(4)หนังสือโลกทีปนี เกี่ยวกับภพภูมิ นรก สวรรค์ ตอน เทวโลก 2

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 19 สิงหาคม 2011.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    นิมมานรตีภูมิ
    สวรรค์ชั้นที่ ๕
    สวรรค์แดนสุขาวดีชั้นที่ ๕ มีนามปรากฏว่า นิมมานรตีภูมิ ที่ได้ชื่อเป็น
    นิมมานรตีภูมิ ก็เพราะว่า สวรรค์ชั้นนี้ เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าพวกหนึ่ง ซึ่งมี
    ความยินดีเพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ที่เนรมิตขึ้นตามความพอใจของตนเอง
    สวรรค์ชั้นนี้ มีเทวาธิราชผู้เป็นใหญ่ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนิมมิตเทวราช
    ทรงเป็นอธิบดีผู้ ยิ่งใหญ่ปกครอง ฉะนั้น จึงได้ชื่อว่า นิมมานรตีภูมิ = ภูมิเป็นที่
    อยู่ ของเทวดาผู้มีความยินดีด้วยกามคุณที่ตนเองเนรมิตขึ้น
    สวรรค์ชั้นนิมมานรตีนี้ มีปราสาทแก้ว ปราสาทเงิน และปราสาทองเป็น
    วิมานที่อยู่ ทั้งมีกำแพงแก้วกำแพงทองล้อมรอบ มีพื้นภูมิภาคเป็นทองราบ
    เรียบเสมอกัน มีสระโบกขรณีแลสวนอุทยาน สำหรับเป็นที่สำราญของเหล่า
    เทพยดาเช่นเดียวกับสวรรค์ชั้นดุสิตทุกประการ แต่ทว่าทุกสิ่งในนิมมานรตี
    พิภพนี้ สวยสดงดงามประณีตกว่าดุสิตพิภพเท่านั้น
    เทพเจ้าทั้งหลายผู้สถิตย์อยู่ ณ สวรรค์ชั้นนี้ ย่อมมีรูปทรงสวยงามน่าดูชม
    ยิ่งกว่าชาวสวรรค์ชั้นต่ำ และมีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก หากเขามีความปรารถนาใน
    กามคุณอารมณ์สิ่งใด เขาย่อมเนรมิตเอาได้ตามความพอใจชอบใจของตนทุกสิ่ง
    ทุกประการ เสวยทิพยสมบัติโดยมีท้าวนิมมิตเทวาธิราชเจ้าปกครองให้ ได้รับ
    ความสุขสำราญทุกถ้วนหน้าเหล่าชาวฟ้า สมกับกุศลกรรมที่ตนอุตส่าห์สร้าง
    สมอบรมมาแต่ชาติปางก่อน เทพเจ้าผู้มาบังเกิดอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ โดยมาก
    เมื่อเป็นมนุษย์ เขาเป็นคนมีสันดานบริสุทธิ์ ได้สร้างกุศลบุญราศีที่มีผลใหญ่ เช่น
    เทพเจ้านามว่า สุภัททา ซึ่งมีประวัติควรจารึกไว้ ดังต่อไปนี้

    สุภัททาเทพเจ้า
    สมัยที่พระอรหันต์ผู้ขีณาสพยังปรากฏอยู่ในโลกมากมายนั้น มีคหบดี
    ผู้หนึ่ง เขาถึงพระรัตนตรัยและมีความเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาลนายิ่งนัก
    นิมนต์ พระเรวตะเถรเจ้า องค์อรหันต์ให้มาฉันอาหารบิณฑบาตที่บ้านของตน
    เสมอเป็นนิตย์ คหบดีนั้นมีธิดาสองคน ธิดาคนพี่มีนามว่า ภัททา ส่วนธิดา
    คนน้องนามคล้ายกันว่า สุภัททา นางภัททากุลธิดาคนพี่นั้นมีปัญญาดี รู้หลัก
    นักปราชญ์ ทั้งจิตใจก็เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เพราะท่านบิดาเป็นผู้อบรม
    ต่อมาไม่ช้านางก็ไปสู่ตระกูลผัว แต่ไม่มีบุตร จึงบอกแก่สามีให้ไปรับเจ้าสุภัททา
    น้องสาวมาอยู่ร่วมกับนาง จักได้มีบุตรลืบสกุลต่อไป ครั้นสามีไปรับน้องสาวมา
    อยู่ด้วยกันแล้ว นางก็ให้โอวาทน้องสาวเสมอว่า "เจ้าสุภัททาน้องเอ๋ย! เจ้าจง
    ยินดีในการจำแนกทาน จงประพฤติธรรม อย่าได้ประมาท ชีวิดของเราใช่ว่าจะ
    ยั่งยืน แม้เจ้าปรารถนาจักได้ทิพยสมบัติในภายภาคหน้า จงเชื่อพี่เถิด สมบัตินั้น
    จักอยู่ในมือน้องเจ้าเป็นแน่แท้" พี่สาวเฝ้าตักเตือนสุภัททาน้องรักอยู่อย่างนี้เป็น
    นิตย์
    สุภัททาสาวคนน้องนั้น เธอเป็นคนเชื่อถือโอวาทแห่งพี่ ทั้งที่ตนเป็นคนรู้
    น้อยไม่ ค่อยพูดจา แต่มากด้วยศรัทธาเลื่อมใสมีจิตใจสันดานบริลุทธิ์ ก็ประพฤติ
    ตามดุจคำพี่สอน วันหนึ่งจึงให้ คนไปนิมนด์พระเรวตะเถระองค์อรหันต์ให้เข้ามา
    ฉันภายในเคหสถานแห่งตน ฝ่ายพระคุณเจ้าเรวตะเถระผู้มีจิตกรุณาปรารถนา
    จะยังกุศลให้เกิดแก่สุภัททาสาวโดยยิ่ง จึงพาพระภิกษุ ๗ องค์ล้วนแต่ทรงคุณ
    เป็นพระอรหันต์ขีณาสพไป เพื่อจะให้นางถวายอุทิศแด่สงฆ์ชื่อว่าเป็นสังฆทาน
    สุภัททาเธอดีใจนักหนาอาราธนาให้นั่งฝนอาสนะ แล้วอังคาสด้วยขาทนียโภชนี-
    อาหารอันประณีตบรรจงด้วยน้ำมือตน ถวายพระเถระองค์อรหันต์ทั้งหลาย
    ด้วยดวงใจที่เลื่อมใสศรัทธา และต่อมาก็มีโอกาสได้บำเพ็ญมหากุศลขั้นอรหันต-
    ทานอีกมากหลาย ฝ่ายภัททาพี่สาวก็ประกอบกองการกุศลตามศรัทธา พอถึง
    อายุขัย ทั้งสองนางก็ทำกาลกิริยาตายไปตามธรรมดาสังขาร
    ภัททาอุบาสิกาซึ่งเป็นพี่สาว ไปอุบัติเกิดเป็นบาทบริจาริกาแห่งท้าวโกสีย์-
    อมรินทราธิราชในไตรตรึงษ์สวรรค์ ฝ่ายสุภัททาอุบาสิกาซึ่งเป็นน้องนั้น มาบัง
    เกิดในปราสาททองอันเป็นวิมาน ณ สรวงสวรรค์ชั้นนิมมานรตีนี เป็นเทพนารี
    ทรงรัศมีรุ่งเรืองงดงามนักหนา จึงมาพิจารณาดูสมบัติแห่งตนว่าได้ด้วยบุญกุศล
    อันใด ครั้นดูไปรู้แจ้งว่า เพราะได้ ถวายทักขิณาแด่พระอริยสงฆ์องค์อรหันต์ซึ่ง
