง..จึงทูลให้มีรับสั่งให้เสด็จในกรมไปตรวจราชการยัง

    ต่างเมือง"

    ....................ทุกคนบนโต๊ะต่างไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นทิดด้วงเล่ามาก่อน..จึงตั้งหน้าตั้งตาฟัง

    อย่างสนใจโดยเฉพาะเมือง.....

    ....................ทิดด้วงเมื่อเห็นพรรคพวกรอฟังอยู่..จึงได้เล่าความต่อ

    ............................"ก่อนที่เสด็จในกรมจะผ่านมาที่หน้าวัดอู่ทองฯ..1 วัน ในตอนกลางคืน...

    หลวงปู่ศุขได้นิมิตฝันไปว่า..มีพญานาคว่ายทวนน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามา...บางที่พญานาคตนนั้นก็

    เปลี่ยนร่างเป็นมังกรจีนว่ายทวนน้ำมาจนถึงหน้าวัดอู่ทอง..และส่งเสียงร้องคำรามลั่นท้องน้ำ...หลวงปู่

    ท่านตื่นขึ้นมาและได้นั่งภาวนาตรวจด้วยญาณของท่านดู...ท่านก็พบว่า..พญานาคหรือมังกรตนนั้น

    คือ เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์...เพราะเสด็จท่านเกิดปีมะโรง...ท่านจึงตรวจดูว่า

    หากพญานาคหรือมังกรตนนั้น..ผ่านวัดโดยไม่หยุดจะต้องมีภัยอันตรายเกิดขึ้น....หลวงปู่จึง

    คิดว่าทำอย่างไรจึงจะหยุดพญานาคหรือมังกรตนนั้นได้....ก็เล็งเห็นว่า พญานาคและมังกร

    ชอบเรื่องไสยศาสตร์และอิทธิฤทธิ์..หากหลวงปู่กระทำฤทธิ์ให้เห็นพญานาคหรือมังกรตนนั้นก็

    จะหยุดอยู่กับหลวงปู่....จนเมื่อเห็นว่าพ้นภัยแล้ว..ก็จะให้เสด็จกลับไป"

    ............................"แล้วหลวงปู่ท่านบอกกับทิดด้วงว่าอย่างไร" เจ้าทิวถามบ้าง

    ............................"ในเช้าวันนั้น..หลวงปู่เรียกข้ากับเจ้าบุญนำและสมพงษ์ไปพบ...

    ท่านบอกว่า มังกรค้ำบัลลังก์..มังกรค้ำแผ่นดิน กำลังมีภัย..ข้าจะหยุดมังกรนี้ไว้ที่วัดนี้...แล้ว

    ท่านก็บอกว่าจะมีลูกท่านหลานเธอเจ้าใหญ่นายโตมาที่นี่...ให้เจ้าบุญนำและเจ้าสมพงษ์ไปตัด

    หัวปลีกล้วยมากองไว้ที่ลานวัดมาก ๆ..ข้าจะกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อหยุดท่านไว้"

    ....................ทิดด้วงเล่าจนรู้สึกกระหายน้ำจึงรินน้ำชาใส่ถ้วย..แล้วดื่มก่อนจะเล่าต่อไป

    ............................"พอใกล้เที่ยงขบวนเรือของเสด็จท่านผ่านมาที่หน้าวัด..พอผ่านไป

    เครื่องเรือก็ดับ...เรือจึงไหลแล่นกลับตามน้ำผ่านหน้าวัดไป...แล้วเครื่องเรือก็ติดก็ขับผ่านหน้า

    วัดไปอีก...พอผ่านพ้นเขตวัดก็ดับอีก...และเรือก็ไหลตามน้ำไป...เป็นอย่างนี้ถึง 3 เที่ยว...

    เสด็จท่านจึงคิดว่าน่าจะมีเหตุอะไร...จึงสั่งให้คนขับเรือหันเรือมาจอดที่วัด..และท่านก็เดิน

    สำรวจดูเป็นขณะเดียวกับที่..หลวงปู่เสกปลีกล้วยทั้งกองให้เป็นกระต่ายหลาย ๆตัว..ต่อหน้า

    เสด็จท่าน...ซึ่งในวันนั้นเจ้าบุญนำ เจ้าสมพงษ์ต่างก็วิ่งกันจับกระต่าย...พอจับกระต่ายได้ก็

    กลายมาเป็นปลีกล้วย

    เสด็จในกรมท่านชอบอิทธิฤทธิ์และไสยศาสตร์อยู่..จึงรู้สึกชอบใจ..และตรงเข้าไปหาหลวงปู่

    ศุข..แล้วก็พูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง...ท่านก็ตามหลวงปู่ไปที่กุฏิและอยู่กันสองต่อสอง....ข้า

    เชื่อว่า..น่าจะเป็นเรื่องที่หลวงปู่ได้บอกกับเสด็จท่านถึงภัยอันตราย...ที่เสด็จท่านจะเสด็จไป...

    และประกอบกับท่านสนใจวิชาไสยศาสตร์...เสด็จท่านจึงพักอยู่กับหลวงปู่เพื่อให้พ้นภัยและ

    เรียนวิชากัน....แต่เรื่องราวทั้งหมดถูกปกปิดเรื่องเสด็จท่านมีภัยเอาไว้...เพียงแต่บันทึกเรื่อง

    ที่เสด็จท่านมาเรียนวิชาเท่านั้น"

    ....................ทุกคนที่นั่งฟังทิดด้วงเล่าต่างก็ตาสว่าง..โดยเฉพาะเจ้าทิวได้เอ่ยขึ้น

    ............................"เพราะหลวงปู่ช่วยชีวิตเสด็จท่านไว้ด้วย..หลวงปู่จึงเป็นทั้งพระ

    อาจารย์และผู้ช่วยชีวิต...อย่างนี้นี่เองที่พระองค์ท่านถึงได้เคารพรักหลวงปู่ยิ่งนัก"

    ............................"ใช่" ทิดด้วงเอ่ยและเอ่ยต่อ "หลวงปู่ศุขท่านว่าเสด็จในกรมท่านจง

    รักภักดีต่อในหลวงและรักแผ่นดินสยามมาก...ท่านว่าเราต้องเสียดินแดนให้ชาติตะวันตกไป

    เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย..โดยถูกข่มเหงรังแก...ท่านอยากที่จะรบเอาแผ่นดินที่เสียไปคืนเสีย

    ด้วยซ้ำ"

