๓๗เรื่องเล่าหลวงปู่ดู่กับธรรมะลึกซึ้งที่เข้าใจได้ง่ายและนำไปใช้ได้ทันที

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย leo_tn, 21 พฤษภาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    a.jpg
    เรื่องเล่าทั้งหมดในกระทู้นี้มี ๓๗ เรื่องครับ
    เพื่อนๆ จะได้ติดตามอ่าน ผมจะทยอยลงไปเรื่อยๆครับ
    ได้ความรู้ ได้เห็นปฏิภาณของหลวงปู่ดู่ของพวกเรา
    และยังได้ธรรมะที่อยู่ในการสื่อสารแบบง่ายๆ ของหลวงปู่
    นำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างยอดเยี่ยม


    ๑. ใ ห้ รู้ จั ก บุ ญ

    การทำบุญทำกุศลนั้น โปรดอย่านึกว่าจะต้องหอบข้าวหอบของไปใส่บาตรที่วัดทุกวัน หรือบุญจะเกิดได้ก็ต้องทอดกฐินสร้างโบสถ์ สร้างศาลา และอื่นๆ อย่างที่เขาโฆษณาขายบุญกันทั้งทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ และใบเรี่ยไรกันเกลื่อนกลาด จนรู้สึกว่าจะต้องเป็นภาระที่จะต้องบริจาคเมื่อไปวัดหรือสำนักนั้นๆ เป็นประจำ

    บทสวดมนต์ชื่อ พระพุทธชัยมงคลคาถา ที่ขึ้นต้นด้วยพาหุงมีอยู่ท่อนหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงชนะมารคือกิเลสว่า
    "ทานาทิธัมมามวิธินา ชิตวา มุนินโท" แปลว่า
    พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นจอมปราชญ์ ทรงชนะมารคือกิเลสด้วยวิธีบำเพ็ญบารมีธรรมคือความดี มีการบริจาคทานเป็นต้น


    พระพุทธเจ้าทรงสอนการทำบุญทำกุศล ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และสวดมนต์เจริญสมาธิภาวนา ให้ทานทุกครั้ง ให้ทำลายความโลภ คือกิเลสทุกครั้ง รักษาศีล เจริญภาวนาเพื่อทำลายความโกรธ ความเห็นแก่ตัว ให้ใจสะอาด ใจไม่เศร้าหมอง มองเห็นบาปคุณโทษได้ทุกครั้ง ทำได้ดังนี้จึงชื่อว่า ทำตามพระพุทธเจ้า

    นิปฺผนฺนโสภิโน อตฺถา
    ประโยชน์งามตรงที่สำเร็จ
    พุทธพจน์

    อีก ๒๕ เรื่องเล่าหลวงปู่ดู่กับธรรมะลึกซึ้งเข้าใจง่าย ชัดเจน นำไปใช้ได้ทันที
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=80761
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2024
  2. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    จบของทำบุญ-อธิษฐานรับพร

    ๒. จ บ ข อ ง ทำ บุ ญ - อ ธิ ษ ฐา น รั บ พ ร

    ก่อนที่ท่านผู้มีศรัทธาทั้งหลายจะถวายของแก่พระภิกษุสงฆ์ มักจะมีการอธิษฐานหรือที่เรียกว่า จบของ บางคนจบนาน บางคนจบช้า หลวงปู่ท่านให้ข้อคิดว่า "ก่อนที่เราจะถวายให้จบมาเสียก่อนจากบ้าน เนื่องจากพอมาถึงวัดมักจะจบไม่ได้เรื่อง คนมากมายเดินไปเดินมา จะหาสมาธิมาจากไหน เราจะทำอะไรก็ตามอธิษฐานไว้เลย เวลาถวายจะได้ไม่ช้าเสียเวลาคนอื่นเขาอีกด้วย บางคนก็ขอไม่รู้จบ ให้ตัวเองไม่พอ ให้ลูกให้หลาน จิตเลยส่ายหาบุญไม่ได้"

