“ยอดเยี่ยมที่หนึ่งเลย แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา แก่ทั้งมรรคผลนิพพาน”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปัญฺญาวโร, 31 ตุลาคม 2012.

  1. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    [​IMG]
    มีพระสุปฏิปันโนหลายรูปเคยพูดถึง หลวงปู่บุดดา ถาวโร เสียงนั้นล้วนเป็นไปในทางเดียว.....

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน กล่าวไว้ว่า “...หลวงพ่อบุดดานี่เป็นพระสำคัญอยู่นะ ทางด้านจิตใจสำคัญอยู่...พอเชื่อแน่ในใจแล้ว ผู้เฒ่านี่เป็นพระสำคัญ ในสำนวนโวหารพูดอะไรออกมามันก็แปลกๆ อยู่ มันแปลกมาจากใจนั่นละ จะแปลกมาจากไหน ใจไม่แปลกมันก็ไม่แปลกถ้าใจแปลก มันแปลกทั้งนั้น กิริยาแสดงออกมามันแปลก มันแปลกออกมาจากหัวใจ ผู้เฒ่าสำคัญอยู่องค์หนึ่ง...”

    ที่สรุปไว้อย่างรวบรัด ชัดเจนที่สุดมาจาก หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    “ยอดเยี่ยมที่หนึ่งเลย แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา แก่ทั้งมรรคผลนิพพาน”

    ที่ว่าแก่ทั้งอายุ เพราะสิริรวมอายุมากถึง 100 ปี 7 วัน

    แก่ทั้งพรรษา เพราะนับได้ 73 พรรษา

    แก่ทั้งมรรคผลนิพพาน เพราะท่านบรรลุมรรคผลนิพพานมาตั้งแต่ยังหนุ่ม



    ชีวิตของหลวงปู่บุดดาเป็นชีวิตที่เหมือนเส้นตรง กล่าวคือ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2437 พออายุ 21 ปี เข้ารับราชการเป็นทหารเกณฑ์สังกัดทหารบกปืน 3 จังหวัดลพบุรี อยู่ 2 ปี แล้วกลับมาทำไร่ทำนาอยู่ 4 ปี ก่อนอุปสมบท ขณะอายุได้ 28 ปี จากนั้นก็เจริญวัย เจริญธรรม มาอย่างยาวนาน ก่อนละขันธ์ในวันที่ 12 ม.ค. 2537

    ดูเหมือนว่าเส้นตรงเส้นนี้มิได้เริ่มจากจุดแรกที่การถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาของนายน้อย-นางอึ่ง มงคลทอง เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ม.ค. 2437 ที่บ้านหนองเต่า ต.พุดา อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี แต่เริ่มต้นมาไกลกว่านั้นมาก เพราะอายุ 10 ปีก็ระลึกชาติได้ แต่ไม่ว่าใครจะสนใจในสิ่งที่เด็ก 10 ขวบพูดหรือไม่ก็ตาม สิ่งนั้นก็คงอยู่ในใจของหลวงปู่บุดดาเรื่อยมา เพราะหากวิเคราะห์จากคำพูดของท่านที่มีต่อสาวที่เข้ามาติดพันในช่วงที่ท่านเป็นทหารหนุ่มนั้น แสดงให้เห็นว่า ชายหนุ่มผู้นี้ตรึกอยู่ในธรรมอย่างชัดแจ้ง

    “กลับไปเถอะ ฉันเป็นทหารตัวเมีย ไม่ชอบผู้หญิง ถ้าไปเจอทหารตัวผู้คนอื่นเข้าจะลำบาก...” หนุ่มบุดดาบอกกับสาวๆ

    ท่านเดินเข้าโบสถ์อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดเนินยาว ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2465 โดยมี พระครูธรรมขันธ์สุนทร (ม.ร.ว.เอี่ยม) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูเรือง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการไพล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    เพราะรอการเริ่มต้นชีวิตในสมณเพศมานาน หลังจากอุปสมบทท่านจึงเริ่มต้นฝึกกรรมฐานกับพระอุปัชฌาย์อย่างเอาจริงเอาจัง สิ้นพรรษาแรกแล้วจึงเริ่มออกธุดงค์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 40 ปี ก่อนจะรับนิมนต์ หลวงปู่เย็น ทานรโต มาอยู่จำพรรษาด้วยกันที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข ต.บ้านพักทัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2523 และอยู่จำพรรษา ณ วัดแห่งนี้เรื่อยมาจนถึงอวสานแห่งชีวิต

    มีสองเหตุการณ์ที่กลายเป็นหลักไมล์สำคัญแห่งการภาวนาของหลวงปู่บุดดา
    เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นหลังจากออกธุดงค์ครั้งแรกจากลพบุรีไปยังหนองคายแล้วย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดผดุงธรรม จ.ลพบุรี ณ ที่นี่เอง ที่พิษแห่งราคะได้กำเริบอย่างหนัก แม้จะหาทางระงับอย่างไรก็ดูท่าจะเอาไม่อยู่ สุดท้ายไม่รู้จะทำอย่างไร เลยคว้าบริขารออกเดินเข้าป่าลึกแถบ จ.เพชรบุรี

    วันหนึ่งในกลางป่านั่นเอง ท่านได้ปรารภกับตัวเองว่า “ราคะเอ๋ย เราอยู่วัดก็ห้ามเจ้าไม่ฟัง ห้ามหัวค่ำมาเช้ามืด ห้ามเช้ามืดมาหัวค่ำ เอ๊า...บัดนี้เจ้าอยู่ที่ไหนรีบมาซะ ประเดี๋ยวเสือจะมากินเราแล้ว...” ว่าแล้วก็เข้ากลดนั่งภาวนาอยู่ ไม่นานนักได้ยินเสียงเสือคำรามขึ้นลั่นป่า แล้วมีเสียงสิ่งมีชีวิตเคลื่อนตรงเข้ามาหาทุกขณะ สุดท้ายเจ้าสิ่งนั้นเหมือนกับมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้า

    “ตอนนั้นอาตมานึกแต่ว่า ราคะเอ๋ย เจ้าตายวันนี้แหละ แต่แปลกราคะมันไม่ยอมโผล่มาให้เห็นอีกเลย จิตมันนิ่งสงบ มีแต่ความรู้สึกที่เบาสบายเหมือนตัวจะลอยอย่างงั้นแหละ กระทั่งรุ่งเช้าคลายออกจากสมาธิ จึงรู้ว่า...เรานั่งอยู่นี่ ไม่ได้ลอยไปไหน อ๊าว...เสือก็หาย ราคะก็หาย โอ้...ไอ้ราคะของเรานี่มันกลัวเสือ มันเปิดหายไปเลยนับแต่นั้น...”

    ราคะเปิดหายไปตั้งแต่รอยต่อพรรษาที่ 2

    จากนั้นมาท่านก็ออกธุดงค์ไปเรื่อย ย้อนกลับไปที่หนองคายอีกครั้งข้ามไปฝั่งลาว ทะลุไปเขมร เลยไปถึงไซง่อน ประเทศเวียดนาม กลับมาเมืองไทยฝ่าเขา ลงห้วย เรื่อยไป

    เหตุการณ์ที่สอง เกิดขึ้นเมื่อได้พบกับ หลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร แล้วออกธุดงค์ด้วยกันจนจบกิจด้วยกันทั้งคู่

    ท่านพูดถึงบุคลิกของหลวงพ่อสงฆ์กัลยาณมิตรธรรมผู้สูงวัยกว่าท่าน 10 ปีว่า “ติดตำรา ถือลูกประคำห้อยคอ...”

