::“ภูมิจิต ๑๓” ระดับจิตสัตว์อันจะนำไปสู่ภพต่างๆ หรือหมดสิ้นภพต่างๆ::

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สุชีโว, 22 มีนาคม 2014.

  1. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579

    “ภูมิจิต ๑๓” ระดับจิตสัตว์อันจะนำไปสู่ภพต่างๆ หรือหมดสิ้นภพต่างๆ


    มนุษย์ สามารถจะพยากรณ์ชาติภพหน้าของตนเองได้จากกรรมที่กระทำเสมอในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากจิตของคนเรา ซึ่งมีระดับที่ค่อนข้างคงที่และตรวจวัดได้เมื่อมีอายุสูงขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงน้อยลง และระดับจิตคงที่นี้เอง ที่ยังผลให้ไปเกิดภพต่างๆ อีกทั้งจิตนี่แหละ คือ ผู้ก่อสร้างภพชาติทุกขณะจิต หากจิตระลึกภาวนาถึงสิ่งใดอยู่เสมอก็จะสร้างภพสร้างชาติในสิ่งนั้นๆ เช่น การระลึกถึงตรึกแต่เรื่องเงินทอง จิตก็จะสร้างภพชาติแห่งความโลภ อันเป็นเหตุให้เกิดภพเปรตได้ หากจิตระลึกแต่พระพุทธเจ้า จิตก็จะสร้างภพแห่งความดีงาม ยังผลให้ไปเกิดถึงสวรรค์ชั้นดุสิตได้ แต่หากจิตระลึกถึงการสิ้นไปของชาติภพ ก็จะไม่ส่งผลให้เกิดชาติภพต่อไป คือ นิพพาน การพิจารณาระดับจิตของตนจะช่วยให้เรารู้ตัว และพัฒนาระดับจิตให้สูงขึ้นได้ดีขึ้น จิตของคนเรามีระดับหลายระดับด้วยกัน สามารถพิจารณาได้ไม่ยากเป็น ๑๓ ประเภท เรียงจากต่ำสุดไป ดังนี้คือ


    นรกภูมิ คือ จิตที่ก่อแต่กรรมเลว แล้วหลงผิดคิดว่าดีเพราะเชื่อคนเลวในคณะ
    ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดยัง “นรก” จะมีลักษณะทำความชั่วมากกว่าความดี ไม่เชื่อเรื่องกรรม ศีลบกพร่องถึงขั้นไม่มีเลย มีความเชื่อเดียวกันเองในกลุ่มย่อย ที่ไม่สอดคล้องกับธรรมสากล คนที่ต้องตกนรกแน่นอน เช่น คนที่ติดสุราต้องกินทุกวันแม้มีคนทักท้วงห้ามก็จะโมโหใส่, คนที่มีมิจฉาอาชีวะ ต้องโกงกินหรือเบียดเบียนผู้อื่นเป็นอาชีพ, คนที่คบชู้และทำร้ายจิตใจผู้ที่รักตนอย่างหนัก, คนที่ไม่สนใจทำบุญทำทาน รังแต่จะจับผิดนินทาคนที่ตั้งใจทำความดี เป็นต้น คนเหล่านี้ ไม่อาจหลุดพ้นนรกไปได้เลย


    เปรตภูมิ คือ จิตที่ตระหนี่ เพราะหลงผิดคิดว่าไม่ทำร้ายใครก็ถือว่าตนดีแล้ว
    ระดับ จิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเปรต แม้ไม่ถูกทรมานในนรก ก็จะต้องพบกับความหิวโหยทรมานอยู่เป็นนิตย์ จะมีลักษณะไม่ทำความดี ไม่ทำบุญทำทานเลย ตระหนี่ถี่เหนียวอยู่ตลอดเวลา ถือคติว่า “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด” และคิดว่าทำไมต้องช่วยคนอื่นด้วย นี่เป็นทรัพย์อันชอบธรรมของตนแล้ว สมควรเลี้ยงดูตนเอง ไม่สมควรแบ่งปันแก่ใคร แม้นไม่ทำร้ายใครมาก แต่ไม่มีบุญเลี้ยงตัวเลยเมื่อตายลง จึงเกิดเป็นเปรตที่หิวโหยอยู่เป็นนิตย์ ลักษณะของคนประเภทนี้ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความเป็นเปรตไปได้