    มีพระเรวตะเถรเจ้าเป็นประธานตามโอวาทของภัททาพี่สาวจึงได้เสวยสมบัติ
    เห็นปานนี้ ครั้นพิจารณาต่อไปก็ทราบว่าบัดนี้ ภัททาพี่นางไปบังเกิดใน
    ไพชยนต์ปราสาท เป็นบาทบริจาริกาแห่งท้าวโกสีย์ จึงลงมาจากสวรรค์ชั้น
    นิมมานรตีแล้วเข าไปหา ภัททาเทพกัญญาประหลาดใจนัก จึงถามว่า "ข้าแต่
    ท่านผู้เจริญ! ตัวท่านรุ่งเรืองโอภาสไปด้วยรัศมีประดุจพระสุริยันเมื่อตะวันเที่ยง
    มียศและอานุภาพยิ่งกว่าปวงเทพในไตรตรึงษ์ ข้านี้มิเคยเห็นท่านมาก่อน ท่าน
    มาแต่ประชุมเทวโลกใด ทำไฉนข้า จะรู้จักนามองท่าน ขอท่านจงได้บอกแก่ข้า
    ในกาลบัดนี้" สุภัททาเทพนารี จึงมีสุนทรวาทีตอบว่า
    "ดูกรนางฟ้าทรงโฉมโสภา ข้านี้นามว่า สุภัททา
    เป็นน้องสาวของท่านในชาติก่อน ท่านได้คอยพร่ำสอนให้ "
    ข้าทำทานการกุศล ครั้นแตกกายทำลายตนก็ได้ใปอุบัติบังเกิด
    ณ สวรรค์ชั้นนิมมานรตี ข้านึกถึงคุณแห่งนางฟ้าพี่สาว จึง
    ลงมา ณ ที่นี่"
    แล้วนางฟ้าทั้งสองก็สนทนากันเรื่องบุญกุศลที่ตนทำมาซึ่งให้ผลแตกต่างกัน
    ในที่สุด ภัททานางฟ้าจึงว่า
    "ดูก่อนเทพนารีน้องรัก แต่ก่อนนี พี่มิรู้ เลยว่า การถวายทานแก่พระอริย-
    สงฆ์องค์อรหันต์ จักมีอานิสงล์มากเห็นปานนี้ ทีนี้เรารู้แล้ว เราลงใปเกิดเป็น
    มนุษย์เมื่อใด ก็จักตัดเสียซึ่งมัจฉริยะ ไม่มีความประมาท จักอุทิศสังฆทาน
    แก่พระอริยสงฆ์เนืองๆ " พอสนทนากันสมควรแก่กาลแล้ว เทพนารีสุภัททา
    ก็อำลานางฟ้าพี่สาวซึ่งเป็นบาทบริจาริกาแห่งท้าวโกสีย์ กลับขึ้นไปสรวงสวรรค์
    ชั้นนิมมานรตี เสวยสุขทิพยสมบัติอยู่ ณ ปราสาททองอันเป็นวิมานของตน
    อายุ ทวยเทพที่สถิตเสวยสมบัติอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นนิมมานรตีนี้ มี
    อายุยืนนานนับได้ ๘, ๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ สองร อยสามสิบโกฏิสี่ล้านปี ด้วยการ
    คำนวณปีแห่งมนุษยโลกเรานี้
    บุรพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติเกิดเป็นเทพเจ้าในสวรรค์ชั้นนิมมานรตีภูมินี้
    โดยมากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เขามีจิตบริสุทธิ์พยายามรักษาศีลไม่ให ขาดได้ ลมบูรณ์
    ด้วยศีล มีวิริยะ อุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอย่างมาก ประพฤติธรรมสม่ำ
    เสมอเป็นนิตย์ ครั้นดับขันธ์สิ้นชีวิตลง จึงตรงมาอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นสูง คือ
    นิมมานรตีภูมินี เสวยทิพย์สมบัติได้ตามจิตปรารถนา
    พรรณนานิมมานรติภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติลงได้แล้ว จึงขอยุติลง
    ด้วยประการฉะนี้

    ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ
    สวรรค์ชั้นที่ ๒
    สวรรค์แดนสุขาวดีชั้นที่ ๖ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดแห่งแดนสุขาวดี มีนามปรากฏ
    ว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ ที่ได้ ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ ก็เพราะว่า สวรรค์ชั้น
    นี้ เป็นที่อยู่ของเทพเจัาพวกหนึ่ง ซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ที่เทวดาอื่นรู้ความต้อง
    การของตนแล้วเนรมิตให้ เป็นที่อยู่อันประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าสวรรค์ชั้น
    ฟ้าทั้งหมด โดยมี สมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี ฉะนั้น สรวง
    สวรรค์ชั้นนี้จึงได้ ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัดตีภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวดาที่มี
    สมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี
    ปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์นี้ นอกจากจะมีทิพยสมบัติ เช่น ปราสาททอง
    เป็นต้น สวยงามประณีตาวิจิตรบรรจงกว่าสวรรค์ชั้นอื่นแล้ว การเป็นอยู่ของผู้ที่
    อุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ
    ๑. ฝ่ายเทพยดา มีเทวาธิราซผู้ ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า สมเด็จพระ-
    ปรนิมมิตเทวราช" ทรงเป็นพญาเจ้าปกครองเหล่าเทพยดาทั้งหลาย ให้ได้รับ
    ความสุขสำราญชื่นบานบันเทิงจิต
    ๒. ฝ่ายมาร มีมาราธิราชผู้ยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่า "ท่านท้าวปรนิมมิตว
    สวัตตีมาราธิราช" เป็นพญาเจ้าฟ้าปกครองหมู่มารทั้งหลาย ให้ ได้รับความสุข
    สำราญตามควรแก่อัตภาพ
    จึงเป็นอันว่า สวรรค์เมืองฟ้าปารนิมมิตวสวัตตีมีการปกครองแบ่งเป็น ๒
    ภาค คือ ภาคเทพยดาพวก ๑ ภาคหมู่มารพวก ๑ มีเขตแดนกั้นระหว่างทั้ง