    การที่หลวงปู่ให้จบก่อนนั้น มัความประสงค์ให้ตั้งเจตนาให้ดี บุญที่ได้รับจะมีผลมาก ญาติโยมจึงกราบเรียนหลวงปู่ว่า "ควรอธิษฐานอย่างไร" หลวงปู่ตอบว่า

    "อธิษฐานให้พ้นทุกข์หรือขอให้พบแต่ความดีตลอดไปจนพ้นทุกข์ ถ้าเป็นบาลีก็ว่า สุทินนังวะตะเม ทานัง อาสวะขะยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ คนเราจะพ้นทุกข์ได้ต้องพบกับความดีมีความสุขใช่ไหม ไม่ต้องอธิษฐานให้ยืดยาวหรอก"

    เมื่อทำบุญแล้วมักจะมีการรับพรจากพระ มีการกรวดน้ำ บางทีไม่ได้เตรียมไว้ต้องวิ่งหากันให้วุ่นวาย หลวงปู่บอกว่า "ใช้น้ำจิตน้ำใจของเรากรวดก็ได้ เขาเรียกกรวดแห้ง ไม่ต้องกรวดเปียก เรื่องการกรวดเปียกเขาเริ่มมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อถวายของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านกรวดน้ำให้เปรตญาติพี่น้องที่มาร้องขอบุญจากท่าน ตอนแรกท่านไม่รู้เลยทูลถามพระพุทธเจ้า ที่เขาเรียกว่า ทุสะนะโส คือหัวใจเปรตนั่นแหละ" หลวงปู่ท่านตอบเพื่อให้คลายกังวลสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลากรวดน้ำเช่น คนที่รีบใส่บาตรก่อนจะไปทำงาน เป็นต้น ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้นท่านแนะนำว่า "ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ ขอให้ติดตัวข้าพเจ้าตลอดไปในชาตินี้และชาติหน้า แล้วก็อธิษฐานเรียกพระเข้าตัวเวลามีพิธีอะไร อย่างเช่น เวลาเขาปลุกเสกพระ เราก็สามารถรับพรจากพระองค์ไหนๆ ก็ได้ทั้งนั้น"

    การสำรวมกาย วาจา ใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญเมื่อมีพิธีกรรมทางสงฆ์ เพราะบ่อยครั้งที่ขณะพระให้ศีลหรือให้พร ญาติโยมบางคนก็เริ่มคุยแข่งกับพระ เสียงโยมเมื่อรวมกันดังกว่าเสียงพระเสียอีก ตนเองไม่ได้บุญยังไม่พอ แต่กลับไปสร้างความรำคาญให้ผู้อื่น เรียกว่าการขัดบุญที่ผู้อื่นพึงได้รับ หลวงปู่เคยพูดว่า "ระวังให้ดี เดี๋ยวจะเกิดเป็นตะเข้ขวางคลอง"

    สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ
    ยํ เว หิตญฺจ สาธุญจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ
    กรรมไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ทำได้ง่าย
    ส่วนกรรมใดดีและเป็นประโยชน์ กรรมนั้นแล ทำได้ยากอย่างยิ่ง
    พุทธพจน์
     
  3. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    อยู่ที่ใจ

    ๓. อ ยู่ ที่ ใ จ

    การจุดธูปเทียนเพื่อบูชาพระในพิธีกรรมต่างๆ มักจะไม่เหมือนกัน บางท่านต้องการไหว้พระแต่ยังตกลงใจไม่ได้ว่าจะใช้ธูปกี่ดอกถึงจะเหมาะสม หลวงปู่เคยตอบคำถามเรื่องนี้กับผู้ที่สงสัยว่า

    หลวงปู่ "จุดกี่ดอกก็ได้ ส่วนใหญ่มักใช้ ๓ ดอก
    บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กี่ดอกก็มีความหมายทั้งนั้น"