    .....................เมืองนั่งฟังและคิดพิจารณาถึงญาณที่หลวงปู่หยั่งรู้ถึงเสด็จในกรม..เขาจึงคิดเขา

    มาหาตัวว่า.."แล้วหลวงปู่ศุขจะไม่รู้หรือว่าเขาคือใครมาจากไหน"...และวิธีที่นำปัญหามาให้เขา

    แก้...หลวงปู่อาจเล็งเห็นว่า..มันคือ วิธีการหยุดเขาไว้ที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า....เพื่อ

    ประสงค์อะไรบางอย่าง.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2012
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองได้นั่งอยู่กับ ตาเข่ง ลุงบุญ ทิดด้วง ทิว และเจ้าแต้มอยู่พักหนึ่ง...ก็ได้

    สอบถามชื่อเสียงของกันและกันจนเป็นที่รู้จัก..เมืองเริ่มมีความอบอุ่นเมื่อได้ใกล้ชิดกับชาวบ้านที่มีแต่

    ความจริงใจตามประสาชาวบ้านที่ไม่แตกต่างจากเมืองน่านนัก..เขาบอกกับพวกสหายใหม่ว่า..เขาเดิน

    ทางมากจากเมืองน่าน..แต่ไม่ได้บอกว่าที่ต้องจากเมืองน่านมาเพราะเหตุใด....เมืองได้ให้เจ้าแต้มเล่า

    ถึงลักษณะของบุญนำและสมพงษ์ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่..ก็ให้แน่ชัดว่าคือ เด็กน้อยทั้งสองคนที่

    ตะโกนไปยังแม่น้ำทั้งสองสายที่..เขาพบเห็นตอนขึ้นจากแพ..และยังพบเห็นเด็กทั้งสองปินไปบนต้นไม้

    สูงและตะโกนออกมา......

    ....................เมืองจูงม้ากลับจากร้านแป๊ะเส็งมุ่งหน้ามาที่แพของตน..พลางคิดถึงหลวงปู่ศุขที่มี

    ญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ..และมาคิดถึงคำปริศนาที่ว่า "แม่น้ำ ถ้าเจ้าไม่หยุดไหล เจ้าจะไม่พบ

    ทาง"...."แม่น้ำ"..คำ ๆนี้หมายถึงใครหรืออะไร..และเขาก็ได้ย้อนรำลึกถึง..คำบอกเล่าของ

    ตะละแม่ราชาวดีหรือสายฝนแม่ของเขาที่เล่าเรื่องราวให้เขาฟังตอนเขาเกิดมา...ในขณะที่เขาควบม้า

    ฝ่าวงล้อมทหารของขุนนางพม่า...ช่วยตะละแม่โดยยิงธนูเข้าใส่ทหารของขุนนางพม่าที่ส่งกำลังมาตี

    หมู่บ้านและปราสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวิน...และพานางหนีจนรอดพ้นอันตราย...ตะละแม่เคยบอก

    ว่า.."เหตุการณ์ตอนลูกของนางคือเมืองเกิดมาได้ร้องไห้ไม่หยุด...จนนางและขุนทัพได้พาขึ้นเรือข้าม

    แม่น้ำน่านเพื่อไปยังฝั่งตะวันตก...และนางได้วั๊กน้ำในแม่น้ำน่านให้ลูกของนางดื่ม..เด็กน้อยหยุด

    ร้องไห้..และได้เกิดคลื่นใหญ่โคลงเรือจนทำให้ลูกของนางตกลงไปในน้ำ...แต่เด็กได้ลอยอยู่เหนือผิว

    น้ำ...และมีน้ำวนเป็นเกลียวหมุนรอบไม่ให้สัตว์ร้ายใต้น้ำทำอันตรายลูกของนาง....และลูกของนางไม่

    ลอยน้ำไปไหน...นางและขุนทัพได้พยายามพายเรือเข้าไปในวงเกลียวของน้ำ...แต่ไม่อาจเข้าไปในวง

    ล้อมน้ำนั้นได้...นางจึงได้อธิษฐานว่า..นางรู้ว่าแม่น้ำน่านกำลังโอบอุ้มลูกของแม่น้ำน่านอยู่..

    และแม่น้ำน่านได้ให้น้ำนมแก่ลูกของแม่แล้ว..ขอนางได้เป็นแม่ของเขาให้เขาดูดดื่มน้ำนมจากนางเช่น

    เดียวกับแม่น้ำน่านด้วยเถิด..ขอแม่น้ำน่านจงส่งมอบทารกน้อยแก่นาง...เมือเขาเติบใหญ่ข้าจะบอกแก่

    เขาว่า แม่น้ำน่าน คือ แม่ผู้ให้ชีวิตแก่เขา"

    .....................เมืองคิดถึงเหตุการณ์นี้..เขาก็รู้สึกว่า..หลวงปู่อาจจะหยั่งรู้เรื่องราวในอดีตของเขา

    ว่า "เขาคือลูกแม่น้ำน่าน"...การที่แม่น้ำน่านไหลร่วมกับแม่น้ำ ปิง วัง ยม..และเป็นลำน้ำเจ้า

    พระยา..แม้จะไหลเข้าปากคลองเปลี่ยนชื่อเป็น"แม่น้ำท่าจีน"....แม่น้ำน่านก็จะร่วมอยู่กับแม่

    น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนตลอดไป...การที่หลวงปู่ศุขพูดถึงแม่น้ำนี้น่าจะหมายถึง"แม่น้ำ

    น่าน"..แม่ของเขา..ซึ่งการบอกกล่าวกับแม่เสมือนเป็นสื่อให้ถึงลูก....ดังนั้นปริศนาที่ว่า "แม่

    น้ำ ถ้าเจ้าไม่หยุดไหล เจ้าจะไม่พบทาง"......ก็คือคำที่หลวงปู่บอกแก่เขาโดยตรงว่า "หาก

    เจ้าไม่หยุดเดินทาง...เจ้าจะไม่พบทาง"นั่นเอง....

    .....................เมืองเริ่มคิดว่า"หลวงปู่จะบอกทางอะไรแก่เขา"...เขาจึงรีบกลับมาที่แพ..

    และนั่งขบคิดพิจารณาอย่างสงบ..เพื่อรอให้ถึงเช้า..เขาจะดูว่าหลวงปู่ศุขรูปร่างลักษณะอย่าง

    ไรในตอนที่ท่านออกมาบิณฑบาตรโปรดสัตว์...ตามที่สหายใหม่ของเขาบอกกล่าว.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2267.JPG
      IMG_2267.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      43
    • IMG_1387.JPG
      IMG_1387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      42
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2012
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....ตอนที่ 94 ความคิดถึง เสียงขลุ่ย ดวงดาวแห่งความรัก....


