(3)หนังสือโลกทีปนี เกี่ยวกับภพภูมิ นรก สวรรค์ ตอน เทวโลก1

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 19 สิงหาคม 2011.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    จาตุมหาราชิกาภูมิ

    สวรรค์ชั้นที่ ๑
    บัดนี้ จักพรรณนาถึงสวรรค์ชั้นฟ้า หรือที่เรียกว่า เทวภูมิ อันเป็นที่สถิต
    อยู่ของทวยเทพทั้งหลายเป็นลำดับไป ตั้งแต่ชั้นต้นจนถึงชั้นลูงสุด ก็สวรรค์
    ชั้นต้นนี้มีชื่อว่า จาตุมหาราชิกาภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้า ซึ่งมี
    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ ทรงเป็นอธิบดี
    สวรรค์ชั้นฟ้าซึ่งมีนามว่า จาตุมหาราชิกาภูมินี้ มีเทพนครใหญ่อยู่ ๔
    เทพนคร แต่ละเทพนครมีกำแพงทองเหลืองอร่าม ซ้ำ ประดับไปด้วยแก้ว ๗
    ประการ แลดูงามนักหนา บานประตูกำแพงนั้นแล้วไปด้วยแก้ว และมีปราลาท
    ซึ่งรุ่งเรืองสวยงามอยู่เหนือประตูทุกประตู ภายในเทพนครอันกว้างใหญ่ไพศาล
    นั้น มีปราลาทแก้วอันเป็นวิมานที่อยู่ของชาวฟ้าเทพยดาทั้งหลายปรากฏอยู่
    มากมาย พื้นภูมิภาคนั้นเล่า ก็หาใช่เป็นพื้นแผ่นดินเช่นมนุษยโลกนี้ไม่ โดยที่
    แท้ เป็นพื้นแผ่นทองคำมีสีเหลืองอร่ามรุ่งเรืองเลื่อมพรณราย ราบดุจหน้ากลอง
    และอ่อนนุ่มดุจฟูกผ้า เมื่อฝูงเทพยดาเหยียบลงไปก็อ่อนยุบลงแล้วก็เต็มขึ้นมา
    ดุจเดิม มิได้เห็นรอยเท้ารอยบาทของเทพยดานั้นเลย นอกจากนี้ ยังมีสระ
    โบกขรณีมีน้ำใสยิงกว่าแก้ว เต็มไปด้วยปทุมชาติดาษดานานาชนิด ส่งกลิ่นหอม
    ตลบอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณเป็นเหมือนเช่นใครแสร้งเอาน้ำอบน้ำ หอมไปพรม
    ไว้ มีดอกไม้นานาพรรณ สีสันวิจิตรตระการ และมีต้นไม้สวรรค์ประเสริฐนัก
    หนา ด้วยมี ผลโอชารสอันยิ่ง ทุมามิ่งไม้ในสวรรค์นั้น ย่อมมีดอกมีผลอันเป็น
    ทิพย์ให้ทวยเทพได้ชื่นชมอยู่ตลอดกาล ไม่มีวันร่วงโรยและหมดไปเลย

    อุปัตติเทพ
    เหล่าสัตว์ทั้งหลาย บรรดาที่ได้ก่อสร้างบุญกุศลเอาไว้ บุญกุศลนั้นก็จะนำ
    ส่งให้มาอุบัติเกิดในโลกสวรรค์ และเมื่อจะเกิดนั้น ก็เป็นอุบัติเทพ ไม่ต้องนอน
    ในครรภ์มารอ หรืออยู่ในฟองไข่เหมือนเช่นมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานทั้ง
    หลายอุบัติเกิดขึ้น มีรูปร่างเป็นทิพย์ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวเป็นเทพบุตรเทพธิดา
    เลยทีเดียว เมื่ออุบัติเกิดขึ้นในเทวโลกแล้ว จะตั้งอยู่ใน ฐานะอะไร ก็แล้วแต่สถาน
    ที่ซึ่งตน อุบัติขึ้น คือ
    - ถัามีบุญน้อยไม่สามารถจะมีวิมานของตนเองได้ ไปอุบัติขึ้นที่ตักของ
    เทวดาองค์ใด ก็ตั้งอยู่ในูฐานะเป็นบุตรเป็นธิดาของเทวดาองค์นั้น
    - ถ้าเป็นสตรีทำบุญไว้ ตายแล้วไปอุบัติบังเกิดขึ้นเหนือแท่นที่บรรทมของ
    เทพองค์ใด ก็ต้องเป็นบาทบริจาริกาของเทพองค์นั้น
    - ถ้ามีบุญกุศลสร้างไว้น้อย มีวาสนาจะได้เป็นเพียงพนักงานตกแต่ง
    ประดับประดาอาภรณ์วิภูษิต เครื่องต้นเครื่องทรงของเทพองค์ใด ย่อมอุบัติเกิด
    ณ ที่ใกล้ๆ ที่บรรทมของเทพผู้ จะเป็นนาย
    - ถ้ามีวาสนาจะได้เป็นเพียงเทวดาประเภทรับใช้ เป็นบริวารของเทพผู้มีงเทพผู มี
    บุญองค์ใด ก็ย่อมไปอุบัติเกิดภายในบริเวณปราลาทวิมานของเทพผู้จะเป็นนาย
    องค์นั้น
    หากว่าไม่ได้ไปอุบัติเกิดในบริเวณวิมานทิพย์ของเทพองค์ใดทั้งนั้น แต่
    อุบัติเกิดในที่ว่างระหว่างแดนต่อแดน ไม่ทราบว่าจะเป็นบริวารของเทพผู้เป็น
    เจ้าของวิมานไหน ในกรณีนี้ องค์เทพผู้ ทรงเป็นอธิบดียิ่งใหญ่กว่าฝูงเทพทั้งปวง
    ในเมืองนั้นย่อมจะเสด็จมาเป็นผู้พิพากษาตัดสิน วิธีพิพากษาของพระองค์ท่าน
    ก็คือ หากเทวดาที่เกิดใหม่นั้น เกิดใกล้วิมานของเทพองค์ใด ก็ทรงตัดสินให้
    เป็นบริวารของเทพองค์นั้น หากว่าอนุมานดูแล้ว สถานที่อุบัติเกิดนั้นกึงกลาง
    พอดี ก็ต้องดูที่หน้าของเทพที่เกิดใหม่ หากว่าหันหน้าเล็งแลไปทางวิมาน
    ของเทพองค์ใด พระองค์ก็ตัดสินให้เป็นบริวารของเทพองค์นั้น ถ้าว่าเทวดาผู้
    เกิดใหม่นั้น ไม่แลดูวิมานของเทพองค์ใดเลย เฉยอยู่เช่นนั้น ท่านอธิบดีผู้
    พิพากษายิ่งใหญ่กว่าเทวดาทั้งปวง ก็ทรงตัดสินเอาเป็นบริวารของพระองค์เอง
    ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตัดปัญหาเสีย
    - ถ้าได้เคยสร างบุญูกุศลไว้มากพอ ก็ไปอุบัติบังเกิดในวิมานของตนเอง
    เพราะว่ามีวิมานคอยต้อนรับอยู่แล้วพร้อมกับบริวาร ไม่ต้องเป็นบุตรธิดาหรือ
    เทวดารับใช้ของผู้ใด เป็นอยู่อย่างอิสระเสรี เสวยสุขอยู่ในเมืองแมนแดนสวรรค์
    นั้นเมื่อจะกล่าวถึงชีวะความเป็นอยู่ ทวยเทพทั้งหลายย่อมมีสรีระร่างกายเป็น
    ทิพย์ มีรูปโฉมโนมพรรณสวยงามนักหนา กายาเนื้อตัวบริสุทธิ์ ละอาดปราศ-
    จากมลทินโทษด้วยประการทั้งปวง จะได้มีกลิ่นเหม็นและกลิ่นร้ายในกายของ
    เขาเช่นมนุษย์เรานี้ แม้แต่ลักนิดหนึ่งเป็นไม่มีเลย และเขาย่อมจะเนรมิตกาย
    ใหัใหญ่โต หรือเล็กเท่าใดก็ได้ตามจิตปรารถนา เพราะกายาของเขาเป็นทิพย์
    เทวดาซึงมีจำนวน ๒๐-๘๐ องค์ อาจจะเนรมิตตนลงให้อยู่ในลถานที่เล็กน้อย
    ประมาณเท่าปลายเส้นผมก็ย่อมทำได้ ในข้อนี้พึงเห็นตัวอย่าง เช่น กาลเมื่อ
    ฝูงเทพยดาทั้งหลายพากันมาเฝ้าสมเด็จพระบรมโลกนาถเจ้าองค์พระชินสีห์
    บางทีมากันมากตั้งแสนโกฏิเพื่อลดับพระธรรมเทศนา ถ้าว่าเมื่อไม่เนรมิตกาย
    แล้วไซร้ เขาจักได้ที่ ๆ ไหนเป็นที่ฟังธรรมเล่า ฉะนั้น เขาจึงพากันเนรมิตกาย
    ลงให้เล็กนักหนา แล้วตั้งใจสดับพระธรรมเทศนาได้โดยสะดวกง่ายดาย
    อนึ่ง ฝูงเทพยดาทั้งหลายย่อมบริโภคสุธาโภชนาหารอันเป็นทิพย์
    ทุกวารวัน สุธาโภชนาหารนั้นย่อมแห้งเหือดหายไปในกายของเขาจนหมดสิ้น
    จะได้มีมูตรคูถมีกลิ่นเหม็นรัายกาจเช่นมนุษยชาติก็หาไม่ ตราบใดที่ยังเป็น
    เทพอยู่ในสรวงสวรรค์ อุปัทวันตรายอันเกิดแต่โรคภัยไข้เจ็บ ย่อมจะไม่มา
    เบียดเบียนบีฑาแม้แต่นิดหนึ่งเลย เขาย่อมเป็นอยู่อย่างสุขสำราญ ชื่นบาน
    นักหนา และทรงผ้าผ่อนเครื่องประดับอลังการอันเป็นทิพย์ มีรัศมีรุ่งเรืองส่อง
    สว่าง ก็ผัาทิพย์ภูษาที่เทวดาทั้งหลายนุ่งห่มนั้น อย่าพลันเข้าใจว่าเป็นผ้าอย่าง
    เมืองมนุษย์ โดยที่แท้ ผ้าของเขาเป็นผ้าทิพย์ผืนเล็กนิดเดียว มีปริมาณเท่า
    ดอกปีบเท่านั้น ครั้นเขาคลี่ออกจะนุ่งห่มนั้น กลับพลันใหญู่ยาว

    อรุณรัตน์:





    จาตุมหาราชถวายบาตร
    กาลเมื่อพาณิชสองพี่นัองซึ่งมีนามว่า ตปุสสะและภัลลิกะ ได้เห็นองค์
    พระสัพพัญญู ณ ภายใต้ ร่มไม้เกดแล้ว มีจิตเลื่อมใสศรัทธา จึงนำเอาสัตตูก้อน
    สัตตูผงเข้าไปถวาย สมเด็จพระผู้ มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริว่า บาตรของ
    พระตถาคตมิได้มี ก็เยี่ยงอย่างพระชินสีห์แต่ปางก่อน ทรงรับบิณฑบาตด้วย
    พระหัตถ์ มีบ้างหรือ ก็กาลบัดนี้ ตถาคตจะรับบิณฑบาตของสองพาณิชนี้ด้วย
    ประการใด" ที่ทรงพระดำริเช่นนี้ก็เพราะว่า ในขณะนี้ พระองค์ไม่มีบาตรเลย
    แท้จริงบาตรที่ฆฏิกามหาพรหมถวายไว้นั้นไดัอันตรธานไปแต่ในกาลเมื่อทรงรับ
    มธุปายาสของนางสุชาดา ทรงรับถาดมธุปายาสเสวยแล้ว นำไปลอยในกระแส
    น้ำเนรัญชรานที จนถาดนั้นจมลงไปอยู่ที่พิภพแห่งกาฬนาคราช ตั้งแต่วันนั้น
    มานับได้ ๔๙ วัน ก็มิได้เสวยพระกระยาหารสิ่งใดเลย เมื่อทรงมีพระการุญจิต
    จะอนุเคราะห์แก่สองพาณิช จึงทรงมีพระดำริดังนี้ คราทีนั้น จึงท้าวมหาราช
    ทั้ง ๔ ซึ่งเป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้ นจาตุมหาราชิกานี้แล ทรงทราบพระพุทธ
    อัธยาศัย จึงได้ทรงนำเอาบาตรล้วนแล้วด้วยศิลา ซึ่งมีพรรณดังสีถั่วเขียว ต่าง
    องค์ต่างก็นำมา แล้วน้อมเกล้าฯเข้าไปทูลถวายพร้อมกัน สมเด็จองค์อรหันต์
    พระสัมมาลัมพุทธเจัาก็ทรงรับทั้ง ๔ บาตร เพื่อจะรักษาปสาทศรัทธาแห่ง
    ท้าวจาตุมหาราช ใช่จะทรงรับไว้ด้วยมหิจฉภาพมักมากก็หามิได้ แล้วจึงทรง
    อธิษฐานประสานบาตรทั้ง ๔ นั้นเข้าเป็นบาตรเดียวกัน แล้วก็ทรงรับข้าวสัตตู
    ของสองพาณิชด้วยบาตรนั้น จึงเป็นอันปรากฏว่า ในกาลต่อมา สัณฐาน
    บาตรของพระภิกษุในพระพุทธศาลนา ย่อมมีรอยต่อ ๔ รอยในบาตรทุกใบให้
    เห็นประจักษ์เป็นประเพณีสืบมา
    อายุ ทวยเทพที่สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ มีอายุ
    ได้ ๕๐๐ ปีทิพย์ นับได เก้าล้านปี ด้วยการคำนวณปีแห่งมนุษยโลกเรานี้
    บุรพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติเกิดเป็นเทพยดาเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นนี โดย
    มากเมื่อเป็นมนุษย์ เขาเป็นคนมีจิตบริสุทธิ์ พยายามหาความดีใส่ตน สนฺตุฏโฐ
    เป็นคนสันโดษยินดีแต่ของ ๆ ตน เป็นหัวหน้าชักชวนคนทั้งหลายให้ประกอบ
    การอันเป็นบุญกุศล ครั้นแตกกายวายชนม์ กุศลกรรมจึงนำมาให้อุบัติเกิดใน
    สวรรค์ชั้นนี้ ตามปรารถนา
    พรรณนาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติลงได้แล้ว
    จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้

    ตาวติงสาภูมิ
    สวรรค์ชั้นที่ ๒
    สวรรค์ชั้นฟ้าต่อจากจาตุมหาราชิกาภูมิขึ้นไป มีชื่อว่า ตาวติงสาภูมิ หรือ
    ทีเรียกกันให้ ฟังกันง่ายๆ ในหมู่ชาวเราว่า สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ที่ได้ชื่อเช่นนีก็
    เพราะว่าสวรรค์ชันนี้เป็นที่ประทับอยู่ของเทพผู้เป็นใหญ่ ซึ่งเป็นสหายกัน ๓๓
    องค์โดยมี สมเด็จพระอมรินทราธิราชทรงเป็นประธานนั้นท่านจึงขนานนามว่า
    ตาวติงสาภูมิ = ภูมิที่เป็นที่อยู่ของเทพสามสิบสามองค์
    ชั้นฟ้าชื่อว่าดาวดึงส์นี้ ตั้งอยู่เหนือเขาสิเนรุราชบรรพต ปรากฏเป็น
    เมืองใหญ่กว้างขวางนักหนา ปรางค์ปราสาทล้วนแล้วไปด้วยแก้วอันเป็นทิ พย์
    แวดล้อมรอบเทพนครด้วยกำแพงแกัวอันเป็นทิพย์ เพราะความกว้างใหญ่ของ
    เทพนคร จึงปรากฏว่า มีประตูที่กำแพงแก้วถึง ๑,๐๐๐ ประตู และมีปราลาท
    ยอดอันสวยงามอยู่เหนื อประตูทุกประตู เมื่อเปิดประตูแต่ละครั้ง ย่อมเกิด
    เสียงไพเราะยิ่งนัก ในท่ามกลางเทพนครไตรตรึงษ์นั้น มีไพซยนต์ปราลาท
    วิมานสูงเยี่ยมงดงามสุดพรรณนา แล้วไปด้วยลัตตพิธรัตนแก้ว๗ประการ
    เพราะเป็นวิมานขององค์เทพผู้ เป็นเทวราชซึ่งมีนามปรากฏว่า สมเด็จพระ
    อมรินทราธิราช เกือบตลอดเวลาพระองค์สถิตอยู่ ณ ไพชยนต์ปราสาทวิมาน
    อันรุ่งเรืองงดงามพ้นประมาณนั้น