    เดรัจฉานภูมิ คือ จิตที่ทำดีต่อคนเลว แล้วทำเลวต่อผู้อ่อนแอกว่าเพราะความกลัว
    ระดับ จิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องหาอาหารด้วยการกินกันเป็นทอดๆ เมื่อจะกินต้องล่าผู้อื่น เมื่อถึงคราวเคราะห์ต้องถูกผู้อื่นล่ากิน และต้องตายอย่างทรมาน ชีวิตทั้งชีวิตลำบากลำบน แม้มีอาหารกินบ้าง แต่ก็ยังต้องเสี่ยงชีวิต ต้องแก่งแย่งอาหารกับเดรัจฉานอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นคนที่ทำดีแต่กับคนที่มีอำนาจเหนือตน หรือข่มตนได้ และตนเองจะข่มเหงผู้อื่นที่อ่อนแอหรืออำนาจน้อยกว่าตนต่อไป เช่น นายจ้างที่ยอมนักการเมือง แต่เบียดเบียนใช้แรงงานพนักงานอย่างหนัก จนพวกเขาไม่สามารถไปทำบุญได้ทุกวันพระ คนเหล่านี้ เมื่อตายลงชดใช้กรรมในนรกแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อ มีจิตเป็น “เดรัจฉาน” คือ นิยมอำนาจและการกดขี่กันเป็นทอดๆ


    มนุษย์ภูมิ คือ จิตที่พุ่งไปสู่ความหมดสิ้นไปแห่งกรรม เพราะความเบื่อการเกิด
    ระดับ จิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นคน มีความสุขอยู่บ้าง มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในสรรพสัตว์ทั้งหลาย สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่ายที่สุด และมีโอกาสสะสมบุญบารมีมากที่สุดเหนือกว่าภพอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ไม่ปรารถนาจะเกิดอีก เพราะเหนื่อยล้ากับการเกิด หรือกลัวการเกิด อยากชดใช้กรรมให้หมดสิ้นไป หากเป็นมนุษย์ที่บรรลุโสดาบัน จะเกิดในภพที่ไม่ต่ำกว่ามนุษย์ หากเป็นเทวดาที่ไม่อยากเกิดอีก ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ หากเป็นเทวดาที่อยากชดใช้กรรมก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์เช่นกัน หรือเป็นผู้ที่รอการเกิดเป็นมนุษย์มานานและได้ชดใช้กรรมในภพอื่นๆ หมดสิ้นแล้วจึงถึงคิวเกิด


    จตุโลกภูมิ คือ จิตที่ทำความดีแบบมีเงื่อนไข เป็นบุญไม่สมบูรณ์เจือด้วยบาป
    ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “จตุมหาราชิกา” ซึ่งเป็นเทวดาที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สมประกอบ มีความบกพร่องต่างๆ เช่น ยักษ์ จะมีรูปร่างไม่เหมือนเทวดา หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว, นาค แม้ถอดกายทิพย์เป็นเทวดาสวยงาม แต่มีร่างเหมือนงูขนาดใหญ่, กุมภัณฑ์มีรูปร่างพิกลพิการในแบบต่างๆ, คนธรรพ์ ที่มีรูปกายแบบเทวดาสมบูรณ์แต่ไม่วายต้องได้รับผลกระทบจากการที่สถิตอยู่ ใกล้โลก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะปกติเป็นคนชอบทำบุญ แต่เป็นบุญเจือบาป ทำดีแบบมีเงื่อนไขต้องการสิ่งตอบแทน เช่น ลาภสักการะ ทำบุญเจือกิเลสประเภทต่างๆ เช่น ช่วยคนไปด่าไป ทำให้เขาทุกข์ใจ เทวดาชั้นนี้จึงมีภาระเกี่ยวข้องกับโลกมาก ต้องสะสมบุญบารมีมาก จึงไปสู่ภพที่ดีขึ้นได้