    วันหนึ่งท่านทั้งสองพากันจาริกมากระทั่งถึงถ้ำภูคา อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ณ สถานที่แห่งนี้เองที่คืนหนึ่งทั้งสองรูปได้สนทนาธรรม โดยหลวงพ่อสงฆ์ได้ถามหลวงปู่บุดดาขึ้นว่า “...ยังถือวินัยอยู่หรือ”

    “...ไม่ถือวินัยได้ไง ถ้าเราจะเดินผ่านต้นไม้-ของเขียวก็ต้องระวัง...มันจึงเป็นอุปาทานทำความเนิ่นนานต้องช้ามาถึง 4 พรรษา” หลวงปู่บุดดา ตอบ
    หลวงพ่อสงฆ์ว่า “วินัยมันมีสัตว์-มีคนรึ”

    “มีตัวซี ถ้าไม่มีตัวจะถือวินัยได้ยังไง...วินัยก็ผู้ถือนั่นเอง ...เสขิยวัตร 75 เป็นตัวไม่ได้หรอก ...เนื้อหนัง กระดูก ตับไต ไส้พุง มันไม่ใช่ตัวถือวินัย...ตัวถือวินัยเป็นธรรมนี่”

    ...ฯลฯ...

    ระหว่างถามตอบกันอยู่นั้น จู่ๆ หลวงปู่บุดดาก็นิ่งเงียบ แต่ตาค้างเบิกโพลงอยู่อย่างนั้นนานประมาณ 2 ชั่วโมง ถึงกลับมาพูดได้อีกครั้ง

    ช่วง 2 ชั่วโมงนั้น เริ่มจาก “พอปัญญา-บารมีเกิดขึ้นตกลงกันได้ว่า เอ๊ะ! ไม่มีจริงๆ เน้อ ...ผู้ถือไม่มี มีแต่ระเบียบของธรรมเท่านั้น ไปถือมั่น-ยึดมั่นไม่ได้นี่”

    และแล้ว...

    “มันรู้สึกสว่างแจ้งไปหมด รู้สึกว่าไม่มีตัวตน เห็นชัดทุกอย่างรอบตัวว่า เป็นปรมัตถธรรม สิ่งสมมติขึ้นมา ทุกอย่างเป็นธรรมหมด ไม่ใช่ของใคร สัพพัญญูพุทธะ ปัจเจกพุทธะ สาวกพุทธะ มันไม่มีตัวมีตน ธรรมต่างหากที่ทรงไว้ คงอยู่ในจิตของตนเอง พูดกันแต่เรื่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีใครชนะใครหรอก มันติดอยู่ในสมมติบัญญัติต่างหาก

    “รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตของตัวเอง ไม่ใช่ไปเรียนพระพุทธเจ้าเป็นใคร ไปนิพพานอย่างไร นั่นเขาเรียกนิพพานในอนาคต รู้ตัวเองดีกว่า ให้รู้ว่า กายกับจิตมันเนื่องกันอย่างไร คนขับรถต้องนำรถไป ไม่ใช่ให้รถมันนำพาไป ถ้าไม่รู้ทางก็เข้าป่าเข้ารก”

    “สัพพัญญูพุทธะ?” มีความหมายว่าอย่างไร?

    “ถ้าเรารู้ว่าธรรมภายในไม่เกิดไม่ตาย ธรรมภายนอกก็ไม่เกิดไม่ตาย ปริยัติก็เป็นธรรม ปฏิบัติก็เป็นธรรม ปฏิเวธก็เป็นธรรมที่ศีลเป็นธรรม สมาธิเป็นธรรม ปัญญาตรัสรู้แล้วเป็นธรรมหมด นี้เรียกว่า ทางตรัสรู้ สิ้นไปแห่งอาสวะ สิ้นไปแห่งอวิชชาทั้งหมด อวิชชาสังโยชน์ไม่มี อวิชชานุสัยไม่มีใช้ได้ เรียกว่าเป็นผู้เจริญในพุทธศาสนา เจริญตัวเองนี่เอง เจริญตัวเองเรียกว่า สัพพัญญูพุทธะก็ได้ตามพระพุทธเจ้า

    “พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูพุทธะตรัสรู้ก่อนเพื่อน ปัจเจกพุทธตรัสรู้ สาวกพุทธตรัสรู้ ตรัสรู้อริยสัจเหมือนกัน คือ รู้ทุกข์เกิดกับจิตนั่นเอง สมุทัยก็เกิดกับจิตนั่นเอง มรรคสัจก็เกิดกับจิต นิโรธสัจเหนือนาม เหนือรูปนิโรคสัจรู้แจ้งแล้วไม่เกิดไม่ตายนั่นเอง

    “มรรคสัจก็เกิดกับจิต นิโรธสัจเหนือนาม เหนือรูป นิโรธสัจรู้แจ้งแล้วไม่เกิดไม่ตาย...เป็นผู้หมดทุกข์ หมดเกิด หมดแก่ หมดเจ็บ หมดตาย ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครแก่ ไม่ใครเจ็บ ไม่มีใครตาย นั่นแหละเป็นแก่นศาสนา...”

    หลวงปู่บุดดาบรรลุธรรมเมื่ออายุ 32 ปี

    หลายสิบปีต่อมาหลวงปู่พูดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นว่า “จบกลางคืนต่อหน้าท่าน (หลวงพ่อสงฆ์)”

    3 วันต่อมาหลวงพ่อสงฆ์ก็ “จบ” เช่นเดียวกัน

    “เช้ามาท่านก็ไปถาม เอ๊ะ ทำไมไม่มีสัตว์ไปนรกไปสวรรค์ล่ะ ไม่มีคนล่ะ หลวงปู่อุทาน “โอ๊ย มันไม่มีมาแต่ไรแล้ว ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเทศน์ปฐมเทศนามาแล้ว นรกสัตว์สร้างเอาเอง สวรรค์สัตว์สร้างเอาเอง ไม่มีสัตว์สร้างสัตว์จะไปสวรรค์ นรก ได้อย่างไร...ท่านก็บอกว่า ท่านไม่ถือนาม ถือรูป ไม่มีถือธาตุ ถือขันธ์อะไรแล้ว หลงนาม หลงรูป มันก็หลงเกิด หลงตายอีกซิ...”

    ก่อนจะแยกกันที่ถ้ำภูคาในปี พ.ศ. 2470 นั้น หลวงพ่อสงฆ์และหลวงปู่บุดดาได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ไว้ที่ถ้ำภูคาองค์หนึ่ง

    ความที่หลวงปู่บุดดาเป็นผู้แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษานี่เอง ท่านจึงเป็นรัตตัญญูได้มีโอกาสได้พบได้เห็นได้รู้จักได้สนทนาธรรมกับพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในแต่ละยุคสมัยหลายรูป อาทิ

    พระครูมุณีอ่อน ซึ่งท่านว่าเป็น “รุ่นเก่า...ใช้เรือแจวเทศน์ตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปถึงราชบุรี จากกรุงเทพฯ ไปถึงปราจีนบุรี” หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ หรือหลวงพ่อเงิน บางคลาน จ.พิจิตร หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบาง นมโค จ.สุพรรณบุรี หลวงพ่อจง พุทธัสสโร วัดหน้าต่างนอก จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อรุ่ง ฆํคสุวณฺโณ วัดหนองสีนวล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร วัดสัตหีบ หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองหลวง จ.นครสวรรค์ เจ้าคุณอุบาลี (จันทร์ สิริจันโท) พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ครูบาศรีวิชัย พุทธทาสภิกขุ ธัมมวิตักโกภิกษุ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ฯลฯ

    ปี พ.ศ. 2475 ท่านก็เข้ามาพำนักอยู่ที่วัดราชาธิวาส กรุงเทพฯ ช่วงปีนั้นเองที่ได้พบและสนทนาธรรมกับธัมมวิตักโกภิกษุ หรือที่พุทธศาสนิกชนรู้จักกันในนาม เจ้าคุณนรฯ หรือพระภิกษุนรรัตนราชมานิต เป็นเวลา8 วัน
    กับพุทธทาสภิกขุนั้นท่านพบกันหลายครั้ง ที่ จ.เพชรบุรี ที่กรุงเทพฯ แม้กระทั่งไปพำนักที่สวนโมกข์เป็นเวลา 8 วัน

    การพบกับครูบาศรีวิชัย ซึ่งขณะนั้นต้องอธิกรณ์แล้วลงมาที่กรุงเทพฯ นั้นนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในชีวิตของท่าน นั่นคือ เมื่อครูบาศรีวิชัยทักว่า “เฮาเป็นนายฮ้อยก็ต้องให้เขาฮู้ว่า เป็นนายฮ้อยไม่ใช่นายสิบ”

    นับแต่นั้นมา หลวงปู่บุดดาจึงพาดสังฆาฏิติดตัวเรื่อยมามิได้ขาด
    ครั้งหนึ่งมีศิษย์ถามท่านว่า ทำยังไงจึงจะถึงนิพพานเร็วๆ ท่านว่า “ดูปัจจุบันบ่อยๆซี่...”