    ผู้ถาม "อย่างนั้นถ้าจุดดอกเดียว ไม่ถือว่าไหว้ผีหรือไหว้ศพหรือครับ"
    หลวงปู่ "จุด ๑ ดอก หมายถึง จิตหนึ่ง
    จุด ๒ ดอก หมายถึง กายกับจิต หรือ โลกกับธรรม
    จุด ๓ ดอก หมายถึง พระรัตนตรัย หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    จุด ๔ ดอก หมายถึง อริยสัจ ๔
    จุด ๕ ดอก หมายถึง พระเจ้าห้าพระองค์ นะโมพุทธายะ
    จุด ๖ ดอก หมายถึง สิริ ๖ ประการ ที่แกกราบพระ ๖ ครั้ง
    จุด ๗ ดอก หมายถึง โพชฌงค์ ๗
    จุด ๘ ดอก หมายถึง มรรคแปด
    จุด ๙ ดอก หมายถึง นวโลกุตรธรรม
    จุด ๑๐ ดอก หมายถึง บารมี ๑๐ ประการ
    อยู่ที่เราจะคิดให้ดี เอาอะไรก็ได้"

    ผู้ถาม "ถ้า ๑๑ ดอก หมายถึง......."
    หลวงปู่ "ก็บารมี ๑๐ ประการกับจิตหนึ่ง ว่าไปได้เรื่อยๆ
    แหมแกถามซะข้าเกือบไม่จน"

    ผู้ถาม "ถ้าไม่มีธูปเทียน"
    หลวงปู่ "ก็ใช้ชีวิตจิตใจบูชา ไม่เห็นต้องมีอะไร
    พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ชีวิตัง ปูเชมิ"


    หลวงปู่หัวเราะมองหน้าผู้ถามที่รู้สึกทึ่งในปฏิภาณของหลวงปู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2024
  4. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    อยากได้บุญมาก

    ๔. อ ยา ก ไ ด้ บุ ญ มา ก

    พระสงฆ์ถือว่าเป็นเนื้อนาบุญของโลก ผู้ที่ถวายทานท่าน จึงได้ชื่อว่าปลูกบุญนิธิไว้ในศาสนา แต่จะได้ผลมากน้อยนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างได้แก่

    พระ - ซึ่งเป็นตัวเนื้อนาบุญ หากเป็นพระดีก็เปรียบดังที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ

    วัตถุ - หรือวัตถุทานนี้ หากได้มาโดยความบริสุทธิ์ไม่ได้ไปลักชิงของใครเขามาก็ย่อมเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์เหมาะแก่การบริโภคใช้สอย

    เจตนา - ความตั้งใจและความศรัทธามากน้อยเพียงใด บุญก็ย่อมมากน้อยไปตามเพียงนั้น

    องค์ประกอบทั้ง ๓ นี้ เป็นสื่อผูกพันเพื่อให้เกิดบุญสมความปรารถนา มีศรัทธาญาติโยมบางท่านเกิดความไม่แน่ใจในตัวพระสงฆ์ จึงได้มาเรียนถามหลวงปู่เพื่อให้หายข้องใจ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตาตอบดังนี้

    "อธิษฐานก่อนถวายทาน ทำจิตใจของเราให้ไปถวายกับพระพุทธเจ้าเลย จะได้บุญสูงพระที่รับเป็นเพียงผู้อุปโลกน์ ถ้าท่านไม่ดีจริง ท่านก็ไปนรก"

    พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งศาสนา มีพระหฤทัยที่บริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยธรรมปัญญา พระสงฆ์เปรียบเสมือนเสนาบดีของพระพุทธองค์ การถวายทานจึงได้ชื่อว่าได้ดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของพระศาสดาผู้เป็นใหญ่แห่งสามโลกพระองค์นั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2007
  5. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ผีลองดี

    ๕. ผี ล อ ง ดี

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่ดู่เดินทางไปเรียนวิชาทำธง ที่วัดตะเขง จังหวัดสระบุรี เพราะหลวงปู่แด่เป็นผู้สั่งให้ไปเรียน เมื่อไปถึงหลวงปู่ที่วัดท่านบอกว่า