    ดาวดึงส์ภูมิ คือ จิตที่ทำความดีอย่างบริสุทธิ์ แต่อาลัยอาวรณ์ห่วงหาญาติมิตร
    ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดาวดึงส์” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อันพ้นจากเขตของพื้นโลก สงบจากความวุ่นวายของมนุษย์ จัดเป็นสวรรค์ที่แท้จริงชั้นแรก แต่ยังคงต้องมีหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันไปดูแลมนุษย์โลก ทำให้ต้องขึ้นๆ ลงๆ สวรรค์และโลกในยามที่ต้องไปช่วยเหลือมนุษย์ เห็นที่เป็นเช่นนี้ เพราะจิตยังอาลัยในโลกมนุษย์ พวกพ้องและญาติมิตรมาก แม้ทำบุญด้วยจิตบริสุทธิ์ เป็นบุญที่ไม่เจือด้วยบาปแบบเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาก็ตาม ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำบุญสม่ำเสมอ มีจิตใจมั่นคงเชื่อในศาสนา แต่ยังมีความอาลัยในโลกมาก ห่วงญาติมิตรมาก ทำให้ไปไม่ไกล อยู่เพียงสวรรค์ชั้นต้น รอคอยเวลามาช่วยมนุษย์โลกเสมอ


    ยามาภูมิ คือ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อให้พ้นไปจากความเป็นมนุษย์ปุถุชน
    ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ยามา” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกอีก เพราะไม่ต้องรับหน้าที่หมุนเวียนกันดูแลโลกมนุษย์มากเหมือนเทวดาชั้น ดาวดึงส์ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะได้ทำบุญใหญ่ไว้มาก หรือจิตไม่มีความห่วงหาอาลัยในโลก มีความยินดีในผลบุญและการเสวยสุขบนสวรรค์อันแท้จริง ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่มักทำบุญใหญ่และทำสม่ำเสมอ เช่น เป็นเจ้าภาพในงานสร้างอุโบสถ, การบวชพระทั้งชีวิต ดำรงตนในศีลไม่บกพร่อง แต่ไม่บรรลุธรรมหรือการฝึกจิตใดๆ มีจิตไม่อาลัยในโลก อยากหลุดพ้นจากเรื่องวุ่นวายทางโลก บุคคลที่ดำรงตนเช่นนี้ ประพฤติตนเช่นนี้สม่ำเสมอ จึงมาเกิดที่สวรรค์ชั้นนี้ได้


    ดุสิตภูมิ คือ จิตที่ทำความดีเพื่อมหาชน เพื่อความเป็นพระโพธิสัตว์โปรดผู้คน
    ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดุสิต” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกแล้วยังมีโอกาสได้พบกับพระ โพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรรอการจุติอยู่ที่ชั้นดุสิต ทำให้นอกจากไม่ต้องยุ่งเรื่องทางโลกแล้ว ยังมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโพธิสัตว์อีกด้วย ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลบุญให้เป็นของตนเอง ทำเพราะเมตตาสงสารอยากช่วยเหลือผู้อื่นเป็นวิสัย เช่น เป็นผู้ชอบเก็บสุนัขจรจัดมาเลี้ยงเพราะสงสาร เป็นต้น


    นิมานรดีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อแก่งแย่งแข่งขันเอาหน้าแต่จิตริษยาอาฆาต
    ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “นิมารดี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่สนใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เอาแต่แก่งแย่งแข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกันเป็นใหญ่ มีฤทธิ์มีอำนาจเอาไว้เอาชนะคะคานกัน ดังนั้น จึงมาเกิดสวรรค์ชั้นสูงกว่าพระโพธิสัตว์ เพราะจะอยู่นานกว่า และมีโอกาสได้เกิดเป็นคนไม่บ่อย ได้สะสมบุญบารมีน้อยกว่า เอาแต่ตีรันฟันแทงทำสงครามกันบนสวรรค์ ไม่มีผู้ใดสอนได้ เพราะมีจิตมิจฉาทิฐิ ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญไว้มากมายเพื่อให้ตนเหนือคนอื่น เช่น พวกคุณหญิงคุณนายที่ทำบุญมากๆ เอาหน้าเอาตา ให้เขาออกชื่อประกาศใหญ่โต เพื่ออวดดีอวดเด่นแข่งกัน แต่กลับมีจิตใจริษยากันเอง


    ปรนิมมิตวสวัสตีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อเป็นหนึ่งเหนือใคร มีจิตริษยาอาฆาต
    ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ปรนิมมิตวสวัสตี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่คิดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หลงทางเข้าสู่มิจฉาทิฐิ หลงผลบุญที่มากมาย ฟุ้งเฟ้อด้วยยศถาบรรดาศักดิ์แต่หาความสุขไม่ได้ มีฤทธิ์มีอำนาจมาก บ้างฝึกจิตขั้นสูง แต่ยังไม่พ้นอวิชชา คิดอยากเป็นใหญ่เหนือผู้ใด คิดครองโลกครองสวรรค์ ก่อสงครามบนสวรรค์ไม่จบไม่สิ้น มีอายุยืนยาวนานที่สุด มีโอกาสเกิดเป็นคนเพื่อมาสะสมบุญบารมีได้น้อยครั้ง ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญใหญ่มามาก แต่มีจิตริษยาอาฆาต เช่น กอบกู้แผ่นดิน แต่มีจิตอาฆาตศัตรู แทนที่จะตกนรกเพราะทำสงคราม กลับดื้อด้านขึ้นสวรรค์ จึงต้องอยู่นานเป็นมารสวรรค์


    พรหมภูมิ จิตที่เสพติดในรสสุขแห่ง “ฌาน” และความสงบสุข ไร้กิเลสกามใดๆ
    ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “พรหม” ซึ่งเป็นพรหมที่ไม่มีเพศ จึงไม่มีการเสพกาม ไม่มีคู่ครอง ต่างอยู่อาศัยอย่างสงบสงัดดุจฤษีต่างๆ ในป่า ในวิมานของตน ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะมีความยินดีในการเสพความสุขจากฌาน แต่ยังไม่แจ้งในธรรม ไม่รู้ว่าแท้แล้วการเวียนว่ายตายเกิดคืออะไร จิตยังมีความยินดีในฌาน จึงเกิดภพชาติใหม่ ต้องไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งห่างไกลจากความวุ่นวายและกิเลสทั้งปวง แต่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงได้ คนที่ไปเกิดเป็นพรหมมักบำเพ็ญพรหมจรรย์นั่งสมาธิฝึกจิตจนได้ฌาน


    อรหันตภูมิ จิตที่ปล่อยวางการยึดถือทั้งมวล เพราะมีดวงตาเห็นธรรม พบสุขแท้
    ระดับ จิตไร้กิเลส มีความสุขแท้ ไร้ซึ่งความทุกข์ใดๆ เมื่อตายลงสามารถไม่เกิดอีกได้ ซึ่ง ระดับจิตนี้พบเฉพาะผู้บรรลุอรหันต์เท่านั้น บุคคลที่จะพัฒนาภูมิจิตถึงระดับนี้ได้ จะต้องผ่านแต่ละขั้นก่อน คือ การละสักกายทิฐิ หรือความอวดดีถือตน หากบุคคลยังไม่ละ ยังไม่ถูกครูบาอาจารย์กำราบให้ยอมจำนน บุคคลจะยังไม่บรรลุแม้โสดาบัน ไม่อาจบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ บุคคลจะบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ ก็เมื่อบุคคลนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ หรือพระปัจเจก ซึ่งบารมีเต็มในชาติสุดท้ายเท่านั้น ในระหว่างชาติที่พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ จนถึง ๕,๐๐๐ ปีนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเป็นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกมาเกิดอีก


    สุขาวดีภูมิ จิตที่บรรลุธรรมแล้วโปรดสรรพสัตว์ ยอมเกิดใหม่ช่วยสัตว์เรื่อยไป
    ระดับจิตที่ไร้กิเลส บรรลุธรรม ดับสิ้นเชื้ออวิชชาแล้ว เมื่อตายลงสามารถเกิดได้อีก เพื่อลงมาช่วยมวลสรรพสัตว์ อันเกิดได้เพราะ “พระพุทธเจ้า” ในอดีต ที่ทรงมีมหาปณิธานไม่ยอมบรรลุนิพพาน เพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ให้หมดก่อนตน บังเกิดภพใหม่ขึ้น ที่เรียกว่า “สุขาวดีพุทธเกษตร” เป็นที่ๆ บุคคลสามารถบรรลุธรรมได้ พบความสุขแท้ได้ พ้นทุกข์ทั้งมวลได้ และยังสามารถกลับมาเกิดช่วยคนได้อีกตามแต่จิตปรารถนา ปกติ ภพนี้จะไม่แนะนำหรือแสดงให้คนทั่วไปได้รู้เห็น นอกจากจะเป็นผู้มีบุญบารมีมาก มีจิตเมตตาจริงๆ