    .....................ดึกสงัดบนแพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำข้างริมตลิ่ง...เมืองได้นั่งมองดูท้องฟ้าไปทาง

    ทิศตะวันตก..ที่ดวงจันทร์เสี้ยวกำลังลอยเด่นอยู่ข้างดาวประจำเมืองดวงหนึ่ง..มันคือดาวศุกร์...

    โบราณกล่าวว่า"หากเห็นดาวเคียงเดือนเมื่อไร..คืนนั้นจะมีชายหนุ่มและหญิงสาวพลอดรักกันและอาจ

    พากันหนีตามกัน".....ซึ่งก็มีเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งเคยแต่งเอาไว้และนำประโยคของดาวเคียงเดือนมา

    ขึ้นร้องจำได้ท่อนหนึ่งว่า "เห็นดาวเคียงเดือน...ฉันเตือนความจำ...โอ้ใจชอกช้ำน้ำตามันตกใน...

    ฯลฯ"...

    ....................ในตอนนี้ผู้เขียนจะถ่ายทอดให้เห็นในช่วงเวลาเดียวกันทั้ง 3 เมือง คือ ชัยนาท น่าน

    และสุราษฎร์ธานี..ว่ามีเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นพร้อมกัน....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2012
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองสุราษฎร์ธานีนั้นได้เขียนมาไกลถึงปี พ.ศ.2464 เป็นขณะที่โนรีมีอายุ

    เข้า 16 ปีเศษ..........ก็ขอย้อนกลับไปตอนที่นางมีอายุ 14 ปีเศษในปี พ.ศ.2462...ให้เป็น

    คืนเดียวกันกับวันทีเมือง มีสุขอยู่ที่เมืองชัยนาทริมแม่น้ำเจ้าพระยาและท่าจีนหน้าวัดอู่ทองคลองมะขาม

    เฒ่าในปี พ.ศ.2462...และก็ต้องเป็นคืนเดียวกับที่เมืองน่านที่เมือง มีสุขจากมาเมื่อปลายฤดูหนาวปี

    พ.ศ.2461 และเวลาได้ผ่านจนถึงปี พ.ศ.2462

    ....................สำหรับโนรีนั้นในปี พ.ศ.2462 นางมีอายุ 14 ปีเศษ แต่สายพิณนางมีอายุ

    16 ปีเศษ...ซึ่งโนรีนั้นจะอ่อนกว่าสายพิณ..และนิสัยต่างกันจนสิ้นเชิง..โนรีนั้นแม้ว่านางจะมี

    อายุอ่อนกว่าแต่ความคิดความอ่านของนางกลับเป็นผู้ใหญ่กว่าอาจจะเป็นเพราะอยู่ในฐานะพี่

    สาวของน้องส่วนหนึ่ง....แต่สายพิณนั้นแม้อายุจะแก่กว่า..แต่เพราะนางอยู่ในฐานะน้องเล็ก

    ของบ้าน..ความเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจตนเองจึงปรากฎอยู่.....

    ....................คืนนี้ที่เมืองสุราษฎร์ธานีบริเวณชานเมืองใกล้วัดโนรีนราราม..โนรีเด็กสาวได้

    ออกมานั่งมองดวงจันทร์เสี้ยวที่....ปรากฎเคียงคู่กับดาวศุกร์อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือเล็ก

    น้อย...นางรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาอย่างจับใจ...นางคิดถึงความรักที่พ่อเฒ่ามูซาของนางสั่งไว้ว่าขณะที่นาง

    เป่าขลุ่ยฟ้าผ่าอันเป็นเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำนั้น..นางจะต้องไม่มีความทรงจำและความรักเกิดขึ้น

    อย่างเด็ดขาด....

    ....................แต่คืนนี้ดาวศุกร์ที่ปรากฎขึ้นช่างส่องแสงสว่างอย่างเด่นชัด..ดาวศุกร์นั้นคือ

    "ดวงดาวแห่งความรัก"..ที่เมื่อปรากฎความสว่างขึ้นเมื่อไร..ย่อมกระตุกความรักของชาย

    หญิง..ให้โหยหาคิดถึงกันอย่างจับใจ...และยิ่งเป็นดาวศุกร์ที่เคียงข้างกับดวงจันทร์อันเป็น

    สัญญลักษณ์ของผู้หญิง...ซึ่งไม่ได้มีความหมายเฉพาะเกี่ยวกับผู้หญิงจันทร์เพ็ญตอนพระ

    จันทร์เต็มดวงเท่านั้น...ปรากฏการณ์ซึมซาบในความรักที่อยู่ในจิตใจของหญิง..จะสว่างไสว

    เหมือนกับดาวศุกร์.....

    .....................โนรีหยิบขลุ่ยฟ้าผ่าขึ้นมาเป่าให้ล่องลอยไปพร้อมกับอารมณ์ของนางขณะ

    นั้น..เสียงขลุ่ยของนางให้ความหมายได้ว่า



    ................."ดุจดังสายน้ำไหล...ลมพัดพาเจ้าไป...ไม่หวลคืน...หลับฤาตื่นยังคิดถึงอยู่..

    ไม่รู้คลาย...ฝากสายลมไปดูแลเจ้า...เหงาหรือไร...ใยไม่กลับมา...ที่รักจ๋า..ข้ารอคอย......"



    .....................เสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าในขณะนั้น..จะเป็นความอัศจรรย์ใดทำให้เกิด...สายลม

    ได้พัดพาเสียงขลุ่ยอันเยือกเย็นไพเราะจับใจล่องลอยไปไกล..ถึงเมือง มีสุข...ที่นั่งอยู่บนแพ

    นั่งมองดวงจันทร์และดาวศุกร์อยู่..และยังล่องลอยไปไกลถึงสายพิณที่อยู่เมืองน่าน...ซึ่งนาง

    ก็กำลังจ้องมองดูดวงจันทร์และดาวศุกร์อยู่เช่นกันพร้อมกับรำลึกถึงเมือง มีสุขอยู่ไม่รู้

    คลาย.......แม้แต่หลวงปู่ศุขยังได้ยินเสียงแผ่วแว่วมาของเสียงขลุ่ยจากเมืองสุราษฎร์นั้น...