    หลวงปู่ "ผมแก่แล้วตาไม่ค่อยดี นิมนต์กลับไปเรียนกับอาจารย์แด่ท่านเถิด เออ คุณผ่านมาตรงช่องเขามีใครเขาหยอกคุณหรือเปล่า"
    หลวงปู่ดู่ "มีครับแต่ไม่เป็นไร"
    หลวงปู่ "ขากลับไปเถอะ ไม่มีอะไร"

    หลวงปู่ดู่เล่าให้ฟังว่า
    "เดินไประหว่างช่องเขา มีคนปาก้อนหินลงมาก้อนเบ้อเร่อ ถูกข้าคงตาย แต่ข้าไม่กลัว มีคนเขาเดินผ่านมาทางนี้ ผีพวกนี้มักปาแกล้งลงมา ขากลับก็ไม่มีอะไรจริงๆ ตกลงไม่ได้เรียนต้องกลับมาหาอาจารย์แด่"
     
  6. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    โมทนาบุญ

    ๖. โ ม ท นา บุ ญ

    ผู้ที่มาทำบุญที่วัดบางครั้งมาคนเดียว มาหลายคน หรือมากับครอบครัว บางท่านมีศรัทธามากทำบุญอย่างสม่ำเสมอ แต่เกิดอุปสรรคจากสามีหรือภรรยา หรือพ่อแม่ไม่เห็นดีด้วย บางคนถึงกับออกปากว่า "พระมีเฉพาะที่วัดสะแกหรือไง เจ้าอาวาสยังหนุ่มใช่ไหม" ร้อยสรรพันเรื่องที่หยิบยกขึ้นมา ผู้ที่ต้องการบุญจึงเกิดความไม่สบายใจ เพราะต้องการให้เขาเหล่านั้นได้รับกุศลไปด้วย จึงมาเรียนถามความเห็นของหลวงปู่ ซึ่งท่านตอบว่า

    "คนที่เข้าใจก็เห็นด้วย คนที่ไม่เข้าใจก็ไม่เห็นด้วย เอาอย่างนี้ พอทำบุญหลายๆ ครั้งรวมเป็นครั้งเดียวไปบอกให้เขาโมทนาซะ ว่าฉันไปทำบุญมา ขอให้โมทนาด้วย"
    ผู้ถามถามต่ออีกว่า ถ้าต้องการให้ผู้ที่ไม่สนใจมาทางเดียวกัน ควรจะทำอย่างไร หลวงปู่ตอบว่า
    "พอเวลาทำบุญก็ให้บุญกับเขา เรียกกายทิพย์เขามารับบุญ เขาเรียกว่าให้บุญใน หรือให้ทางใน นานไปเขาก็เปลี่ยนไปเอง หรือเราจะให้กับคนที่เขาโกรธเรา อาฆาตพยาบาทตัวเราก็ได้"

    หลวงปู่ยังได้โยงไปถึงการให้บุญกับผู้อื่นอีก

    "บุญเป็นของดี เราให้ใครก็ได้ ไม่ว่าเจ้านาย ลูกน้อง หรือคนที่เราจะไปติดต่อขอความช่วยเหลือ ได้ทั้งนั้น

    บุญคือความสบายใจ การสร้างบุญโดยการให้ด้วยจิตใจที่เมตตา คือเป็นคนกล่อมเกลาจิตใจไปในตัว และเป็นการปฏิบัติธรรมอีกอย่างหนึ่งด้วย"
     
  7. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ไม่ต้องลอง

    ๗. ไ ม่ ต้ อ ง ล อ ง

    บ่อยครั้งที่มีผู้ต้องการปฏิบัติไปกราบนมัสการและแจ้งความประสงค์ขอปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลวงปู่ยินดีมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งมีผู้มาขอปฏิบัติกับท่านโดยพูดว่า "ผมอยากมาลองปฏิบัติดู เขาว่าทำแล้วดี" หลวงปู่ท่านรีบตอบว่า "ไม่ต้องลอง ทำเลย ขืนลองก็ไม่เจอของดีสักที ธรรมะไม่ใช่ของลอง เป็นของให้ทำจึงจะเห็นผล"