    ไตรตรึงประวัติ
    ความจริง สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ เดิมทีเดียวหาใช่เป็นที่ประทับอยู่ของเหล่า
    เทพยดา ซึ่งมีพระอินทร์เป็นจอมเทพไม่ ตามประวัติมีว่า ท่านผู้ประดิษฐาน
    วงศ์พระอินทร์องค์อธิบดีนั้น ครั้งท่านเกิดเป็นมนุษย์มีนามว่า มฆมาณพ
    เป็นคนมีบุญสุนทาน ชักชวนบุรุษซึ่งเป็นสหายของตน ๓๒ คน ประกอบ
    กองการกุศลต่าง ๆ มีการสร้างศาลา และทำถนนหนทาง เป็นต้น อันเป็น
    สาธารณประโยชน์ และบำเพ็ญสัตตปทานวัตร หรือวัตตบท ๗ ประการ คือ
    ๑. เลี้ยงดูบิดามารดาโดยเคารพ
    ๒. ยำเกรงต่อผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูล
    ๓. กล่าวถ้อยคำอ่อนหวานไพเราะ
    ๔. ไม่กล่าวเปสุญญวาทวาจาล่อเสียดผู้อื่น
    ๕.ไม่ตระหนี่เหนียวแน่น
    ๖. ตั้งอยู่ในความสัตย์ลุจริต
    ๗. ไม่ฟุ้งซ่านด้วยความโกรธ
    มาณพนั้นพยายามสร้างบุญกุศล และประพฤติธรรมอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์
    พอตายแล้วก็ขึ้นไปเกิดที่เทวภูมิแห่งนี้ บรรดาเทพบุตรซึ่งได้ไปเกิดอยู่ก่อนมี
    มากมาย ครั้นเห็นพวกมาณพมาอุบัติเกิดขึ้นใหม่ก็ดีใจ ชวนกันนำน้ำ คันธบาน
    อันเป็นทิพย์มาดื่มเลี้ยงต้อนรับ แล้วเชื้อเชิญมฆเทพผู้เป็นหัวหน้าให้เป็นอุปราช
    เสวยสมบัติกึ่งหนึ่ง
    ฝ่ายมฆเทพเจ้านั้นมิได้มีจิตยินดีด้วยอุปราชสมบัติ จึงให้สัญญาแก่
    เทพบริษัทผู้ เป็นบริวารแห่งตนมิให้ ดื่มซึ่งน้ำคันธบานที่เทพบุตรผู้อยู่ก่อนนำมา
    เลึ้ยง อันว่านำ คันธบานในเมืองสวรรค์นั้นมีรสหวานอร่อยยิ่งนัก แต่ทว่าพอดื่ม
    เข้าไปแล้ว จะปรากฏมีอาการมึนเมาเหมือนสุรา เพราะฉะนั้น เมื่อเนวาสิก
    เทพบุตรพร้อมกับบริวารของตน แต่งน้ำคันธบานให้อาคันตุกเทพบุตร และ
    ตนก็ดื่มกินเองเสียจนมัวเมาหาสติมิได้ ท้าวสหัสนัยน์จึงใช้ให้บริวารจับเทพ-
    บุตรผู้อยู่ก่อนเหล่านั้นขว้างทิ้งลงจากสวรรค์ชั้นนี้ เพราะไม่ปรารถนาที่จะอยู่
    ร่วม แล้วตั้งตนเป็นใหญ่ปกครองเทพบริษัทของตนและทวยเทพทั้งหลายที่
    มาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ได้รับการเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระอมรินทราธิราช
    พระองค์มีพระสหายสามสิบสองพระองค์ ซึ่งได้ร่วมสร้างกุศลกันมา ครั้งเป็น
    มนุษย์ช่วยปกครองสวรรค์ชั้นนี้ด้วย ฉะนั้น สวรรค์ชั้นนี้จึงปรากฏนามสืบมา
    จนทุกวันนี้ว่า ดาวดึงส์ = สวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพสามสิบสามองค์

    อสูรพิภพ
    ฝ่ายเนวาสิกเทพบุตรผู้เป็นเจ้าถิ่นเดิมครั้นถูกพวกของสมเด็จพระ-
    อมรินทราธิราชจับขว้างทิ้งลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในครั้งนั้น พอตกมาถึง
    ท่ามกลางสิเนรุบรรพตก็ค่อยได้สติสมปฤดี แล้วจึงถ้อยทีถ้อยกล่าวแก่กันว่า
    "พ่อเอ๋ย ชาวเราทั้งหลาย! แต่นี้ต่อไปพวกเราอย่าไดัดื่มกินซึ่งน้ำคันธบานอัน
    มีฤทธิ์ร้ายประดุจสุราเลย เพราะดื่มน้ำ คันธบานนี่เอง ชาวเราทั้งหลายจึง
    ต้องได้ รับความอัปยศในครั้งนี้ จักขึ้นไปอยู่ในสถานที่เก่ากระไรได้" แต่เฝ้าเสีย
    ใจและให้โอวาทอนุสาสน์แก่กันดังนี้ แล้วก็พร้อมใจกันเลิกดื่มน้ำคันธบานตั้งแต่
    วันนั้นเป็นต้นมา ฉะนั้น เทพบุตรเหล่านั้นจึงได้นามว่า อสูร ซึ่งแปลว่า ผู้ไม่
    ดื่มน้ำคันธบานอันมีฤทธิ์แรงคล้ายสุรา
    ด้วยเดชะแห่งกุศลกรรมที่เทพบุตรเหล่านั้นได้สร้างสมมาแต่ปางก่อน จึง
    บังเกิดเป็นเทพนครอันสวยสดงดงามตระการ กว้างใหญ่รุ่งเรืองคลัายกับ
    ดาวดึงล์พิภพทุกประการ เพียงแต่ว่าความวิจิตรพิสดารต่ำกว่าเล็กน้อยเท่านัน
    นครนี้ บังเกิดขึ้นที่เชิงสิเนรุบรรพต ปรากฏว่ามีน้ำล้อมรอบกำแพงเมืองเป็น
    ปกติอยู่เสมอมิได้ขาด มีรุกขชาตินามว่า ไม้ปาตลี คือ ไม้แคฝอย ประดับ
    งดงามประจำพระนครนี้ เพราะเหตุที่เทพบุตรเหล่านั้นเข้าอยู่อาศัยแสนสำราญ
    ฤทัย เทพนครนี้จึงได้นามว่า อสูรพิภพ = พิภพของอสูรเทพบุตร

    ท้าวเวปจิตตาสูร
    เทพบุตรผู้เป็นประธานาธิบดี มีนามว่า สัมพรอสุรา เธอเป็นใหญู่ในอสูร
    พิภพ บริบูรณ์ด้วยวรรณะอิสริยศักดิ์เช่นเดียวกับองค์อมรินทราธิราชบน
    ดาวดึงส์พิภพทุกประการ เบื้องว่าอสูรทั้งหลายเสวยสมบัติอยู่ในอสูรพิภพนั้น
    ต่อเมื่อใดไม้ปาตลีมีดอกบานสะพรั่ง เหล่าอสูรหวนคิดถึงความหลัง ครั้งอยู่บน
    เทวนครดาวดึงส์ ซึ่งมีไม้ปาริชาตประจำเทพนคร ย้อนนึกถึงความเก่าก็มีความ
    เศร้าระคนเคืองแค้นนักหนา ช่ะ น้อยไปหรือ องค์อมรินทร์ล่อลวงให้เราดื่ม
    กินน้ำคันธบานแต่ฝ่ายเดียว มิได้เฉลียวใจเลยว่าจะหยาบช้าคิดชิงเอาเทพนคร
    ของเราได้ มาเถิดเหวย เราทั้งหลายจะพากันไปชิงเอาสมบิตของเราคืนให้จงได้"
    แล้วก็จัดแจงสรรพโยธาเป็นอันมาก มุ่งหน้าขึ้นไปเพื่อจะต่อสู้ทำสงครามสัม-
    ประหารกับสมเด็จพระอมรินทราธิราชปางเมื่อเทวาสูรสงคราม คือ สงคราม
    ระหว่างเทวดากับอสูรรบกันนั้น ปรากฏว่า ฝ่ายอสูรเทพบุตรมีแต่ความปราชัย
    มากกว่ามีชัย องค์สัมพรอสูรผู้เป็นใหญ่แสนเจ็บใจนัก เมื่อปลาตนาการหนี
    มาพบบรรณศาลาของโยคีฤๅษีสิทธิ์ทั้งหลาย ก็เข้าใจเอาเองว่าองค์อินทร์คง
    จักมีโยคีเหล่านีเป็นองคมนตรีที่ปรึกษา ฝ่ายตนจึงปราชัยพ่ายแพ้ แล้วสั่งให้
    บริวารพากันแย่งยื้อรื้อบรรณศาลาเสีย มิหนำซ้ำยังทุบต่อยหม้อน้ำ และทำลาย
    บริขาร ของโยคีทั้งปวงไม่มีชิ้นดี ฤๅษีทั้งหลายจึงปรับความเข้าใจว่า ''อาตมา
    ภาพทั้งปวงมิได้เกี่ยวข้องในการนี้ อย่าต้องให้ มีความลำบากเลย ขอบพิตรจง
    ให้ อภัยเสียเถิด" สัมพรอสูรได้ฟังจึงว่า "ข้าแต่พระดาบสทั้งปวง ท่านทั้งปวงนี้
    พอใจที่ จะคบหาด้วยพระอินทร์ซึ่งเป็นผู้ผิด แล้วกลับมาขอซึ่งอภัยแก่ข้า
    อภัยนั้นหามีไม่แล้ว น่าที่ข้าพเจ้านี้มีแต่จะให้ซึ่งภัยแก่พระผู้ เป็นเจ้าอย่างเดียว
    จึงเหมาะกว่า ดาบสทั้งหลายจึงพร้อมใจกันสาปแช่งว่า
    " ดูกรอสูรผู้ใจบาป เราทั้งปวงนี้มีความประสงค์จะขอ
    อภัย ไยท่านกล้ามาให้ซึ่งภัยเสียเล่า? เราใคร่จะขอรับเอา
    อภัยอย่างเดียว เมื่อท่านมาให้ภัยกระนี้ เรามิรับดอก ภัยนั้น
    จงตกอยู่กับตัวท่านเองเถิด นี่แน่ะสัมพรอสูรเอ๋ย ธรรมดาว่า
    พืชทั้งปวงนั้นอันบุคคลหว่านลงไป คราวเมื่อจะได้ผล ก็ไห้
    ผลบ่มิผิดก็บพืชเลยฉันใดก็ดี กัลยาณการ บุคคลกระทำซึ่ง
    การกุศล ก็จักพลันได้ซึ่งผลแห่งกุศลนั้น เป็นเที่ยงแท้ แต่
    บาปการีบุคคลกระทำซึ่งบาปหยาบช้า ก็อย่าหมายเลยว่าจะ
    ไม่ได้รับผลแห่งความชั่ว ตัวท่านให้ซึ่งภัยแก่อาตมภาพทั้ง
    ปวงก็จักได้รับภัยในไม่ช้านี้ "
    ตั้งแต่วันที่มีปากคำต่อเถียง และถูกพระดาบสทั้งหลายสาปแช่งมา
    สัมพรอสุรินทร์มิเป็นอันจะกินจะหลับจะนอนเลย มีแต่หวาดเสียวสะดุ้งจิ ต
    ประสาทหวาดหวันอยู่เป็นนิตย์ เฝ้าแต่คิดกลัวภัยที่ดาบสว่า เพลาเข้าสู่ที่บรรทม
    ในคราวหนึ่ง แต่พอเอนซึ่งองค์ลงว่าจะหลับก็มีอันให้เห็นศัตรูร้ายมาแวดล้อม
    กลุ้มรุม และจะแทงด้วยหอกใหญู่ ก็ให้ หวาดใจพะว้าพะวัง แล้วผวาลุกขึ้นทันที
    ร้องขึ้นด้วยสำเนียงอันดังว่า "นี่ใครจะมาทำอะไรแก่ข้า" ที่นั้นหมู่อสูรทั้งหลาย
    ก็แตกตื่นพากันมาเยี่ยมเยียนเป็นอันมาก ต่างไต่ถามว่าเป็นประการใด สัมพร-
    อสูรนั้นไซร้ ท้าวเธอเกรงจักได้ รับความอับอาย จึงอำพรางเสียมิได้ บอกแก่
    ผู้ใดผู้หนึ่ง ครั้นถึงเพลาบรรทมอีกเล่า นิมิตรัายนั้นก็เข้ามาปรากฏอีกเหมือน
    เดิม แต่มันมาปรากฏอยู่หลายครั้งหลายหนนักหนา จอมอสูราเลยเป็นไข้!
    กลายเป็นเทพผู้ป่วยโรคาพาธ มีจิตประสาทหวาดหวั่นไหวให้สะดุ้งกลัวอยู่
    เนืองๆ เรื่องอัปยศขายหน้าที่ท้าวเธอปกปิดนักหนา ก็กลายเป็นอันว่ารู้กันไป
    ทั่วทั้งหมู่เทพเทวา มิหนำซ้ำ ยังพากันขนานนามอีกว่าท่านท้าวเวปจิตตาสูร -
    จอมอสูรผู้ มีจิตหวาดหวั่นไหว
    ความเป็นอยู่ เมื่อกล่าวถึงความเป็นอยู่ในอสูรพิภพนี้ ก็มีความเป็นอยู่
    เช่นเดียวกับทวยเทพทั้งหลาย คือ เสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุข มีแต่ความสดชื่น
    รื่นเริงใจอยู่เป็นอันมาก มิต้องลำบากยากเข็ญ แต่ประการใด ด้วยอำนาจ
    กุศลกรรมที่เหล่าอสูรทำไวัแต่ปางก่อน โดยมีการแบ่งเขตปกครอง ดังต่อไปนี้
    ๑. ทิศตะวันออก มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ท่านท้าวสัมพรอสูร หรือ
    ท่านท้าวเวปจิตตาสูรที่กล่าวถึงเมื่อตะกี้นี้ ทรงเป็นองค์อธิบดีปกครองเอง
    แล้วทรงแต่งตั้งให้ ไพจิตตาสูรเป็นองค์อุปราช
    ๒. ทิศใต้ ท้าวอสัพพราสูรเป็นองค์อธิบดี มีทัาวสุลิอสูรเป็นองค์อุปราช
    ๓. ทิศตะวันตก ท้าวเวลาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวปริกาสูรเป็นองค์อุปราช
    ๔. ทิศเหนือ ท้าวพรหมทัตตาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวอสุรินทราหูเป็น
    องค์อุปราช