    ....................เมืองเงี่ยหูฟังเสียงเพลงขลุ่ยอันไพเราะแผ่วแว่วมา..เขารู้สึกสั่นสะท้านเข้า

    ไปในหัวใจ.."ใครหนอช่างเป่าขลุ่ยได้ไพเราะเหลือเกิน".........เมืองพยายามจดจำเสียงขลุ่ย

    นั้น...ลักษณะของมันเป็นเสียงประสานที่เหมือนขลุ่ยถูกเป่าออกมาหลายเลา...เขารู้สึกเหมือน

    หัวใจล่องลอยอยากจะตามเสียงขลุ่ยนี้ไป..ให้รู้ว่าผู้ใดคือผู้เป่า......และรู้สึกคิดถึง"คนเป่า

    ขลุ่ยอย่างจับใจโดยไม่รู้สาเหตุ"..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ฝ่ายสายพิณนั้นนางนั้นได้เอาลูกธนูดอกกุหลาบแห่งคำมั่นสัญญาขึ้นมาถือดู

    ไว้...พร้อมกับมองดูฟากฟ้าไปทางทิศตะวันตก..นางได้เห็นดวงจันทร์เสี้ยวอันสวยงาม..ประกบคู่เคียง

    ข้างอยู่กับดาวศุกร์...และเสียงขลุ่ยจากแดนไกลที่ล่องลอยมาไกลข้ามป่าเขาลำเนาไพร..สาย

    น้ำ..สายลม..จากเมืองสุราษฎร์จนมาถึงเมืองน่าน...ค่ำคืนนี้ช่างสะเทือนใจนัก...น้ำตาของ

    สาวน้อยไหลอาบแก้ม..เหมือนกับความหมายของบทเพลงขลุ่ยได้เจาะลึกเข้าไปกระแทก

    หัวใจของนาง...มันเป็นดุจคำพูดของนางที่อยากส่งใจไปให้ถึงเมือง มีสุข...แต่นางหารู้ไม่ว่า

    เสียงเพลงขลุ่ยนี้ เมือง มีสุข..ก็ได้ยินอยู่เช่นกัน...ดุจสายน้ำไหล..ลมพัดพาเจ้าไป...ไม่หวล

    คืน..หลับฤาตื่นยังคิดถึงอยู่..ไม่รู้คลาย...ฝากสายลมไป..ดูแลเจ้า...เหงาหรือไร..ใยไม่กลับ

    มา...ที่รักจ๋า..ข้ารอคอย....

    ....................สภาพของนางที่เป็นอยู่พร้อมกับเสียงขลุ่ยนี้..แม้สายพิณจะดูแย่..แต่ก็ทำให้สาย

    พิณจดจำเสียงขลุ่ย...ด้วยเสียงขลุ่ยนี้..ฟังแล้วไพเราะจับใจและแตกต่างจากขลุ่ยทั่วไปที่เป็นเสียง

    ประสานของเสียงขลุ่ยหลายเลา....

    ....................สายพิณรำพึงรำพันอยู่ในใจของนาง"เมืองเจ้ากำลังทำอะไรอยู่..เจ้าอยู่ที่ไหน...ข้า

    คิดถึงเจ้าเหลือเกิน...คิดถึงเจ้าอย่างจับใจ...ข้าอยากตามหาเจ้า...โปรดรีบกลับมาเถิดเมือง...หรือเจ้า

    ลืมคำมั่นสัญญาที่เจ้าให้ไว้แก่ข้าแล้วหรือ"

    ....................ในช่วงแห่งอารมณ์ของความคิดถึงโดยผ่านสื่อแห่ง..."ดวงดาวแห่งความรัก"...

    ช่างสะกดให้ความคิดถึงกันส่งถึงกันได้อย่างฉับไว...และในห้วงแห่งเสียงขลุ่ยที่ยังผิวแผ่วอยู่

    อย่างต่อเนื่อง..เมืองก็ได้รำลึกถึงสายพิณขึ้นมา..เขายกขวดเหล้าขึ้นดื่มทันที.....ก็เหล้าขวด

    นี้ข้ากับเจ้าได้เคยสัมผัสรสและสนุกสนานด้วยกัน....แต่ก็ไม่วายที่เมืองก็ส่งใจของเขาไปถึง

    ซึ่งคนเป่าขลุ่ยที่ไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชาย..อยู่ไกลหรือใกล้.....

    ....................และในขณะที่โนรีเป่าขลุ่ยแว๊บหนึ่งแห่งความคิด."นางก็ได้เห็นภาพของชาย

    คนหนึ่งในมโนสำนึก..ที่ผมยาวหนวดเครารุงรัง..แต่มีดวงตาที่สวยงามมาก"...โดยที่นางก็

    ไม่รู้ว่าเป็นใครและมาให้นางนึกถึงได้อย่างไร...

    .....................กล่าวถึงหลวงปู่ศุขที่นั่งฟังเพลงขลุ่ยจากแดนไกลอยู่ก็ได้รู้ถึงเพลงขลุ่ยนั้น

    ใครคือผู้เป่า...หลวงปู่ศุขได้แย้มยิ้มและรำพึงรำพันขึ้นเบา ๆว่า

    ..........................."ผู้หญิงจันทร์เพ็ญหรือ...อีกไม่นานหรอกข้าจะส่งคู่ปรปักษ์ไปหา

    เจ้า....."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2012
  13. phasusorn

    phasusorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +133
    โมทนาบุญด้วยครับ ทำให้มีความสว่างในทางธรรมมากเลยครับ การที่เราบูชา พุทธบูชา แม้แต่สังขารเราก็สามารถถวายเป็นพุทธบูชาได้ สาธุ ทสาธุ สาธุ
     
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......."ขอให้ศรัทธาบารมีของท่านเจริญสูงยิ่ง ๆขึ้นไปนะ

    ครับ"....และเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปในธรรม..มีความสุขตลอดชีวิต..

    พร้อมกับพบกับสิ่งที่ดีงามตราบเท้าเข้าสู่จุดสูงสุดที่ท่าน

    ปรารถนาด้วยครับ....สาธุ.....
     
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............ตอนที่ 95 ตอบโต้หลวงปู่ศุขด้วยปัญญา...........