    เทพยดาและมาร ต่างฝ่ายต่างก็เสวยสุข ณ ทิพยสถานวิมานแห่งตน
    ด้วยความสุขอันประณีตยิ่งล้นกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าอื่นๆ เพราะเป็นสวรรค์ชั้นสูงลุด
    ในมงคลจักรวาล
    การพรรณนาปรนิมมิตวสวัตตีภาคเทพยดาจักขอยกไว้ ในที่นี้จักขอกล่าว
    ถึงบรมโพธิลัตว์พระองค์หนึ่ง ซึ่งขณะนี้ประทับอย่ ณ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
    ภาคหมู่มาร พระบรมโพธิสัตว์พระองค์นั้น ก็คือพญาเจ้าฟ้าแห่งหมู่มารนั่นเอง
    สังเขปประวัติการสั่งสมอบรมพระบารมี เพื่อพระปรมาภิเษกลัมโพธิญาณ
    ของท่านพญาเจ้าฟ้าหมู่มารนั้น ปรากฏมีในพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาลนา
    ดังต่อไปนี้

    วสวัตตีมาราธิราช
    พญาวสวัตตีมาราธิราช ซึ่งบัดนี้ เป็นประธานาธิบดียิ่งใหญ่ในภาคหมู่มาร
    แห่งปรนิมมิตวสวัตดีสวรรค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์ได้ ทรงก่อสร้างพระบารมี เช่น
    ทานศีล เป็นอาทิ มามากต่อมาก แต่กองพระบารมีกองหนึ่ง ซึ่งปรากฏยอด
    เยี่ยมกว่าพระบารมีทั้งหลายเรียกว่าปรมัตถบารมีควรที่จะยังพุทธสมบัติให้ สำเร็จ
    ก็คือพระบารมีที่สร้างแต่ครั้งอดีตกาลนับเป็นอสงไขย
    สมัยที่ลมเด็จพระพุทธกัสสปะทศพลญาณเจ้าบรมโลกุตมาจารย์ ทรงอุบัติ
    ขึ้นในโลก พญามาราธิราชผู้นี เกิดเป็นมนุษย์มีนามว่า โพธิอำมาตย์ ดำรง
    ตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เป็นที่โปรดปรานไว้วาง
    พระราชหฤทัยนักหนา
    กาลวันหนึ่ง พระเจ้ากิงกิสละมหาราช ผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระบวรพุทธ
    ศาลนา ได้ ทรงทราบว่า สมเด็จพระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติ
    เสวยวิมุตติสุขอยู่คำรบ ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่และใกล้ จะออกจากนิโรธ
    อยู่แล้ว จึงทรงพระราชดำริว่า "พระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จออกจากนิโรธ
    สมาบัติใหม่ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงล์ผลบุญูมหาศาลล้ำเลิศ
    บัดนี้เราจักถวายทานแด่พระองค์' แล้วจึงทรงให้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศ
    แก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า
    ถ้าบุคคลผู้ได้ ลอบไปถวายทานแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราแล้ว เรา
    จักให้ลงอาญาแก่ผู้นั้น" แล้วตรัสสั่งให้ตั้งกองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่
    บริเวณพระวิหารไว้อย่างกวดขัน หากผู้ ใดล่วงละเมิดพระราชกฤษฎีกาแล้ว ก็
    ให จับตัวไปประหารชีวิตเสีย
    ท่านโพธิอำมาตย์ แม้ ได้ ทราบพระราชกฤษฎีกา ก็ยังมีความปรารถนา
    อย่างแรงกล้า ที่จะถวายทานแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้อาลัยในซีวิต
    พอรุ่งเช้าจึงถือเครื่องไทยทานของตนกับภรรยารวมเป็น ๒ ห่อ ตรงไปยังวิหาร
    พวกรักษาการณ์เห็นเช่นนั้น จึงถามด้วยความคารวะว่า "ข้าแต่ท่านเสนาบดี!
    เหตุใดท่านจึงฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ทรงห้ามไว้" ท่านอำมาตย์ใหญ่ชั้น
    เสนาบดีได้ ฟังแล้วดำริว่า
    ถ้าเราจะบอกแก่เจ้าพวกนี้ ด้วยถ้อยคำ เป็นเท็จว่า พระเจ้าแผ่นดิน
    รับสั่งใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวังก็จะได้อยู่ แต่ทว่าหาควรที่เราจะ
    กล่าวคำมุสาวาทไม่ เมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแด่องค์พระโลกนาถเจ้า แต่กล่าว
    คำมุสาวาทแล้วทานของเราก็จักมีผลไม่ยิ่งใหญ่ ควรที่เราจะบอกตามความเป็น
    จริงแม้จักตายก็ตามทีเถิด เราหาอาลัยชีวิตไม่" แล้วจึงบอกไปว่า "เราจะเข้า
    ไปถวายทานแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า" พวกทหารจึงจับท่านเสนาบดีมัดมือ
    ไพล่หลัง นำไปถวายพระราชาเพื่อให้ทรงพิจารณาโทษ พระราชาทรงพระพิโรธ
    เป็นอันมาก รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะประหารชีวิตเสียทันที
    ลมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่โพธิ
    เสนาบดี จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ในพระวิหารใหญ่
    ส่วนพระองค์เสด็จปาฏิหารย์ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ ประหารท่านเสนาบดี ไม่
    มีผู้ใดเห็น จะเห็นได้แต่เฉพาะเสนาบดีผู้ เดียวแล้วมีพระพุทธฎีกาว่า
    ''ดูกรโพธิเสนาบดี ท่านจงมีศรัทธา อย่าได้อาลัยใน
    ชีวิต อันเครื่องไทยทานของท่านมีประการใด ท่านจงกระทำ
    จิตให้เสื่อมใสในตถาคตเถิด "
    โพธิเสนาบดีได้สดับพระพุทธฎีกาแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจ
    จึงนำห่อภัตตาหารของตนกับภรรยา อัญชลีน้อมเกล้าฯเข้าถวายแต่องค์พระ
    กัสสปะสัพพัญญเจ้า โดยคารวะเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงตั้งปณิธานว่า
    '"ข้แต่พระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ชีวิต
    ของข้าพระบาทก็ได้สละแล้วในครั้งนี้ ด้วยเดชะผลทานนี้
    จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาท ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียว
    กับพระองค์ ในอนาคตกาลโน้นด้วยเถิด
    สมเด็จพระกัสสปะพทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณายกพระหัดถ์ขึ้นลูบศีรษะ
    ท่านเสนาบดี แลัวยังทรงพยากรณ์ว่า
    "ท่านปรารถนาสิ่งใด ความปรารถนาของท่านจงพลัน
    สำเร็จเถิด ดูกรท่านเสนาบดี ท่านจงตั้งมั่นไว้ในใจด้วยดีเถิด
    ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจักได้อุบัติเกิดเป็นพระพุทธเจ้า
    ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณพระองค์หนึ่ง
    เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารช้านานนักหนา มาในชาตินี้บังเกิดเป็นเจ้า
    แห่งหมู่มาร ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีด้วยอำนาจบุญนำกรรมแต่ง เพราะยังอยู่ใน
    ห้วงแห่งกิเลสเหตุยังเป็นปุถุชน จึงเกิดความเห็นสับสนวิปริต มีจิตคิดแข่งดีใคร่
    ทดลองพระบารมีสมเด็จพระศรีศากมุนีสมณโคดมของเรา เฝ้าตามประจญ ด้วย
    ประการต่างๆ แต่มิได้ ล่วงเกินทำบาปหนักประการใด สุดท้ายภายหลังมีความ
    เศร้าเสียใจอย่างหนักถึงกับออกปากเอ่ยความปรารถนาพุทรภูมิซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
    ซึ่งมีเรื่องปรากฏต่อมาว่า
    เมื่อพระพุทธศาสนายุกาลล่วงได้ ๒๐๐ ปีเศษ สมเด็จพระเจ้าศรีธรรมาโศก-
    ราชกษัตริย์ในชมพูทวีป ทรงมีพระราชศรัทธาอุตสาหะสร้างพระสถูปเจดีย์
    แปดหมื่นสี่พันองค์ ทรงปรารถนาจะทำการฉลองเป็นการใหญู่มโหฬาร นับกาล
    ที่ทรงประมาณไว้ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ให้ สมกับพระราชศรัทธาซึ่งฝังแน่นอยู่
    ในพระทัย ทรงใคร่จะหาทางปัองกันอันตรายในเวลาประกอบการพระราชกุศล
    อันมโหฬาร ช้านานนั้น จึงเสด็จเข้าไปนมัสการพระสงฆ์ ทรงปรึกษาได้ ความว่า
    พญามาราธิราชจะกระทำอันตรายในการกุศลเป็นแน่แท้ จึงอาราธนาพระภิกษุ
    สงฆ์ทั้งหลายให้ ช่วยกระทำปฏิเสธนกรรม คือ การป้องกันอันตรายอันจะเกิด
    จากพญามารนั้น

    พระกีสนาคอุปคุต
    พระภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้บางองค์จะทรงฤทธิ์อยู่ แต่ก็รู้ตนว่าสู้
    พญามารมิได้ จึงไปเกณฑ์เอาพระกีลนาคอุปคุตเถระ ซึ่งมีพระพุทธพยากรณ์
    ตรัลไว้ว่า
    "สืบไปในภายหน้า จะมีภิกษุรูปหนึ่งนามว่า อุปคูตเถระ
    จักปราบพญามารให้ละพยศอันร้ายพ่ายแพ้แก่อานุภาพ แล้ว
    จะให้กล่าวปฏิญญาปรารถนาพุทธภูมิ"
    ก็พระอุปคุตเถรเจ้านั้น ท่านเป็นผู้มีปกติสันโดษลำพังองค์เดียว ชอบเที่ยว
    ทำลายอุทกขันธ์กองน้ำ อันใหญ่กว้างลงไปในมหาสมุทร แล้วเนรมิตปราสาท
    ล้วนด้วยแก้ว ๗ ประการ ประดิษฐานในท้องมหาสาครสมุทร นั่งเหนือรัตน
    บัลลังก์ซึ่งตั้งอยู่ ณ ภายในท่ามกลางสัตตรัตนปราสาท ยับยั้งอยู่ด้วยฌานสมาบัติ
    สิ้นทิวาวารเป็นอันมาก เว้นจากภัตตาหารมิได้ฉันสิ้นกาลนาน จนมีร่างกาย
    ผ่ายผอมนักหนา จึงได้ นามว่า พระกีสนาคอุปคุตเถระ
    ครั้นพระภิกษุ ๒ รูป ผู้ได อภิญญาสมาบัติมาเกณฑ์ตัวถึงที่อยู่ ด้วยอาณา
    สงฆ์ลงทัณฑกรรมแจ้งโทษว่า "ดูกรอาวุโสอุปคุต! ตัวท่านนี้มิได้ อยู่สามัคคี
    อุโบสถกับด้วยสงฆ์เลย มาอยู่หาความสบายแต่ผู้เดียว มิได้ เฉลียวใจว่า
    พระบรมศาสดาทรงตำหนิ เพราะมิได้เคารพในสงฆ์ควรที่สงฆ์จะลงทัณฑกรรม
    แก่ท่าน คือ ให้ ท่านจงเป็นภารธุระป้องกันพญามาร อย่าให้อาจหาญูมากระทำ
    อันตรายในกองการกุศลแห่งบรมกษัตริย์ได้ " ท่านก็น้อมศีรษะลงรับซึ่ง
    ทัณฑกรรมนั้น รับคำมั่นที่จะป้องกันพญูามาร มิให้อาจหาญมาขัดขวางงาน
    ของสมเด็จบรมกษัตริย์ ผู้จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอันยิ่งใหญู่ ในพระบวร
    พุทธศาสนา
    ครั้นถึงวันเปิดงาน สมเด็จพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงมีพระทัยผ่องแผ้ว
    แล้วเสด็จมาพร้อมด้วยอเนกนิกราชบริษัท งดงามนักหนา มีครุวนาดุจสมเด็จ"
    องค์อมรินทราธิราช แวดล้อมด้วยเทพบริวาร เสด็จมาสู่ลานพระเจดีย์ ซึ่งมี
    พระภิกษุสงฆ์เป็นอันมากมาสโมสรสันนิบาตพร้อมกัน เพื่อจะวันทาพระมหา
    เจดียฐาน ในขณะนั้น พญาวสวัตตีมารผู้มีจิตริษยาทราบว่า พระเจ้าธรรมา
    โศกราชจะทำการบูชาใหญ่ อดใจมิได้ จึงลงมาจากสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
