{O}บัวมี ๔ เหล่า เพราะทรงตรัสถึงบัว ที่ทรงพิจารณาถึง ๔ จำพวก{O}

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 26 พฤษภาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    "สารีบุตร เธอไม่สามารถให้กรรมฐานลูกศิษย์ที่เป็น
    พุทธเวไนยะ ได้พวกนี้ ต้องฟังจากตถาคตเท่านั้น "



    ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าทรงบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบ โดยพระองค์เองในวันรุ่งเดือน ๖ ณ ใต้ร่มมหาโพธิบัลลังก์ ทรงหมดสิ้นซึ่งอาสวะกิเลส เมื่อพระพุทธองค์ทรง บรรลุเป็นพระ
    สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ทรงเสวยวิมุตติสุขเนิ่นนานอยู่ ทรงคำนึงว่าธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ล้ำลึกนัก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม
    จึงท้อพระทัยที่จะสั่งสอนสัตว์ ฝ่ายท้าวสหัมบดีพรหมทรงวิตกว่า พระพุทธองค์จะทรงละเลยกิจที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายใน
    อดีตได้ทรงปฏิบัติ คือ ทรงจะแสดงพระสัทธรรมโปรดหมู่เวไนยสัตว์ในภพทั้งหลาย (พรหมภูมิ สวรรค์ภูมิ มนุษย์ภูมิ) ด้วยเมื่อ พระโพธิสัตว์ทรงบรรลุธรรมแล้วจะทรงน้อมพระทัยไปสู่การเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เหตุนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม จึงได้ชักชวน
    หม่ พรหมและทวยเทพในภพสวรรค์ เสด็จมาชุมนุมต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระบรมศาสดา แล้วกล่าวคำทูลอารธนาให้ทรง แสดงธรรมว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดแสดงธรรมเถิด”

    พระพุทธองค์ทรงพิจารณาหมู่เวไนยสัตว์

    พระพุทธองค์ได้ทรงตรึกตรอง ทรงคำนึงว่าธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ลึกซึ้งมาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม จึงยังทรงมิได้รับคำทูล
    อารธนาทีเดียว แต่ได้ทรงพิจารณาโดยพระญาณก่อนว่า เวไนยสัตว์นั้นจำแนกเหล่าใดที่จะรองรับพระสัทธรรมได้เพียงใด จำนวนเท่าใด ทรงจำแนกด้วยพระญาณว่าเหล่าเวไนยสัตว์บุคคลที่จะรับพระสัทธรรมได้ และไม่ได้มีอยู่ ๔ จำพวก เปรียบได้
    ดังดอกบัวสี่เหล่า อันหมายถึง ปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัย ที่สร้างสมมาแต่อดีตของบุคคล ซึ่งบัว ๔ เหล่านั้นคือ

    ๑. ดอกบัวที่พ้นน้ำแล้ว รอแสงพระอาทิตย์จะบานวันนี้
    ๒. ดอกบัวที่ปริ่มน้ำ จะบานวันพรุ่งนี้
    ๓. ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ยังอีก ๓ วันจึงจะบาน
    ๔. ดอกบัวที่เพิ่งงอกใหม่จากเหง้าในน้ำ จะยังไม่พ้นภัยจากเต่าและปลา

    บุคคลที่เปรียบได้กับดอกบัวดอกที่ ๑,๒,๓ นั้นสามารถให้อนุศาสโนวาทแล้วสามารถบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เร็วช้าต่างกัน
    ก็ด้วยปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัยที่ต่างกัน ซึ่งจำแนกเป็น พุทธเวไนย์ สาวกเวไนย์์ ธาตุเวไนย์ ตามลำดับ ส่วนบุคคลซึ่ง เปรียบเป็นบัวประเภทที่ ๔ ไม่สามารถบรรลุอะไรได้ในชาตินี้ ด้วยขาดซึ่งปัญญา แต่จะเป็นอุปนิสัย วาสนา บารมีต่อไปในภาย ภาคหน้า เมื่อทราบด้วยพระญาณดังนั้นแล้ว ด้วยพระกรุณาคุณ ทรงเล็งเห็นว่าโลกนี้ผู้ที่พอจะรู้ตามได้ก็คงมีอยู่บ้าง เมื่อเล็งเห็น เหตุนี้ จึงตกลงพระทัยจะสอนธรรมให้แก่สัตว์ทั้งปวง จึงรับอารธนาของท้าวสหัมบดีพรหม