    .....................รุ่งเช้าเมืองยืนสังเกตการณ์อยู่ในแพ..เขาสามารถมองไปที่บนทางริมตลิ่งที่

    พระภิกษุออกบิณฑบาตรตามด้วยลูกศิษย์วัด......เมืองเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่เดินนำหน้าทอดสายตา

    ลงเบื้องต่ำด้านหน้าพอประมาณ..เป็นพระภิกษุที่ชราผอมสูงแต่ใบหน้าเปล่งเปลั่งไปด้วยรัศมี...ฉาย

    แววแห่งความเมตตา...และตามด้วยพระอีก 2 รูป..สุดท้ายคือเจ้าเด็กน้อยทั้งสองคนนั้น...เมืองเข้าใจ

    ได้ทันทีว่าพระภิกษุรูปหน้า คือ "หลวงปู่ศุข"..เขามองหลวงปู่ศุขด้วยความศรัทธาอยู่ในใจ...

    ส่วนหลวงปู่ศุขนั้นเวลาที่ท่านเดินออกบิณฑบาตรท่านจะแผ่เมตตาภาวนาอยู่ตลอดที่ท่านเดิน

    โปรดสัตว์...

    ....................เมืองมองดูหลวงปู๋ศุขเดินไปจนลับตา..เขาจึงได้เดินเข้าไปสำรวจภายในวัดอู่ทอง

    คลองมะขามเฒ่าในขณะที่ไม่มีคนอยู่......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2012
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองเดินสำรวจวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า..ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีสภาพพื้นที่เป็น

    ป่าไม้อยู่มาก...เขาสังเกตเห็นกุฏิแต่ละหลังที่พระภิกษุภายในวัดอยู่อาศัยจะมีลักษณะเป็นเรือนทรง

    สูง...แสดงให้เห็นว่ายามฤดูน้ำหลากมา..วัดแห่งนี้จะต้องถูกน้ำท่วมทุกปี..กุฏจึงมีสภาพนี้..ประกอบกับ

    เขาเห็นเรือไม้ที่จอดสงบนิ่งอยู่บนบกใต้ถุนกุฏิแต่ละหลังจึงแน่ใจว่าน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาหรือแม่น้ำท่า

    จีนจะต้องเอ่อล้นและท่วมวัดอย่างแน่นอน

    ....................เมืองเดินออกจากวัดและสังเกตไปทางหมู่บ้านต่าง ๆ..โดยคิดว่า"อาจเป็นคนใน

    หมู่บ้านแห่งนี้ที่เป่าขลุ่ยอันไพเราะจับใจเมื่อคืนนี้"...ปกติเมือง มีสุขยามที่อยู่เมืองน่านไม่เคย

    รู้สึกสัมผัสถึงและเข้าใจในเสียงดนตรีเลย...เมืองชัยนาทแห่งนี้ทำให้เขารู้สึกชอบใจในเสียง

    ดนตรีเป็นครั้งแรก..โดยเฉพาะเสียงขลุ่ยเมื่อคืนนี้..

    .....................เขาเดินลัดเลาะมาทางใต้วัดที่ริมน้ำก็เห็นเพิงพักพร้อมกับเห็นลุงบุญและเจ้าแต้มนั่ง

    เฝ้าเบ็ดอยู่..เมืองรู้สึกดีใจและตรงเข้าไปหา

    .....................ลุงบุญเห็นเจ้าหนุ่มผมยาวที่คุยกันเมื่อวานนี้กำลังเดินมาทางตนกับเจ้าแต้มจึงได้

    เอ่ยทักขึ้น

    ............................"เมื่อคืนนี้..เจ้านอนหลับสบายดีหรือเจ้าหลานชาย"

    ............................"เป็นคืนแรกที่เมืองชัยนาท..ที่ข้าหลับอย่างเป็นสุขทีเดียวลุง"

    ............................"เจ้าคงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหลายเพลา..จึงอ่อนเพลียและหลับอย่างง่าย

    ดายสินะ"

    ....................เมืองยิ้มพร้อมก้บส่ายหน้าและเอ่ยตอบ

    ............................"ไม่ใช่หรอกลุง..แต่เป็นเสียงขลุ่ยเมื่อคืนนี้ต่างหากที่ไม่รู้ว่าใครคือผู้

    เป่า..เป่าได้ไพเราะจับใจข้าดีเหลือเกิน"

    ............................"....เสียงขลุ่ย..." ลุงบุญอุทานขึ้นเบา ๆพร้อมกับมองหน้าเจ้าแต้ม...

    ทำให้เจ้าแต้มหันไปพูดกับเมืองบ้าง

    ............................"เสียงขลุ่ยอะไรหรือพี่ชาย..ข้าไม่เห็นได้ยิน"

    ....................เมืองทำท่าฉงน...แล้วเอ่ยถาม

    ............................"เมื่อคืนน้องชายกับลุงบุญ..ไม่ได้นอนที่เพิงพักนี้หรือ"

    ............................"ข้านอนกับลุงบุญและผลัดกันกู้เบ็ดทั้งคืน..ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงขลุ่ย

    ที่ว่าเลย"

    ....................เมืองเริ่มแปลกใจยิ่งขึ้น..เมื่อได้รับการยืนยันจากเจ้าแต้ม......พร้อมกับลุง

    บุญก็ไม่เคยคัดค้านคำพูดของเจ้าแต้ม...แสดงว่าเมื่อคืนนี้..ขลุ่ยที่ดังแว่วแผ่วมาให้เขาได้

    ยิน...คนที่อยู่ห่างจากเขาไม่กี่ร้อยเมตรเช่นลุงบุญกับเจ้าแต้มกลับไม่ได้ยินเสียงขลุ่ยหรือนี่....

    เมืองแน่ใจว่าหูเขาไม่ได้แว่วไปแน่นอน..เมืองจึงพยายามถามเอาความเป็นไปได้..เพื่อวินิจฉัย

    ให้เข้ากับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้...

    ............................"แล้วคนละแวกนี้..มีใครเป่าขลุ่ยเป็น..หรือเป็นครูสอนเป่าขลุ่ยบ้าง"

    ............................"ไม่มีหรอกหลานชาย...คนแถวนี้มีแต่ทำมาหากินกัน..ไม่ค่อยจะมี

    ใครจะสนดนตรีหรอก"

    ....................เมืองพยักหน้ารับรู้..แต่ในใจเริ่มสงสัย...พลางเหลือบไปมองทางโค้งน้ำด้าน

    ทิศใต้..ก็เห็นเขาลูกหนึ่ง...จึงเอ่ยถาม

    ............................."ลุงเขาลูกนั้น..คือเขาอะไร"

    ............................."เขาธรรมามูล..อันเป็นที่ตั้งของวัดธรรมามูลที่หลวงพ่อธรรมจักร

    ประดิษฐานอยู่...เป็นวัดที่หลวงปู่ศุขเดินกลับมาบนผิวน้ำตอนตีสี่ที่ลุงกับเจ้าแต้มเห็นกันสอง

    คนนั่นแหละ"

    .............................."หลวงพ่อธรรมจักร..วัดธรรมามูล" เมืองทวนคำแล้วรู้สึกสนใจ...