    เทวโลกแล้วบันดาลด้วยฤทธิ์อำนาจ ให้เกิดพายุใหญู่พัดมา ปรารถนาจะดับเสีย
    ซึ่งประทีปบูชา
    คราทีนั้น พระอุปคุตผู้ต้องโทษจืงออกโอษ ฐ์อธิษฐานด้วยอิทธิฤทธิ์ บันดาล
    ให้พายุใหญ่แห่งพญามารอันตรธานหายไป เมื่อพญามารบันดาลซึ่งฤทธิ์สิ่งใดให้
    ปรากฏมา พระมหาเถรเจ้าก็เข้าทำลายล้างเสียสิ้น จอมมารมีจิตพิโรธมากมาย
    จึงนฤมิตถายเป็นโคใหญ่ แล่นจะไปชนประทีปโรงพิธีให้ทำลาย พระเถระก็
    เนรมิตกายเป็นมหาพยัคฆ์เสือใหญ่แล่นไปจะขบกัดซึ่งโคถึก โคนั้นก็ร้องด้วย
    สำเนียงพิลึกตกใจกลัว เห็นทั่วกันสิ้นทั้งภูมินทร์บรมกษัดริย์ราชวงศ์และพระ
    ภิกษุสงฆ์ กับทั้งมหาชนในสมัยนั้น เมื่อสัตว์ทั้งสองยุทธนาการแก่กัน แลโคนั้น
    ก็ล้มลงถึงซึ่งปราชัย กลับกลายเป็นนาคราชมีศีรษะได้ ๗ เศียร เข้าคาบกาย
    พยัคฆ์ใหญ่ๆ ก็กลับกลายเป็นพญาสุบรรณราชตัวอาจหาญ คาบคั้นเอาศีรษะ
    พญานาค ลากไปมาใหัถึงซึ่งปราชัย มารใหญ่ก็ละเสียซึ่งเพศนาคแปรภาคเป็น
    ยักษ์ดุร้ายนัยน์ตาพอง ถือกระบองทองแดงใหญ่ เท่าลำตาล กวัดแกว่งเข้า
    ประหารพญาครุฑ มหาเถระจึงรีบรุดแปลงกายเป็นยักษ์ใหญ่ขึ้นไปกว่านั้นอีก
    สองเท่าเข้าทุบตีประหารเศียรพญามาร ดัวยกระบองทั้งสองหัตถ์เป็นอัศจรรย์
    พญามารสิ้นฤทธิ์ จึงแสดงองค์ให้ ปรากฏยืนอยู่ตรงนั้น องค์อรหันต์ก็กลับกลาย
    เป็นพระมหาเถระตามเดิม แล้วนฤมิตอสุภสุนัขเน่า กอบด้วยทุคันธชาติเหม็น
    ฟุ้งขจรเต็มไปด้วยหมู่หนอน ดูน่าเกลียดยิ่งนักหนา เอาเข้าผูกพันศอพญามาร
    มิซักช้า แล้วกล่าวประกาศว่า
    "ผู้ใดใครผู้หนึ่ง ถึงแม้มาตรว่าเป็นเทวดาอินทร์พรหม
    จงอย่าได้ปลดเปลื้องแก้ออกได้"
    พระกีลนาคอุปคุตผู้มีฤทธิ์กล้า กล่าวประกาศเป็นคำขาดด้วยอำนาจ
    อธิษฐานอภิญญาฉะนี้ แลัวก็ขับไล่ไสส่งพญามารไปให้พ้น อย่ามากวน
    พญาวสวัตตีมาราธิราช ซื่งมีซากอสุภสุนัขเน่าพันธนาการกับศอ จะปลด
    เปลื้องตนบ่มิได้ จักแก้ไขก็สิ้นความคิด ให้มีจิตละอายไดัอัปยศแก่เทพยดา
    แลมนุษย์ทั้งปวง จืงเหาะไปสู่วิมาน ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีวาจากล่าววิงวอน
    ให้ช่วย ท้าวเธอทั้งหลายก็อัญชลีกรด้วยคารวะกล่าวว่า "ข้าแต่พญามาราธิราช
    ข้าพระบาทช่วยมิได้ จึงเหาะไปหาท้าวสหัสนัยน์ สมเด็จพระอมรินทราธิราซ
    สมเด็จพระสุยามาเทวราช สมเด็จพระสันตุลิตเทวราช สมเด็จพระนิมมิตเทวราซ
    สมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช และท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นใหญ่ ท่านเหล่านั้นก็
    ได้แต่กล่าวว่า "พระภิกษุองค์นั้น เธอเป็นพระอรหันต์ทรงไว้ ซึงฉฬาภิญญา
    สัมมาสัมพุทธลาวก กอบด้วยมเหศักดานุภาพมาก เราทั้งหลายมิอาจแก้ ซึ่ง
    พันธนาการแห่งท่านได้ ถ้ากระไรท่านจงกลับลงไปหาพระภิกษุองค์นั้นเถิดแล้ว
    จงกล่าววิงวอนด้วยสุนทรมธุรสวาจา เธอมีจิตกรุณาก็จะปลดเปลื้องซากอลุภนี
    ด้วยหัตถ์ของท่านเอง เราเกรงกลัวอานุภาพแห่งเธอ ใครเลยจะแก้ ออกได "
    พญามารได้สดับก็มีหฤทัยทดท้อฤทธิ์สิ้นคิดสิ้นที่พึ่ง จึงกลับมาสู่สำนัก
    พระเถรเจ้า เข้าไปวิงวอนให้ช่วยปลดเปลื้องซึ่งอสุจิพันธนา พระมหาเถระกลับ
    สั่งบังคับซ้ำให้ไปยังภูผาบรรพตซึ่งอยู่ ในที่ใกล้ แล้วเปลื้องเอาซึ่งกายพันธนะ
    ประคตของท่านผูกพันศอพญามารเข้าอีก แล้วเนรมิตประคตวิเศษนั้นให้ยาว
    เหนียวแน่น รวบรัดมัดเข้าไว้กับภูเขาให้มั่นคง แล้วสำทับซ้ำ ลงไปว่า
    ท่านจงอยู่ที่นี่จนกว่าสมเด็จพระบรมนราธิบดีศรีธรรมา
    โศกราช จะกระทำการฉลองพระสถูปเจดีย์ถ้วน ๗ ปี ๗
    เดือน ๗ วัน อันเป็นงานใหญ่สำเร็จตราบใด ท่านจงอยู่ที่นี่
    ตราบนั้น"
    พระอรหันต์กีสนาคอุปคุตเถรเจ้า กล่าวแล้วก็ดำเนินไม่เหลียวหลังไป
    ยับยั้งสำราญอิริยาบถอยู่โดยควรแก่ผาสุกวิหาร

    มารรำพัน
    ทิวาวารผ่านพ้นไปนานนับไม่น้อย เคลื่อนคล้อยไปจนครบถ้วน ๗ วัน ๗
    เดือน ๗ ปี เมื่อพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงกระทำการฉลองมหาสถูปอัน
    โอฬารนั้นสำเร็จลงแล้ว พระอุปคุตเถรเจ้าจึงเข้าไปสู่ที่ใกล้พญามาร แต่แอบ
    กำบังอยู่เพื่อ จะสดับดูน้ำเสียงจอมมารว่าจะกล่าวขานประการใดบ้าง? ฝ่ายพญา-
    มาราธิราช แต่ต้องทนทุกขเวทนาแสนสาหัส ต้องถูกผูกมัดติดกับภูผาบรรพต
    ใจก็รันทดเศร้าสร้อยละห้อยหาถึงทิพยวิมาน สถานอันเป็นบรมสุขแห่งตน ณ
    สรวงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีไกลโพ้น ต้องจากมานั่งกรำแดดกรำฝนทน
    ทุกข์ทรมานนานนักหนา ก็ละเสียซึ่งพยศอันร้ายในสันดาน จอมมารมาหวนนึก
    ถึงพระสัพพัญญูบรมศาลดา จึงกล่าววาจารำพันออกมาว่า