    พระพุทธเจ้าทรงนึกถึงผู้ที่ควรโปรดก่อนคือ อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส ผู้เป็นอาจารย์ แต่ท่านเหล่านี้ก็สิ้นชีวิต ไปแล้วจะมีอยู่ ก็แต่ปัญจวัคคียทั้ง ๕ มีชื่อว่า ๑. โกณฑัญญะ ๒. วัปปะ ๓. ภัททิยะ ๔. มหานามะ ๕. อัสสชิ ซึ่งท่านโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า ปัญจวัคคีย์ ซึ่งท่านผู้นี้ได้เป็นพราหมณ์คนหนึ่งในจำนวน พราหมณ์ ๑๐๘ คน ที่มาประชุม ทำนายพระลักษณะ เมื่อพระ
    พุทธเจ้าได้ประสูติแล้ว ๕ วัน พราหมณ์เหล่านี้พากันทำนายว่าพระองค์จะมีคติ เป็น ๒ คือ ถ้าอยู่ครองฆราวาสจะได้เป็นพระ
    เจ้าจักรพรรดิ พระราชาเอกในโลก แต่ถ้าออกทรงผนวชจะได้เป็นศาสดาเอก ของโลก ส่วนท่านโกณฑัญญะเป็นพราหมณ์หนุ่ม ที่สุดในหมู่พราหมณ์นั้นได้ทำนายไว้ คติเดียวว่าจะเสด็จออกทรงผนวช จะได้เป็น ศาสดาเอกในโลก เพราะฉะนั้นจึงได้คอยฟัง ข่าวพระโพธิสัตว์อยู่เสมอ จนเมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จออกทรงผนวช ท่านโกณฑัญญะก็ได้ชักชวนบุตรของพราหมณ์ที่มาประชุม
    ทำนายพระลักษณะในคราวนั้นได้อีก ๔ คน รวมเป็น ๕ ออกคอยติดตามพระโพธิสัตว์ และเมื่อพระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยาก็เป็นที่สบอัธยาศัยของท่านทั้ง ๕ ซึ่งนิยมในทางนั้น ก็พากันไปคอยเฝ้าปฏิบัติ ครั้นพระองค์ได้ทรงเลิกละเสีย
    ท่านทั้ง ๕ นั้น ก็เห็นว่าพระองค์ได้ทรงเวียนมาเป็นผู้มักมาก จะไม่สามารถตรัสรู้พระธรรมได้ ก็พากันหลีกไปพักอยู่ที่ตำบล
    อิสิปตนมฤคทายวันนั้น ซึ่งเมื่อพระพุทธองค์ได้บำเพ็ญจนสำเร็จเป็นพระอนุตรสัมพุทธเจ้าแล้วจึงพิจารณาที่จะแสดงธรรมโปรด ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก่อน จึงเสด็จออกเดินจากควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ที่ประทับอยู่ มุ่งพระพักตร์เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี

    การที่เสด็จจากตำบลพระศรีมหาโพธิ์ จนกระทั่งถึงกรุงพาราณสี แสดงให้เห็นพระวิริยอุตสาหะอันแรงกล้า และการตั้งพระทัย แน่วแน่ที่จะประทานปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรกอย่างแท้จริง เพราะระยะทางระหว่าง ตำบลพระศรีมหาโพธิ์ถึง
    พาราณสีนั้นไกลมาก ซึ่งการเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่าอาจใช้เวลาหลายวัน แต่ปรากฏว่าพอตอนเย็น วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน อาสาฬหะ นั้น พระพุทธองค์ก็เสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี อันเป็นที่อยู่ของปัจจวัคคีย์

    ทรงโปรดเหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕

    เมื่อเหล่าปัญจวัคคีย์มองเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล ก็นัดหมายกันว่าจะไม่ทำการลุกต้อนรับ ไม่ให้ทำการอภิวาทและไม่ รับบาตรจีวร แต่ให้ปูอาสนะไว้ ถ้าทรงประสงค์จะนั่งก็นั่ง แต่ถ้าไม่ประสงค์ก็แล้วไป แต่ครั้นพระองค์เสด็จถึง ต่างก็ลืมกติกาที่ตั้ง กันไว้ พากันลุกขึ้นและอภิวาทกราบไหว้ และนำน้ำล้างพระบาท ตั่งรองพระบาท ผ้าเช็ดพระบาท มาคอยปฏิบัติ พระพุทธเจ้าได้ เสด็จประทับบนอาสนะ ทรงล้างพระบาทแล้วเหล่าปัญจวัคคีย์ก็เรียกพระองค์ด้วยถ้อยคำตีเสมอ คือเรียกพระองค์ว่า อาวุโส
    ที่แปลว่า ผู้มีอายุ หรือแปลอย่าง ภาษาไทยว่า คุณ โดยไม่มีความเคารพ พระองค์ตรัสห้ามและทรงบอกว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ แล้ว จะแสดงอมตธรรมให้ท่านทั้งหลายฟัง เมื่อท่านทั้งหลายตั้งใจฟัง แล ปฏิบัติโดยชอบก็จะเกิดความรู้จนถึงที่สุดทุกข์ได้

    เหล่าปัญจวัคคีย์ก็กราบทูลคัดค้านว่า เมื่อทรงบำเพ็ญทุกรกิริยายังไม่ได้ตรัสรู้ เมื่อทรงเลิกเสียจะตรัสรู้ได้อย่างไร พระพุทธเจ้า ก็ยังตรัสยืนยันเช่นนั้น และเหล่าปัญจวัคคีย์ก็คงคัดค้านเช่นนั้นถึง ๓ ครั้ง พระพุทธองค์จึงตรัสให้ระลึกว่า แต่ก่อนนี้พระองค์ได้ เคยตรัสพระวาจาเช่นนี้หรือไม่ เหล่าปัญจวัคคีย์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ไม่เคยตรัสพระวาจาเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ยินยอมเพื่อ จะฟังพระธรรม พระพุทธเจ้าเมื่อทรงเห็นว่าเหล่าปัญจวัคคีย์พากันตั้งใจเพื่อจะฟังพระธรรมของพระองค์แล้ว จึงได้ทรงแสดง ปฐมเทศนา คือ เทศนาครั้งแรก โปรดเหล่าปัญจวัคคีย์ พระองค์ได้ทรงแสดงปฐมเทศนานี้ในวันรุ่งขึ้นจากที่เสด็จไปถึง คือ ได้ ทรงแสดงใน วันเพ็ญของเดือน อาสาฬหะ หรือ เดือน ๘ ก่อนวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน ซึ่งเป็นวันที่ประกอบพิธี อาสาฬหบูชา ดังที่ ได้กำหนดตั้งขึ้นเป็นวันบูชาวันหนึ่ง

    ทรงแสดงปฐมเทศนา

    ปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” นับเป็นเทศนากัณฑ์แรกที่ทรงแสดงทางที่พระองค์ทรงปฏิบัติ ได้ทรงแสดงธรรมที่ได้ ตรัสรู้ ได้ทรงแสดง ญาณ คือ ความรู้ของพระองค์ที่เกิดขึ้นในธรรมนั้น โดยใจความปฐมเทศนานี้