    จึงเอ่ยถามต่อ

    .............................."หลวงพ่อธรรมจักรมีประวัติเป็นมาอย่างไรหรือลุง..และลุงกับเจ้า

    แต้มพายเรือพาข้าไปที่นั้นได้ไหม...ข้าอยากไปดู"

    .............................."หลวงพ่อธรรมจักรเป็นพระพุทธรูปไม้ยืนยกพระหัตถ์ขวาขึ้นเสมอ

    อุระและมีธรรมจักรติดอยู่ที่มือ...ท่านลอยน้ำมาตามลำน้ำเจ้าพระยานี่แหละ...แต่พอถึงหน้า

    วัดธรรมามูลกลับลอยวนอยู่ที่หน้าวัด..ชาวบ้านเลยไปฉุดลากท่านแล้วผูกไว้ที่ริมน้ำท่าวัด..กะ

    ว่าวันรุ่งขึ้นจะเกณฑ์คนแบกท่านขึ้นไว้บนไหล่เขา....แต่พอเช้าขึ้นมาคนไปดูที่ริมน้ำกลับไม่มี

    องค์ท่าน..พอชาวบ้านขึ้นมาที่ไหล่เขากลับพบหลวงพ่อธรรมจักรมาอยู่บนไหล่เขาแล้วโดยไม่

    รู้สาเหตุว่ามาได้อย่างไร.....แต่ท่านอยู่บนไหล่เขาได้ไม่กี่วันก็หายไป...และไม่กี่วันก็กลับมา

    อยู่ที่เดิมอีกพร้อมกับมีเศษจอกแหนติดอยู่ตามตัว....ช่าวบ้านจึงเชื่อว่าท่านหนีไปเที่ยวได้จึง

    เอาโซ่มาผูกล่ามท่านไว้ไม่ให้หนีจากไป.....ต่อมามีชายหนุ่มคนหนึ่งล่องแพมาบอกว่า

    มาตามหาพระ...และได้มาพบหลวงพ่อธรรมจักรก็จะเอากลับวัดเดิม...ชายผู้นั้นหลับนอนอยู่

    ที่วัดธรรมามูลกลางคืนเขาฝันไปว่า..หลวงพ่อธรรมจักรไม่อยากกลับวัดเดิม....รุ่งขึ้นเช้าชาย

    หนุ่มคนนั้นจึงได้ทำพิธีถอดเอาจักรที่ฝ่ามือของหลวงพ่อไป...และเอาโซ่ที่ล่ามออก...นับแต่

    ไม่มีจักรหลวงพ่อธรรมจักรก็ไม่หนีไปไหน...ชาวบ้านเห็นว่าหลวงพ่อควรมีจักรไว้ที่ฝ่ามือตาม

    เดิม..จึงสร้างจักรแกะไว้ที่ฝ่ามือของหลวงพ่อธรรมจักรไว้"

    ....................ลุงบุญเล่าเรื่องทำให้เมืองอยากเห็นหลวงพ่อธรรมจักรมากขึ้น..แต่นึกถึง

    บางเรื่องที่อยากรู้จึงเอ่ยถาม

    ..........................."แล้วหลวงพ่อธรรมจักรกับหลวงปู่ศุขท่านมีความสัมพันธ์กันอย่าง

    ไร...หลวงปู่ศุขจึงไปสวดมนต์ต่อหน้าท่านในวันพระ"

    ..........................."หลวงปู่ศุขท่านเคารพนับถือหลวงพ่อธรรมจักรมาก..ท่านบอกว่า

    หลวงพ่อองค์นี้มีเทวดาผู้มีบารมีมากปกปักษ์ดูแลรักษาอยู่..เป็นเทวดาที่ให้คุณแก่ผู้ทำความ

    ดี..ท่านไปขอพรจากองค์พระและเทวดาให้ชาวชัยนาทอยู่ร่มเย็นเป็นสุข"...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2012
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองนัดแนะกับลุงบุญและเจ้าแต้ม..เพื่อให้ทั้งสองนำเรือที่จอดอยู่ใกล้กับราว

    เบ็ดที่วางไว้..พาตนมุ่งหน้าไปเขาธรรมามูลที่อยู่ด้านทิศใต้..แต่ก่อนที่จะไปเมืองจะต้องทำการ

    บางอย่างก่อน...โดยเขาบอกว่าจะรอบุญนำกับสมพงษ์กลับจากบิณฑบาตรเพื่อมอบของ

    บางอย่างให้แก่ทั้งสอง....

    .....................เวลาผ่านไปราวสองโมงเช้า..หลวงปู่ศุขพร้อมพระที่บิณฑบาตรกับมาวัดพร้อมกับ

    เด็กทั้งสอง...สมพงษ์และบุญนำจัดอาหารบิณฑบาตรถวายหลวงปู่ศุขและพระเพื่อขบฉัน...และทั้ง

    สองก็ได้เดินลงมาที่ริมแม่น้ำ...

    .....................เมืองนั่งอยู่ที่แพรอสังเกตการณ์อยู่จึงได้เรียกเด็กทั้งสองเข้าไปหา..เมื่อบุญนำและ

    สมพงษ์มาถึงที่แพ...เมืองได้นำถ้วยชาหรือแก้วชาที่ตนขอซื้อมาจากแป๊ะเส็งจำนวน 2 ใบ...แล้วเขา

    เดินไปที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาโดยให้เด็กทั้งสองตามไป..จากนั้นเมืองได้ตักน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาใส่

    ถ้วยชาใบนั้น..และส่งมอบให้บุญนำ....ต่อมาเมืองก็ขยับเดินไปที่ริมแม่น้ำท่าจีน....แล้วก็ตัก

    น้ำในแม่น้ำท่าจีนใส่ถ้วยชาอีกใบหนึ่ง..และส่งมอบให้แก่สมพงษ์...