    การ เกิดขึ้นของภพต่างๆ นั้น เช่น พรหมโลก ก็ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ใน ๖ ชั้น พรหมโลกเองก็มีชั้นต่างๆ มากมายยิ่งกว่าสวรรค์ทั้งหกชั้น เสมือนเป็นภพโลกอีกภพหนึ่ง อันเกิดจากดวงจิตที่พึงพอใจในการบำเพ็ญฌาน และรสชาติแห่งฌานมากกว่าการบรรลุธรรม พรหมโลก จึงเป็นโลกที่บริสุทธิ์สงบสงัดจากกิเลสชั่วคราว แต่ไม่แจ้งในธรรม ยังมีความยินดีในภพภูมิ และยังมีโอกาสลงมาเกิดในโลกได้อีก ในบรรดาฤษีมากมายที่ตายไปไม่บรรลุธรรม ก็ไปรวมกันที่พรหมโลก แต่ละดวงจิตก็เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ บางดวงจิตก็โปรดสัตว์ด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่เพราะไม่บรรลุธรรม จึงไม่สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้บรรลุธรรม ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ และพบสุขที่แท้จริงได้ ดวงจิตที่โปรดสัตว์เหล่านี้ จะนำพลังอิทธิฤทธิ์มาให้แก่ผู้ที่นับถือศรัทธาตน เช่น มหาเทพต่างๆ ในฮินดู เป็นต้น


    ภพ บางภพก็เกิดขึ้นด้วยผลบุญบารมีและอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ เช่น พระอมิตาภพุทธเจ้า, พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า อันได้แก่ สุขาวดีพุทธเกษตร นั่นเอง


    บทสรุปส่งท้าย


    จิตของคนเรามีระดับที่ค่อนข้างคงที่แน่ชัด เรียกว่า “ภูมิจิต” ซึ่งภูมิจิตนี้สอดคล้องกับ “ภพภูมิ” ที่สัตว์จะไปเกิดต่อในชาติภพหน้า เพราะจิตนั้นมีความคงที่ระดับหนึ่งจนเกิดสภาวะเหมือน “ภพ” ซ้อนขึ้นมาทั้งๆ ที่อยู่บนโลก ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเป็นเหมือนคนทั่วไป พอทำบุญครั้งแรกเกิดจิตที่เป็นกุศล มีปีติสุข จากนั้นจึงทำบุญบ่อยๆ จิตใจก็มีสุขสดชื่น ภูมิจิตก็เปลี่ยนจากความเป็นโลกีย์ กลายเป็นสวรรค์ขึ้นมาทันที มองโลกก็เหมือนอยู่สวรรค์ มีความสุขในจิตของตนเทียบเท่ากันกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นจริงๆ จิตใจของคนผู้นั้นก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทั้งๆ ที่ยังอยู่บนโลก และเมื่อตายลงจิตก็ระลึกถึงแต่สิ่งเหล่านี้ ปกติแล้ว เมื่อสัตว์ตายลง จิตดวงสุดท้าย คือ “จุติจิต” จะส่งให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ หากจิตระลึกถึงสิ่งใดมาก ก็จะส่งผลให้ไปเกิดยังภพภูมิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวนั้น ดังนั้น เมื่อสัตว์ตายลง จึงมีโอกาสที่จิตจะส่งไปยังภพที่จิตเกี่ยวพันอยู่จึงเป็นไปได้สูงมาก ด้วยเหตุนี้ บุคคลควรหลีกให้พ้นจากอบายภูมิทั้งสาม อันได้แก่ นรกภูมิ, เปรตภูมิ, เดรัจฉานภูมิ อันเป็นภพภูมิชั้นต่ำ ที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข มีความลำบากเป็นนิตย์