    อสุรินทราหูโพธิสัตว์
    เบื้องอสูรพิภพอันแสนสุข ขณะนี้ มีเทพบุตรสำคัญองค์หนึ่ง ซึ่งใคร่จะนำ
    มากล่าวแทรกไว้เสียในตอนนี้ เพราะบางทีในตอนหน้าอาจจะไม่มีโอกาสกล่าว
    ถึงอีกก็ได้ ถ้าขาดหายไปเว้นไม่กล่าวถึงก็น่าเสียดายอยู่ เทพบุตรองค์ที่ว่านี้
    คือ ท้าวอสุรินทราหู ผู้มีกายใหญ่เหนืออสูรทั้งหลาย ในอสูรพิภพแดนสุขาวดี
    อสุรินทราหู ของค์นี้ เป็นองค์อุปราชจอมอสูร ปกครองด้านทิศเหนือ
    แห่งอสูรพิภพ มีพละกำลังกล้าแข็ง และมีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าบรรดา
    อสูรทั้งหลาย ทั้งมีสรีระสูงใหญู่นักหนา เพราะค่าที่มีกายสูงใหญ่นี่เอง จึงเป็น
    เหตุให้เข้าใจผิด แม้ตนเองจะมีจิตเลื่อมใส ใคร่จะได้ทอดทัศนาองค์สมเด็จพระ-
    สัมมาสัมพุทธเจัา ก็ไม่กล้ามาเฝ้า ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธ
    ศาสนา เป็นใจความว่า
    อสุรินทราหูนั้นได้สดับกิตติศัพท์กิตติคุณแห่งสมเด็จพระสัมมาลัมพุทธเจ้า
    จากเทพยดาทั้งหลาย และได้เห็นเทพยดาเหล่านั้นพากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มี-
    พระภาคเจ้าอยู่เนืองๆ ก็มาดำริถึงตนเองว่า "เรานี้มีกายสูงใหญ่ จะไปสู่สำนัก
    พระพุทธองค์เจ้าซึ่งมีพระองค์อันน้อยนิด และจะก้มตัวดูพระพุทธองค์นั้น ไม่
    สมควรเป็นการขาดคารวะ" ท้าวเธอดำริฉะนี้แล้ว ก็ไม่ได้ มาเฝ้าสมเด็จพระผู้มี
    พระภาคเจ้า ทั้งที่ทรงมีความปรารถนาจะเฝ้านักหนา
    อยู่มาวันหนึ่ง อสุรินทราหูได้ฟังเทพดาทั้งปวงพากันสรรเสริญพระเดช
    พระคุณ แห่งสมเด็จพระสัมมาส มพุทธเจ้าอันหาที่สุดมิได้ ก็เกิดความเลื่อมใส
    เป็นกำลัง อดใจมิได้แล้วจึงเดินทางมาพลางดำริว่า "เราจักอุตสาห์ไปให้ได้
    เห็น พระพุทธองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ แม้แต่สักครั้งหนึ่งคราวเดียวก็ยังดี
    แต่ว่าเราจะก้มจะกราบอย่างไรหนอ คิดพลางเดินพลางมาสู่สำนักสมเด็จ
    พระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความกังวลใจ
    กาลนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงทราบอัธยาศัยของจอมอสูร จึงรับสั่ง
    ใหัพระอานนท์ตบแต่งพระแท่นที่บรรทมแล้วพระองค์ก็ทรงเนรมิตพระวรกาย
    ให้ โตใหญ่สำเร็จสีหไสยาสน์ ฝ่ายอสุรินทราหูผู้มีกายอันสูงใหญ่ไดัสี่พันแปดร้อย
    โยชน์ ครั้นมาถึงสำนักพระพุทธองค์แล้ว ก็ต้องแหงนหน้าขึ้นแลดูสมเด็จ
    พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธนฤมิตนั้น มีครุนาดุจทารกกุมารแหงนดู
    ปริมณฑลแห่งพระจันทร์ก็ปานกัน สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงมีพระพุทธฎีกา
    ตรัสถามว่า ''ดูกรอสุรินทร์! ท่านมาแลดูตถาคตนี้ เห็นเป็นประการใดบ้าง?"
    ท้าวเธอจึงกราบทูลว่า "ขอเดชะ ทรงพระกรุณา กระหม่อมฉันนี้ ไม่ทราบเลย
    ว่า พระองค์จักทรงพระเดชพระคุณอันล้ำเลิศประเสริฐเห็นปานนี้นฤมิต
    พระวรกายให้ใหญ่ยิ่ง เพื่อให้กระหม่อมฉันได้เข้าเฝ้าโดยสะดวก จึงเพิกเฉยมิ
    กล้ามาสู่สำนักของพระพุทธองค์เจ้าเป็นเวลานาน สมเด็จพระมหากรุณาสัมมา
    สัมพุทธเจ้าจึงทรงมีพุทธฎีกาว่า
    "ดูกรอสุรินทร์! เมื่อตถาคตบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวง
    อยู่นั้น จัได้ก้มหน้าย่อท้อต่อความลำบากที่จะกระทำบำเพ็ญก็หามิได้ ตั้งใจ
    บำเพ็ญมิได้หดห่อย่อท้อ แม้จักแสนยากเพียงไร ก็มิได้ก้มหน้าทอดอาลัยเลย
    เหตุฉะนี้ บุคคลที่ปรารถนาจะแลดูตถาคตนี้ จะตัองก้มหน้าลงดูเหมือน
    อย่างท่านคิดก็หาไม่" มีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้ แล้ว ก็โปรดประทานพระธรรม
    เทศนาแก่จอมอสูรซึ่งก็ทำให้จอมอสูรมีน้ำ พระทัยเต็มตึ้นไปสัวยความเลื่อมใส
    จืงได้แปล่งคำนมัสการว่า "ตสฺส" ดังนี้

    บุพพภาคนมการ
    แท้จริง คำนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งชาวเราพากันสวดอยู่
    ทุกวันนี้ ผู้ที่กล่าวครั้งแรกมีดังต่อไปนี้
    ๑. นโม = สาตาคิริยักษ์ และเหมวตายักษ์
    ๒. ตสฺล = อสุรินทราหู อุปราชแห่งอสุรพิภพ
    ๓. ภควโต = ตปุสสะภัลลิกะมาณพ
    ๔. อรหโต = สมเด็จพระอมรินทราธิราช
    ๕. สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส = ท่านท้าวพกาพรหม
    จึงรวมเป็น นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ซึ่งได้ ชื่อว่า
    บุพพภาคนมการ คือ คำกล่าวนมัสการนอบน้อมในเบื้องต้น ก่อนที่สาธุชน
    พุทธบริษัทจะประกอบศาสนกิจอย่างอื่นต่อไป และปรากฏยังยืนมาได้จนถึง
    ปัจจุบันทุกวันนี้

    บารมีของอสุรินทราหู
    อสุรินทราหูผู้นี้ ต่อไปภายหน้าอีกนานแสนนาน จักได้มาตรัสเป็น
    พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เพราะได้สร้างสมอบรมบารมีอันสูงส่ง
    ยอดเยี่ยมมาแต่อดีตกาล ประวัติการสร้างบารม ของอสุรินทราหู ปรากฏมีใน
    พระคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ซึ่งจะขอนำมาเล่าไว้ โดยย่อ ดังต่อไปนี้
    สมัยศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พุทธกัสสปะ
    นั้นอสุรินทราหูผู้นี้บังเกิดเป็นมนุษย์ มีพระชาติเป็นพระมหากษัริย์ทรงพระนาม
    ว่า พระสิริคุตมหาราช พระนางลำภูราชเทวีเป็นพระมเหสี มีพระราชโอรสธิดา
    ทรงพระนามว่า เจ้าชายนิโครธกุมาร และ เจ้าหญิงโคตมีกุมารี พระองค์
    ทรงครอบครองมัลละนครโดยผาสุก ต่อมาภายหลงทรงสละราชสมบัติ พาพระ
    มเหสีและพระโอรสราชธิดาไปบรรพชาเป็นดาบสอยู่บนภูเขาใหญ่ อาศัยผลาผล
    เลี้ยงชีวิตด้วยความสงบสุข
    วันหนึ่งปรากฏว่ามียักษ์ร้ายนามว่า ยันตยักษ์โผล่ออกมาจากป่าแล้วร้องว่า
    ''ข้าแต่พระองค์ ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นยักษ์ ซื่งมีเลือดแลเนื้อเป็นภักษาหาร
    วันนี้มีความหิวนักหนาขอพระองค์ได้โปรดประทานอาหารให้แก่ข้าพระองค์เถิด
    ฝ่ายพระชินวงศ์องค์สิริคุตราชฤๅษี ครั้นได้ฟังวาทีของยักษ์ ก็ทรงโสมนัส
    ศรัทธาเป็นที่ยิ่ง จึงทรงมีสุนทรวาทีตรัสว่า
    ''ลูกของเรา มิใช่ว่าเราจะไม่รักก็หาไม่ เรารักอาลัยเป็นที่สุดดุจดวงใจ
    แต่ทว่าเรารักในพระโพธิญาณยิ่งกว่ากุมารทั้งสองหลายพันเท่า เอาเถิด เราจะ
    สละโอรสธิดาให้เป็นทานแก่ท่านในกาลบัดนี้ '' แล้วทรงหลั่งอุทกธาราลงเหนือ
    หัตถ์มหายักษ์ เปล่งพระวาจาประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าแลนางธรณีให้เป็นสักขี
    พยานว่า
    "ด้วยเดชะแห่งผลทานอันนี้ ขอจงสำเร็จแก่พระ
    โพธิญาณในอนาคตกาล" ดังนี้
    เรื่องที่เล่ามานี่ เป็นการสร้างบารมี เพื่อพระโพธิญาณของอสุรินทราหู ซึ่ง
    เคยบำเพ็ญมาแล้วเพียงชาติเดียว และท่านจะต้องบำเพ็ญบารมีอีกนานนักหนา
    และในชาติสุดท้ายภายหลังเมื่อพระบารมีเต็มรอบบริบูรณ์ แล้วพระองค์จักมา
    ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระพุทธนารทะ ในศาสนาของพระองค์
    มนุษย์ทั้งหลายสมัยนั้นจักมีรูปโฉม และมีพรรณสิริวิลาส สวยสดงดงามเป็น
    อย่างยิ่ง มีอายุหนึ่งหมื่นปีเป็นกำหนด ส่วนองค์พระสัพพัญญูพุทธนารทะสัมมา
    สัมพุทธเจ้า คือ อสุรินทราหู ในปัจจุบันนี้ ก็จะทรงมีพระรัศมีแผ่ออกจากพระ
    วรกายเป็นแผ่นทึบ สว่างรุ่งเรืองทั้งกลางวันและกลางคืน ทรงมีพระชนมายุ
    หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน เหตุการณ์เช่นนี้จักมีในอนาคตกาลอย่าง
    แน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย

    สมบัติในไตรตรึงษ์
    ลำดับนี้ จักกล่าวถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่อไป เพราะที่เล่ามาทั้งหมดแล้ว
    นั้น เป็นการกล่าวถึงอสูรพิภพ ซึ่งมิใช่สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ถึงกระนั้น ก็มีเรื่อง
    เกี่ยวพันที่ควรทราบอยู่บ้าง จึงนำมาเล่าไว้ มิใช่ตั้งใจจะกล่าวให้วกวนอ้อมค้อม
    นั้นหามิได้
    ก็สมบัติบนลวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้มีมาก เพราะเหล่าเทพบุตรเทพธิดาซึ่งมี
    บุญญาธิการไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้มีเป็นจำนวนมาก ทั้งจอมเทพผู้เป็นประธานา-
    ธิบดี คือ สมเด็จพระอมรินทร์ ก็ทรงมีบุญูญูานุภาพเป็นอันมาก ทรงฝักใฝ่ใน
    การกุศลอยู่เนืองนิตย์ ไม่ทรงมีความประมาทในบุญูกุศลแม้แต่น้อย เมื่อเหล่า
    เทพเจ้าทั้งหลายต่างองค์ต่างก็มีบุญญาธิการเช่นนี้ สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จึง
    เจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้ จักกันแพร่หลายในหมู่เทวดาแลมนุษย์ รู้กันว่า
    เป็นภูมิที่อยู่อันแสนสนุกสุขสำราญ โยคีฤๅษีสิทธิ์ผู้ได้ฌานก็ดี แม้แต่พระอริย-
    เจ้าบางองค์ผู้ได้อภิญญาก็ดี ซึ่งมีฤทธาศักดานุภาพเหนือมนุษย์ธรรมดา ย่อม
    พากันมาชมมาดูสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นี้มิได้ขาด
    นอกจากปราสาทไพชยนต์พิมาน อันเป็นที่ประทับอยู่ขององค์อมรินทร์
    จอมเทพแล้ว ในสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ยังมีอุทยานอันเป็นทิพย์อยู่ มากมาย
    เมื่อนับแต่อุทยานใหญ่ ๆ ก็ได้ดังนี้
    ๑. ทิศตะวันออก มีอุทยานทิพย์ชื่อ นันทวัน
    ๒. ทิศตะวันตก มีอุทยานทิพย์ชื่อ จิตรลดาวัน
    ๓. ทิศเหนือ ...มีอุทยานทิพย์ชื่อ สักกวัน
    ๔. ทิศใต้ ...มีอุทยานทิพย์ชื่อ ผรุสกวัน
    สวนขวัญอุทยานทิพย์เหล่านี้ เป็นสถานที่สวยสดงดงาม สนุกสนาน จะหา
    เปรียบปานในมนุษยโลกนี้มิได้ เพราะเป็นอุทยานทิพย์ในสรวงสวรรค์ เต็มไป
    ด้วยสรรพรุกขชาติบุปผชาตินานาพรรณ นอกจากนั้นก็มีสระโบกขรณี ซึ่งมี
    น้ำใสดุจแผ่นแก้วดูรุ่งเรือง และมีปาสาณศิลาคือก้อนหินศิลา ล้วนแต่เป็นทิพย์
    มีรัศมีสวยสด ทั้งมีแท่นที่นั่งเล่น สีขาวสะอาดดุจใครแสร้งวาดไว้ให้พิจิตรสวย
    งาม ฝูงเทพบุตรเทพธิดาย่อมมาเล่นสนุกในสวนสวรรค์อุทยานทิพย์เหล่านี้เป็น
    เนืองนิตย์