    "กาลเมื่อพระพุทธองค์ ทรงสถิตเหนือรัตนบัลลังก์ ภายใต้ พฤกษามหาโพธิ์
    ข้าพระบาทวางโตด้วยน้ำใจริษยาขว้างไปซึ่งจักราวุธอันคมกล้า สามารถตัดวชิร
    บรรพตอันแข็งใหัขาดดุจตัดเวฬุชาติหน่อไม้ไผ่ แต่ทรงอาศัยพระบารมีญาณ
    จักรนั้นก็กลายเป็นกุสุมเพดานพวงดอกไม้บูชา นานาวุธที่ปวงบริวารของข้า
    พระบาทขว้างไป ก็กลับกลายเป็นพวงบุปผชาติตกลงมายังพื้นพสุธา แลใน
    ครานั้น ข้าพระบาทผู้ ชื่อว่ามาราธิราช ก็ถึงความพ่ายแพ้ แก่พระองค์ซึ่งทรงมี
    พระมหากรุณาเป็นที่พึ่งพำนักแก่เหล่าสรรพสัตว์เป็นนิตย์นิรันดร์ขอสมเด็จพระ
    ชินสีห์พระองค์นั้น จงทรงมาเป็นที่พี่งที่พำนักแห่งข้าในกาลบัดนี้ แต่ปางก่อน
    ข้าผู้ชื่อว่าวสวัตตี กระทำอันตรายแก่พระชินสีห์เป็นอันมาก พระผู้มีพระภาค
    จะทรงทำโทษตอบแก่ข้า มาตรว่าสิ่งใดน้อยหนื่งมิมีเลย กาลบัดนี้ สาวกแห่ง
    พระองค์ กระไรเลย ช่างไม่มีความกรุณา กระทำแก่อาตมาให้เสวยทุกข์สาหัส
    เห็นปานนี้ " ท่านพญาวสวัตตียิ่งคิดรำพัน ก็โศกศัลย์แล้วโกรธาเอาบาทาเตะถีบ
    บรรพตภูผาเลียงดังสนั่น แล้วจึงออกอุทานกถาว่า
    "ผิว์อาตมามีกุศลสมภารได้สั่งสมไว้ เบื้องว่า พระสัพ
    พัญญูเจ้า จะมีในอนาคตกาลแล้วไซร้ ขอจงอาตมาได้เป็น
    พระสัพพัญญูเถิด จะได้เกิดมีความกรุณาเป็นที่พึ่งแก่สัตว์
    ทั้งหลาย"
    เมือพญามาราธิราช ออกวาจาปรารถนาพุทธภูมิดัวยประการดังนี้ พระ
    มหาเถระจึงแสดงกายอินทรีย์ให้ปรากฏ แล้วมาโดยด่วนเข้าแก้พญามารด้วย
    ฉับพลัน ส่วนโอษฐ์นั้นก็ขอขมาโทษไปพลางว่า ดูกรมาราธิราช! ท่านจงอด
    โทษแก่อาตมา อันว่าประโยชน์แห่งท่านคือการปรารถนาพุทธภูมิ อาตมาก็ให้บัง
    เกิดขึ้นแล้ว บัดนี้ ท่านก็ถือเอาปฏิญาณซึ่งภาวะที่จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าใน
    อนาคตตั้งแต่บัดนี้ ตัวท่านเป็นปูชนียบุคคลบรมพงษ์โพธิสัตว์ ควรที่โลกทั้ง
    หลายจะทำนมัสการบูชา" พญามาราธิราชจึงกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นพุทธ
    สาวก ช่างกระไร ไม่มีใจกรุณาปรานี มาทำโทษแก่ข้าพเจ้าผู้เป็นมารแสน
    สาหัสฉกรรจ์เห็นปานนี้" สาวกพระชินสีห์จึงตอบว่า เรากับท่านเป็นคู่ทรมาน
    กัน เหตุนั้นจึงกรุณามิได้ กระทำโทษแก่ท่านครั้งนี้ เพื่อให้ท่านมีจิตยินดี
    ปรารถนาพุทธภูมิบารมีญาณ บัดนี้ตัวท่านก็เที่ยงที่จะได้ ตรัสรู้ เป็นพระสัพพัญญู
    เจ้า ก็จงได้ สงเคราะห์แก่อาตมาเถิด ด้วยว่าอาตมาเกิดเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้า
    เข้าสู่ปรินิพพานเลยแล้วมิทันเห็น ตัวท่านสิอยู่มานานช้า จงสงเคราะห์เนรมิต
    พระรูปกายแห่งพระบรมศาลดาจารย์ กับพระอัครสาวกทั้งหลายให้ เราได้ชม
    ฤทธ์แห่งท่านในกาลบัดนี้ด้วยเถิด พญามารธิราชจึงว่า "เบื้องว่าข้าพเจ้า
    นฤมิตกายเป็นพระชินสีห์พุทธเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าอย่าได้ไหว เพราะจะเป็น
    บาปแก่ข้าพเจ้า" กล่าวแล้วจึงเข้าไปในพนาสณฑ์ตำบลหนึ่งโดยไว
    พระอุปคุตเถรเจ้า จึงให้ป่าวร้องประกาศแก่ฆราวาสและพระภิกษุทั้งหลาย
    บรรดาผู้ใคร่จะได้ทอดทัศนาสมเด็จพระสัมมาลัมพุทธเจ้า ให้มาสันนิบาต
    ประชุมกันทั้งหมดมากมายนักหนา รวมทั้งพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชบรม
    กษัตริย์ บัดนั้นพญามารก็นฤมิตกายเป็นองค์พระสัพพัญญูเจ้าซึ่งประดับด้วย
    มหาปุริสลักษณะและอนุพยัญชนะวิจิตรโสภิตโอภาสด้วย ประภาฉัพพิธพรรณรังษี
    มีพระอัครสาวกอยู่เบื้องซ้ายขวา แวดล้อมด้วยมหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวาร
    เสด็จพระพุทธลีลาเยื้องย่างออกมาจากป่า แลดูงามซึ้งลุดจักพรรณนา พระมหา-
    เถระอุปคุดกับพุทธบริษัท แต่พอได้ทัศนาก็เกิดโลมชาติชูชันด้วยประสาทน์
    เลื่อมใสในดวงใจ จึงพร้อมกันถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์สักการ
    บูชาทั้งลิ้นดัวยกัน ขณะนั้น พญามารก็ทำพระรูปนฤมิตนั้นให้อันตรธาน
    ไปกลับกลายเป็นพญามาราธิราช สถิตอยู่ในที่ประชุมซึ่งมีพระบรมกษัตริย์เป็น
    ประธาน แล้วว่าขานแก่พระมหาเถระว่า "ไฉนพระผู้เป็นเจ้าจึงผิดลัญญามา
    วันทาข้าพเจ้าให้เป็นบาปเล่า? " พระคุณเจ้าอุปคุตจึงตอบว่า "อาตมามิได้ไหว
    ซึ่งท่าน แต่ได้ กระทำอภิวันทนการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูกับหมู่
    สาวกทั้งปวงต่างหาก บาปจะได้ตกอยู่แก่ท่านนั้นหามิได้ ดูกรพญามาร! ท่าน
    จงกลับไปทิพยสถานโดยควรแก่ความสุขเถิด" พญามารก็ถวายนมัสการ
    ลานิวัตนาการสู่สถานเทวพิภพแห่งตน
    จำเดิมแต่ นั้นมาจนทุกวันนี้ พญาวสวัตตีมาราธิราช ก็มีจิตอ่อนน้อมยินดี
    เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ในกาลอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนาน พญามาร
    ซึงสถิตเป็นสุขอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีขณะนี้ จักได้ตรัสเป็น
    พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระพุทธธรรมสามี เป็นพระสัมมา
    สัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวในกัปนั้น (กัปที่เรากำลังอยู่นี้ มีพระพุทธเจ้ามากที่ลุด
    ถึง ๕ พระองค์) มีไม้รังเป็นมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ พระบรมครูธรรมสามีสัมมา
    สัมพุทธเจ้านั้น จักเป็นพระบรมศาสดาสั่งสอนให้เวไนยนิกรบรรลุอมตธรรมเป็น
    อันมาก นี่แลเป็นเรื่องของบรมพงศ์โพธิสัตว์ ซึ่งในปัจจุบันนี้ เป็นเจ้าแห่งหมู่มาร
    สถิตอยู่ ณ โลกสวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีภูมิ
    อายุ ทวยเทพที่ลถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สรวงสวรรค์ชั้นสูงสุด คือ
    ปรนิมมิตวสวัตตีภูมินี มีอายุยืนนานได้ ๑๖, ๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ เก้าร้อยยี่สิบเอ็ด
    โกฏิหกล้านปี ดัวยการคำนวณปีแห่งมนุษยโลกเรานี้
    บุรพกรรม ผู้ที่จักมาอุบัติบังเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมนิตวสวัตตีภูมินี้ โดย
    มากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เขามีจิตบริลุทธิ์สุทธาคุณาธิการ มีศรัทธาเลื่อมใสใน
    การบริจาคทาน รักษาศีล ยิ่งด้วยคุณธรรม มีพรหมวิหารธรรมประจำใจ ครั้น
    ถึงชีพิตักษัย กุศลกรรมจึงชักนำให้ มาอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นสูงสุดน เสวยเทว
    สมบัติอยู่ตลอดกาลนาน ได้เสวยรสแห่งความสำราญตามจิตปรารถนา
    พรรณนาในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสตีภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติลงได้แล้ว
    จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้

    การจุติแห่งทวยเทพ
    ทวยเทพซึ่งสถิตเสวยสุขอยู่ ณ สรวงสวรรค์ทุกชั้นฟ้า ย่อมมีการจุติ
    ต้องตายจากเทวโลก เช่นเดียวกับมนุษย์เราที่เกิดมาแล้วก็ จำเป็นต้องตาย ไม่ว่า
    เทวดาในสรวงสวรรค์ชั้นไหน ย่อมตัองมีการจุติทั้งสิ้น เหตุที่ทวยเทพจักจุตินั้น
    มี ๔ ประการ คือ
    ๑. อายุขัย จุติเพราะสิ้นอายุได้แก่ เทพยดาองค์ใดได้เคยสร้างกุศลมา
    มากช้านานครั้นมาอุบัติเกิดเป็นเทวดาในสวรรคเทวโลก ด้วยเดชะบุญกุศลที่ตน
    ได้ทำไว้แต่หนหลังก็เสวยสมบัติทิพย์ตั้งอยู่นาน จนครบอายุทิพย์ในเทวโลกชั้น
    ที่ตนอยู่นั้น ครั้นหมดอายุแล้วก็จุติ การจุติเช่นนี เรียกว่าอายุขัย คือ จุติเพราะ
    สิ้นอายุ
    ๒. บุญญขัย จุติเพราะสิ้นบุญ! ได้แก่ เทพยดาที่สร้างสมบุญกุศลไว้น้อย
    เมื่อกุศลผลบุญูที่ได้ กระทำไว้มาหมดสิ้นลงเสียแต่ในระหว่างยังไม่ถึงอายุขัย ก็
    จำต้องจุติไปเกิดที่อื่นเพราะหมดบุญแล้ว จักเป็นเทวดาอยู่ได้อย่างไรเล่า ด้วย
    เขาเป็นเทวดาอยู่ได ก็เพราะอำนาจบุญูกุศลที่ทำไว้เท่านั้น เมื่อหมดบุญก็พลัน
    จำต้องจุติ การจุติเช่นนี้ เรียกว่า บุญญขัย คือ จุติเพราะสิ้นบุญู
    ๓. อาหารขัย จุติเพราะสิ้นอาหาร ได้แก่ เทพยดาบางจำพวก ครั้นได้
    เสวยทิพยสมบัติก็มีความชื่นชมยินดีนักหนา เพราะว่าตนไม่เคยได้พบเห็น
    สมบัติเช่นนี้มาก่อน จึงเพลิดเพลินไปด้วยเบญจกามคุณอารมณ์ จนลืมหลง
    บริโภคสุธาโภชนาหารทิพย์ อันเป็นปัจจัยแก่กรัชกายและชีวิต ถ้าแม้ว่าเขาลืม
    บริโภคแต่เพลาเดียว เขาย่อมมีกายทิพย์อันเหี่ยวแห้ง จะบริโภคภายหลังแม้
    สักร้อยครั้งพันครั้ง ก็มิอาจจะให้ชีวิตคืนคงได้ ความจริง เนื้อตัวของเหล่าเทพ
    ทั้งหลายนั้น มีสภาพสุขุมอ่อนละเอียดนัก หากขาดโภชนาทิพย์เสียแล้ว ก็ไม่
    แคล้วที่จักแตกทำลายได้ง่าย และจะซ่อมแซมให้ดีขึ้นมาใหม่ ก็เป็นการยากนัก
    หนา มีอุปมาดังดอกบัวสวยสดไฉไล เอาไปตากไว้ บนผืนแผ่นหินอันร้อนแรง
    ด้วยแสงอาทิตย์เวลาเที่ยงวัน ก็จะพลันเหี่ยวแห้งชอกช้ำเกรียมดำ แม้ว่าเอามา
    แช่น้ำซักร้อยครั้งพันหน ดอกอุบลนั้นก็มิอาจสดชื่นคืนคงเป็นดังเก่าเลย
    เทพยดาที่หลงลืมสุธาโภชนาทิพย์ก็เป็นเช่นกัน การจุติเช่นนี้แลเรียกว่า อาหาร-
    ขัย คือ จุติเพราะสิ้นอาหาร
    ๔. โกธพลขัย จุติเพราะความโกรธ ได้แก่ เทวดาบางจำพวก เห็นสิริ
    สมบัติของเทพองค์อื่น ซึ่งมียศและรัศมียิ่งกว่าตน ก็มีน้ำจิตริษยาหาเหตุพาล
    วิวาทก่อเรื่องทุ่มเถียงกันอยู่ เทพทั้งสองนั้น ถ้าผู้ใตมีขันติอดทนต่อความโกรธ
    ได้ไซร้ เขาทั้งหลายย่อมรักษาชีวิตซึ่งกันและกันไว้ได้ เพราะว่าใจของเทพผู้
    โกรธเป็นไฟ ส่วนใจของเทพผู้ไม่โกรธนั้นเป็นนำ ย่อมเป็นเครื่องดับไฟคือใจ