    .....................เมืองเอ่ยแก่เด็กทั้งสองว่า

    ............................"แม่น้ำเจ้าพระยา..และแม่น้ำท่าจีนหยุดไหลอยู่ในแก้วแล้ว...ก็ยังไม่

    พบทาง"

    .....................โดยที่เมืองกล่าวเพียงแค่นั้นและไม่ได้บอกอะไรเพิ่มอีก..ซึ่งบุญนำและสมพงษ์

    ย่อมรู้ว่านี่คือ "การแก้ปริศนาของเมืองที่มอบให้แก่หลวงปู่ศุข".....เด็กน้อยทั้งสองเดินประคอง

    ถ้วยใส่แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน.......และนำไปถวายหลวงปู่ศุขขณะที่หลวงปู่ฉันอาหารเสร็จ

    และสวดให้พรเสร็จสิ้นแล้ว...ในขณะที่ถวายถ้วยชาทั้งสองใบให้หลวงปู่ศุข...เด็กทั้งสองก็พูดคำ

    ของเมืองที่บอกไว้ให้หลวงปู่ฟัง

    ............................"แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนหยุดไหลอยู่ในแก้วแล้ว.....ก็ยังไม่

    พบทาง"

    .....................หลวงปู่ศุขรับถ้วยชาทั้งสองใบพร้อมกับฟังเด็กทั้งสองพูด..ก็แย้มยิ้มเล็ก

    น้อย...พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"คนมีปัญญา..ย่อมไม่หยุดนิ่งในการใช้ปัญญา..และสามารถขบคิด

    ได้เสมอ"

    ......................บุญนำและสมพงษ์ได้ฟังเหมือนกับ..เป็นคำสอนของหลวงปู่ศุขที่ถ่ายทอด

    พฤติกรรมของเมืองและให้เป็นคติแก่ตน..เขาจึงฟังและขบคิดอย่างตั้งใจ...พลางบุญนำเอ่ย

    ถามหลวงปู่ศุข..

    ............................"หลวงปู่คำพูดของเขาหมายความว่าอย่างไรหรือครับ"

    ......................หลวงปู่ศุขมองหน้าลูกศิษย์ทั้งสองแล้วเอ่ยตอบ

    ............................"เขาเพียงแต่ทำให้แม่น้ำทั้งสองสายหยุดไหลบางส่วน..ในแก้วนี้...

    เพราะปัญหาที่เจ้าบอกไป...ไม่ได้บอกให้แม่น้ำทั้งสองสายหยุดไหลไปเลย...เขาคิดได้เขาจึง

    แก้ปัญหาออก..และต้องการให้ข้าบอกทางแก่เขา..พรุ่งนี้ข้าจะให้เขาเลือกทาง".........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2012
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองเดินย้อนกลับมาที่ลุงบุญและเจ้าแต้มหลังจากที่นำถ้วย 2 ใบใส่แม่นำ

    เจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนให้บุญนำกับสมพงษ์แล้ว..

    .....................เจ้าแต้มนั่งอยู่หน้า เมืองนั่งอยู่กลาง และลุงบุญคัดท้ายเรืออยู่หลัง..ทั้งสามคนต่าง

    ก็มีพายคนละเล่ม...โดยเมืองได้นำพายของตนมาจากแพด้วย..

    .....................เรือวิ่งล่องตามกระแสน้ำอย่างเร็ว..ด้วยแรงน้ำที่ดันส่ง..มุ่งหน้าไปเขาธรรมามูล..

    ระหว่างทางเขามองชมทิวทัศน์ตลอดที่ผ่านมา..เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก..วันนี้เป็นวันที่สอง..ที่เขาอยู่ใน

    เขตเมืองชัยนาท..เมืองชื่นชมว่าเมืองชัยนาทเป็นเมืองที่น่าอยู่..จนถึงริมน้ำหน้าวัด....

    .....................เจ้าแต้มและลุงบุญเดินนำหน้าเมืองขึ้นไปบนไหล่เขา....ไปยังที่วิหารประดิษฐาน

    หลวงพ่อธรรมจักร......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12102008361.jpg
      12102008361.jpg
      ขนาดไฟล์:
      472.9 KB
      เปิดดู:
      43
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2012
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ทันทีที่เมืองเห็นหลวงพ่อธรรมจักรพระพุทธรูปที่ถูกทาด้วยสีทองสว่างสด

    ใส..มีดวงเนตรจ้องมองลาดลงกระทบกับสายตาของเขา..........หลวงพ่อธรรมจักรเป็นพระพุทธ

    รูปยืนที่งามอ่อนช้อย.....และดูท่านมีเมตตาอ่อนโยนและเยือกเย็นมาก...เรียกว่าถ้าผู้ใดมีความโกรธ

    หรือเรื่องไม่สบายใจ...เมื่อมาปรากฎต่อหน้าองค์หลวงพ่อธรรมจักร..ความกลุ้มใจไม่สบายใจแทบหาย

    เป็นปลิดทิ้ง....เมืองถึงกับคุกเข่าลงด้วยความศรัทธาดุจดังหลวงพ่อธรรมจักรนั้นมีชีวิตและกำลังเป็นที่

    พึ่งแกเขา..ที่พลัดบ้านพลัดเมืองมาด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแก่เขาเลย...ชีวิตของเขาควรจะได้อยู่

    บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่คนเมืองน่านฝั่งตะวันออก..ดังที่เคยทำมา....แต่ชีวิตไม่อาจกลับไปเป็นเช่นนั้น

    อีก..เขามืดมนในยามนี้...เมืองก้มลงกราบหลวงพ่อธรรมจักร..พลางอธิษฐานขอให้เขาได้กลับ

    เมืองน่านที่จากมา...เขานั่งสงบนิ่งต่อหน้าหลวงพ่อธรรมจักร..มีคำกล่าวว่าเวลา"ผู้ใดได้ไปกราบ

    หลวงพ่อธรรมจักรและจ้องมองดูที่พระพักตร์ของท่านและดวงเนตร....ผู้นั้นจะรู้สึกเหมือนกับ

    หลวงพ่อกำลังบอกอะไรบางอย่างแก่เขา...และผู้ใดก็ตามที่จ้องมองดวงเนตรและใบหน้าของ

    ท่านอยู่...จะมีความรู้สึกว่าไม่อยากจากท่านไปเลย"..(ก็ลองไปสัมผัสกันดูนะครับ)...ซึ่ง

    เมืองเองก็เป็นเช่นคำกล่าวนั้น..เขาไม่อยากจะลุกจากหลวงพ่อธรรมจักรมาเลย...เขาอยาก

    นั่งอยู่ที่นั่นต่อหน้าหลวงพ่อธรรมจักรนาน ๆ.......และเขาหวนคิดถึงหลวงปู่ศุขว่าเป็นเช่นนี้

    เอง..หลวงปู่ศุขจึงได้นั่งอยู่กับหลวงพ่อธรรมจักรทั้งคืนในวันพระ

    ....................เมืองนั่งอยู่อีกพักหนึ่งเจ้าแต้มก็มาเรียกสะกิด

    ............................."พี่ชายจะไม่ไปดูบริเวณอื่นของวัดบ้างหรือ"

    ....................เมืองจึงหันไปทางเจ้าแต้ม...แล้วพยักหน้าพร้อมกับเดินตามเจ้าแต้มซึ่งมีลุงบุญรอ

    อยู่ข้างนอกวิหารอยู่แล้ว...