    ตอนที่ ๑ พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ทางที่บรรพชิต คือ นักบวชซึ่งมุ่งความหน่าย มุ่งความสิ้นราคะ คือ ความติด ความยินดี
    มุ่งความตรัสรู้ มุ่งพระนิพพาน ไม่ควรซ่องเสพ อันได้แก่ กามสุขัลลิกานุโยค คือ ความประกอบตนด้วยความสุข สดชื่นอยู่ในทางกาม และ อัตตกิลมถานุโยค คือ ประกอบการทรมานตนให้ลำบากเดือดร้อนเปล่า เหล่านี้เป็นข้อ ปฏิบิตีที่เป็นของต่ำทรามเป็นกิจของปุถุชน มิใช่กิจของบรรพชิตผู้มุ่งผลแห่งที่สุด
    ตอนที่ ๒ ได้ทรงแสดงธรรมะที่ได้ตรัสรู้ เมื่อละทางทั้งสองข้างต้น และมาเดินทางสายกลาง เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา" คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นกลางที่เป็นข้อปฏิบัติอันสมควร แล้วทรงแสดงทางสายกลาง หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ได้แก่

    ๑. สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ
    ๒. สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ
    ๓. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ
    ๔. สัมมากัมมันตะ คือ ทำการงานชอบ
    ๕. สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ
    ๖. สัมมาวายามะ คือ มีความเพียรชอบ
    ๗. สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ
    ๘. สัมมาสมาธิ คือ ตั้งใจชอบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ดูแต่บัวที่พระพุทธเจ้าทรงพิจารณา แต่ไม่ดูพระธรรมคำสั่งสอน อาศัยฐานะอะไร?ไปวุ่นวายกับการพิจารณา ดอกบัวของพระพุทธเจ้า

    ใช่หน้าที่เหรอ มีหรือเปล่า ปฎิสัมภิทาญาน น่ะ ไม่มีแล้วไปวุ่นวายไป รบกวนหมิ่นการพิจารณาพระองค์ท่านทำไม ?เกี่ยวอะไรด้วย?


    ฐานะบุคคลประเภทอื่นก็มี อะไรทำไมจึงมาตกม้าตายกับบัว ๓ เหล่า ๔ เหล่า ตีความก็ไม่เป็น นั่นเรื่องของพระพุทธเจ้า เรื่องของสาธุชนคือตั้งใจ ศึกษาพระธรรม

    เราเป็นประเภท พุทธะเวไนย ปัจเจกอริยบุคคล ใครมาสอนเราไม่ได้หรอก เราสาวกภูมิ ไม่เอาตามใคร? ถ้าเหมือนกัน ก็ถือว่าใช้ได้ เรายิงสายตรงพิจารณาตาม สมเด็จพระบรมมหาศาสดาเพียงผู้เดียว

    บุคคลที่เปรียบเป็นดอกบัว ของพระพุทธเจ้ามีความกว้างขวางมากมายนัก ท่านอย่าเอาสำนักที่ไม่มีปฎิสัมภิทา ๔ แต่ไปรวมรวบพระพุทธวจน ตีความอย่างผิดๆเลย แค่เรื่องการบำเพ็ญทุกรกิริยา สำนักนั้นหรือสำนักไหนๆก็ ที่เห็นว่าไม่สามารถบรรลุได้ เข้าใจผิดหมดแล้ว

    สำนักนั้นคิดว่าสัตว์ทั้งหมดสอนได้สินะ ! ทำลายพระพุทธวจนเองยังไม่พอ ยังสอนให้ผู้อื่นเชื่อตาม มีจิตคับแคบไม่กว้างขวางในโลก

    มีผู้ค้านชัดเจนไปแล้ว เรื่องนี้ เรื่องดอกบัว๓ หรือ ๔ และอย่าเอาไปรวมกับเรื่อง ฐานะประเภท พุทธเวไนย์ สาวกเวไนย์์ ธาตุเวไนย์