    พระจุฬามณีเจดีย์
    เมืองฟ้าชั้นไตรตรึงษ์นี้ มีสถานที่สำคัญที่สุดอยู่แห่งหนึง สถานที่ที่ว่านี้ก็
    คือ พระจุฬามณีเจดีย์เจ้า เป็นเจดีย์มีทรงสัณฐานใหญู่ ตั้งอยู่ด้านทิศอาคเนย์
    คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเทพนครไตรตรึงษ์ แลดูงดงามรุ่งเรืองนัก เพราะ
    สร้างด้วยแก้วอินทนิล ตั้งแต่กลางถึงยอดเจดีย์ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ แล้ว
    ประดับด้วยสัตตพิธรัตนะ คือ แก้ว ๗ ประการ ส่วนสูงทั้งหมดแปดหมื่นวา มี
    กำแพงทองคำาเนื้อแท้ ล้อมรอบกำแพง แต่ละด้านนั้นยาวหนึ่งแสนหกหมื่นวา
    มีธงชนิดต่างๆ มีสีนานา แดงบ้าง เหลืองบ้าง เขียวบัาง ประดับประดา แลดู
    งามพรรณรายนักหนา ฝูงเทพยตาพากันถือเครื่องตีเครื่องเป่า สังคีตสรรพ
    ดุริยางค์ทั้งหลาย มาบรรเลงถวายบูชาพระเจดีย์เจ้าทุกวันมิได้ขาด
    พระจุฬามณีเจดีย์องค์นี้ เพิ่งจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระอมรินทราธิราช
    องค์ปัจจุบันนี้เอง พระองค์สร้างไว้เพื่อจะได้เป็นที่สักการบูชาของหมู่เทวดา
    ในชั้นฟ้า ประวัติการสร้างก็มีอยู่ว่า
    เมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์บรรพชาทรงตัด
    มวยพระเกศโมลี แล้วทรงอธิษฐานว่า
    "ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ขอ
    ให้มวยเกศโมลีนี้จงลอยขึ้นไปในอากาศเถิด อย่าได้ตกลง
    มาสู่พื้นปฐพีเลย"
    คราวนั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราชจึงทรงนำเอาผอบทองคำลงมา
    รองรับพระเกศโมลีนั้น แล้วทรงนำมาบนดาวดึงส์ สร้างพระเจดีย์สำหรับบรรจุ
    ไว้ด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงทรงขนานนามว่า พระเกศจุฬา
    มณีเจดีย์
    อนึ่ง เมื่อครั้งโทณพราหมณ์นักปราชญ์ใหญ่ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ แบ่ง
    พระบรมสารีริกธาตของสมเด็จพระผู้มีพระภาค ครั้งถวายพระเพลิงพระบรม
    ศพเสร็จใหม่ๆ นั้น ขณะที่โทณพราหมณ์ให้เปิดรางทองคำออก พระราชา
    ทั้งหลายที่จะได้รับส่วนแบ่ง ได้พร้อมกันมาประทับยืนอยู่ใกล้ๆ ครั้นได้ทอด
    พระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุอันมีสีเหมือนทองคำ ต่างองค์ต่างก็รำพัน
    อาลัยรักในพระผ้มีพระภาคเจ้าว่า
    "โอ้...ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สัพพัญญู เมื่อกาลก่อน
    ข้าพระบาททั้งหลายได้เห็นพระสรีระของพระองค์ซึ่งทรงมหา-
    ปุริสลักษฌะ ๓๒ ประการ และมีพระฉัพพรรณรังสีรุ่งเรือง
    ด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐บัดนี้ ควรฤๅมีแต่เพียงพระธาตุต่าง
    พระพักตร์ ไม่สมควรแก่พระองค์เลย"
    ฝ่ายโทณพราหมณ์ ซึ่งคอยสังเกตลอบชำเลืองอยู่ เห็นกษัตริย์เหล่านั้น
    เผลอรำพันถนัดดีแล้วได้ท่าตะแกก็ลอบหยิบเอาพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวา มา
    ซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะของตน แล้วทำมิรู้มิชี้ป้องปากตะโกนป่าวประกาศแบ่ง
    พระธาตุออกเป็น ๘ ส่วน เพื่อถวายบรรดาพระมหากษัตริย์ทั้งหลายต่อไป
    กล่าวถึงสมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ ได้เสด็จมาสังเกตการณ์อยู่
    ดัวยพระทัยปรัสงค์จะได้พระธาตุเหมือนกัน ครั้นเห็นพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวา
    อันประเสริฐตกเป็นสมบัติของโทณพราหมณ์ เพราะตะแกถือเอาดัวยกิริยาโจร
    เช่นนั้น ก็ทรงดำริว่า โทณพราหมณ์ผู้นี้ถึงแม้จะมีคุณธรรมประเสริฐ ได้สำเร็จ
    เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี ก็จักไม่อาจทำสักการบูชาพระธาตุนี้ให้
    สมกับพระเกียรติคุณอันอเนกอนันต์ของพระผู้มีพระภาคได้ ความจริงอัน
    พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งวิเศษหาค่ามิได้
    บุคคลใดผู้ หนึ่งซึ่งมีบุญญูาธิการมาก ก็ย่อมจะได้พระบรมธาตุด้วยอานุภาพของ
    ตน เมื่อพระบรมธาตุเป็นสิ่งวิเศษหาค่ามิได้เช่นนี้ ถึงแม้เราจักต้องรบรา
    ฆ่าฟันกันให้ถึงตาย เพื่อจะได้ มาซึ่งพระบรมธาตุก็ไม่เสียดายชีวิตเลย จำเราจัก
    นำเอาพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระบรมศาลดาไปประดิษฐานที่
    จุฬามณีเจดีย์ให้จงได้ จักเป็นไรก็ตามทีเถิด ทรงดำริฉะนี้แล้ว ก็ทรงเตรียม
    ผอบทองคำเอาไว้ ครั้นเห็นโทณพราหมณ์ผู้เฒ่ากำลังสาละวนวุ่นวายแบ่ง
    พระธาตุอยู่นั้น ท้าวโกสีย์ก็ลอบอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากผ้าโพกศีรษะ
    ของพราหมณ์แก่ลงสู่ผอบทองคำทิพย์ รีบเสด็จไปประดิษฐานบรรจุไว้
    พระเกศจุฬามณีเจดีย์
    จึงเป็นอันว่า ภายในพระเกศจุฬามณีเจดีย์ ซื่งสถิตประดิษ ฐานอยู่บน
    สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นั้น บรรจุสิ่งสำคัญอันหาค่ามิไดัในพระพุทธศาสนาไว้ถึง ๒
    อย่าง คือ พระเกศโมลีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว
    เบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น จึงปรากฏว่า เหล่าเทพยดาทั้ง
    หลายต่างมีความเคารพเลื่อมใสในองค์พระเจดีย์นี้ยิ่งนัก สำหรับสมเด็จพระ
    อมรินทร์เองนั้น แทบไม่ต้องกล่าวก็ได้ว่าทรงมีพระศรัทธาเลื่อมใลเพียงใด ทุก
    วารวันพระองค์พร้อมด้วยเหล่าบริษัทมีพระหัตถ์ถือดอกไม้ธูปเทียนของทิพย์
    สคนธชาดิไปถวายพระเจดีย์เจ า แล วกระทำประทักษิณเวียนเทียนเสมอมิได้ ขาด
    นอกจากนี้แล้ว เทพเจ้าที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นอื่น เช่นท้าวจาตุมหาราชใน
    สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ และเทวดาชั้นยามา ดุสิต เป็นต้น ต่างก็มา
    นมัสการพระเกศจุฬามณีเจดีย์เจ้านี้เป็นนิตย์

    ปาริชาต
    นอกเมืองไตรตรึงษ์ออกไปทางทิศอีสาน คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
    มีสวนอุทยานทิพย์แห่งหนึ่ง นามว่า ปุณฑริกวัน เป็นสวนกว้างใหญ่ยิ่งนัก
    มีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ดัาน กลางสวนนั้นมีไม้ทองหลางใหญ่ต้นหนึ่ง เป็นไม้
    ทิพย์มีชื่อว่า ปาริชาต กัลปพฤษ์ ใต้ต้นไม้ทิพย์นั้นมีแท่นศิลาแก้วอันหนึ่ง ชื่อว่า
    บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เป็นแท่นสีแดงดังดอกชบา และอ่อนดุจผ้าฟูกหรือดัง
    หงอนราชหงส์ทอง เมื่อสมเด็จพระอมรินทราธิราชประทับนั่ง แท่นศิลาจะอ่อน
    ยุบลงไป พอเสด็จลุกขึ้น แท่นศิลานี้ก็จะเต็มขึ้นมาตามเดิม เป็นแท่นศิลาที่ฟุบ
    ลงได้ แลฟูขึ้นไดัโดยธรรมชาติอย่างนี้
    ดอกปาริชาตนั้น ต่อหนึ่งร้อยปีจึงบานครั้งหนึ่ง และเมื่อดอกไม้สวรรค์นี้
    จะบาน ฝูงเทพบุตรธิดาต่างยินดีนัก ย่อมเปลี่ยนเวรกันอยู่เฝัาดอกไม้นั้นจนกว่า
    จะบาน ครั้นดอกไม้ นั้นบานแล้ว ย่อมมีแสงอันรุ่งเรืองงามนักหนา รัศมี
    แห่งดอกปาริชาตินั้นเรือง ๆ ไปไกลได้แปดแสนวา เมื่อลมรำเพยพัดไปทิศใด
    ย่อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทางทิศนั้นไกลสุดไกล เพราะไม่ใช่ดอกไม้ ดอกเดียว เป็น
    ดอกไม้มากมายหลายดอก บานตลอดหมดทั้งต้นทุกกิ่งทุกกัาน ฝูงเทพยดาทั้ง
    หลายเมื่อต้องการดอกไม้ นั้น มิพักต้องขึ้นไปเก็บให้เหนื่อยยาก เพียงแต่เข้าไป
    ภายใต้ต้น ดอกปาริชาตก็จะหล่นลงมาถึงมือเอง ประดุจจะรู้จิตใจของเขา ถ้า
    เขายังไม่ทันรับก่อนแล้ว ดอกไม้ก็หาตกถึงพื้นไม่ เพราะมีลมชนิดหนึ่งพัด
    ชูดอกไม้นั้นเข้าไว้บนอากาศ มิให้ตกถึงพื้นจนกว่าเทพยดาผู้ต้องประลงค์จะมา
    รับ ฝูงเทพยดาทั้งหลายย่อมมาเล่นสนุกสนานที่ใกล้ต้นปาริชาตนั้นเนืองนิตย์

    สุธรรมาเทวสภา
    เทวสถานไม่ไกลจากต้นไม้ สวรรค์ปาริชาตเท่าใดมีศาลาใหญ่หลังหนึ่งตั้ง
    อยู่งามตระหง่านประเสริฐนัก ปรากฏนามว่า ศาลาสุธรรมา มีมณฑล
    กว้างขวางใหญ่โต พื้นศาลาแล้วด้วยแก้วผลึก และประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ
    มีกำแพงทองล้อมรอบศาลาสวรรค์นั้น และมีดอกไม้สวรรค์ชนิดหนึ่งนามว่า
    อสาพติ ดอกไม้ ชนิดนี้ นานนักหนากว่าจะบาน ถ้วนหนึ่งพันปีจึงจะบานลักครั้ง
    หนึ่ง แต่ว่าเมื่อบานแล้วล่งกลิ่นหอมนักหนา เมื่อเวลาจะบานนั้น เทวดาทั้ง
    หลายย่อมเปลี่ยนเวรกันอยู่เฝ้าเพราะเทวดาทั้งปวงเขามีจิตใจรักดอกไม้ ยิ่งนัก
    ภายในศาลาสุธรรมาเป็นที่ประชุมฟังธรรมของเหล่าเทพยดาทั้งหลาย จึงมี
    ธรรมาสน์แก้วสวยงามใหญ่หลายวา เป็นธรรมาสน์ประจำตั้งอยู่ที่ศาลานั้น
    นอกจากนี้ก็มีราชอาสน์ทิพย์ที่ประทับนั่งของสมเด็จพระอมรินทราธิราชจอมเทพ
    ผู้เป็นใหญ่ แล้วก็มีที่นั่งของเทพเจ้าผู้เป็นพระสหายของพระองค์ ต่อจากนั้น
    ก็เป็นอาสนะของเทพเจ้าทั้งหลายลดหลั่นกันไปตาม ฐานานุศักดิ์ เมื่อพูดถึง
    ความรื่นรมย์ภายในศาลาลุธรรมานี้ มีความรื่นรมย์หาที่เปรียบมิได้ อบอวล
    หอมหวนด้วยดอกไม สวรรค์นานาพรรณอยู่ตลอดเวลา ได้ทราบว่า ที่นี่เป็นที่
    รื่นรมย์ชวนชมกว่าแห่งอื่นในสรวงสวรรค์ ผู้ที่ได้ไปเห็นมา เมื่อพบเห็นที่ใดที่
    หนึ่งที่น่ารื่นรมย์ในมนุษยโลกนี้ มักจะพูดเปรียบเทียบว่า "รื่นรมย์เหมือน
    สุธรรมาเทวสภาในสรวงสวรรค์ดาวดึงส์แดนสุขาวดี" ดังนี้

    เทวดาสดับธรรม
    เมื่อถึงวันธรรมสวนะ คือ วันพระ เหล่าเทพยดาทั้งหลายต่างก็มาประชุม
    พร้อมเพรียงกันที่ศาลาสุธรรมมานี้ เพื่อที่จะสดับธรรมตามกาล การสดับธรรม
    ตามกาลตามโอกาสนี้ ถือกันว่าเป็นอุดมมงคลอันสูงสุดสำหรับทวยเทพใน
    สวรรค์ก็กิริยาที่เทพยดาทั้งหลายมานั่งประชุมพร้อมเพรียงกันที่อาสนะของตน
    ตาม ฐานานุศักดิ์ ภายในศาลาลุธรรมาเพื่อสดับธรรมนี้ แลดูงดงามนักหนา
    เป็นทัศนียภาพที่จักหาสิ่งใดเปรียบปานมิได้ เมื่อเหล่าเทพนั่ง พร้อมเพรียงกัน
    แล้ว ลำดับนั้นมีพระพรหมองค์หนึ่งนามว่า พระพรหมกุมาร พระองค์เป็นผู้
    ทรงธรรมและรู้ธรรมจึงเสด็จลงมาจากพรหมโลกอันไกลแสนไกล แต่ด้วยพรหม
    วิสัย พระองค์เสด็จมาชั่วเวลามาตรว่าลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ก็มาถึงเทวโลก
    สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นี้ ครั้นถึงแล้วจึงขึ้นสู่ธรรมาสน์แก้ว แล้วเทศนาแจกแจง
    ธรรมะไพเราะจับจิตจับใจเหล่าเทวดา ด้วยเสียงแห่งพรหมซึ่งประกอบไปด้วย
    องค์ ๘ ประการ คือ
    ๑. เสียงแจ่มใส
    ๒. เสียงชัดเจน
    ๓. เสียงนุ่มนวล
    ๔. เสียงน่าฟัง
    ๕. เสียงกลมกล่อม
    ๖. เสียงไม่พร่าแตก
    ๗. เสียงลึก
    ๘. เสียงมีกังวาน
    เมื่อองค์พรหมกุมารแสดงธรรมอยู่ ด้วยเสียงแห่งพรหม ซึ่งประกอบไป
    ด้วยองค์ ๘ ประการนี้ เหล่าเทพเจ้าผู้สดับย่อมเกิดความซาบซึ้งตรึงใจในรส
    แห่งพระธรรมนักหนา พอควรแก่เวลาแล้ว องค์พระพรหมกุมารก็เสด็จกลับไป
    พรหมโลกแดนไกล
    บางคราว เทพเจ้าทั้งหลายก็อัญ เชิญเทพยดาผู้รู้ธรรมะในสวรรค์ชั้น
    ดาวดึงล์นั่นเอง เป็นองค์แสดงธรรม เพราะว่าผู้รู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมา
    สัมพุทธเจ้า ทั้งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยตน ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์
    ชั้นไตรตรึงษ์นี้ก็มีมาก เทพยดาทั้งหลายมีสมเด็จอมรินทราธิราชเป็นประธาน
    ย่อมทราบได้ดีว่า เทวดาใดเป็นผู้ทรงคุณวิเศษรู้ธรรม ก็พร้อมกันอัญูเชิญ ให้
    เทพยดานั้น ขึ้นธรรมาสน์แก้วแล้วให้ แสดงธรรมโปรดพวกตน เสร็จแล้วจึง
    อนุโมทนาสาธุการด้วยเสียงแห่งเทพยดาน่าชื่นใจนักหนา
    บางคราว สมเด็จเจ้าจอมไตรตรึงษ์องค์อมรินทราธิราช ก็ขึ้นธรรมาสน์
    แสดงธรรมเอง ก็แลวันไหนท้าวเธอทรงแสดงธรรมเอง วันนั้นเป็นวันพิเศษ
    จริง ๆ และเทวดาทั้งหลายก็ตั้งอกตั้งใจนัก อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เพราะ
    องค์พระอมรินทร์จอมเจ้า ถึงแม้ ว่าพระองค์เองจะเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล
    ทรงสนใจในพระธรรมมาก หากมีกมลสันดานกอบด้วยศรัทธาเป็นบุญญาธิการ
    อันสูงเยี่ยม ฉะนั้น เมื่อพระองค์ขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรม ก็เทศนาแจกแจง
    ธรรมได้ไม่นานเลย ด้วยมีพระทัยใคร่จะเฉลยผลบุญแห่งชนทั้งหลายให้
    ประจักษ์ในเทวสภานั้น ทรงแสดงธรรมสิ้นกาลนิดหน่อยแล้ว จึงทรงเริ่ม
    พิธีการเฉลยผลบุญแห่งชนทั้งหลายต่อไป