    ของเทพผู้โกรธนั้นได้ เขาทั้งสองจึงไม่ต้องจุติตายจากสวรรค์ ถ้าเขาทั้งสองนั้น
    ต่างผู้ต่างโกรธมีใจเป็นไฟด้วยกัน อันว่าเทพผู้เป็นบริวารของเขาทั้งสองฝ่าย
    ย่อมสยายเกศาลงแลร้องไห้เสียใจทุก ๆ องค์ เพราะเชื่อแน่ว่า ตนจักสิ้นนายเสีย
    ครั้งนี้ คราทีนั้นหัวใจของเทพผู้โกรธทั้งสองก็เป็นไฟไหม้ตัวตนเขาทั้งหมดถึง
    แก่ความสิ้นชีวิตต้องจุติ การจุติเช่นนี้ เรียกว่าโกธพลขัย คือ จุติเพราะกำลังแห่ง
    ความโกรธ
    เหตุที่เทพยดาจักจุติปรากฏมีเป็น ๔ ประการดังว่ามานี้ ก็วิสัยของ
    ทวยเทพทั้งสิ้นนั้น ครั้นบริโภคสุธาโภชนาหารทิพย์แล้ว จักได้มีลามกอาจม
    มูตรคูถดุจมนุษย์เรานี้ก็หามิได้ นี่ประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่ง เทพยดาที่
    จุติจากสวรรค์จักได้ มีอสุภซากศพปรากฏอยู่ก็หามิได้ ฉะนั้น กิจด้วยการบอก
    กล่าวให้ช่วยกันฌาปนกิจ คือ เผาศพ ให้วุ่นวายหนักอกหนักใจไปทั่วอย่าง
    มนุษย์เราทุกวันนี้ก็ดี หรือจำต้องกระทำตามพิธีให้ชุลมุนวุ่นวาย หมดสิ้นทรัพย์
    สินพอสมควรแก่การแลัว ก็พากันนำไปฝังให้รกพื้นปฐพีเนื้อที่สวรรค์ไปโดยใช่
    เหตุอย่างนี้ก็ดี ในเทวโลกไม่มีเลยเพราะว่าเทวดานั้นพอจุติสิ้นชีวิตแล้ว ก็หาย
    วับไปทั้งร่าง ไม่ปรากฏสังขารร่างกายอะไรเหลืออยู่เลย ก็แลเทวดาทั้งหลายนั้น
    ครั้นยังอีก ๗ วัน เขาจะจุติ ย่อมบังเกิดบุรพนิมิตมาปรากฏก่อนเป็นธรรมดา 4

    จุตินิมิตของเทพยดา
    นิมิตล่วงหน้า ถึงอุบัติเกิดสักเทพยดาผู้จักต้องจุตินั้น มี ๕ ประการ คือ
    ๑. เทพนั้นย่อมเห็นดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับสำหรับองค์อันอยู่ในวิมานของ
    ตนเหี่ยวแห้ง และไม่หอมเลย ซึ่งตามธรรมดาดอกไม้นี้หอมนักหอมหนา ตลอด
    เวลาหอมตลบอบอวลชื่นใจนัก แต่เมื่อถึงคราวจักวิบัติในขณะนี้ ก็ให้มีอันเป็น
    เหี่ยวแห้งและไรักลิ่น
    ๒. ผ้าทิพย์เครื่องประดับสำหรับองค์ ก็เศร้าหมองลงเหมือนดอกไม้ ไม่
    รุ่งเรืองสดใสไปด้วยรัศมีงดงามเช่นที่เคยเป็นมาทุกวัน
    ๓. เคยสุขรื่นเริงบันเทิงใจ ด้วยการเสวยทิพยสมบัติ แต่เมื่อถึงคราวจะ
    พลัดพราก ก็ให้มีอันเป็นหาสุขบ่มิได้ มีเหงื่อไหลออกมาจากรักแร้ ซึ่งแต่ก่อน
    ร่อนชะไรไม่เคยมีเหงื่อเลยนับเป็นเวลานาน
    ๔. อาสนะที่นั่งเล่นและแท่นที่บรรทมแลนสุข ก็ให้ โอนดุจมีไฟลุกอยู่ภายใต้
    ให้ แข็งกระด้างปรากฏแก่ใจหาความสุขสบายมิได้
    ๔. กายของเทพนั้น ย่อมเหี่ยวแหังเศร้าหมองลงหารัศมีเช่นก่อนมิได้ ให้
    เหน็ดเหนื่อยเมื่อยเนื้อตัวตีนมือ มีความกระวนกระวายใจ เพราะว่าแต่ก่อนนี้
    ไซร้ ตัวเขามีรัศมีรุ่งเรืองงดงามทุกเมื่อ แสนจะสุขสบาย จะได้ มีอาเพศเหตุวิปริต
    ฉะนี้ก็หาไม่
    กาลเมื่อนิมิตทั้ง ๕ ปรากฏเช่นนี้ แล้ว อันว่าเทพยดาทังหลายที่มีวิสาสะ
    รักใคร่กันเป็นอันดี และเทพนารีที่เป็นบาทบริจาริกาสุดที่รักดังดวงใจทั้งใกล้
    และไกลย่อมจะมาสู่หาตลอดทั้ง ๗ วันนั้น ให้มีโศกศัลย์ทุกข์โทมนัสนักหนา
    แล้วก็ชักชวนพากันไปเล่นที่ สระโบกขรณี แลสวนสวรรค์อันเป็นที่สนุก เพื่อให้
    เทพยดานั้นเคลื่อนคลายหายจากทุกข์ เมื่อตัดอาลัยมิได้ เขาทั้งหลายก็พากัน
    ร้องไห้ต่อหน้าแล้วสะอื้นวอนด้วยคำว่า
    "ข้าแต่ท่านผู้เป็นสุดที่รักปานดวงใจ จุติแล้วไซร้
    ขอจงได้กลับมาเกิดในวิมานอันแสนสำราญนี้อีกเถิด"
    แต่เฝ้าโศกศัลย์ลั่งเสียด้วยความรักกันดังนี้ พอครบถ้วนวันที่ ๗ ก็มีเหตุ
    ใหัเทพยดานั้นจุติ ถึงแก่พิราลัยตายจากเทวโลกไม่มีเหลือ แม้แต่เส้นเกศาสัก
    เส้นหนึ่งก็ไม่เหลือปรากฏ หายวับไปหมดลิ้น และจักไปอุบัติบังเกิดในถิ่นใดนั้น
    ก็สุดแต่บุญแลบาปของเทพยดานั้นจักชักนำไปเอง
    พรรณนาเรื่องจุติและนิมิตซึ่งบังเกิดขึ้นก่อนจุติของทวยเทพในสวรรคเทว-
    โลกทั้ง ๖ ชั้น ขอยุติลงเพียงแค่นี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญูญาทั้งหลายจงติดตามเรื่อง
    พรหมโลก ซึ่งเป็นภูมิที่สูงกว่าสวรรคเทวโลกต่อไปอีกเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011
  2. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
    ในบุญกุศลที่ได้เผยแพร่พระธรรมด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2011
  3. โพธิวิถี

    โพธิวิถี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    150
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +580
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนา
    ในมหากุศลด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
    ขอใหเปฏิบัติบัติธรรมโดยง่าย ถึงที่สุดแห่งธรรมโดยเร็ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...