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
    ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ อุคฆฏิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมแต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง ๑
    วิปจิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายความแห่งหัวข้อนั้น ๑ เนยยะ
    ผู้พอแนะนำได้ ๑ ปทปรมะ ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ

    ไม่มีปทปรมะ ก็ไม่มีผู้ที่มีมิจฉาทิฎฐิ ไม่มีคนว่ายากสอนยาก หรือไม่มีคนที่สอนไม่ได้ ไม่มีผู้ที่ได้รู้จักพระพุทธศาสนาแต่ไม่ได้ถือพระรัตนตรัย ไม่มีผู้ที่ได้รู้จักพระศาสนาแต่ก็ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ และก็ต้องไม่มีคนนอกศาสนาอันไกลโพ้น ที่ไม่เคยรู้จักพระพุทธศาสนาเลย
    โลกของบัว ๓ เหล่าในสำนักนั้น จึงเป็นโลกที่ไม่มีศาสนาอื่น มีแต่พุทธหนึ่งเดียวในโลก เป็น ภวทิฏฐิ และ วิภวทิฏฐิ อันมี สัสสตทิฏฐิ และ อุทเฉททิฏฐิ เป็นต้นฯ


    ระดับสูงกว่านั้นก็มีไล่ลงมาตามลำดับอีก คือ บุคคล ๕ จำพวก
    บุคคล ๕ จำพวกที่เชื่อแน่ในธรรมนี้ คือ สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ๑ โกลังโกละโสดาบัน ๑ เอกพีชีโสดาบัน ๑ พระสกทาคามี ๑ พระอรหันต์ในปัจจุบัน ๑
    บุคคล ๕ จำพวกที่เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนึ้ คือ อันตราปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ อุปหัจจปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ อสังขารปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ สสังขารปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ อุทธังโสโตอกนิฏฐาคามีบุคคล ๑

    ดูที่พระธรรมคำสั่งสอน ดูที่แนวทางคำสั่งสอน ไม่ใช่ไปวุ่นวายกับดอกบัวของพระพุทธเจ้า ไม่มีปฎิสัมภิทา ๔ อย่าไปมั่ว

    หวังดีแต่โชว์ห่วย จะกลายเป็นประสงค์ร้าย พาสัตว์ไปพบกับความทุกข์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
    สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ


    การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
    ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
    ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
    ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย




    ทรงจำแนกสอน"แก่น"ธรรม" แตกต่างกันที่หัวข้อวัตรปฎิบัติ ระหว่าง พระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นทางสายกลาง และ นอกเหนือจากหลักธรรมที่ทรงแสดง ซึ่งเป็นที่น้อมนอมให้เหล่านักบวชนอกพระศาสนาพิจารณาเห็น"แก่น ธรรม" ที่พราหมณ์ไม่มีและถึงมีก็เป็นอย่างอื่นไม่เหมือนกัน ตามพระดำรัส

    ซึ่งเป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่จำเป็นแก่เราและท่านบัณฑิตผู้เจริญทั้งหลาย ทั้งที่ต่างสถานะฯ และฐานะธรรมจะต้องทราบและต้องรู้อย่างยิ่ง

    นั่นก็เพื่อปรามตนเองและผู้อื่นที่หลงเข้าใจผิด ไม่รู้จุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนานั้นด้วย

    "ตรัสแก่พระภิกษุ"
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้เราประพฤติมิใช่เพื่อ
    หลอกลวงคน มิใช่เพื่อเรียกร้องคน (ให้มานับถือ) มิใช่เพื่ออานิสงส์ ลาภ
    สักการะ และความสรรเสริญ มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นเจ้าลัทธิและแก้ลัทธิอย่าง
    นั้นอย่างนี้ มิใช่เพื่อให้คนรู้จักตัวว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้พรหมจรรย์นี้
    เราประพฤติเพื่อสังวร เพื่อปหานะ (ความละ) เพื่อวิราคะ (ความหายกำหนัด
    ยินดี) เพื่อนิโรธะ (ความดับทุกข์)