    ปัจจุบันของกาย ปัจจุบันของจิต หากกายสงบ จิตสงบก็เป็นสมถะ กายและจิตเกิดดับเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา วิปัสสนาเป็นตัวปัญญาสัมมาทิฏฐิ

    “เมื่อเห็นจิตสงบ กายสงบ จิตสงบอยู่ในปัจจุบันเป็นสมถะ เป็นองค์มรรค 8 พอเห็นกายกับจิตเกิดดับก็เป็นวิปัสสนาขององค์มรรค 8 แก้ปัจจุบันต่างหากเล่า กิเลสก็แก้ที่ปัจจุบัน ขันธมารก็แก้ปัจจุบัน ไม่มีกิเลสมาร เกิดได้ก็แก้ได้ ขันธมารก็แก้ได้ที่ปัจจุบัน มีสังขารมารเทวบุตรมารจำแลงรูปต่างๆ เป็นอดีตล่วงแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่มาอีก ปัจจุบันก็มาเอากับมัน...อยู่ที่กายปัจจุบัน จิตปัจจุบัน พุทธะก็อยู่นี้ ธรรมะก็อยู่นี้ สังฆะก็อยู่นี้ ปริยัติอยู่ปัจจุบัน ปฏิบัติก็ปัจจุบัน ปฏิเวธก็ปัจจุบัน เอโกธัมโม ธรรมมีอันเดียว ธรรมไม่เกิดไม่ตาย ก็เข้านิพพานตรงนี้”

    ท่านว่า “หนังแผ่นเดียวเป็นนิโรธ หนังหลายแผ่นเป็นสมุทัย”

    หนังแผ่นเดียวเป็นนิโรธเพราะ “มีหนังแผ่นเดียวมองดูเถอะ เป็นนิโรธเองได้”

    คำขยายความอีกหน่อยคือ “...ถ้าเราไม่มีอุปาทาน เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่เราสบาย เรานั่งอยู่ที่นี้ นั่งดูผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้เป็นนิโรธหมด กามาสวะ มิจฉาสวะไม่มี กายนิโรธมีอย่างนี้...”

    ท่านว่า สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวเป็นธรรมที่มีอุปการะอย่างยิ่ง

    เมื่อมีสติตั้งมั่น ตื่นอยู่ไม่เศร้าหมองปราศจากทั้งดีทั้งชั่ว เพราะถ้ารู้เท่าทันอารมณ์ดีชั่วเป็นกลางทั้งภายในภายนอกก็ไม่หลงตามทางดีและทางชั่ว

    ศีลของเราก็เรียบร้อย
    กายวาจาใจ ไม่หวั่นไหว ก็เป็นสมาธิ
    ปัญญารอบรู้ในกองสังขารก็รู้เท่าทางปรุงความดีและความชั่ว ทางกาย วาจา ใจ ก็ชื่อว่า ปัญญา

    หลงสมมติ หญิง ชาย ไม่รู้จริง ศีลก็ตั้งไม่ได้ เพราะศีลขาดสมาธิ ความมั่นใจก็ไม่มี ปัญญาความรอบรู้ก็ไม่มี จะหาความสุขมาจากไหน ฉะนั้นควรใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นความจริงทั้งภายนอก ภายใน เดิน ยืน นั่ง นอน พิจารณาอิริยาบถทั้ง 4 อย่าให้ขาด ตลอดจนปัจจัยทั้ง 4 ว่า สักแต่เป็นธาตุ ทุกสิ่งทุกประการไม่ว่าสัตว์ บุคคล ล้วนแต่เป็นธาตุ
    “ไม่เกิด ไม่ดับ คืออะไร คือ พ้นจากกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ที่มีอยู่ ตัวไม่เกิดไม่ดับ คือ ธรรมะ พ้นไป ว่างไปแล้วจากอาสวะ จึงเป็นผู้พ้นทุกข์”

    หลวงปู่บุดดาซึ่งแข็งแรงมาตลอด ได้เริ่มอาพาธตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2536 ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ กระทั่งท่านละสังขาร “พ้นไป” เมื่อเวลา 19.10 น. วันที่ 12 ม.ค. 2537
     
  2. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    ธาตุขันธ์หลวงปู่ยังอยู่ที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข
    จังหวัดสิงห์บุรีคับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ผมอ่านธรรมคำสอนของท่าน..เป็นอีกรูปที่เคารพได้บริสุทธิ์ใจครับ.
     
  4. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    พอมีวาสนาได้ไปเยี่ยมหลวงปู่ที่กุฏิ และได้ไปงานวันเกิดหลวงปู่ งานใหญ่ ไม่รู้พระมาจากไหนกันนัก นึกถึงขึ้นมาก็อิ่มอกอิ่มใจ สาธุ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ผมไม่ทันตอนท่านยังไม่ละสังขาร และยังไม่เคยไปวัดเลยคับ.แต่ธรรมคำสอน
    ของท่านนั่นใช่เลยครับ..แถมเทคนิควิธีการต่างๆยังยอดเยี่ยมอีกต่างหาก.
     
  6. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    หงายมือก็ไม่เห็นหลังมือ คว่ำมือก็ไม่เห็นหน้ามือพนมซิเห็นทั้งหน้ามือหลังมือ
    อันนี้ชอบมากครับ
     
  7. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    ที่ยกมาโพสไว้เพราะว่าสมัยนั้นหลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ หลวงปู่ ท่านทั้งสองยอมรับนับถือกัน
    จึงตั้งใจยกมา ฝาก สมาชิก อภิญญา xp ศึกษาอภิญญานั้นเสี่ยงอยู่ ต้องมีคำสอบดีๆตรงๆ
    คู่ไปด้วย เหมือน หลวงพ่อกับหลวงปู่ที่ทันกันตลอดในข้อธรรมที่สนทนา
    จะค่อยๆยก คำสอนบ้าง เทศนาบ้างมาฝากครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  8. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    ธรรมะเป็นอย่างไร
    ธรรมะก็หนังแผ่นเดียวนะซิ จิตเดียวซิ

    ศาสนาธรรม คืออยู่ที่ตาธรรม หูธรรม
    จมูกธรรม ลิ้นธรรม วาจาธรรม ใจธรรม
    ศาสนาอยู่ที่กายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี่เอง
    เห็นเป็นกลางทั่วไปทั้งภายในและภายนอก
    ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้เรียกว่า เห็นธรรม

    ตา เขาก็ไม่ได้ว่าเป็นของเขา
    หู เขาก็ไม่ได้ถือเป็นเจ้าของ
    ลิ้น เขาไม่ไดยึดถือเป็นลิ้นเขา
    เขาทำตามธรรมชาติไปอย่างนั้นเอง
    ธรรมชาติเขาก็ทำหน้าที่ธรรมชาติเขา
    คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างนั้นเอง
     