    สำหรับ ผู้ที่ยึดถือหรือเชื่อถือแต่พวกพ้องกลุ่มย่อยของตนที่ดีแต่พูดเอาอกเอาใจ ตรงใจ ถูกใจ เพราะปล่อยตัวตามใจอยาก นั้น จะนำพาตนเองเข้าสู่ “นรกภูมิ” เป็นแน่แท้ การจะหลุดพ้นออกมาได้ จะต้องเลิกยึดมั่นในความเชื่อของกลุ่มย่อย ที่เชื่อกันเองในกลุ่มเล็กๆ อย่างผิดๆ เช่น พรรคพวกที่คุยสังสรรค์และสร้างความเชื่อกันว่า การข่มขืนผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงสนุก และการที่ผู้หญิงร้อง เพราะมีความสุขมาก แท้แล้วเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เป็นพฤติกรรมการเลียนแบบนายนิรบาล ที่ลงไปทรมานสัตว์ในนรก และตนก็อยากระบายลงในผู้อื่นบ้าง ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ในสรรพสัตว์ไม่ถูกทิ้งถูกเพียงกลุ่มเดียว จึงสร้างให้ได้พบเจอกับนายนิรบาล ซึ่งหากปรารถนาจะเป็นนายนิรบาล จำต้องเริ่มหัดทำบุญ แม้ว่าจะเป็นบุญเจือบาปก็ต้องเริ่มทำ ไม่ใช่ความเลว โดยการเลียนแบบนายนิรบาล บุคคลจะได้เป็นอย่างที่ตนปรารถนาก็ต่อเมื่อเขาประพฤติจนพร้อมที่จะเป็น จักรวาลจึงจะส่งพลังหนุนนำให้ แต่หากหักหาญเป็นเอง ใช้พลังอำนาจของตนเอง ก็จะถูกสมดุลจักรวาลตอบโต้กลับ ทำให้ตนเอง ต้องได้รับวิบากกรรมซ้ำซ้อน ต้องตกนรกซ้ำๆ


    สำหรับ ผู้ที่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ถือว่าไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ไม่เคยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือใคร จำต้องเลิกความยึดมั่นในความดีที่ไม่แท้จริงของตน การไม่ทำร้ายใครและไม่ช่วยเหลือใครนั้น ไม่ใช่ความดี เป็นแค่การไม่ทำเลวเพิ่มเท่านั้นเอง แต่บุคคลยังต้องพิจารณาว่าตนเองได้เกิดเป็นมนุษย์กินสัตว์ได้อื่นมากมาย เพราะอะไร สัตว์บางชนิดที่กินได้เฉพาะใบพืชชนิดเดียวเท่านั้นเพราะอะไร หรือนั่นเพราะการไม่ทำบุญ หรือทำบุญมาไม่เท่ากันใช่หรือไม่ บุคคลหากยังเวียนว่ายตายเกิด ยังต้องมีการทำบุญเป็นเสบียงเลี้ยงตัว


    สำหรับ ผู้นิยมกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า และยอมก้มจำนนต่อผู้มีอำนาจมากกว่า มักยอมจำนนเป็นบริวารคนเลว แล้วทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าตน เป็น “เดรัจฉาน” มาเกิดโดยแท้ เหมือนสัตว์ใหญ่ที่กินสัตว์เล็ก ข่มเหงเบียดเบียนกันเป็นทอดๆ หากต้องการหลุดพ้นจากภพนี้ จะต้องไม่ยอมก้มจำนนต่อคนเลว หลีกเลี่ยงคนเลว เลิกข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า เลิกเลียนแบบรุ่นพี่ หรือผู้มีอำนาจ แล้วหันมาสนับสนุนคนดี และช่วยผู้อ่อนแอ จึงจะพ้นได้


    เมื่อ พ้นจากอบายภูมิทั้งสามนี้แล้ว ก็จะได้เกิดแต่ภพที่ยังมีความสุขอยู่บ้าง ซึ่งบางภพเป็นสวรรค์ที่ทำให้หลงเพลิดเพลิน และหลงลืมการทำสิ่งที่ดีงาม สุดท้ายหมดวาระบุญต้องมาเกิดใหม่ เป็นมนุษย์ทำงานลำบากลำบน และตกต่ำกว่าสวรรค์เดิมที่ตนเคยอยู่ ดังนั้น บุคคลจึงควร “ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” เพราะความไม่แน่ไม่นอน เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทุกขณะทีเดียว หากยังมีภพชาติใหม่อยู่เรื่อยๆ ก็จะยังต้องเสี่ยงเกิดเสี่ยงกรรมอีกเรื่อยๆ หากหมดสิ้นภพชาติได้ จึงหมดสิ้นเวรสิ้นกรรม พบแต่ความสุขอย่างเดียว แต่หากมีกำลังบุญบารมีมาก คิดช่วยเข็ญสรรพสัตว์แล้ว พึงพัฒนาภูมิจิตให้ถึงสุขาวดี
    -------------------------------------------------------------------
    ที่มา : oknation.net

     
  2. wayokasin

    wayokasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +277
    สงสัยผู้เขียน กระทู้ธรรม ปรารถนา โพธิ แน่ ๆ ยังไงอยู่โปรดสัตว์โลกด้วยกันก่อนก่อน เด้อ (good)
     