    "ตรัสแก่พราหมณ์"
    ดูก่อนพราหมณ์ พรหมจรรย์นี้
    ไม่ใช่มีลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นอานิสงส์
    ไม่ใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์
    ไม่ใช่มีความถึงพร้อมแห่งสมาธิเป็นอานิสงส์
    ไม่ใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์
    พรหมจรรย์นี้ มีเจโตวิมุติอันไม่กำเริบ
    เป็นประโยชน์
    เป็นแก่น
    เป็นที่สุด


    พระธรรมคำสั่งสอน ไม่ใช่ของอวด ของแข่งดีแข่งเด่น กับศาสนาอื่น ต่างชาติบ้านเมือง แต่เป็นไปเพื่อความสุขของเหล่าเวไนยสัตว์ที่มีความรักและศรัทธา ในพระรัตนตรัยอันเป็น แก้วสามประการ ของ พระพุทธศาสนา

    " ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ".
    " เป็นสิ่งที่พึงรู้ได้เฉพาะตน ".

    ตามความหมายแล้ว หมายถึง การทำได้และเข้าถึงของคนคนเดียวเท่านั้น ให้ใครบรรลุธรรมแทนเราก็ไม่ได้ เป็นมรดกตกทอดก็ไม่ได้
    ใครทำใครได้ นอกเหนือจากผู้ที่บรรลุธรรมในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าแล้ว...ผู้ที่ได้บรรลุธรรมคนนั้นนั่นแหละ เป็นผู้ที่รู้และเข้าใจสภาวะธรรมที่ตนทำได้และเข้าถึงได้ดีกว่าใครอื่นที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมทั้งหมด เมื่อบรรลุธรรมแล้ว เข้าใจแล้วก็สามารถนำความรู้ความเข้าใจนั้นมาอบรมสั่งสอนคนอื่นให้เข้าใจตามได้ ทุกแง่ทุกมุม ทั้งขั้นตอน วิธีการ เรียงลำดับก่อนหลัง มีที่มาที่ไปอย่างไร ผลที่ได้เป็นอย่างไร ก็สามารถนำมาบอกกล่าวกันได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    “ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
    เป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่งลง สู่ความตรึก ละเอียด
    เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง
    ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้
    เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นนี้ แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
    หากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้ นี้ก็แสนยากที่จะเห็นได้
    ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา
    ข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา
    จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ๔ ทั้งนั้น เล่นนับแต่บัวบนบัวลอยบัวผุด ไม่นับบัวจม (บางเหล่า) แล้วไถกลบ ไปเด็ดทิ้ง บ้าไปแล้ว!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เมื่อหลงเชื่อว่าบุคคลมีเพียง๓ประเภท จะขัดกับพระสูตรอื่น ที่กล่าวถึง อฐานะ ทั้งหมดฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ พุทธภูมิกิ๊กก๊อก โพธิสัตว์จานลาย


    บัวมี 3เหล่า เอาจาก พระไตรปิฏก ก็ชัดอยู่แล้ว พุทธวัจนะ มีเท่านั้น
    ส่วนที่มี 4 คือ การแต่งเติมภายหลัง คนเขาก็รับทราบกันทั้งโลก !!