  9. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    ใครไปหาหลวงพ่อ ลองอธิฐานหาหลวงปู่ดูสิ ท่านก็อยู่ด้วยกันแหละ 555
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ใช่ครับ..เห็นด้วยครับ..แต่เรื่องภพภูมิ.เราเลี่ยงๆดีกว่า.ปลอดภัยไว้ก่อน.555+
     
  11. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    โลกุตระ
    หลวงปู่ปุดดา ถาวโร
    วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี
    “กายเดียวจิตเดียว”
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    เราน้อมนมัสการคุณพระรัตนตรัย ด้วยกายพระนาม วจีพระนาม มโนพระนาม โดยสัจจะเคารพแล้วเราน้อมพระธรรมเทศนา คำสอนพระผู้มีพระภาคเจ้า มาเสดงเพิ่มพูนปัญญาบารมี คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทายกทายิกามีศรัทธาเจริญทันสมัย ศีลมัย ภาวนามัยมาดึกดำบรรพ์แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าอดีตมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปีก็มีแสดงธรรม ๘๐,๐๐๐ ปีก็มีประชุมสงฆ์ มีสองครั้งก็มี สามครั้งก็มี มาองค์ปัจจุบันแสดงธรรมอยู่ ๘๐ ปีจบแล้ว ประชุมสงฆ์ครั้งเดียว เมื่อพระองค์มีเอหิภิกขุได้มี ๑,๒๕๐ องค์มาประชุมในระหว่างเดือนสามกลางเดือน ได้แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ พระภิกษุสามเณรจึงเจริญขึ้นมาจนตลอดถึงปฐมสังคายนานี่ มีพระสงฆ์มากมายที่ทำปฐมสังคายนา ๕๐๐ นั้น ท่านคัดเอาแต่เพียงว่าเฉพาะผู้ชำนาญอยู่ในพระพุทธเจ้าเพียง ๕๐๐ ซึ่งพระอานนท์ไม่ได้ พระอานนท์จะแสดงพระสุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก พระอุบาลีแสดงพระวินัยปิฎกเดียว นี่ ๕๐๐ องค์นั่นนะ เคยทำงานอยู่กับพระพุทธเจ้า เคยแสดงและเรียนมาจากสำนักของพระพุทธเจ้า
    เราทุกวันนี้ปฐมสังคายนาเราก็ไม่ทัน ปฐมเทศนาเราก็ไม่ทัน ปัจฉิมเทศนาเราก็ไม่ทัน ถ้าสังเกตดูว่าพระพุทธเจ้าแสดงธรรมกัณฑ์แรกนั้นแสดงอะไร ก็ธรรมจักรนี่เองนะ ก็คือมือริยสัจอยู่ในตัวมันเอง แต่ทำไมพระ ๕ องค์นั้นจะไม่ฟังธรรมละ เพราะอะไร เพราะความลืมความหลงของตัวนั่นเอง เคยได้ถือมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว เกิดแก่เจ็บตายเป็นตัวอัตตา สัตว์โลกในมนุษยโลกก็ดีมันติดอยู่เกิดแก่เจ็บตาย สวรรค์เทวโลกก็ติดอยู่เกิดแก่เจ็บตาย พรหมโลกเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน กามภพ รูปภพ อรูปภพนี่ กามสัตว์ รูปสัตว์ อรูปสัตว์นี่ติดอยู่ความเกิดแก่เจ็บตายนั่นเอง แต่ส่วนพระพุทธเจ้าทุกองค์
    อดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดี ท่านไม่ติดอยู่ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ท่านจึงได้ตรัสรู้ได้ พระสัพพัญญูพุทธก็เหมือนกัน พระปัจเจกพุทธะก็เหมือนกัน สาวกพุทธะก็เหมือนกัน มีภิกษุสามเณรที่ไม่ติดอยู่กับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไปได้ทุกองค์หมด คือ กาย ก็กายเนื้อธรรมดานี่เอง แต่ว่าจิตท่านไม่ติดอยู่ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั่นเอง พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ไปได้อย่างนี้ องค์อดีตก็ไปได้อย่างนี้
    มีภิกษุสามเณร ไปได้อย่างไร อุบาสกอุบาสิกา คือ มีอยู่เฉพาะหน้าเรานี่เอง ภิกษุไปได้ หลุดพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้ด้วยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ อุบาสกอุบาสิกาก็ไปด้วยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ อริยมรรคมันเกิดกับจิตใจไม่ได้เกิดกับกาย แต่เราว่าเราต้องมีกายกรรม ๓ รองรับ วจีกรรม ๓ รองรับ มโนกรรม ๓ รองรับ ในมนุษย์โลกนี้ก็ต้องเอาต้นนี่แหละ ต้นปฏิบัติของเรา คือ เราจะมาเกิดในระหว่างปู่กับย่าก็ดี ตากับยายก็ดี มารดาบิดาเป็นที่แดน แดนเกิดของรูปกายของเรา หกคนนี้เป็นบุพการีให้มนุษย์มาเกิดได้ จะไปเกิดที่อื่นไม่ได้ จะไม่ได้เรียนธรรมเรียนวินัยในพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็มีผ่านปู่ย่า ตายาย มารดาบิดา มาเหมือนกัน สาวกของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าเราผ่านมารดาบิดาออกมา ผ่านปู่ผ่านย่า ผ่านตาผ่านยายมา บุพการีมีอยู่แก่มนุษยธรรมสัมมาทิฐินี่เอง ถ้าปู่กับย่าไม่มีสัมมาทิฐิ ไม่มีเมตตาธรรม ลูกหลายก็เกิดไม่ได้ ปู่ย่าตายายนี่ต้องมีบุพการีคู่หนึ่ง ตากับยายคู่หนึ่ง มารดาบิดาคู่หนึ่ง บุพการีให้มนุษย์ได้เกิดในท้องได้ออกมานอกท้องแล้ว ก็ยังบุพการีให้จนตลอดถึงได้ศึกษาเล่าเรียน ได้ออกบวชเหมือนพระพุทธเจ้านั่นเอง
    พระพุทธเจ้าจะออกบวชได้ต้องอายุ ๒๙ ปี องค์ปัจจุบันนี่ออกบวชอยู่ ไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี เมื่อค้นคว้าตรัสรู้ได้แล้ว พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายแล้ว คือ มันเกิดนั้นมันเกิดอยู่ในมนุษย์โลกนี่เอง แก่อยู่ในมนุษยโลก เจ็บตายอยู่ในมนุษยโลกนี่เอง แหมในโลกทั้งสามนี่พ้นเกิดแก่เจ็บตายไม่ได้ ที่จะพ้นได้ก็มีอริยผล ๔ อริยผล ๔ สี่คู่แปดบุคคลนั่นเอง แต่ว่าท่านเดิมมาแต่ต้นนั่นแหละท่านมีสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะนั่นเอง มีหมู่มนุษยธรรมสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะ เทวธรรมก็สัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะ พรหมธรรมก็สัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะ แต่ว่ายังเป็นโลกีย์อยู่ แต่ส่วนอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ น่ะ สัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะของท่านให้พ้นไปจากอาสวะ พ้นจากสังโยชน์ ๑๐ ตัว พ้นจากอนุสัย ๗ ตัว ท่านจึงได้พ้นไป
    เกิดแก่เจ็บตายไม่มีในโลกกุตรธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลกนี่เอง กามภพ รูปภพ อรูปภพนี่เอง กามสัตว์ รูปสัตว์ อรูปสัตว์น่ะมันมี อยู่ภายนอกก็มีอยู่ภายในก็มี ภายในมันเกิดกับจิต เมื่อจิตนั้นน่ะเกิดในกายกรรม ๓ สัมมาทิฐิ วจีกรรม ๔ สัมมาทิฐิ มโนกรรม ๓ สัมมาทิฐิ และสัมมาอาชีวะมีประกอบด้วยธรรมะถึงได้เกิดจากนั้น เกิดจากนั้นเป็นกุศล ๑๐ อย่าง กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ กุศลกรรมบถ ๑๐ นั่นเอง ถ้าไม่เกิดจากนั้นมิจฉาทิฐิมันก็มี ๑๐ ตัวเหมือนกัน มาอาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่เอง
    เพราะกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ นี่มันเป็นพื้นสนามหลวงให้วิชชา อวิชชา ให้กุศล อกุศลมาเล่นกีฬากันอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก แต่ว่าเราเกิดมาในระหว่าง ๑๐ เดือนก็ไม่รู้เรื่อง ๑๐ ปีก็ไม่รู้เรื่องนั่นเอง ว่าสนามของกุศล อกุศลมันอยู่ที่ไหน เราก็เห็นแต่สนามภายนอก นั่นเอง สนามภายในนี่มันเป็นสนามของสัตว์โลกที่ต้องมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตายอยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลกนี่อาศัยกายกรรมของพวกมนุษยโลก อาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สวรรค เทวโลก อาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม พรหมโลกนี่ สามโลกนี่มันอาศัย สนามเดียวกันนี่เอง สนามของมนุษย์นี่มันหยาบอย่างสนามของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของปู่ของย่าของตาของยายก็มีเพียงสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะนั่นเอง ศีลก็เพียง ๕ ประการ ก็เป็นศีลโลกีย์เสียด้วย ไม่เหมือนโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมนั้นมีพระโสดา สกิทาคา อนาคา พระอรหันต์ สี่คู่แปดบุคคลนี่มีสัมมาทิฐิ มีสัมมาอาชีวะน่ะ ของท่านเป็นโลกุตระศีล ๕ กิโลกุตระ ศีล ๘ กิโลกุตระ ศีล ๑๐ กิโลกุตระนั่นเอง ท่านที่ข้ามความเกิดเจ็บตายได้
    เราทุกวันนี้เราจะตัดความเกิดแก่เจ็บตายหรือไม่ ในระหว่างภิกษุสามเณรเข้าไปบวชไปพรรษา อุปสมบทในโบสถ์น่ะ มีอุปัชฌาย์เป็นประธาน มีพระ ๒๕ รูปนั่งห้อมล้อมอยู่ มีกรรมวาจาจารย์ อนุสาวนาจารย์ ถามว่ามนุสโสสิน่ะ นาค นาคเณรก็ดี นาคภิกษุก็ดี จะต้องรับว่า อามะ ภันเต ว่าเกิดขึ้นแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ถามรูปกาย ถามทางจิตใจนั่นน่ะ ได้รับสัมมาทิฏฐิมนุษยธรรมหรือเปล่า ได้รับแล้วจึงได้รับอามะ ภันเต ถึงจะบรรพชาเปกขะอุปสัมปันโนได้ แล้วยังถามย้ำว่า ปุริโสสิ เป็นมนุษย์บุรุษหรือ เป็นมนุษย์บุรุษนี่เองเป็นชายนี่เอง ไม่ใช่เป็นอิตถีภาวะ ปุริสสภาวรูปนี่เอง ที่เข้ามาบวชนี่เป็น ปุริสินทรีย์นี่เอง ไม่ใช่อิตถินทรีย์ที่มันปนอยู่ในรูปใหญ่นี่ มหาภูตรูป ดิน น้ำ ไฟ ลม มีอยู่ในกายนี่ รูปอาศัยมี ๒๔ อินทรีย์มี ๒๒ มาอาศัยอยู่ในนี้ อิตถีภาวรูปก็มาอาศัยได้ ปุริ
    สภาวรูปอาศัยได้ อิตถินทรีย์อาศัยได้ ปุริสินทรีย์อาศัยได้ อย่างนั้นละมันเกิดกับจิตมันไม่ได้เกิดกับปู่ย่า ตายาย บิดามารดา
    ถ้าเราไม่เรียนอย่างนี้เสียก่อนเราก็เป็นคนลำบากเอง เพราะไม่รู้ต้นเหตุว่ามนุสโสนี่มันเกิดตรงไหน มันอาศัยเกิดกับมารดาบิดดาอย่างเดียวหรือไม่ นั่นมันรูปกาย กายเนื้อ กายหนัง มันเกิดกับจิตนี่ มันมีเห็นอิตถีภาวรูปเกิดขึ้น ปุริสภาวรูปเกิดขึ้น อิตถินทรีย์เกิดขึ้น ปุริสินทรีย์เกิดขึ้น มันเป็นโอปาติกะไม่ใช่ชลามพุชะ นอนในท้อง ๑๐ เดือน นี่มันต่างกันอย่างนั้น
    ถ้าเราไม่เรียนอย่างนี้ก่อนเราจะเป็นคนลำบาก หลังจากผ่านมาแล้ว ๕,๐๐๐ ปีหรือ ๘๐,๐๐๐ ปีก็ดี ทำไมมันถึงไม่พ้นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย วันนี้เกิดแก่เจ็บตายแล้ววันหน้าเกิดแก่เจ็บตายอีก มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเรายังไม่พ้นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นั่นเอง กิเลสทั้งหลายมันทำให้เราเป็นทุกข์นี่ให้เราเกิดเราแก่เราตายนี่ นี่แหละตัวกิเลส ตัวอวิชชา มันอาศัยเกิดกับกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ นี่เองอาศัยเกิดกับมโนนี่เอง
    ถ้าจิตของเราไม่มีความข้องอยู่ในเกิด ในแก่ ในเจ็บ ในตายแล้วเราจะเห็นว่ามนุษย์นี่บริสุทธิ์ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะ ของเราไม่มีบาปมีกรรมมีเวรอะไรเลย กุศล ๑๐ อย่างนี่อยู่กับอาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่เอง คือกันอกุศลกรรมบท ๑๐ เสีย
    ทีนี้เราจะเข้ามาเทวธรรมสัมมาทิฐิก็เข้าง่าย คือ มีวิทยุหรือสถานีเดียวกันมีโทรศัพท์ก็เบอร์เดียวกัน ถ้ามีโทรศัพท์ก้ให้มีรายการอันเดียวกันถึงจะรู้กันได้ว่าโทรเลขมันคนละอันกันแล้ว โทรศัพท์คนละเบอร์กันแล้ว ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เราจะลำบากอย่างอดีตเราล่วงมาแล้วน่ะ เรามา ๑๐๐ วัน แล้วถ้ามันยังไม่รู้ว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ ทุกเข ญานังทำไมไม่เกิด ไม่เกิดเพราะอะไร เพราะยังไม่มีญาณนั่นเอง ไม่มีญาณเห็นทุกขสัจ ไม่มีญาณเห็นสมุทัยสัจไม่มีญาณเห็นมรรคสัจ ไม่เห็นญาณนิโรธสัจแล้วจะไปได้อย่างไร ปฐมเทศนาได้อัญญาโกณฑัญญะองค์เดียว เทศน์ ๕ วันได้โสดา ๕ องค์ก็อริยสัจกัณฑ์เดียวกันนั่นเอง
    อริยสัจมันเกิดที่ไหน ทุกข์เกิดกับจิตนั่นเอง กายเดียวจิตเดียวในปัจจุบันนั่นเอง ที่เขาปฏิบัติมาแล้วน่ะ อเนกชาติมาน่ะ เขาบวชมาก่อนพระพุทธเจ้าเสียด้วย เขามีอายุยืน เขาปฏิบัติมา ทำไมไม่เห็นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ เพราะยังไม่มีญาณนั่นเอง จึง
    ไม่เห็นอริยสัจเป็นทุกข์ ทุกเข ญานัง ทุกข์เกิดในปัจจุบันนี่ ทุกข์ทุกลมหายใจเข้าออกนี่ เทศน์อยู่ ๕ วันได้โสดา ๕ องค์ ได้เพียงอาทิกัลยาณัง เป็นอาทิกัลยาเบื้องต้น เป็นอาทิกัลยาณังอยู่แล้วก็มี สัมมาทิฏฐิในโลกีย์ขั้นเดียว มีอริยมรรค ๑ อริยผล ๑ ถ้าหากว่าเป็นอริยมรรค ๓ อริยผล ๓ เรียกว่าปริโยสานกัลยาณัง ถ้าหากว่ามีพระโสดาเกิดขึ้นแล้วมี สกิทาคาเกิดขึ้นแล้ว อนาคาเกิดขึ้นแล้วมีอริยมรรค ๓ อริยผล ๓ อันนี้ถ้าของท่านไม่พอ ๑๐ อย่างแล้ว เพราะว่าสังโยชน์ ๑๐ นั่นมันเป็นตัวละชาติ ละชาติเลย
    ตั้งแต่สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นี่ก็ ๓ ชาติแล้ว ราคะก็ไปเป็นชาติหนึ่ง ปฏิฆะก็เป็นชาติหนึ่งแล้ว มานะอีกชาติหนึ่ง อุทธัจจะอีกชาติหนึ่ง อวิชชาอีกชาติหนึ่ง นี่เป็นสิบชาติด้วย ถ้าหากว่าอสังโยชน์น่ะมันมีอะไร มีวิจิกิจฉานุสัย ทิฏฐานุสัย ปฏิฆานุสัย มานานุสัย อวิชชานุสัย นี่ ๑๗ ตัวนี่กิเลสให้เกิดอยู่ในระหว่างเกิดแก่เจ็บตายในมนุษยโลกเรา สวรรคเทวโลก พรหมโลกนี่เป็นอย่างนี้ ส่วนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นแล้วพ้นไปแล้ว เกิดแก่เจ็บตายไม่มี แต่ส่วนสามัญสัตว์นั่นน่ะ กามสัตว์นั่นต้องข้องอยู่ รูปสัตว์ก็ข้องอยู่ อรูปสัตว์ก็ข้องอยู่
    ทีนี้เรามากำหนดดูในปัจจุบันนี้ ตาเราก็มีพอสมบูรณ์ หู จมูก ลิ้น กาย ใจสมบูรณ์อยู่แล้ว กายและจิตก็อยู่กับจิตนี่แล้ว จิตมันก็อยู่ในหนังหุ้มอยู่โดยรอบนี่ หนังก็หุ้มอยู่เป็นอาการของกายนั่นเอง กายแท้ ๆ มันไม่ใช่กายเนื้อ กายหนัง กายมันเป็นกายธรรมก็ได้ อย่างธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานนี่ กายก็เป็นธรรม เวทนาก็เป็นธรรม จิตก็เป็นธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นธรรมทั้งนั้น มนุษยธรรมก็เป็นธรรม เทวธรรมก็เป็นธรรม พรหมธรรมก็เป็นธรรม กุศลก็เป็นธรรม อกุศลก็เป็นธรรม อัพยากฤตก็เป็นธรรมดังนี้