    สุพรรณบัฏ
    ในกรณีนี้ มีเทวนิยมว่า เมื่อสมเด็จพระอมรินทราธิราชทรงแลดงธรรม
    จบแล้ว จึงทรงกวักพระหัตถ์เรียกพระมาตุลีเทพบุตร ทันใดนั้น พระมาตลี-
    เทพบุตรผู้ชาญฉลาดทรายพระอัธยาศัย ก็คลานเข้าไปใกล้ ๆ ทูลเกล้าฯถวาย
    สุพรรณบัฏ สุพรรณบัฏคือ อะไร ใคร่จะกล่าวแทรกไว้ในที่นี้ เสียก่อน ดังต่อ
    ไปนี้
    ได้ทราบว่า ท่านท้าวจตุโลกบาล คือ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ซึ่งเป็นจอมเทพ
    อยู่ในจาตุมหาราชิกาภูมิ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำ ใกล้ชิดกับมนุสสภูมิเป็นที่ลุด
    เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ ก็ย่อมจะทราบความเป็นไปของหมู่มนุษย์ได้มาก
    ประดุจมนุษย์เราอยู่ใกล้ชิดกับติรัจฉานภูมิ ก็ย่อมทราบความเป็นไปของ
    ติรัจฉานฉะนั้น ในฐานะที่ท่านท้าวมหาราชเป็นเทพเจ้าทรงชีพอยู่ได้ด้วยบุญ
    กุศล ก็ย่อมจะมีพระทัยฝักใฝ่ในบุญกุศลเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมือพระองค์
    ทรงทราบว่า ผู้ใดได้ ลร้างบุญกุศลชนิดใดไว้ บ้าง จะเป็นว่าทราบด้วยพระองค์เอง
    ก็ดีหรือเทวดาอื่นใดมีเทวดาผู้ตั้งอยู่ใน ฐานะแห่งบุตรของพระองค์ เป็นต้น
    ซึ่งท่องเที่ยวไปในหมู่มนุษย์ด้วยเทพวิสัย แล้วมากราบทูลให ทรงทราบก็ดี
    พระองค์ก็ทรงจดชื่อจารึกนามของท่านผู้ทำบุญูกุศลนั้นไว้ บนแผ่นทองเนื้อแท้
    ด้วยดินสออันทำด้วยชาติหิงคุ โดยมีพระประสงค์จะนำไปถวายให้สมเด็จพระ
    อมรินทราธิราชเจ้าจอมไตรตรึงษ์ ซึ่งมีพระอัธยาศัยใคร่จะรู้ ได้ทอดพระเนตร
    พอถึงวันที่พระอินทร์เทศนาท้าวจตุมหาราชก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    แล้วนำเอาสุพรรณบัฏแผ่นทองเนื้อแท้จารึกชื่อสัตบุรุษผู้ สร้างกองการกุศลนั้น
    ไปมอบให้ แก่เทพบุตรผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าปัญจสิขเทพบุตร ฝ่ายปัญจลิขเทพบุตร
    พอรับสุพรรณบัฏแลัว ก็นำเอาไปให้แก่พระมาตลีเทพบุตรอีกทีหนึ่ง เพื่อจักได้
    ทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า หลังจากที่พระองค์ทรงแสดง
    ธรรมจบลง
    ครั้นองค์สมเด็จเจ้าจอมไตรตรึงษ์รับสุพรรณบัฏ จากพระมาตลีเทพบุตร
    แล้ว ก็ทรงยื่นขึ้นอ่านประกาศรายชื่อในแผ่นทองให้ เหล่าเทพยดาที่ประชุมกัน
    อยู่เนืองแน่นในศาลาสุธรรมเทวสภาพได้สดับด้วยพระสุรเสียงอันดังให้ได้ ยินกันทั่ว
    หากว่ารายนามในแผ่นทองนั้นมีมาก เหล่าเทพยดาทั้งหลายก็แซ่ซ้องสาธุการดี
    อกดีใจนักหนา เปล่งศัพท์สำเนียงออกมาด้วยความหวังว่า
    "มนุษย์ทั้งหลายจักได้มาบังเกิดเป็นเพื่อนเรานี้มากนัก
    หนา ชะรอยว่าจตุราบายโพ้นคงจักว่างเปล่าอยู่ ไม่มีผู้ใดไป
    เกิดเป็นแน่แท้ "
    ปวงเทพยดาเหล่านั้น ครั้นเปล่งศัพท์สำเนียงดังนี้แล้วก็ยิ้มระรื่นให้ แก่กัน
    และกัน ด้วยความชื่นชมในบุญกุศล อันคนในเมืองมนุษย์พากันทำ
    หากว่าได้ยินองค์อมรินทร์ทรงอ่านรายนามในแผ่นทองนั้นน้อยนัก เทพ"
    ดาทั้งหลายก็จักพากันเลยใจ ไม่รื่นเริง เศร้าใจนัก ได้ แต่กล่าวกะกันและกัน
    ดัวยความคาดคะเนว่า
    "โอ้อนิจจาชาวเราเอ๋ย น่าอนาถ คนทั้งหลายในมนุษย
    โลกโพ้นกระทำบุญน้อยนักหนา ชะรอยว่าเขาจะชวนกันทำ
    บาปมากนักแล เขาคงจะไปเกิดแออัดยัดเยียดในจตุราบาย
    โพ้นมากนัก เกรงว่าจำเนียรกาลภายหน้าเมืองฟ้าเรานี้จะ
    ว่างเปล่า เราจัก ไร้เพื่อนเสียเป็นแน่แท้ "
    ปวงเทพทั้งหลาย กล่าวแก่กันและกันดังนี้ แล้วก็เสียใจลลดใจอยู่ เพราะ
    รู้ว่า มนุษย์ในเมืองพากันประมาทไม่กระทำบุญกุศล รู้สึกเสียใจอยู่ทั่วตน
    เทพยดา แม้องค์อินทราธิราชก็พลอยเเศร้าใจอยู่ แล้วจึงทรงประกาศเลิก
    ประชุมกลับสู่วิมานของตน เหตุการณ์เช่นนี ปรากฏมีอยู่เป็นประจำในสรวง
    สวรรค์ชั้นดาวดึงล์แดนสุขาวดี
    ที่กล่าวมานี้ เป็นความเป็นอยู่และระเบียบการของลวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    อย่างย่อๆ ซึ่งปรากฏในสมัยปัจจุบันทุกวันนี้ โดยมีท้าวโกลีย์เทวราชผู้ซึ่งเป็น
    พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเป็นจอมเทพปกครองอยู่ ต่อไปภายหน้าอีกนาน
    แสนนาน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงองค์จอมเทพผู้ปกครอง ระเบียบการต่าง ๆ
    เช่น การฟังธรรม เป็นต น อาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ นั่นเป็นเรื่องของอนาคต
    กาลอีกนานนัก

    เทพทำบุญ
    การที่สมเด็จพระอมรินทราธิราชพระองค์นี้ ทรงมีพระอุตลาหะสร้างพระ-
    จุฬามณีเจดีย์ แล้วชักชวนเหล่าเทพเจ้าทั้งปวงมาสักการบูชาเป็นเนืองนิตย์ก็ดี
    ทรงวางระเบียบให้ มีการสดับธรรมะที่ศาลาลุธรรมาทุกวันพระก็ดี เหล่านี้
    พระองค์ทรงทำเพื่อประโยชน์อะไร? ก็เพื่อจะได้เป็นกุศลแก่เหล่า
    เทพยดาทั้งหลาย รวมทั้งพระองค์เองด้วย ถ้าจะสงสัยต่อไปว่าก็กว่าจะมาเกิด
    เป็นเทวดาในดาวดึงล์นี้ ได้ ก็ต้องประกอบการกุศลนักหนา ทีนี้ พอมาเกิดเป็น
    เทวดาในสวรรค์ได้ เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขแล้ว ยังจะกระทำบุญอะไรอยู่อีกเล่า
    ทำไปเพื่อประโยชน์อันใดกัน? ก็จะมีคำวิสัชนาว่า
    เกิดเป็นเทวดาแล้ว ใช่ว่าจะไม่ตายเมื่อไหร่เล่า เทวดาย่อมต้องจุติตายอยู่
    เนือง ๆ เพราะสิ้นบุญ! เหตุดังนี้ เทวดาทั้งหลายจึงเร่งรัดกระทำการกุศลลืบอายุ
    สังขารของตน ไม่มัวเมาประมาท เพราะเทวดาองค์ที่สร้างลมกุศลไว้น้อย ย่อม
    อย่ในสรวงสวรรค์มิได้นานก็ต้องจุติ ส่วนเทวดาที่สร้างสมบุญกิริยาวัตถุ มี
    ทานศีลเป็นต้นไว้ มาก ย่อมอยู่ในสวรรค์เสวยสมบัติทิพย์ได้ นาน จนสิ้นอายุ
    ของสวรรค์ชั้นนั้นๆ
    ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับคนทั้งหลายในโลกนี้ คนที่มีข้าวปลาอาหารเลี้ยง
    ชีวิตน้อย แต่เป็นคนมีวิชา ทั้งมีปัญญาฉลาดหลักแหลม คิดทำการทำงานได้
    เงินมาเรื่อย ๆ เหมือนค่อยหาข้าวเปลือกข้าวสารใส่ยุ้งฉางให้ เต็มบริบูรณ์อยู่
    เสมออย่างนี่แล้วก็ไม่อดไม่อยากมีกินมีบริโภคอยู่เรื่อยไป ข้อนี้ฉันใด เทวดา
    ทั้งหลายที่มีบุญน้อย เสวยผลอันน้อยของตนไปพลาง เมื่อกระทำบุญอื่นต่างๆ
    เช่น มาสักการบูชาพระจุฬามณีเจดีย์ หรือสดับธรรมะที่ศาลาลธรรมาไปพลาง
    ก็จะเป็นให้ ได้เสวยสุขในทิพยสมบัติอยู่ได้ นานเพราะผลบุญที่ตนพยายามสร้าง
    อยู่เรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้ง
    อนึ่ง มนุษย์บางคนในโลกนี้ ถึงจะมีข้าวเปลือกใส่ไว้เต็มยุ้งฉางก็จริง
    แต่ว่าเป็นคนไร้ วิชาหาสติปัญญามิได้ มีความเกียจคร้านเป็นบรม เอาแต่นั่ง
    กินนอนกิน การงานไม่ทำ พอข้าวในยุ้งหมด ก็กลายเป็นคนอดอนาถา ข้อนี้ฉัน
    ใด เทวดาทั้งหลายที่มีบุญมาก เสวยแต่ผลบุญเก่า หาได้กระทำบุญอื่นเพิ่มเติม
    อีกไม่ ครั้นสิ้นบุญเก่าที่ทำไว้ ภายหลังก็จะถึงซึ่งความตกต่ำตายจากเทวโลกไป
    อยู่ไม่ได้ หมดบุญแล้วก็จะอยู่ได้ อย่างไรกัน
    อนึ่ง คนทั้งหลายในโลกนี้ ที่มีข้าวเปลือกน้อย ทั้งสติปัญูญาสำหรับตัวก็ไม่
    มี ทั้งมีความเกียจคร้าน งอมืองอเท้า งานการไม่รู้ จักทำ ครั้นหมดข้าวเปลือก
    อันน้อยนั้น ก็เป็นคนที่แย่มาก ข้อนี้ฉันใด เทวดาทั้งหลายที่มีบุญน้อย เสวย
    ทิพยสมบัติแต่ผลบุญเก่า หาขวนขวายทำบุญอื่นเพิ่มเติมอีกไม่ ครั้นหมด
    บุญเก่าแล้วก็จะชะตาขาด ตกต่ำตายจากเทวโลก
    อนึ่ง คนทั้งหลายในโลกนี้ เป็นคหบดีมีทรัพย์ ขัาวเปลือกข้าวสารมูลมอง
    นองเนืองเต็มยุ้งเต็มฉาง ทั้งศึกษาวิชาความรู้ทุกประการ สติปัญญาเฉลียว
    ฉลาดในทางโลก มีอุตสาหะในกิจการทั้งปวง ยิ่งทำยิ่งได้เหมือนกับจะแกล้ง
    ร่ำรวยเจริญวัฒนาเพราะเขาเป็นคนมีปัญญาไม่เกียจคร้าน อย่างนี้ ย่อมเจริญ
    ยิ่ง ๆ ขึ้นไปฉันใด เทวโลกทั้งหลายก็เหมือนกัน บางท่านบางเทวดาที่มีบุญญา-
    ธิการมาก เป็นองค์เทพอิสราธิบดีโดยวิเศษ เช่น องค์สหัลเนตรอมรินทราธิราช
    และอเนกวรรณเทพเจ้า จุลลรถมหารถเทพเจ้า อนาถปิณฑิกโสดาบันเทพเจ้า
    วิสาขาเทพนารี แต่ละท่านล้วนมีบุญูญาธิการเป็นอันมาก เป็นเทพเจ้าผู้ทรง
    บุญหนักศักดิ์ใหญ่ ประกอบดัวยความขวนขวายในกุศลอยู่เนือง ๆ ไม่ว่างเว้น
    ก็จะเป็นเหตุให้ท่านท่องเที่ยวเวียนเสวยทิพยสมบัติ อยู่ในลวรรค์ชั้นเทวโลก
    เบื้องลูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงพรหมโลกสูงสุดแห่งรูปภูมิสุทธาวาสชั้น
    อกนิษฐ์ สถิตเสวยสุขสมบัติอยู่จนถึงกาลกำหนดชนมายุแล้วดับขันธ์เข้าสู่พระ-
    นิพพาน ณ ที่นั่น มิได้มาเวียนตายเวียนเกิดอีกสืบไป
    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ทวยเทพเทวาในสวรรค์เมืองฟ้า แม้ว่าจะเสวย
    เทวสมบัติพรั่งพร้อมไปด้วยความสุขเป็นนิรันดร์ ถึงกระนั้นก็ยังมีอุตสาหะ
    ขวนขวายประกอบการซื่งเป็นบุญกุศล อันจะนำตนให้ประสบสุขยิ่งขึ้นไป ทีนี้
    หวนกลับมาถึงตัวเราท่านทั้ งหลายเวลานี้บ้าง ก็ควรเอาเยี่ยงอย่างเทวดาด้วย
    การตั้งหน้าประกอบบุญูกุศล จะทำกุศลชนิดใด เอาไว้กล่าวข้างหน้า ตอนนี้
    จะขอกล่าวความสำคัญก่อนว่า ผู้ที่ทำบุญูไว้แล้วไปเกิดในสวรรค์ซั้นดาวดึงล์นี้
    มีมาก อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่ลัตว์เดรัจฉาน ถ้าน้ำใจเขาสัมประยุตต์ด้วย
    กุศลจิต ขาดใจตายไปขณะนั้น ไม่พ้นพัวด้วยกุศลมลทินโทษ คือ โลภะ โทสะ
    และโมหะ ซึ่งเป็นตัวกิเลสร้ายทำใจให้เศร้าหมองแล้ว ก็มาบังเกิดในสวรรค์ชั้น
    ดาวดึงส์นี้ได้ เช่นกัณฐกะเทพบุตรผู้เป็นพญาม้าทรงขององค์พระสิทธัตถะราช-
    ดนัย ซึ่งมีประวัติที่ควรแก่การบันทึกไว้ ดังต่อไปนี้