    ถ้าจะถามว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงกล่าวแค่สาม ก็ไม่ยาก จับลงพุทธวัจนะ
    ว่าด้วย " เรื่องใดแม้นเป็นความจริง แต่กล่าวแล้วไม่มีประโยชน์ต่อมรรคผล
    ความจริงนั้นๆ พระองค์ก็จะ เว้นเสีย " เป็น มหาศีล เป็นพุทธลีลา จะไปหา
    เอาจาก พุทธภูมิกิ๊กก๊อก มันก็บอกว่า สี่ ฉี่ ป๊อกๆ

    ********************************************

    พุทธภูมิกิ๊กก๊อก สรรพสัตว์มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นคน อุตสาห์พ้นนรกขึ้นมาเป็นคน
    ด้วยอำนาจแห่งเหล่ามหาสัตว์พาขึ้นมา พุทธภูมิกิ๊กก๊อก มันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
    หมดศรัทธาในความเป็นมนุษย ร่ำร้องเรียกหาแต่ ภัยพิบัติ กล่าวยกศาสนาพุทธกำเหนิด
    มาเพื่อกวาดล้างสรรพสัตว์ด้วยอำนาจ......อะไรนะ " ทัณฑ์ธาตุ " พุทธภูมิจาติง้าv

    ดังนั้น

    พวกสรรพสัตว์ที่มันมาจาก นรก ได้สดับธรรม มันร้อนปาก ร้อนไส้ แล้ว ดิ้นรน
    พยายามตั้งกระทู้ นั่นก็ปล่อยมันไปสิ ปล่อยให้มันทำ

    เพราะ การตรึก ทบทวนธรรม มันจะเกิด .....

    การที่ สรรพสัตว์เหล่านั้น มาจับต้อง ด้วยอาการเผ็ดร้อน นั่นเขาก็ถือว่า ได้สัมผัสธรรม
    เหมือนกัน " อกุศลา ธรรมา " ซึ่งหากมีมาก มันจะค่อยกลายเป็นเรื่อง

    พุทธเวไนยะ หรือ ศรัทธาวิหารี ก็ว่ากันไป [ ปฏิเสธ คำ สาวกเวไนย ธาตุเวไนยะ เพราะ ไม่มีจริง.....ศาสดา ต้องมี หนึ่งเดียว ]


    **************************************

    แผ่นดินไหว เนปาล พุทธภูมิกิ๊กก๊อก ละเมอ นั่นคือการ ลงโทษ โดยมีปัจจัยเปิดทางให้ พุทธ

    ส้นสิบ แล้วครับท่าน

    แผ่นดินไหว เนปาล เขามี " นิษิตแพทย์หญิง เขาไปเสียสละ ทั้งที่รู้ว่ามีภัย " นั่นคือ เหตุ
    ปัจจัย อุปบารมีของมหาสัตว์ ที่ผู้ชายต้องใช้นิ้วจิ้มคิ้วให้เหมือนภาพ ไม่อาจทัดเทียมแม้
    เศษเสี้ยวฝุ่นผงที่ฝ่าเท้าเธอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    เอาตามใจท่านเถิด แมวดำ ตกปริยัติ

    เราไม่เดือดร้อน ด้วยคำกล่าวที่ไม่จริงของท่าน ชิวๆ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กั๊กๆ อ่านพระสูตร ผิดอีกและ

    ในพระสูตรนั้น

    แม้นจะถูกโจทย์ด้วยคำไม่จริง คุงก็ไม่ต้องดิ้น
    แม้นจะถูกโจทย์ด้วยคำจริง คุงก็ไม่ต้องดิ้น

    ไม่ใช่ เลือกข้าง จะดิ้น หากยังงั้นดิ้น อย่างงี้ไม่ดิ้น

    พระพุทธองค์ให้ ไม่ดิ้นทั้งคู่ ......เพราะว่า สภาวะไม่ดิ้น
    จะเป็น " ธรรมหนึ่ง " ให้กำหนดรู้

    และ

    การที่พระพุทธองค์กล่าวกับพระสารีบุตรว่า ให้สอนแก่คน ที่เคารพ เท่านั้น

    อันนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไปนั่งๆ รอๆ เดินชน คนเคารพ ให้ได้ก่อนจึงค่อย
    เทศนา


    พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เทศนาคนที่เคารพ นั่นแปลว่าอะไร