    แต่ที่นี้ว่าเราจะอยู่ทางฝ่ายไหน อยู่ทางฝ่ายสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะนี้ เราไม่มีนรกหมกไหม้อะไร เราไม่มีอบายมุข อบายภูมิอะไร ถ้าเราอยู่ทางฝ่ายสัมมาทิฐิสัมมาอาชีวะนี่ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราเป็นกรรมขาวเป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ ถ้าเราปล่อยให้อวิชชาเข้ามา อกุศลเข้ามา มันทำบาป ปาณาติบาต อทินนา กาเม มุสา นี่มันเป็นบาปลามก อบายมุขเกิดขึ้นแล้วอบายภูมิเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราเว้นปาณาติบาต อทินา กาเม มุสาได้เราก็เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะได้ กายกรรมเราก็เป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ วจีกรรมเราก็เป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ มโนกรรมเราก็เป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ เราต้องเดินสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะให้ไปสู่มนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลกได้ แล้วเราไปสู่สี่คู่แปดบุคคล
    คือ โลกุตรธรรม สวรรคเทวโลก พรหมโลกได้ แล้วเราไปสู่สี่คู่แปดบุคคล คือ โลกุตรธรรม อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ถ้าเราสมบูรณ์ด้วยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ แล้ว ความเกิดไม่มี ความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่มี
    ถึงว่ากายเนื้อมันเป็นอาพาธ มันร้อน มันหนาว มันหิวข้าว หิวน้ำอย่างนี้ แต่ส่วนจิตมันไม่มีขี้มีเยี่ยว มันไม่มีอาพาธ ไม่มีความร้อน ความหนาว ไม่มีความเหน็ดความเหนื่อยอะไร เพราะมันมีสัมมาญาณังสัมมาวิมุตติอยู่กับจิตนั่นเอง เพราะมีญาณเห็นทุกข์ มีญาณเห็นสมุทัย มีญาณเห็นมรรคสัจ มีญาณเห็นนิโรธสัจ แล้วก็ข้ามไปจากนิโรธสัจนั้นไม่เกิดไม่ดับ ส่วนสมุทัยสัจนี่ดับได้ ส่วนทุกขสัจดับได้ มรรคสัจดับได้แต่นิโรธสัจนั่นเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้า หน้าที่ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านมีนิโรธอยู่ทั้งหลับตาและลืมตา ทั้งเวลาเดินไป ยืนไป นั่งไป นอนไป อาบน้ำ ดื่มอาหาร ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ไม่มีอะไรเลย มีแต่นิโรธอย่างเดียว ไปขี้ไปเยี่ยวก็เป็นนิโรธ ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านี่ละเอียดถึงขนาดว่า ไปขี้ก็ไม่มีกิเลสไปพาลไปเกิดไปแก่ไปเจ็บไปตายด้วย มีแต่นิโรธเต็มตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งเวลาเดิน เวลายืน เวลานั่ง เวลานอน ที่ละภิกษุสามเณรที่ดีต้องไปทางนิโรธธรรมนี้ อุบาสกอุบาสิกาไปได้ทุกวันแต่ไม่มีป้ายผูกคอ เราจะไปรู้ว่าใครเป็นใคร ภิกษุสามเณรก็ไปได้ทุกวัน อุบาสกอุบาสิกาไปได้ทุกวัน
    แต่บวชมาในคณะสงฆ์ไทยนี่ ๖๐ ปีนี่ มีหกสิบร้อย หกสิบร้อยนี่ภิกษุสามเณรหนีออกป่าไปเที่ยวหาธรรมะทางจิตใจนี่เอง ทางอุบาสกอุบาสิกาก็มารับอุโบสถกันมาตั้ง ๖๐ ปีแล้ว จะรู้ว่าความเกิดแก่เจ็บตายมาอาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่ใช่ไหม ถ้าหากว่ากุศลกรรมบถ ๑๐ มันเกิดขึ้นได้ อกุศลก็มาเกิดขึ้นได้ ความไม่เกิด ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายมันก็มาอาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่เอง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อกุศลกรรมบถ ๑๐ มิจฉาทิฐิ มิจฉาอาชีวะมันก็มาอาศัยกรรม วจีกรรม มโนกรรมนี่เอง มีสนามเดียวกันแต่ว่าคนละพวกกัน พวกกีฬาน่ะ เขาต่างประเทศมาเล่นก็กีฬาแผ่นดินนี่เอง มาเล่นในสนามแผ่นดิน แผ่นดินภายในก็คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศนี่เอง มันเป็นสนามอยู่นี่ สนามภายนอกก็เดินภายนอก น้ำภายนอก ไฟภายนอก ลมภายนอก อากาศภายนอก นั่นเอง นี่เรารู้ว่าสองชั้นนี่มันเป็นสนามของกิเลสทั้งนั้น เป็นสนามของกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นสนามของอกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นสนามของอาสวะ เป็นสนามของ
    สังโยชน์ เป็นสนามของอนุสัย เป็นสนามของมรรคสัจ เป็นสนามอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ มันจึงได้ผ่านสนามเดียวกันนี่เอง
    เพราะฉะนั้นถ้าไม่ติดความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายแล้ว คนนั้นละจะพ้นทุกข์มาทันที จะเป็นเพศภิกษุก็ได้ จะเป็นเพศสามเณรก็ได้ จะเป็นเพศอุบาสกอุบาสิกาก็ได้ เพศไหนไม่มีขัดข้องเลย อกาลิโกของธรรมะนี้มีอยู่ด้วยกันทุกกายทุกจิตนั่นเอง ถ้ามีกายมีหนังอยู่ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่ อกาลิโกทางฝ่ายขาวก็มีอยู่ทุกเวลา ลมหายใจเข้าออก อกาลิโกของฝ่ายดำ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ก็มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกนี่เอง เราจะไปหาที่ไหนอกาลิโก ไปหาตามกระดาษ ตามใบลานน่ะมันเป็นตัวหนังสือ เป็นประวัติเรื่องของพุทธศาสนา เป็นประวัติของมนุษยธรรมเกิดมาในโลก เป็นประวัติของ สวรรคเทวโลกเขา ชั้นกามาวจรจิตนั่นเป็นประวัติของชาวสวรรค์ของพรหมนั่นมีรูปพรหมน่ะมี ๑๖ อรูปพรหมมี ๔ สี่กับสิบหกเป็นยี่สิบนี่ ๓๑ ภูมินี่ ๓๑ ภูมิจิตนี่เป็นโลกีย์ทั้งนั้น กามภูมิจิต รูปภูมิจิต อรูปภูมิจิตนี่ ๓๑ ภูมิจิตจะเกิดจะตายก็มีอยู่ ๓๑ นี่เอง ภูมิของจิตเรามีมากอย่างนี้ แต่ภูมิของกายมีกายเดียว มีหนัง หนังแผ่นเดียว จิตก็จิตเดียว ถ้าเรารวมมากายเดียวจิตเดียวได้เราจะเห็นหน้าว่า อ้อ อาการของจิตนี่มันมีมากมายก็จริงแต่ว่ามันมีแต่เพียงว่าอกุศลมาอาศัยเกิดกุศลมาอาศัยเกิดสัมมาทิฐิกับมิจฉาทิฐินี่เป็นคู่ไม่ถูกต้องกัน วิชชา อวิชชานี่ไม่ถูกต้องกัน เราต้องเผชิญวิชชาอย่างเดียวให้มีแต่กุศลอย่างเดียว มีแต่สัมมาทิฐิอย่างเดียวในสัมมาอาชีวะอย่างเดียวอย่างนี้ไปได้
    เพราะฉะนั้นแสดงธรรมนี้ก็เพื่อจะให้ญาติโยมทั้งหลายน้อมคำสอนที่มาแสดงนี้เพิ่มพูนปัญญาบารมี ชาวพุทธทั้งหลายได้เจริญมานานแล้ว ทานมัย ศีลมัยมาคนละ ๘๐,๐๐๐ ปี คนละ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว ร้อยวันก็ล่วงไปแล้ว ร้อยเดือนล่วงไปแล้ว ทีนี้ไปข้างหน้านี่เราจะได้หรือไม่ได้ล่ะ ไม่แน่ไม่นอน ให้แน่นอนเสียเวลาปัจจุบันนี้กายเดียวนี่แหละพ้นเกิดแก่เจ็บตายก็มีกายกับจิตนี่เอง ถ้าหากว่ากายกับจิตนี้ยังไม่ข้องอยู่ในเกิดในแก่ในเจ็บในตายแล้วก็พ้นทุกข์ไม่ได้ ต้องเป็นทุกข์ความเกิด เป็นทุกข์ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่าเกิดแก่เจ็บตาย ขอให้พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายมาเจริญกายเดียวจิตเดียว มาเจริญสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะนี้ให้พ้นจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงด้วยความสวัสดี
     