  3. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    มีอะไรผิดเพี้ยนไปหรือป่าวฮะ อย่างท่านวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านเป็นพระโสดาบัน เป็นมหาอุบาสิกา ทำบุญด้วยใจ ท่านตายก็ไปอยู่(นิมารดี) ท่านก็ไม่เคยที่จะทำบุญเอาหน้าอะไร ทำด้วยใจจริงๆเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมจริงๆ อ่านแล้วงงๆๆๆ
     
  4. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    อ่านแล้วไม่สบายใจจังเลย ธรรมทาน แปลว่าทานที่ให้ธรรม เป็นทาน ผู้ให้ต้องไตร่ตรองให้ดี จะเกิดโทษทั้งแก่ผู้รับและผู้ให้ได้นะฮะ ขอโทษด้วยนะฮะหากเข้าใจผิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2014
  5. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    กระทู้ข้างต้นมีที่มาจาก เวบ oknation.net
    ผู้ที่ชอบทำบุญด้วยทาน ไม่เน้นภาวนา มักมีที่หมายคือสวรรค์ ส่วนจะเป็นชั้นไหนนั้น ก็แล้วภูมิจิต ของท่านนั้น...
    จากที่ได้ไปค้นคว้าแล้ว สวรรค์ชั้นนิมานรดีภูมิ ที่เกี่ยวข้องกับภูมิจิตของผู้ทำทานเพื่อหวังผลสวรรค์...คือ

    สวรรค์ชั้นนิมมานรดี
    เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป
    อ้างอิง
    มก. อุโปสถสูตร เล่ม 34 หน้า 382


    ข้อความในกระทู้อาจดูรุนแรง หากกระทบใจบางท่านให้ไม่สบายใจ ผู้โพ้สกระทู้ ต้องขออภัยด้วย...
    อนุโมทนา... เพื่อนกัลยาณธรรมทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน... ได้มาตอบ...

    รอท่านผู้อื่นมาให้ความรู้ ความเห็นต่อครับ...
     
  6. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    สวรรค์ในความเชื่อทางศาสนาพุทธ แปลว่า ภูมิหรือดินแดนที่มีอารมณ์เลิศด้วยดี จำแนกออกได้เป็น 6 ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี

    สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์ วิมานคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มี ความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิด ขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้

    จาตุมหาราชิกา มีจาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ค่อยเป็น ไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร (พิทยาธร) กุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์

    ดาวดึงส์ คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาพระสุเมรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีพระอินทร์เป็นประธาน และที่สำคัญมีจุฬามณีเจดีย์ ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ

    ยามา เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไร ก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาศาสนาพุทธเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป

    ดุสิต คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพ-สัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป

    นิมมานรดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ให้ทานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานเพราะมีความสุขในการให้ ให้ทานด้วยคิดว่า "เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับท่านฤๅษี ทั้งหลายคือ ท่านอัฏฐกฤๅษี ท่านวามกฤๅษี ท่านวาม เทวฤๅษี ท่านเวสสามิตรฤๅษี ท่านยมทัคคฤๅษี ท่านอังคีรสฤๅษี ท่านภารทวาชฤๅษี ท่านวาเสฏฐฤๅษี ท่านกัสสปฤๅษี ท่านภคุฤๅษี" เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำ กาลกิริยาตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

    ปรนิมมิตวสวัตดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป
     
  7. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ยกตัวอย่างสวรรค์ชั้นที่5นะฮะ

    เป็นสวรรค์ชั้นที่ 5
    ในหนังสือ พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม อธิบายว่า
    นิมมานรตี ( แดนที่อยู่แห่งเทพผู้มีความยินดีในการเนรมิต มีท้าวสุนิมมิต เป็นจอมเทพ ถือกันว่า เทวดาชั้นนี้ ปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมนิรมิตได้เอง )
    สวรรค์ชั้นนี้ เป็นสุคติ เป็นกามาวจร เกิดด้วยกุศลกรรม ชั้นกามาวจร เช่น การให้ทาน รักษาศีล การเจริญความสงบของจิต ฯลฯ ที่ยังเป็น ชั้นกามาวจร.
    ใน พระไตรปิฎกเล่มที่ 26 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 18
    ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปาริฉัตตกวรรค ทัททัลลวิมาน