    ก็แปลว่า สั่งให้ พระสารีบุตร ทำอะไรก็ได้ ให้เขาศรัทธาให้ได้ อย่าหนีไปไหน

    [ เท้าความไปเรื่อง บิณฑบาตร แม้น หมู่บ้านนี้ขับไล่ ไม่ให้อาหาร ก็ให้ ตาย!! ที่หมู่บ้านนั้น
    อย่า หนีไปหาที่อื่น อย่าเที่ยวละเมอไปสอนเฉพาะคนที่เขา ศรัทธา ...... ]
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พุทธภูมิกิ๊กก๊อก คนเขาไม่รับฟัง


    โอยยยย ภัยพิบัติจงเกิด เปิดทางให้ จักวรรดิ์พุทธ [ มีแอบ ไปหาพระสูตร กระทืบยักษ์ ด้วย ...จานลายจีจี ]


    ส้นสิบ แล้วครับท่าน !!!! เอาศาสนาของพระองค์ไปสร้างเงื่อนไขเชิง ลัทธิ โอมชรีเกียว !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    อ่อเหรอ แมวตกปริยัติ เห็นอยู่ตำตายังกล้าปฎิเสธพระพุทธวจน

    นี่อะไร์อ่ะแมวโง่

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความเดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม ด้วยอาการ ๕ คือ

    ท่านถูกโจทโดยกาลควร ไม่ถูกโจทโดยกาลไม่ควร ท่านจึงควรเดือดร้อน

    ท่านถูกโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่จริง ท่านจึงควรเดือดร้อน


    ท่านถูกโจทด้วยคำอ่อนหวาน ไม่ถูกโจทด้วยคำหยาบท่านจึงควรเดือดร้อน


    ท่านถูกโจทด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ถูกโจทด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านจึงควรเดือดร้อน


    ท่านถูกโจทด้วยเมตตาจิต ไม่ถูกโจทด้วยการเพ่งโทษ ท่านจึงควรเดือดร้อน

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
    ความเดือดร้อน ภิกษุพึงให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม ด้วยอาการ ๕ นี้ ฯ



    ตลกฟ่ะ!เหมียว บอกแล้วว่าถ้าเป็นมิจฉาทิฎฐิมันจะเป็นแมลงมุมสางใยพันตนเอง (deejai):VO
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เหรอ คิดได้เท่านี้เหรอ ระวัง เป็นโคเดินตามโค อย่าคิดว่าเป็นลูกโคแล้วจะเก่ง เดินไม่ดูทาง เขาขโมยเชือดพ่อโคทิ้ง ลูกโคจะหลงทาง หาทางกลับคอกไม่ถูก

    ทำได้แค่นี้เหรอ สติปัญญา ไม่เห็นได้อะไร?ที่เจริญขึ้นมาเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    กระจอกจริงๆแมวเอย! ผู้ไร้นิรุติ แต่ มา สู้ กับ ผู้มีนิรุติ

    ไปเกิดใหม่อีก ๑๐ ชาติไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    http://palungjit.org/threads/{ขอพระ...ว์ฆ่ายักษ์-ท่านใดทราบช่วยบอกเอาบุญที}.550377/


    ที่ถามน่ะไม่เคยเห็นเว้ย! ไอ้แมวบ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กลุ้ม กับ พุทธภูมิ กิ๊กก๊อก จีจีเลย

    เอางี้


    พระพุทธองค์ กล่าวใช่ไหมว่า " .............. ให้ท่านควรเดือดร้อน "

    ถามว่า อาการเดือดร้อน คืออะไร

    เดือดร้อนเพราะ โทษะ หรือ !?
    เดือดร้อนเพราะ โลภะ หรือ !?
    เดือดร้อนเพราะ โมหะะ หรือ !?

    ไหน ลองบรรลายาย หน่อยจิ อาการเดือดร้อน ที่ไม่ได้มี โทษะ โมหะ โลภะ เป็นเหตุ
    เนี่ยะ กระทำยังไง
     

แชร์หน้านี้

Loading...