  12. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    ผมพวกจิตโลดโผนครับ อยากรู้อยากเห็น อยากลอง แต่มั่นใจว่าเอาอยู่ เพราะฐานหลักผมมีชุดเกราะทำจากเจริญสติ มีบ่วงทำจากโยนิโสมนสิการ และมีเคียวตีจากเหล็กปัญญา และมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นแรงใจ :cool:
    คมสุดยอด 555
    เมื่อเช้ามืดพึ่งกินลมเป็นครั้งแรก ยังอิ่มอยู่เลย 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2012
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    dencee มาแบบนี้ดีซิคับ..มีอย่างนี้.รู้อย่างนี้...เอาอยู่แน่..และหากว่า คุมจิตอยู่.ตัดโลดโผน...ผู้มาเยือนทุกกรณี.:z17.
    โดยสวมเกราะคอยคุมอยู่ ขณะกาย..แยกกับจิต
    .เครื่องลับคม...รุ่นพิเศษ.;aa44.ทำให้เคียวตีเหล็ก..แหลมคมขึ้น..คือยกเรื่องขึ้น..พิจารณา.:z5..
     
  14. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    [​IMG]
    เทคนิคทำให้หายโกรธ
    จากเทคนิควิธีกำราบความโกรธส่วนตัวของหลวงพ่อบุดดา ถาวโร
    คัดลอกจาก http://www.tummaprateip.iirt.net/07_2_Duddha.htm
    ความโกรธ คืออารมณ์เดือดพล่านที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในยามที่เราต้องเกี่ยวข้องผู้อื่น อ่านเทคนิควิธีทำให้หายโกรธแบบง่าย ๆท่านสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตครอบครัวและการทำงาน
    วิธีที่ ๑.
    ยามใดเมื่อเราโกรธ เราต้องรู้ตัวของเราเองว่า เรากำลังได้รับพิษร้ายเข้าไปแล้ว ควรสร้างความรู้สึก"สะดุ้งกลัว"ขึ้นมาทันที และ พยายามระงับความโกรธนั้นไว้ ไม่ให้พิษโกรธกำเริบแสดงเป็นกริยาอาการอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด ด้วยการพิจารณาโทษของความโกรธให้มากที่สุด
    ตัวอย่างวิธีคิด
    "หากเราโง่เขลาคิดตอบโต้ผู้อื่นด้วยความโกรธเมื่อใด พิษร้ายของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้นและหมักหมมอยู่ในใจมากขึ้นทุกที มันจะคอยออกมาเผาลนจิตใจของเราไปชั่วกาลนาน เสมือนหนึ่งเราได้สร้างนรกให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง " (เป็นการนำคุณธรรมข้อ "โอตตัปปะ"หรือ "ความสะดุ้งกลัว" มาอธิบาย ให้ตัวเองเห็นถึงผลร้ายของความโกรธ / สุตตันต.เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๑ หน้า ๑๔ )
    วิธีที่ ๒.
    มองเห็นผลดีของการระงับความโกรธด้วยเมตตา ว่าทำให้เรานอนหลับฝันดี มีเพื่อนเยอะแยะ ใครเห็นใครก็รักไคร่ มีสุขภาพจิตดี มีความสุขตลอดเวลา โห..คุ้มค่าจริง ๆ เลย
    (ดูอานิสงส์เมตตา ๑๑ ประการ / สุตตันต.เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๒๒ หน้า ๓๖๑ )
    วิธีที่ ๓.
    เมื่อรู้สึกโกรธ หรือ เคืองใจใครก็ตาม ให้ตั้งสติระลึกนึกถึงความดีของคน ๆ นั้นไว้ในใจ เช่นเขาเคยทำดีอะไรให้แก่เราบ้างไหม หรือ เขามีส่วนดีอื่นๆ ที่น่าประทับใจอะไรบ้าง นึก
    อย่างนี้มาแทนความคิดไม่ชอบใจ ความโกรธก็จะหายไปเอง
    ตัวอย่าง
    "นายมีโกรธนายแดงที่พูดจาดูถูกตน แต่พอนายมีนึกถึงเมื่อ
    ครั้งนายแดงเคยช่วยมา ทาสีบ้านให้ทั้งวันเมื่อปีที่แล้ว นายมีก็
    หายโกรธนายแดง"
    "คุณเจ ไม่ชอบหน้าคุณจอนเลย เพราะคุณจอนชอบพูดจา
    กวนประสาท แต่คุณเจก็ พยายามคิดว่าคุณจอนถึงแกจะชอบ
    พูดกวนประสาท แต่แกก็ยังดีที่ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ คิดได้
    ดังนี้คุณเจ ก็เกิดความรู้สึกที่ดีต่อคุณจอนขึ้นมาบ้าง "
    (ดู วิธีระงับความอาฆาต ด้วยการมองเห็นความดีของเขา /สุต
    ตันต.เล่ม๑๔ ข้อ ๑๖๑-๑๖๒ )
    วิธีที่
    ๔.
    เมื่อโกรธคนใกล้ตัว เช่น แฟน , พี่น้อง , เพื่อนร่วมงาน
    หรือ โกรธคนไกลตัวเช่น นักการเมือง ฯลฯ ให้ลองนึกมโน
    ภาพหน้าตาของเขาให้เป็นเด็กเล็ก ๆ อายุสัก 1-2 ขวบ โดยให้
    คิดเหมือนกับ ว่าเขาเป็นลูกของเรา สร้างความรู้สึกเอ็นดู
    เมตตาเหมือนพ่อแม่รักลูก ความโกรธจะหายไปเป็น ปลิดทิ้ง
    วิธีนี้แม้ดูง่าย ๆ และ น่าขำ แต่ก็สามารถทำให้หายโกรธได้ผล
    เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
    ( ดูคำสอนเรื่องให้รักผู้อื่นเหมือนมารดารักบุตร /สุตตันต เล่ม
    ๑๗ ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )
    วิธีที่
    ๕.
    คิดตั้งหลายวิธีแล้วก็ยังไม่หายโกรธ มาลองใช้วิธี "ไม่คิด" ดูก็
    ได้ ด้วยการ หายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ ทำลมหายใจให้
    ละเอียด (นึกจินตนาการว่าลมหายใจ ของเราเป็นอะไร
    บางอย่างที่ละเอียด อ่อน บางเบา ในขณะที่หายใจ ) หายใจ
    เข้า ออกติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้ง ความโกรธก็จะสลายหมดไป
    กลายเป็นความสบายใจมาแทนที่
    (ดูอานิสงส์อานาปาสติ ทำให้เกิดปีติ สุข จิตใจสงบระงับ ร่า
    เริง / สุตตันต.เล่ม ๖ ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)
    วิธีที่ ๖.
    วิธีนี้ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับเพื่อนสนิท หรือ คู่รัก ในยามที่เกิดความไม่เข้าใจกัน หรือ ทะเลาะกันจนต่างฝ่ายต่างโกรธ นั่นคือ "การให้ของขวัญ" เป็นวิธีแก้ไข ปัญหาความโกรธที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เป็นการแสดงออกที่ทำให้หายโกรธ ทั้งผู้ให้และผู้รับ
    (ดูสังคหวัตถุ ๔ คือ การให้ พูดจาไพเราะ ช่วยเหลือเจือจาน ร่วมทุกข์ร่วมสุข สมานไมตรีไว้ตลอดกาล/ สุตตันต.เล่ม๓ ข้อ๒๖๗ หน้า๒๒๐)
    วิธีที่ ๗.
    ให้มองว่าทั้งตัวเราและคนที่เราคนโกรธ ต่าง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น คือ ไม่มีใครสามารถรอดจากความทุกข์ แก่ เจ็บ ตายได้สักคน ให้คิดจินตนาการ มองเห็นคนที่เรากำลังโกรธอยู่ เห็นภาพในอนาคตสมมุติว่าเขากำลังป่วยหนัก ใกล้ตาย เขาจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานแค่ไหน จากนั้นให้หวนคิดถึงตัวเราเองว่า เราเองสักวันหนึ่งก็ต้องพบกับความทุกขทรมานและความตายเหมือนเขาเช่นเดียวกัน พวกเราล้วนตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะมามัวโกรธกันอยู่ทำไมกัน
    (ดูบทสวดมนต์แผ่เมตตา) ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)
    วิธีที่ ๘.
    ใช้วิธีกราบพระเพื่อระงับความโกรธ
    การกราบพระทำให้จิตใจเกิดความอ่อนน้อม หมดความมานะถือตัว สภาพจิตใจเช่นนี้ ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นหากท่านใช้วิธีระงับโกรธหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล ขอแนะนำให้ใช้วิธีกราบพระ ท่านว่าได้ผลชงัดนัก วิธีง่าย ๆ เมื่อใดที่โกรธ ให้ก้มลงกราบพระทันที และในขณะที่ท่านกราบพระ ให้นึกถึงใบหน้าของ คนที่ท่านโกรธ ท่านจะพบด้วยตนเองว่าตราบใดที่ท่านยัง กราบพระอยู่ ความโกรธจะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย
    ( จากเทคนิควิธีกำราบความโกรธส่วนตัวของหลวงพ่อบุดดา ถาวโร )
     