    แสดงไว้ว่า นางสุภัททาเทพธิดา ได้เกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรตี เพราะได้ให้ทาน โดยถวายเป็นสังฆทาน ตามธรรมเทศนาของท่านพระเรวตเถระ จึงรุ่งเรืองกว่านางภัททาเทพธิดา ซึ่งถวายทานเป็นรายบุคคล (ปาฏิปุคคลิกทาน การให้แบบเจาะจง).
    ขอนำบางส่วนมาเพื่อดังนี้ :
    นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่า
    เมื่อชาติก่อน ดิฉันได้เห็นพระภิกษุผู้อบรมทางจิตใจเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่
    จึงได้นิมนต์ท่านรวม ๘ รูปด้วยกัน มีพระเรวตเถระเป็นประธานด้วย
    ภัตตาหาร ท่านพระเรวตเถระนั้นมุ่งจะให้เกิดประโยชน์ อนุเคราะห์แก่
    ดิฉัน จึงบอกดิฉันว่า จงถวายสงฆ์เถิด ดิฉันได้ทำตามคำของท่าน
    ทักขิณาของดิฉันนั้น จึงเป็นสังฆทาน ดิฉันให้เข้าตั้งไว้ในสงฆ์เป็นทาน
    ที่ไม่อาจปริมาณผลได้ว่า มีอยู่เท่าไร ส่วนทานที่คุณพี่ได้ถวายแก่ภิกษุ
    ด้วยความเลื่อมใสเป็นรายบุคคล จึงมีผลไม่มาก.

    ใน พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 15
    อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ปัณณาสก์ มหายัญญวรรค ทานสูตร

    พระสารีบุตรได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาค ถึงเรื่อง
    ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และ ทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก.
    ขอนำบางส่วนที่ เกี่ยวกับกระทู้ มาแสดง ดังนี้ :-

    สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทาน
    เช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก
    อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนใน
    โลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิต
    ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้
    เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่อง
    ลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์
    ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
    พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
    สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิต
    ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้
    เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
    แห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่
    แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคน
    ในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน
    ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า
    ทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
    เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์
    ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
    พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
    สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มี
    จิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไป
    แล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทาน
    นั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้น
    กรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่
    ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
    ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็
    ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
    แห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
    ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา
    มารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วย
    คิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้
    จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว
    ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
    หมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
    เราหุงหากินได้ สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะ
    ไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วย
    คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
    วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี
    วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ
    ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้น
    ฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
    จักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯ
    และภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิด
    ความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
    แห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็น
    ใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อ
    เราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็น
    เครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
    เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์
    ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
    พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
    สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน
    ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
    ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
    ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสีย
    ประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
    หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วย
    คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
    วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาช-
    ฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้
    ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและ
    โสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป
    ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
    หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้
    ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้
    ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบาง
    คนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ.
     
  8. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ต้องขอโทษคุณสุชีโวด้วยนะฮะ ขอยืนยันว่าไม่ได้ต่อต้านเจ้าของกระทู้ ไม่ได้เป็นสัตตรูกันมาก่อน เพียงแต่รู้สึกว่า ข้อความที่เอามาลงมีบางข้อความมันผิดแปลกกับสิ่งที่ได้เคยเรียนรู้มาจากพระสูตร จากครูบาอาจารย์ในพระศาสนาฮะ ไม่แน่ใจว่าส่วนที่แปลกออกไปเป็นเพราะผู้เขียนใช้(ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง)แต่งเติมลงไปหรือป่าว? ฮะ
     
  9. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579

    ยินดีครับ คุณ...พสภัธ
    ถ้าดูผิวเผิน ก็เป็นไปตามที่ยกอ้างอิงมา แต่มีจุดพลิกผัน ลับ ลวง พราง เหมือนกัน
    ดูใน PM ที่ผมส่งไปครับ

    เจริญธรรมครับ
     
  10. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ได้ฮะ ขอบคุณคับ
     
  11. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    อืม มีนักตรวจสอบตำราแห่งความจริงแบบนี้ก็ดีเหมือนกันน่ะคับ อิๆ
    อนุโมทนาสาธุ (วิจิกิจฉาเป็นที่มาซึ่งความสังสัยในธรรม)........
     

แชร์หน้านี้

Loading...