    ผู้เขียน "หลวงปู่มีวิธีการหรือหลักการอย่างไรในการเผยแพร่กับหมู่คณะที่มาปฏิบัติ"

    หลวงปู่ "เราไม่ใช่อาจารย์ เราแอบทำเพราะเราไม่สามารถประกาศได้มากกว่านี้ เพียงแต่ข้าตั้งจิตอธิษฐานว่าคนใดก็ตามที่เคยทำบุญร่วมกันมา ขอให้ได้มาพบกันแล้วมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้ชาตินี้ ก็ให้ได้ชาติต่อๆ ไป บางคนเขามาแล้วก็เลยไปยังไม่ทันได้ชิม บางคนชิมแล้วยังไม่ทานก็ไป แสดงว่าเขาไม่ได้ทำบุญร่วมกับเรามาก็แค่นั้น"

    ผู้เขียน "บางครั้งพระที่ดี คนในท้องถิ่นมักจะไม่ได้ของดีอย่างเช่น หลวงปู่ปาน"

    หลวงปู่ "แล้วแต่บุญของเขา อย่างพระของข้า ข้าก็แจกๆ กันไป คนไกลเขาก็ได้กัน คนใกล้ไม่ค่อยได้"

    ผู้เขียน "อย่างนี้เขาเรียกว่า ใกล้เกลือกินด่างใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ "ใกล้เกลือตีนด่าง เพราะมันเหยียบเลย ข้าโดนมาโชกแล้ว แต่ข้าไม่สนใจ ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น เรื่องของบุญใครทำใครได้ ทำให้กันไม่ได้ เหมือนกับใครหิวข้าวก็ต้องกินเอง ใครกินใครอิ่ม บางคนต้องจ้างให้มาวัด แต่ก็มาไม่ถึงวัด เพราะแวะกินเหล้าข้างทาง บางทีให้ปฏิบัติแต่จะหวังรางวัลที่หนึ่ง หรือถูกหวย นั่นเละแล้ว ไม่ได้เรื่องแล้ว"

    หลวงปู่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ใช่ปฏิบัติเพียงหลอกๆ จึงจะเจอของจริงได้ เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นความสำคัญของการปฏิบัติเหมือนกับการกินข้าว เหมือนกับลมหายใจ แสดงว่าเรามีที่พึ่งสำหรับตนเองแน่นอน
     
  8. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    [​IMG] สาธุ ขอรับ
     
  9. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    พระดีที่น่าเคารพ

    ๘. พ ระ ดี ที่ น่า เ คา ร พ

    ปกติเวลาเราไปไหว้พระสุปฏิปันโนหรือพระที่ทรงคุณธรรม บางครั้งมักจะมีการขอให้ท่านช่วยอธิษฐานจิตวัตถุมงคลที่นำไป ผู้เขียนและคณะบางครั้ง เวลาที่ท่านมีสุขภาพดี อารมณ์แจ่มใส จึงขอให้ท่านทำให้ มีครั้งหนึ่ง ผู้คนไปกันมาก ของที่จะให้ท่านอธิษฐานมีหลายอย่างรวมกันไป เมื่อท่านอธิษฐานเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่พูดขึ้นว่า "เจอดีหลายๆ องค์ พระนะ แต่องค์นี้เป็นพระดีมาก" ท่านชี้ไปที่ล็อกเกตพระสงฆ์องค์หนึ่ง เมื่อผู้เขียนหยิบมาดู จึงกราบเรียนท่านว่า "ก็เป็นล็อกเกตรูปหลวงปู่ไงละครับ ที่ทางวัดเขาทำให้บูชา" หลวงปู่ท่านจึงรีบตอบว่า "เอ้า ข้าไม่รู้ ทำไว้ซะเล็ก เลยมองไม่เห็นว่าเป็นองค์ไหน" มีลูกศิษย์อีกคนจึงถามท่านว่า "ทำไมหลวงปู่จึงรู้ละครับ" ท่านจึงตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่ว่ามีความรู้สึกพิเศษ แกถามอาจารย์เขาดูดีกว่า" หลวงปู่ท่านเลี่ยงมาให้ผู้เขียนตอบแทน แต่ผู้เขียนได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร จนเมื่อลาหลวงปู่กลับจึงตอบให้ฟังว่า "หลวงปู่ท่านคงมีเมตตาที่เห็นพวกเราทุกคนเคารพท่านแล้วไม่สงสัยท่านจึงบอกอย่างนี้ก็ได้ อีกอย่างหนึ่งคงมีแสงสว่างจากพลังจิตใจในคุณพระที่ท่านอธิษฐานไว้ ไปปรากฎที่หลวงปู่ก็ได้ อะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ

    เรื่องของพระดีที่มีคุณธรรมนี้ หลวงปู่ท่านเคยบอกผู้เขียนว่า
    "เวลาที่ไปไหว้พระองค์ไหนก็ตาม ถ้าผู้ที่ทำเห็นแล้วจะรู้ได้ เพราะท่านจะมีที่อยู่ของท่านเฉพาะ ถ้าองค์ไหนเราเห็นท่านอยู่ในที่ของท่านแล้ว องค์นั้นแหละพระดี ข้อสำคัญต้องทำให้เห็น หรือเวลาแกไปเจอภาพพระองค์ไหนก็ตาม เอามือแตะภาพท่านทำใจเฉยๆ ถ้าขึ้น (ปีติ) มาถึงหัวแสดงว่าพระองค์นั้นดี"

    ผู้เขียนเคยนำรูปของสมเด็จพระสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศ ไปให้ท่านอธิษฐานจิต พอหลวงปู่ท่านแตะรูปท่านบอกว่า "องค์นี้เป็นพระดี มีบารมีสูงมาก พอกับหลวงพ่อโต วัดระฆัง จะมากกว่าเสียด้วย ถ้าแกไม่เชื่อลองจับดูก็ได้"

    ผู้เขียนรีบตอบท่านว่าไม่ละครับ เพราะผู้เขียนรู้ตัวเองดีว่า คุณธรรมของเรายังน้อยนิด บารมีของเรายังไม่เท่ากับหนึ่งในล้านส่วนของเศษละอองธุลีพระบาทของพระโสดาบันเลย แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนรู้สึกซาบซึ้งในองค์หลวงปู่มาก ที่ท่านมีเมตตาสั่งสอนเพื่อให้ความรู้และความกระจ่างกับลูกศิษย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2007
  10. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    พระหรือพะ

    ๙. พ ระ ห รื อ พะ

    พระภิกษุที่บวชในพระพุทธศาสนา บางรูปบางองค์มีปฏิปทาดี บางองค์ก็ไม่สนใจในพระธรรมวินัย ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา อันที่จริงศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่ผู้อยู่ในศาสนาเสื่อม พระพุทธเจ้าจึงกำหนดอายุของศาสนา ทรงตรัสว่า

    "บุคคลภายนอกศาสนาไม่สามารถทำลายศาสนาตถาคตได้ แต่ผู้ที่ทำลายได้ คือ พุทธบริษัททั้ง ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา"

    เกี่ยวกับเรื่องนี้หลวงปู่เคยกล่าวไว้ว่า

    "พระ คือคนที่บวชแล้วได้ดี ถ้าอีกจำพวกก็คือ พะ บวชเพื่อหากินกับศาสนา เหมือนกับสวะหรืออะไรก็ได้ที่ไปพะกับของสิ่งนั้น แต่ถ้าไปเจออีกพวกคือ แพะ พวกนี้ร้าย จ้องแต่จะชนกับพระ กับฆราวาส นี่แหละคือพระสามประเภท"