  15. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    แม่ของผมนิมิตฝันว่า เห็นพระสงฆ์หลายรูปสนทนาธรรมกับหลวงปู่บุดดา ถาวโร ว่า พระแต่ละรูปทำสมาธิได้นานกี่ชั่วโมงกี่วัน ส่วนหลวงปู่บอกว่าไม่มีเวลาไม่มีวัน ไม่กำหนดลงได้

    แม่ผมก็ลักษณะคนมีบุญใจดี แต่แม่นั่งสมาธิไม่ได้ ท่านไม่นั่งนะ แม่ผมไม่เคยเจอไม่รู้จักหลวงปู่
    ผมเคยอยู่สิงห์บุรีตอนเด็กๆนาน19ปีผมเคยไปหาหลวงปู่ตอนเด็กๆผมเลยรักหลวงปู่
    แม่ผมว่าท่านไม่รู้จักหลวงปู่อะไรมากมายรู้แค่ผมบอกว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมแม่ถึงฝันเห็น คงเคยมีวาสนาร่วมกับหลวงปู่มาก่อน
     
  16. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    " การสำรวมในที่ทั้งปวงเป็นการดี บุคคลสำรวมในที่ทั้งปวงแล้ว มีความละอายต่อบาป เรากล่าวว่าเป็นผู้รักษาตน ฯ ''
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2012
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    โธ่... กรรมของเวร...
    ไอ้ที่เขาพูดมานั่น ของดี ที่พระพุทธองค์สอนทั้งนั้น ไปตีความว่าเป็นวัตถุได้ยังไง...
     
  18. ปัญฺญาวโร

    ปัญฺญาวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +923
    ปัญญาไม่มีอย่าออกความเห็นเลยครับ อายเขาป่าว(พิมพ์ยังผิดเลย ของขลังไม่ใช่ คลัง) ผมไม่ได้มีของขลัง ผมอุปมา คนที่เขาเจริญปัญญาเขารู้กัน
     
  19. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    "บุคคลไม่พึงใส่ใจคำแสลงหูของชนเหล่าอื่น ไม่พึงแลดูกิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำของชนเหล่าอื่น พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำของตนเท่านั้น" (๒๕/๑๔) #ธรรมะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2012
  20. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    "ถ้าท่านทั้งหลายจักทำหรือทำอยู่ซึ่งบาปกรรมไซร้ ท่านทั้งหลายแม้จะเหาะหนีไป ก็ย่อมไม่พ้นไปจากความทุกข์เลยฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...