    กัณฐกะเทพบุตร
    เมี่อครั้งองค์สมเด็จพระสิทธัตถะราชดนัยเสด็จออกบรรพชามหาภิเนษกรมณ์
    นั้นพระองค์ท่านขึ้นขี่อาชาพญากัณฐกะอัศวราช เสด็จไปในราตรี ครั้นถึงฝั่ง
    แม่น้ำอโนมานที จึงทรงอธิษูฐานบรรพชาแล้วทรงให้ ฉันนะอำมาตย์กับพญา
    อัศวราชกลับไปกรุงกบิลพัสดุ์ตามเดิม พญูาม้ากัณฐกะอัศวราช มีความอาลัย
    ในพระองค์นัก จึงเอาลิ้นเ ลยพระบาทด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง แล้วยืนนิ่งเล็ง
    แลดูพระองค์ทรงดำเนินไปจนลุดสายตา พอทรงดำเนินไปลับพระองค์ หัวใจ
    แห่งพญากัณฐกะอัศวราชก็แตกทันที ทำกาลกิริยาตายในบัดนั้น
    แล้วมาบังเกิดเป็นเทพบุตรสุดโสภา มีนามว่า กัณฐกะเทพบุตร ณ ลรวง
    สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ กาลวันหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถรเจ้าองค์อัครลาวก
    อรหันต์ ท่านท่องเที่ยวอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อสนทนากับเทพเจ้าทั้งหลาย
    ได้ พบกัณฐกะเทพบุตรเข้า ขณะที่กัณฐกะเทพบุตรลงจากพิภพไพชยนต์-
    ปราสาทของสมเด็จพระอมรินทราธิราช ขึ้นทิพยยานมาเพื่อกลับวิมาน ณ
    อุทยานทิพย์ของเขา เทพเจ้านั้นมีน้ำจิตคารวะในองค์พระเถรเจ้าเป็นอันมาก
    จึงลงจากทิพยยานเข้าไปหาพระเถรเจ้า น้อมกายถวายนมัสการด้วยเบญจางค-
    ประดิษฐ์ องค์อรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์จึงไต่ถามว่า
    "พระจันทร์เป็นใหญ่กว่าดาวนักขัตฤกษ์ งามเด่นในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ
    แวดล้อมไปด้วยหมู่ดาราฉันใด ทิพยยานนี้รุ่งเรืองไปด้วยรัศมีเป็นทิพย์ ดุจรัศมี
    แห่งพระจันทร์อันขึ้นมาเหนืออากาศ ปราสาททองแห่งท่านประดับไปด้วย
    ยอดงดงาม สระโบกขรณีมีน้ำใสละอาดมิได้ ขุ่นมัวน่าสนุก มีท่าเรี่ยรายไปด้วย
    ทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมชาติต่างๆ คือ สัตตบงกชแลบัว ครั้นมีลมพัดมา
    ก็ยังละอองเกลรให้ ฟุ้งขจรไปในทิศน้อยทิศใหญ่ รุกขชาติต้นไม้เกิดใกล้วิมาน
    แห่งท่าน มีดอกงามแลทรงผลวิเศษห้อยย้อย นางฟ้าประดับไปด้วยอาภรณ์
    มีกรสอดใส่ซึ่งวลัยทอง เสียงกลองแลกังสดาลพิณพาทย์อันเป็นทิพย์ ยังน้ำจิต
    แห่งท่านให้ยินดี ดุจตัวท่านเป็นท้าวโกสีย์ผู้ มีฤทธิ์ ท่านได้ วิมานทองซึ่งรุ่งเรือง
    ดัวยสมบัติแลรัศมีทั้งนี้ ด้วยผลทานหรือว่าผลแห่งการรักษาศีล หรือด้วยผล
    แห่งอัญชลีกรรมสำรวมจิต ของท่านจงบอกแก่อาตมา ในกาลบัดนี้ด้วยเถิด"
    กัณฐกะเทพบุตรได้ ฟังพระมหาเถระถาม ก็ชื่นชมยินดี จึงอัญชลีกร
    ประณมหัตถ์ตอบว่า
    "ข้าแต่พ่ระผู้เป็นเจ้า! ชาติก่อนข้าพเจ้านี้ เป็นม้าชื่อว่า กัณฐกะ เกิดวัน
    เดียวกับพระราชโอรสแห่งพระเจ้าสิริสุทโธทนะ ในพระนครกบิลพัลดุ์ พระลูก
    เจ้านั้นจะออกไปทรงผนวชเพื่อประโยชน์แก่พระโพธิญาณ ในเพลามัชฌิชมยาม
    เที่ยงคืน พระองค์มาลูบหลังข้าพเจ้าด้วยพระหัตถ์อ่อนนุ่มมีเล็บอันแดง
    ประกอบฐด้วยมหาปุริสลักษณะแลอนุพยัญชนะ แล้วพระองค์จึงตรัสแเก่ข้าพเจัา
    ว่า ดูกรพญากัณฐกะอัศวราช! ท่านจงพาเราไปให้ตลอดราตรีวันนี้ เพื่อที่เรา
    จะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณอันประเสริฐ หากเราได้ ตรัสแก่พระ
    โพธิญาณแล้ว จักยังลัตว์โลกให้ข้ามพ้นจากห้วงภัยอันลึกใหญ่ คือ วัฏลงสาร "
    พระองค์ลำแดงประโยชน์แห่งการเสด็จไปแก่ตัวข้าพเจ้าดังนี้ ความยินดีแห่ง
    ข้าพเจ้าก็บังเกิดขึ้นเป็นอันมาก เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นนั่งเหนือหลังข้าพเจ้าแล้ว
    ข้าพเจ้าก็นำเสด็จออกไป เมื่อถึงแว่นแคว้นซึ่งเป็นวิสัยแห่งประเทศอื่นแล้ว
    สมเด็จพระลูกเจ้านั้นมิได้เอื้อเฟื้ออาลัย ละเสียซึ่งข้าพเจ้ากับฉันนะอำมาตย์
    ตรัสบอกให้กลับคืนพระนคร แล้วเสด็จบทจรไปไม่เหลียวหลัง ข้าพเจ้าจึงวิ่ง
    เข้าไปเสียพระบาทแห่งลมเด็จพระมหาบุรุษราชด้วยใจภักดิ์แล้วรัองไห้ ยืนเล็ง
    แลดูพระลูกเจ้าซึ่งค่อยทรงดำเนินไป พอพระสรีระร่างแห่งศากยราชผู้ทรงสิริ
    ลับสายตา ข้าพเจ้าก็หัวใจแตกถึงแก่กาลกิริยา แล้วได้มาบังเกิดในวิมานนี้ ด้วย
    อานุภาพปีติระลึกว่า "พระลูกเจ้าพระองค์ออกมานี้ จะได้ตรัสพระโพธิญาณ
    หรือสัตว์ขนสัตว์ออกจากทุกข์ในวัฏสงลาร" ด้วยความปีติปลาบปลื้มอันยิ่งใหญ่
    นั้น จึงได้เสวยทิพยสมบัติท้าวโกลีย์เป็นผู้ใหญ่ไนไตรตรึงษ์ ข้าแต่พระผู เป็น-
    เจ้า! แม้นพระผู้เป็นเจ้าไปสู่สำนักสมเด็จพระมหากรุณาบรมศาสดาแล้ว ขอจง
    โปรดกรุณากราบทูลพระองค์ด้วยว่า "ข้าพเจ้าผู้เคยเป็นม้าทรงของพระองค์
    ซึ่งมีนามว่า พญากัณฐกะอัศวราช ขอถวายนมัสการฝ่าพระบาทมาว่าข้าพเจ้า
    จักขอไปเห็นพระลูกเจ้าพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยากที่บุคคลจักพบ
    จักเห็นได้นั้น สักเพลาหนึ่งอย่างแน่นอน" ดังนี้
    จึงเป็นอันว่า เวลานี้ กัณฐกะเทพบุตรก็ยังเสวยลุขอยู่ในสวรรค์ชั้น
    ดาวดึงส์ ด้วยอนุภาพแห่งบุญคือปีติอันเกิดขึ้นในน้ำจิตก่อนจะตาย ตามที่เธอ
    ได้ตอบพระมหาโมคคัลลานเถระนั้น
    อายุ ทวยเทพที่สถิตเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นตาวตึงสาภูมิ
    นี้มีอายุยืนนานได้ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้สามโกฏิหกล้านปี ด้วยการคำนวณปี
    แห่งมนุษยโลกเรานี้
    บุรพกรรม ผู้ที่มาอุบัติเกิดเป็นทวยเทพในสวรรค์ชั้นตาวติงลาภูมินี้ โดย
    มากเมื่อเป็นมนุษย์เขามีจิตบริสุทธิ์ยินดีในการบริจาคทาน มีสันดานงดงามด้วย
    พยายามรักษาศีล ไม่ดูหมิ่นดูแคลนท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ของตน ครั้นหมดอายุ
    พ้นจากความเป็นคน เดชะกุศลจึงล่งมาให้ เกิดเป็นเทพยดาในสวรรค์ชั้นนี้ เสวย
    เทวสมบัติตามที่ใจปรารถนา
    พรรณนาในสวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ เห็นว่าสมควรยุติได้ แล้ว จึงขอยุติลง
    ด้วยประการฉะนี้

    ยามาภูมิ

    สวรรค์ชั้นที่ ๓
    สวรรค์แดนสุขาวดีชั้นที่ ๓ มีนามปรากฏว่า ยามาภูมิ ที่ได้ชื่อเช่นนี้ ก็
    เพราะว่า ภูมินี้ เป็นที่อยู่ของทวยเทพจำพวกหนึ่ง ซึ่งปราศจากความลำบาก
    และถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์ โดยมีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง ฉะนั้น
    สวรรค์ชั้นนี้จึงมีนามว่า ยามาภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของหมู่เทวดา ซึ่งมีสมเด็จ
    พระสุยามเทวราช ทรงเป็นเทวาธิบดี
    สวรรค์ชั้นยามานี้ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นไตรตรึงส์นี้ ไปเบื้องบนไกลแลนไกล
    มีปราสาทเงินและปราสาททอง เป็นวิมาน ที่อยู่ของเหล่าเทพยดาในสวรรค์ชั้น
    ยามาทั้งหลาย ก็แลปราลาทวิมานนั้น ย่อมสวยงามวิจิตรตระการตากว่าสวรรค์
    ชั้นไตรตรึงษ์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบวิมาน มีสวนอุทยานและสระโบกขรณีอัน
    เป็นทิพย์ ในสวรรค์เมืองฟ้านี้ไม่เห็นพระอาทิตย์พระจันทร์เลย เพราะสูงกว่า
    พระอาทิตย์พระจันทร์มากมายนัก เทพยดาทั้งหลายย่อมแลเห็นแสงสว่างด้วย
    รัศมีแห่งแก้วและรัศมีที่ออกจากกายเหล่าเทพเจ้านั้นเอง การทีจะรู้จักวันและ
    กันได้ ก็รู้จากดอกไม้ ทิพย์อันมีอยู่ในสรวงสวรรค์นั้นเป็นสัญลักษณ์ คือ ถ้าเห็น
    ดอกไม้ ทิพย์บานก็แสดงว่าเป็นเวลารุ่งกลางวัน ถ้าเห็นดอกไม้ทิพย์นั้นหุบลง ก็
    แสดงว่าเป็นเวลาค่ำคืน
    ฝูงเทพเจ้าทั้งหลาย บรรดาที่ได้ก่อสร้างกองการกุศลไว้ แลได้ ไปเกิดใน
    สวรรค์ชั้นยามานี้ ย่อมมีองคาพยพและหน้าตารุ่งเรืองงดงามนักหนา ได้รับ
    ความผาสุก มีความสำราญชื่นบานเทพฤทัย เสวยทิพย์สมบัติรื่นรมย์สมควรแก่
    อัตภาพ ส่วนท้าวสุยามเทวาธิราช ผู้ทรงเป็นจอมเทพเจ้าปกครองชาวสวรรค์ชั้นนี้
    ก็ทรงมีน้ำพระทัยประกอบด้วยกุศลยุติธรรม ทำให้เหล่าเทพเจ้าได้ รับความ
    ชุ่มฉ่ำเย็นใจ ได้เสวยสุขสุดพรรณนา

    ยามาสวรรค์
    การที่สัตว์ทั้งหลาย จักไปเกิดเป็นเทพเจ้าในสวรรค์ชั้นยามานี้ ต้อง
    มีกมลสันดานหนาแน่นไปด้วยกุศลสมภาร ไม่หวั่นไหวง่อนแง่นในกองการกุศล
    เช่น อุบาสกคนหนึ่งในพระนครราชคฤห์ ซึ่งควรจารึกเรื่องของเขาไว้ ดังต่อไปนี้
    ยังมีอุบาลกคนหนึ่ง มีนิวาอยู่ในเมืองราชคฤห์ เขาเป็นคนมีศรัทธาหนัก
    แน่นในพระบวรพุทธศาสนา อุทิศถวายอาหารบิณฑบาตแก่ภิกษุสงฆ์วันละ ๔
    รูปเป็นประจำ ทำเป็นสังฆทานอยู่เนืองนิตย์ คราวหนึ่งประตูบานอุบาสกนั้นปิด
    ไว้ ด้วยเกรงโจรผู้ร้ายจะเข าไป อรุณรุ่งเช้า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายที่มาเพื่อรับ
    สังฆทานเช่นเคย เห็นประตูปิดอยู่ก็มิเข้าไป พากันกลับโดยมิได้ภัตตาหาร
    อุบาสกนั้นตระเตรียมโภชนาหารเพื่อถวายสังฆทานเมื่อไม่เห็นพระผู้เป็นเจัา
    เข้ามารับ จึงสอบถามคนในบ้านได้ความว่า ประตูหนทางที่พระผู้เป็นเจ้าจะ
    เข้ามาปิดอยู่ พระผู้เป็นเจ้าจึงเข้ามาไม่ได้ เลยมิได้รับสังฆทาน ได้ทราบเช่นนี้
    แล้ว อุบาสกผู้ฝักใฝ่ในทานก็ให้สังเวชสลดใจนัก เพราะตนมีสันดานสะอาดมาก
    ไปด้วยศรัทธา ครุ่นคิดอยู่แต่ว่า วันนี้ตนมิได้ ถวายสังฆทาน อีกประการหนึ่ง
    พระผู้เป็นเจ้าก็คงมิได้ ฉันภัตตาหาร เป็นการขาดประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
    เพราะเหตุการณ์จัญไรเพียงนิดเดียว คิดเช่นนี้ แล้วจึงเที่ยวไปว่าจ้างได้ คนคน
    หนึ่งมาเป็นผู้รักษาประตู แลัวสั่งว่า "ท่านจงนั่งรักษาทวารอยู่ที่นี่ ถ้าเห็นพระผู้
    เป็นเจ้ามาเมื่อใด จงนิมนต์ให้เข้าไปในบ้านเรา จงพยายามปฏิบัติให้ดี" แล้วให้
    ค่าจ้างแก่บุรุษนั้นเป็นประจำ ตั้งแต่วันนั้นมา เขาก็เจริญศรัทธาถวายสังฆทาน
    ได้ทุกวันโดยละดวก ทำอยู่เนืองนิตย์ ครั้นชีวีตของเขาปิดฉากลง กุศลจึงส่งให้
    มาเกิดเป็นเทพเจ้าบนสวรรค์ชั้นยามานี้ ได้ เสวยทิพยสมบัติแสนจะเป็นสุขหนัก
    หนา
    อายุ ทวยเทพที่สถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ ลรวงสวรรค์ชั้นยามาภูมินี้มีอายุ
    ยืนนานถึง ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้สิบลี่โกฏิสี่ล้านปี ด้วยการนับตามจำนวนปี
    แห่งมนุษยโลกเรานี้
    บุรพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดเป็นเทพในสรวงสวรรค์ชั้นยามานี โดย
    มากเมื่อเป็นมนุษย์เขาเป็นคนมีจิตใจบริลุทธิ์ พยายามบำเพ็ญทานรักษาศีลเป็น
    นิตย์ มีจิตขวนขวายในธรรมที่พระลัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ
    พระสงฆ์สาวก ของพระพุทธเจ้าแสดง ไม่ใช่แกล้งทำความดี แต่ทำด้วยใจจริง
    หนักหนา คุเณหิ ปริตุฏฐา ตั้งหน้าขวนขวายแต่กุศลกรรมความดีฝ่ายเดียว
    ไม่แลเหลียวในการทำบาปกรรมความชั่ว ครั้นตัวแตกกายทำลายขันธ์ จึงพลัน
    มาอุบัติเกิดเป็นเทพในสรวงสวรรค์ชั้นยามานี้
    ฉะนั้น จึงควรที่พุทธบริษัทผู้อุบัติเกิดมามีโอกาสอันแสนประเสริฐด้วย
    เกิดมาพบพระพุทธศาลนาซึ่งหาได้ ยากในโลก เมื่อรักตัวอยากให้ตนมีความสุข
    ควรจะฉุกคิดขวนขวายตั้งหน้าบำเพ็ญบุญสร้างกุศลไว้กับตนอย่างจริงจังเสียตั้ง
    แต่บัดนี้ เป็นต้นไป เพื่อจักได้เป็นปาไถยเสบียงนำตนไปเสวยทิพยสมบัติ
    เหมือนเทพเจ้าในสรวงสวรรค์ชั้นยามา อย่าทำตนเป็นคนลังเลสงสัยด้วยเข้าใจว่า
    ตนเป็นคนปัญญาดี หันรีหันขวางฟุ้งซ่านไม่เข้าเรื่อง จะสิ้นเปลืองเวลาไปเปล่าๆ
    ไม่ช้าเราก็าะตายแล้ว คิดมากไปก็จะแคล้วคลาดจากสมบัติทิพย์ที่จะพึงได้พึงถึง
    อย่างนี้ จะเสียใจในภายหลัง
    พรรณนาในสวรรค์ชั้นยามาภูมิ เห็นสมควรจักยุติได้แล้ว จึงขอยุติลง
    ด้วยประการฉะนี้