    ....................เจ้าแต้มกับลุงบุญพาเมืองไปเดินชมพระพุทธรูปต่าง ๆ เขารู้สึกว่า "พระพุทธรูปที่วัด

    นี้เป็นศิลปสุโขทัยเกือบทุกองค์ซึ่งคล้ายคลึงกับพระพุทธรูปที่วัดต่าง ๆในเมืองน่าน"...เขาจึงเอ่ยถาม

    ลุงบุญ

    ............................"ลุงบุญทำไมพระพุทธรูปที่วัดนี้จึงสร้างเป็นศิลปสุโขทัย"

    ............................"ก็เพราะชัยนาทเคยเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัย..ต่อมามาเป็นเมืองลูก

    หลวงของอยุธยา...และในสมัยเจ้าสามพระยาครองเมืองชัยนาท..พระองค์ท่านมีมเหสีอยู่ในราชวงศ์

    สุโขทัย..จึงเป็นชาวสุโขทัย.....เมื่อนางเสด็จมาอยู่เมืองชัยนาทได้นำศิลปทางสุโขทัย..และช่างที่

    สุโขทัยมาปั้นหรือหล่อพระในเมืองชัยนาท...เมืองชัยนาทจึงมีศิลปของสุโขทัยปรากฎอยู่ที่องค์พระ

    พุทธรูปที่ถูกสร้างขึ้น"

    ....................เมืองพยักหน้าเข้าใจ........เมืองนั้นเดินชมวัดธรรมามูลพร้อมกับขึ้นไปถึงยอดเขา

    ธรรมามูลซึ่งสามารถเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลมาคดเคี้ยวอย่างสวยงามดุจพญานาคกำลังเลื้อยไป

    มา....จนเวลาพอสมควรเขาจึงกลับไปที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่าเพื่อกลับแพ.............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2012
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..........ตอนที่ 96 ผู้หญิงเป่าขลุ่ยที่ทุ่งดอกทานตะวัน.........




    ....................เมืองกลับมาที่แพ..พร้อมกับดื่มเหล้า..และได้เดินขึ้นมาที่ริมตลิ่งมุ่งตรงไปที่ต้น

    ยางสูงใหญ่ที่เคยเห็น....บุญนำและสมพงษ์ได้ปีนขึ้นไปบนยอดสูงและตะโกนว่า"ทำไมตัวข้าอยู่ต่ำ

    เช่นนี้"...เขาขบคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่บอกแก่เขา..แต่บอกอะไรล่ะ..เมืองแหงนมองไปดูบนยอดสูงของ

    ต้นยาง...และฉงนอยู่ในใจว่า..ต้นไม้สูงใหญ่ขนาดนี้ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กน้อยทั้งสองจะมีความกล้าปิน

    ขึ้นไปในที่สูงโดยไม่กลัวตก....แสดงว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความเชื่อมั่นอย่างมากในการปีนป่ายโดยไม่

    กลัวอันตราย....ย่อมทำให้เห็นว่า"เด็กน้อยทั้งสองมีความเชื่อมั่นต่อผู้ที่ใช้ตนขึ้นไปปีนต้นยาง

    สูงใหญ่..ว่าจะต้องคุ้มครองให้เขาไม่ตกจากที่สูงได้อย่างแน่นอน"....ซึ่งผู้ใช้เด็กทั้งสองก็คือ

    หลวงปู่ศุข...หลวงปู่ศุขจะต้องเป็นพระอาจารย์ที่เด็ดขาดและมีความมั่นใจสูงอีกทั้งยังมีสติ

    ปัญญาและหยั่งรู้เหตุการณ์ต่าง ๆได้ดี..ซึ่งเด็กทั้งสองก็คงรับรู้ในสิ่งนี้..เพราะเท่าที่ฟังดูเรื่อง

    ราวของพวกเขาจากคำบอกเล่าของเจ้าแต้มในร้านกาแฟแป๊ะเส็งว่า..เด็กทั้งคู่อยู่กับหลวงปู่

    ศุขมานาน...ทำให้เด็กน้อยทั้งสองเชื่อมั่นว่า"ตนทั้งสองจะไม่ตกจากต้นยางสูงใหญ่นั้นเมื่อ

    ปีนป่ายขึ้นไป......"

    .....................เมืองมองไปที่กุฏของหลวงปู่ศุข..ซึ่งปิดอยู่อย่างสนิท..ถ้าเขาเดินทางเข้าไปหา

    ท่าน...ก็คงไม่เป็นผล...เพราะ "เขาและหลวงปู่ศุขกำลังตอบโต้หรือพูดคุยกันด้วยปัญญา...หรือ

    ความหมายในปริศนาที่แต่ละฝ่ายจะส่งมา...เขาแก้ปัญหาได้ตอนแรก...แต่ปัญหาที่"ทำไมตัว

    ข้าอยู่ต่ำเช่นนี้...คือ"คำพูด"...แต่การกระทำที่ไปอยู่บนต้นไม้สูงนั้นคือ "กริยา"...ความ

    หมายมันคืออะไร..เขาต้องขบคิดอีกนาน

    .....................เมืองมองไปทางทิศตะวันตกเมื่อเห็นแสงสว่างจากดวงอาทิย์เริ่มให้แสงน้อย

    ลง..เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่ากำลังจะพลบคำอีกแล้ว...และพลบค่ำแล้วค่ำคืนใน"คืนที่สอง"ที่

    ริมน้ำเจ้าพระยานี้.."เขาจะพบเห็นหรือได้ยินสิ่งใดอีก"

    ....................."เสียงขลุ่ย"ที่ลุงบุญและเจ้าแต้มบอกไม่เคยได้ยิน..มันคือเสียงขลุ่ยของภูติ

    ผีปิศาจกระนั้นหรือ......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2266.JPG
      IMG_2266.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      37
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2012

แชร์หน้านี้

Loading...