    ตุสิตาภูมิ
    สวรรค์ชั้นที่ ๔
    สวรรค์แดนสุขาวดีชั้นที่ ๔ มีนามปรากฏว่า ตุสิตาภูมิ หรือสวรรค์ชั้นดุสิต
    ที่ได้ ชื่อว่า ตุสิตาภูมิก็ เพราะว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าพวกหนึ่ง ซึ่ง
    มีความยินดี และความแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์โดยมีสมเด็จพระสันตุสิดเทวราช
    ทรงเป็นอธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ปกครอง ฉะนั้นจึงได้ชื่อว่า ตุสิตาภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของ
    เทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์
    สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไปไกลแสนไกล มีวิมาน
    ๓ ชนิด คือ วิมานแก้ว ๑ วิมานทอง ๑ วิมานเงิน ๑ แต่ละวิมานเป็นปราลาท
    สวยสดงดงาม วิจิตรตระการเหลือที่จะพรรณนา และมีกำแพงแก้วล้อมรอบ
    ทุกวิมาน สวยงามยิ่งกว่าปราสาทวิมานของเหล่าเทพยดาในสวรรค์ชั้นยามา
    มีสระโบกขรณีและสวนอุทยานอันเป็นทิพย์ สำหรับเป็นที่เที่ยวเล่นของเทพเจ้า
    ชาวสวรรค์มากมายนัก
    เทพเจ้าผูอยูในดุสิตสวรรค์นี้แต่ละองค์ย่อมมีรูปทรงสวยงามและสง่ากว่า
    เทพชั้นต่ำๆ ทั้งมีน้ำใจรู้บุญรู้ ธรรมยินดีในการสดับตรับฟังธรรมยิ่งนัก ทุกวัน
    ธรรมสวนะ เขาเหล่านั้นมีการประชุมฟังธรรมกันเสมอมิได้ขาดเลย องค์
    จอมเทพสันตุลิตเทวราชผู้มีอิสริยยศยิ่งใหญ่อธิบดีในสวรรค์ชั้นนี้ ท้าวเธอก็เป็น
    ผู้รู้ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้ามาก ทรงเป็นเทพเจ้าผู้พหูสูต มัก
    อัญเชิญูให้ฐทพบุตรผู้ เป็นโพธีสัตว์แสดงธรรมโปรดเสมอ พระองค์ทรงปกครอง
    เทพเจ้าในสวรรค์ชันดุสิตนี้ให้ได้ รับความสำราญ ชื่นชมยินดี เป็นสุขรื่นเริงทุก
    ทิพาราตรีปัจจุบันนี้ ปรากฎว่ามีเทพเจ้าสำคัญองค์ที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต
    นี้ ซึ่งมีประวัติควรแก่การนำมาบันทึกไว้ ดังต่อไปนี้
    อรุณรัตน์:





    สิริมหามายาเทพเจ้า
    สมเด็จพระนางสิริมหามายา องค์มเหสีแห่งพระเจ้าสุทโธทนะนั้น ครั้น
    ประสูติพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระบรมราซโอรสแล้วได้เจ็ดวันเท่านั้น ก็ดับขันธ์
    จากมนุษย์ ขึ้นมาบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต เสวยทิพย์สมบัติอยู่
    จนทุกวันนี้ มีนางเทพอัปสรเป็นบริวาร แต่จะได้ยินดีในการที่จะเสพเบญจ-
    กามคุณกับนางฟ้าก็หามิได้ ด้วยเป็นวิสัยธรรมดาแห่งพระพุทธชนนี หากว่าจะ
    บังเกิด เป็นเทพนารี ทรงมีพระสิริรูป ซึ่งงดงามหาที่เปรียบมิได้แล้วไซร้
    เทพบุตรองค์ใดมีจิตคิดรักใคร่ ก็จักเป็นโทษนักหนา เหตุนั้น พระพุทธมารดาใน
    ปัจฉิมภวิกชาติ จึงอุบัติเกิดเป็นเทพบุตร สถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิตนี้
    คราวที่สมเด็จพระผู้มีพระภาค ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ทรมานเดียรถีย์
    นิครนถ์ ณ ภายใต้ต้นคัณฑามพฤกษ์ลำเร็จแล้ว ทรงพระดำริว่า พระมารดา
    ของคถาคตนี้ มีคุณูปการและรักใคร่ในตถาคตเป็นอันมาก ได้ ตั้งความปรารถนา
    เป็นมารดาตถาคตมาแต่สมัยลมเด็จพระวิปัลสีลัมมาลัมพทธเจ้า จนตราบ
    เท่าบัดนี้ได้ แสนกัป ควรแล้วที่ตถาคตจักไปดาวดึงส์พิภพเทศนาพระอภิธรรม
    คัมภีร์สนองคุณ ทรงดำริฉะนี้ แล้ว คราวนั้นพระองค์จึงเสด็จไปไตรตรึงษ-
    เทวโลก ประทับเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ภายใต้ไม้ปาริชาตพฤกษ์
    สมเด็จพระอมรินทรเทวราชทรงทราบความแล้ว จึงออกจากไพชยนต์
    ปราสาททิพยพิมาน มีเทวราชโองการร้องประกาศแก่หมู่เทพยดาทั้งหลายว่า
    "ดูกรท่านทั้งหลายผู้ เป็นสหายเรา! ท่านทั้งหลายจงอย่าได้ช้า จงออกมาเถิด
    บัดนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าเลด็จขึ้นมาโปรดถึงพิภพของพวกเราแล้ว เป็นบุญลาภ
    อันเประเสริฐล้ำเลิศของพวกเราหาที่ เปรียบมิได้ เราจะพากันไปฟังพระธรรม
    เทศนา เทพบุตรเทพธิดาได้ฟังดังนั้น จึงพากันออกจากวิมานอันเป็นทิพย์ถือ
    เครื่องสักการะของหอมมาเฝ้าแวดล้อมบูชาพระพุทธองค์อยู่เนืองแน่น
    สมเด็จพระบรมศาสดา ทอดพระเนตรแลดู มิได้เห็นพระพุทธชนนี จึงมี
    พระพุทธฎีกาตรัสถามองค์อมรินทรเทวราชว่า พระสิริมหามายา ซึ่งเป็นชนนี
    ของตถาคตมิได้เสด็จมาหรือประการใด ท้าวสหัสนัยน์ได้ สดับพระพุทธดำรัส ก็
    ทรงทราบพระพุทธประสงค์ว่า พระพุทธองค์เสด็จมาครั้งนี้ คงจะตรัสพระธรรม
    เทศนาโปรตพระชนนีให้ได้ บรรลุพระอริยมรรคอริยผล ดำริฉะนี้ องค์ท้าวโกสีย์
    จึงรีบเร่งเหาะไปโดยเทวฤทธิ์ สู่พิภพดุสิตลรวงสวรรค์ อันเป็นที่อยู่ของสิริมหา-
    มายาเทพบุตร ถึงแลัวก็ถวายอภิวันท์โดยเคารพ ทูลว่า "ข้าแต่พระสิริมหามายา
    เจ้าผู้เจริญด้วยสิริสวัสดิ์ สมเด็จพระพุทธองค์เสด็จมาพิภพไตรตรึงษ์
    แห่งข้าพระบาท ประทับ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ ปาริชาตทิพยพฤกษา
    ประทับคอยท่าเพื่อจะตรัสพระธรรมเทศนา ขอเชิญเสด็จไปเฝ้าโดยเร็วเถิด
    พระเจ้าข้าฯ
    พระสิริมหามายาเทพเจ้า ได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัสจึงตรัสว่า
    ดูกรท่านท้าววชิรปาณีผู้เป็นใหญู่! พระบรมโอรสาธิราชของเรานั้น ทรงพระ-
    สิริรูปโฉมปรากฏเป็นฉันใด ท่านได้เห็นเป็นประการใด จงรีบบอกแก่เราให้แจ้ง"
    ท้าวสักกเทวราชจงทูลว่า พระบวรโอรสของพระองค์นั้น หาผู้ใดผู้หนึ่งเปรียบ
    ปานมิได้ ทั้งสามภพ พระสรีราพยพประดับด้วยมหาปุริสลักษณะและอนุ-
    พยัญชนะสมบูรณ์ทุกประการ มีรัศมีซ่านออกจากพระวรกายหกประการ ทั้งยัง
    มี พระสุรเสียงกอบด้วยองค์แปดประการ ไพเราะหาผู้จะเสมอมิได้'' สิริมหา
    มายาได้ ทรงฟังก็โสมนัสว่า ''อาตมาเกิดในสังสารวัฏนี้ชื่อว่าไม่มีใครเทียมเทียบได้
    ด้วยได้เป็นพระพุทธมารดา" แล้วก็รีบด่วนทรงทิพยภูษา ชวนเทพอัปสรเหล่า
    ชาวฟ้าลงจากดุสิตพิมาน โดยมีท้าวมัฆวานเชิญเลด็จมาในเบื้องหน้า
    ครั้นเสด็จมาถึงทอดพระเนตรเห็นองค์พระพิชิตมาร ก็ยังตะลึงลาน
    ทรงพระปรีดาภิรมย์ ชมพระรูปพระโฉมจนสมอาลัยในดุสิตพิมาน ชมพลาง
    เศร้าโศกเสียพระหฤทัยว่า ''อาตมานี้ เป็นคนบุญน้อย ประสูติพระพุทธเจ้าซึ่ง
    เป็นพระบวรโอรสแล้วเจ็ดวันเท่านั้นก็ดับขันธทำกาลกิริยา มิได้เห็นพระโอรล
    ทรงบุญญาภินิหารเป็นเวลาช้านานถึงเพียงนี้ นี้ดีแต่ท้าวโกสีย์ทรงไปบอก
    จึงได้มาพบพระบวรโอรส " พระสิริมหามายาเทพบุดรทรงพระกันแสงกำสรด
    แล้วก็ทรงพระสรวลว่า " อาตมานี้ ไม่ควรจะปริเทวนาการ ด้วยว่าอันคนที่เกิด
    มาในวัฏลงลาร จะได้เป็นพระพุทธมารดาดังอาตมานี้ยากนักหนานับเป็นเวลา
    นานกว่าพระพุทธเจ้าจักมาตรัสแต่ละพระองค์ พระพุทธมารดาก็มีแต่พระองค์
    เดียวเท่านั้นไม่มีสอง อาตมานี้แลก็ได้ เป็นพระพุทธมารดา
    สมเด็จพระบรมศาสดา จึงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาตรัสเรียกพระสิริมหา
    มายาเทพบุตรซึ่งเป็นพุทธชนนีว่า ''พระพุทธมารดาจงมานี่ พระพุทธมารดาจงมา
    ที่นี่ จะทอดพระเนตรดูไปไยซึ่งสรีระรูปโฉมอันเป็นอนิจจัง" พระสิริมหามายา
    ได้ทรงฟังก็เสด็จเข้ามาใกล้ ประทับนั่งข้างหน้าเป็นประธานแห่งหมู่เทพยดา
    ทั้งหลาย พระพุทธองค์จึงโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนา คือ พระ
    สัตตปกรณาภิธรรมทั้งเจ็ดพระคัมภีร์ พอได้ สดับธรรมของสมเด็จพระชินลีห์
    จบลง องค์สิริมหามายาเทพบุตรพุทธชนนีก็ได้ สำเร็จพระโสดาปัตติผลใน
    พระพุทธศาลนา
    บัดนี้ พระสิริมหามายาเทพบุตร ก็ยังเสวยทิพยสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
    อย่างสุขสำราญ ด้วยบุญญาธิการที่สร้างสมอบรมไว้แต่ปางบรรพ์ ก็สวรรค์ชั้น
    ดุสิตนี้ ย่อมเป็นที่ประทับอยู่ของสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าที่ทรงรอคอยโอกาส
    จะมาตรัสในโลก เช่นองค์สมเด็จพระบรมครูศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ของเราทั้งหลาย ก่อนที่จะมาอุบัติตรัสเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ประทับอยู่ ณ
    สรวงสวรรค์ชั้นดุสิตในพระนามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตร ผู้ทรงพระพุทธ
    บารมี จนถึงกาลที่เทพทั้งหลาย ในหมื่นจักรวาลไปทูลอาราธนา พระองค์จึง
    จุติมาอุบัติในมนุษยโลก แล้วทรงกระทำความเพียร จนสำเร็จพระปรมาภิเษก
    สัมโพธิญาณ

    พระศรีอาริยเมตไตรย
    ในปัจจุบันนี้ สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ คือ พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ซึ่ง
    จักมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี ก็เสด็จสถิตอยู่
    ณ ดุสิตพิภพสวรรค์ ด้วยว่าสวรรค์เทวโลกชั้นนี้ เป็นที่สำราญ ผาสุกสมควร
    แก่พระบรมโพธิสัตว์ผู้ทรงสร้างพระบารมีมาจะเสด็จอาศัยอยู่ จนกว่าจะถึง
    กาลกำหนตตรัสรู้ ตามเยี่ยงอย่างหน่อพุทธางกูรทั้งหลาย แต่ปางก่อนสืบมา
    ด้วยว่า พระบรมโพธิสัตว์หน่อพุทธางกูร ผู้สร้างพระบารมีหมายพระ
    โพธิญาณนั้น หาพอพระทัยที่จักไปอุบัติเกิดในเทวโลกที่สูงกว่านี้ หรือพรหมโลก
    ไม่ เพราะหาก ไปอุบัติเกิดในโลกที่มีอายุยืนนับเป็นกัปแล้ว ก็จะเป็นการเนิ่นนาน
    ชักช้าเสวยเวลาสร้างพระบารมีไปเปล่า ๆ ฉะนั้น จึงย่อมจะพอพระทัยที่จักบังเกิด
    อยู่ ณ ดุสิตพิภพนี้ เพราะสะดวกแก่การที่จะทรงอธิษฐานให้จุติมาเกิดในโลก มนุษย์
    เพือสร้างพระบารมีในคราวที่ต้องพระประสงค์ ได้ทราบว่า พระโพธิสัตว์
    หน่อพุทธางกูรทั้งหลาย เมื่อเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว มีน้ำ
    พระทัยรำพึงถึงพระโพธิญาณใคร่สร้างพระบารมีให้ภิญโญ ย่อมเสด็จเข้าสู่ที่
    บรรทมในปราสาทพิมานแต่ลำพังพระองค์เดียว แล้วทรงหลับพระเนตรลง ทรง
    อธิษฐานว่า เราจักจุติ ในกาลบัดนี้ โดยนำพระทัยรักในพระโพธิญาณมิได้
    อาลัยในสวรรค์สมบัติ พอทรงอธิษ ฐานขาดคำลง ก็ทรงจุติจากสวรรค์มาอุบัติ
    เกิดในมนุษย์โลก เพื่อสร้างพระบารมีต่อไป การอธิษฐานให้จุตินี้ จะกระทำได้
    แต่เฉพาะเทพยดาผู้มีบุญญาธิการเช่นพระบรมโพธิสัตว์นี เท่านั้น จะได้ทั่วไปแก่
    สามัญสัตว์ทั้งหลายนั้นหามิได้
    สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมพงษ์โพธิสัต ซึ่งเสด็จสถิต ณ ดุสิต
    พิภพขณะนี้พระองค์มีพระอัชฌาลัย พอจะประมวลมากล่าวไว้ เพื่อเป็นเครื่อง
    เรืองปัญญาแก่พวกเราทั้งหลาย สิริรวม ๖ ประการ คือ
    ๑. เนกขัมมัชฌาสัย พอใจบรรพชา รักเพศบรรพชิตยิ่งนัก
    ๒. วิเวกัชฌาสัย พอใจอยู่ที่เงียบสงัด
    ๓. อโลภัชฌาสัย พอใจบริจาคทาน ชอบใจคนไม่โลภ ไม่ตระหนี่
    ๔. อโทสัชฌาสัย พอใจความไม่โกรธ ชอบใจเสพสมาคมกับคนไม่มักโกรธ
    ๕. อโมหัชฌาสัย พอใจความไม่หลง ชอบเสพสมาคมกับคนมีสติปัญญา
    เป็นนักปราชญ์
    ๖. นิสสณัชฌาสัย พอใจความสลัดออก ชอบเสพสมาคมกับผู้มีความเบื่อ
    หน่ายในสังสารวัฏ
    เมื่อพระองค์ทรงมีพระอัชฌาสัย ๖ ประการเช่นนี้ จึงทรงยินดีในธรรม
    และปรากฏว่า ขณะนี้ พระองค์ย่อมทรงแสดงธรรมให้ ปวงเทพเจ้าเหล่าชาว
    สวรรค์ชั้นดุสิตฟังอยู่เสมอมิได้ขาด โดยการอัญเชิญอาราธนาของปวงเทพเจ้า
    ชาวสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสันตุลิตเทวราชเจ้าทรงเป็นประธาน

    การสร้างพระบารมี
    เมื่อกล่าวถึงการสร้างพระบารมีสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์
    นี้ พระองค์ได้ทรงสร้างสมมานาน เพราะ ทรงสร้างพระบารมีเป็นพระวิริยาธิกะ-
    พุทธเจ้า ซึ่งยิ่งด้วยพระวิริยะ แต่กองพระบารมีประการหนึ่ง เมื่อแรกจะทรง
    ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้ทรงทำปรมัตถบารมีอันประเสริฐ หาผู้ใดผู้
    หนึ่งเสมอเหมือนมิได้ ซึ่งมีเรื่องที่ควรจารึกไว้ ดังต่อไปนี้
    กาลนานแสนนานมาแล้ว ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระ
    นามว่า สมเด็จพระสิริมามิ่งโมลีสัพพัญญู ทรงอุบัติขึ้นในโลก คราวนั้นสมเด็จ
    พระศรีอาริยเมตไตรยบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่าพระเจ้า
    สังขจักรจอมจักรพรรดิ เป็นอิสราธิบดีในพระนครอินทปัตถ์ราชธานี ไม่ทรง
    ทราบว่ามีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแต่อย่างใด
    ต่อมา มีสามเณรรูปหนึ่งไปเที่ยวหาทรัพย์เพื่อจะไถ่ถอนมารดา ซึ่งเป็น
    ทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่งให้เป็นไท ครั้นไปถึงกรุงอินทปัตถ์ ชาวเมืองเข้าใจผิดคิด
    ว่าเป็นยักษ์ เพราะเห็นว่านุ่งห่มแปลกประหลาด จืงช่วยกันกลุ้มรุมทุบตีสาม-
    เณรเป็นการใหญ่ สามเณรตกใจกลัววิ่งหนีเข้าไปท้องพระโรง ขณะเสด็จออก
    ทรงไต่ถามได้ทราบความว่า เป็นสามเณรบรรพชาในศาสนาของพระสัมมา-
    สัมพุทธเจ้าสิริมามิ่งโมลี จึงมีความยินดีสุดหัวใจ ได้ทรงจัดการราชาภิเษก
    สามเณรนั้นครองราชสมบัติแทนตน แต่พระองค์เดียวดำเนินไปในทิศที่พระ
    พุทธเจ้าประทับอยู่ โดยเหตุที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ เมื่อเสด็จ
    พระราชดำเนินไปด้วยพระบาทได้วันหนึ่ง พระบาททั้งสองจึงแตกช้ำ ครั้นล่วง
    มรรคาไปอีกสามวัน พระชงฆ์และพระบาทก็แตกโลหิตไหลในวันที่สี่ ก็สุดที่จัก
    ทรงพระดำเนินไปได้ แต่ก็ทรงพระดำริว่า เราจักไปให้ ถึงสมเด็จพระสัมมา-
    สัมพุทธเจ้าให้จงได้ " แล้วนอนพังพาบ ค่อยๆ กระเถิบไปโดยพระอุระ ดัวยกำลัง
    พระอุตสาหะ อันแรงกล้า ได้เสวยทุกขเวทนาแสนลาหัส ก็มิได้ทรงย่นย่อท้อถอย
    สมเด็จพระสิริมามิ่งโมลีลัพพัญญู ทรงเล็งแลดูหมู่เวไนยลัตว์ดัวยพระสัพ-
    พัญญุตญาณ ทรงเห็นกำลังวิริยะของพระเจ้าสังขจักรนั้นมาก ก็ทรงทราบว่า
    เป็นหน่อพุทธางกูร ก่อสร้างพระบารมีตามวงศ์พระบรมโพธิสัตว์จึงเสด็จพระ
    พุทธดำเนินด้วยพระพุทธสิริลีลาศอันงดงามเพื่อหวังจักทรงโปรด ครั้นใกล้จะ
    ถึงจึงทรงแปลงเพศเป็นมาณพขับเกวียนมาในมรรคา แล้วร้องถามว่า ดูกร
    ท่านผู้เจริญู! ท่านจงหลีกไปให้ พ้นทางเกวียน มิฉะนั้น เกวียนจะทับ" พระเจ้า
    สังขจักรทรงตอบว่า "ดูกรนายสารถี การที่เราจะหลีกทางนั้น เราหลีกไม่ได้
    เราจักไปเฝ้าสมเด็จพระสัมพุทธเจ้า เดินทางมาหมดแรง ทั้งบาทาแข้งขาก็บอบ
    ช้ำ นักหนา ชอบแต่ท่านจะขับเกวียนหลีกทางเราจึงจะควร" พระสิริมามิ่งโมลี
    ซึ่งทรงมีน้ำพระทัยประกอบด้วยมหากรุณาจึงตรัสว่า "ท่านจักไปเฝ้าสมเด็จ"
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงขึ้นเกวียนเราในบัดนี้เถิด เราจักพาไปล่งให้ถึงสำนัก
    ของสมเด็จพระสัพพัญูญูผู้ประเสริฐ แล้วก็ทรงให้สมเด็จพระเจ้าสังขจักร เสด็จ
    ขึ้นเกวียนจนใกล้ ถึงที่ประทับแล้วจึงทรงให้หยุดอยู่ ณ ที่นั่นสมเด็จพระอมริน
    ทราธิราชเป็นเจ้าในไตรตรึงษ์สวรรค์พร้อมด้วยพระเทวีได้ แปลงเพศเป็นบุรุษ
    และสตรี มีมือถือห่อข้าวทิพย์และกระทอน้ำเดินสะพายมาถวายแบ่งปันให้
    พระเจ้าสังขจักร พระองค์ทรงบริโภคโภชนาหารเป็นที่สบายหายบอบช้ำแล้ว
    ก็ทรงดำเนินเข้าไปในพระวิหารใหญู่
    ครั้นเลด็จเข้าไปถึง ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระสิริมามิ่งโมลี เสด็จอยู่
    ในพระวิหาร มีพระรัศมีสว่างรุ่งเรือง ก็ทรงเกิดปีติยินดีล้นพระทัย จนถึงแก่
    วิสัญญีภาพสลบลงไป พอทรงฟื้นได้สติสมปฤดีขื้นมาแล้ว ก็น้อมพระองค์เสด็จ
    เข้าไปใกล้ ยกอัญชลีกรประณมเหนือพระเศียรเกล้า ตรัสว่า ''ข้าแต่พระองค์ผู้
    ทรงเป็นพระโลกนาถ" แต่ตรัสได้เพียงคำหนึ่งวาจาเดียวเท่านั้น ก็ทรงนิ่งอึ้ง
    มิอาจตรัสออกมาได้ ซึ่งคำอื่น ด้วยความตื้นตันปีติปราโมทย์ในพระทัย
    สมเด็จพระสิริมามิงโมลี จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "ดูกรมหาบพิตรผู้
    ประเสริฐ บัดนี้ ขอพระองค์จงตั้งพระมนัสกำหนดตถาคตจักแสดงธรรมแก่ท่าน
    ขอจงกำหนดในใจด้วยดีเถิด" แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาอัน
    ว่าด้วยคุณแห่งพระนิพพาน แต่พอพระองค์ทรงแสดงได้ประมาณบทเดียวเท่า
    นั้น พระเจ้าสังขจักรก็ทรงฟังไม่รู้เรื่อง เพราะทรงดำริว่า ''ถ้าหากพระพุทธองค์
    แสดงพระธรรมเทศนาไปมาก เครื่องไทยธรรมที่สมควรแก่พระธรรมเทศนานั้น
    หาเห็นสิ่งใดจะสมควรไม่ ก็บัดนี้ พระพุทธองค์แสดงคุณพระนิพพานบทเดียว
    เท่านั้นพอควรแก่เครื่องสักการบูชาที่เรามีอยู่ ด้วยพระนิพพานเป็นที่สุดแห่งโลก
    เศียรเกล้าของเราพร้อมทั้งมหามงกุฎก็เป็นสุดที่แห่งโลกที่เราจะกระ
    ทำสักการบูชาฯ พระธรรมเทศนาของพระองค์'' ครั้นทรงฯพระดำริฉะนี้ จึงทรง
    กราบทูลสมเด็จพระสิริมามิ่งโมลีว่า
    ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์เจ้า ขอจงทรงหยดพระ
    ธรรมเทศนาแต่เพียงเท่านี้เถิด พระธรรมเทศนาทั้งปวงนั้น
    ก็มีพระนิพพานสิ่งเดียวเป็นที่สุด บัดนี้ข้าพระบาทจะตัด
    เศียรเกล้ากับมงกุฎกระทำสักการบูชาพระธรรมเทศนาของ
    พระองค์... ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าสิริมามิ่งโมลีผู้
    ประเสริฐ พระองค์จึงเสด็จสำราญในอมตมหานิพพานไป
    ก่อนเถิด ข้าพระบาทจะตามเสด็จพระองค์ไปในภายหลัง
    ด้วยเดชะแห่งผลสักการบูชาของข้าพระบาทนี้ฯ
    สมเด็จพระเจ้าสังขจักรผู้ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ ครั้นทรงตั้งพระ
    ปณิธานดังนี้ แล้ว ก็ทรงชักพระขรรค์ตัดพระศอขาด แล้วถือชูบูชาไว้ สิ้นพระชนม์
    มายุเสด็จมาสู่พิภพดุสิตสวรรค์นี้
    ทรงท่องเที่ยวในวัฏลงสาร สร้างสมอบรมพระบารมีสิ้นกาลช้านาน มาถึง
    ศาลนากาลแห่งสมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูของเราทั้งหลาย พระศรี
    อาริยเมตไตรยบรมโพธิลัตว์ก็ได้ จุติมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางกาญจนาเทวี
    มเหสีของพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงพระนามว่า พระอชิตกุมาร พอพระชนมายุได้
    ๑๖ ปี ก็ทรงผนวช มีปัญญามากรอบรู้ในพระปริยัตธรรม เชี่ยวชาญในพระไตร-
    ปิกฎอย่างยอดเยี่ยม ได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากพระบรมครูเจ้าแห่งเราว่า
    "พระอชิตภิกษุผู้บวชใหม่นี้จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
    นามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย ในที่สุดแห่งภัทรกัปนี้
    ท่านอชิตภิกษุหนุ่มผู้มีพุทธบารมีนั้นครั้นดับเบญจขันธ์ถึงแก่มรณภาพแล้ว
    ก็มาอุบัติเกิดในลวรรค์ชั้นดุสิตเป็นพระศรีอาริยเมตไดรยบรมโพธิลัตว์ซึ่งทรง
    พระปัญญาและกำลังเทศนาโปรดปวงเทพเจ้า ซึ่งมีสมเด็จพระสันตุลิตเทพยราช
    เป็นประธานตามกาลเวลาอยู่ในขณะนี้
    อายุ ทวยเทพที่ลถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สรวงสวรรค์ชั้นตุลิตาภูมินี้ มี
    อายุยืนนานได้ ๔, ๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ ห้าสิบเจ็ดโกฏิหกล้านปี ด้วยการคำนวณปี
    แห่งมนุษยโลกเรานี้
    บุรพกรรม ผู้ที่จะมีโอกาสมาอุบัติเกิดใน สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ โดยมากเมื่อ
    ครั้ง เป็นมนุษย์ เขามีจิตบริลุทธ็์ทรงธรรม ชอบสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา
    ทั้งมีปัญญาดี หรือเป็น พระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก มีความสุขเกษมยินดี ครั้นสิ้น
    ชีวิตดับชีพแล้ว ก็ทรงมาอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ เสวยทิพยสมบัติเป็นที่สำราญ
    ตามปรารถนา
    พรรณนาในตุสิตาภูมิ เห็นว่าสมควรที่จะยุติได้แล้ว จึงขอยุติลง ด้วย
    ประการฉะนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...