    ทั้งนี้ ทำให้ผู้เขียน นึกถึงพระดำรัสของพระพุทธเจ้าที่สอนสิ่งที่ภิกษุหรือสมมติสงฆ์ควรศึกษามี ๓ อย่างคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อจะได้เป็นพระ หรือผู้ประเสริฐเช่นเดียวกับคำพูดของหลวงพ่อ
     
  11. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ตายแล้วไม่เน่า

    ๑๐. ตา ย แ ล้ ว ไ ม่ เ น่า

    ผู้เขียนเคยไปที่วัดป่าเลไลย จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อไปนมัสการศพของหลวงพ่อถิร ปรากฎว่าร่างกายไม่เน่าเปื่อย มีเล็บและเกศางอกออกมา เป็นที่อัศจรรย์ใจและเกิดความสงสัย เมื่อมีโอกาสได้กราบเรียนหลวงปู่ท่านอธิบายว่า

    "ผู้ที่ตายแล้วไม่เน่ามี ๓ ประเภท"
    ๑.ผู้ที่กินว่าน
    ๒.ผู้ที่มีคาถาอาคมเสกข้าวกินประจำ
    ๓.พระอรหันต์อธิษฐานทิ้งร่างไว้ให้คนสักการะกราบไหว้ ตัวอย่างเช่น หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน จังหวัดสุพรรณบุรี

    ผู้เขียนเกิดความไม่แน่ใจ เพราะเราไม่สามารถตัดสินได้ว่าองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่บอกว่า "เราต้องดูปฏิปทาหรือราศี พวกที่กินว่านหรือมีคาถานั้นจะไม่มีราศี ผิวพรรณไม่สดใส" ผู้เขียนจึงได้ปรารภกับหลวงปู่ โดยกล่าวอ้างถึงในสมัยก่อนหลวงปู่มีผิวพรรณที่ค่อนข้างดำ แต่ในปัจจุบันหลวงปู่มีราศีสดใสสวยงาม แม้แต่หลวงปู่บุดดา เมื่อก่อนเขาว่าท่านผิวดำเหมือนกัน หลวงปู่ตอบว่า "ไม่ต้องสงสัย กระดูกท่านยังฟอกเป็นพระธาตุได้ ผิวพรรณทำไมจะฟอกไม่ได้"

    เคยมีผู้มีบุญท่านหนึ่งมากราบนมัสการหลวงปู่ เมื่อท่านผู้นั้นกลับไปแล้ว
    หลวงปู่ได้ถามว่า "แกว่าข้ากับเขาราศีใครดีกว่ากัน"
    ผู้เขียนรีบเรียนว่า "ว่ากันตามตรงหลวงปู่ราศีดีกว่าครับ"
    หลวงปู่ยิ้ม ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า "นั่นคือราศีทางโลก สู้ราศีทางธรรมไม่ได้"
     
  12. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    รับให้ถูกต้อง

    ๑๑. รั บ ใ ห้ ถู ก ต้ อ ง

    วัตถุมงคลของหลวงปู่มีให้บูชาที่วัด ผู้เขียนเคยมีคำถามเรื่องนี้กับหลวงปู่ "หลวงปู่ครับ ถ้าสมมุติว่าผมมีพระแพงๆ เช่น พระรอด แล้วผมจะนำไปให้เขาบูชา แต่เงินที่ได้ผมจะนำมาทำบุญจะบาปไหมครับ" หลวงปู่ท่านตอบว่า "ถ้าบาปข้าต้องบาปแน่ เพราะข้าขายพระเต็มศาลา" ผู้เขียนแย้งว่า "แต่หลวงปู่ไม่ได้ใช้เงินเอง" หลวงปู่ท่านจึงสรุปว่า "อย่างไรข้าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ขาย แต่จุดประสงค์ข้าทำเพื่อวัดวา ไม่ใช่ทำเพื่อข้า"

    ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่ที่เจตนา ซึ่งหลวงปู่ท่านเน้นว่า เจตนา คือ ตัวบุญ

    เมื่อก่อนที่หลวงปู่ยังแข็งแรง ผู้ที่บูชาพระแล้วก็มักจะนำมาให้หลวงปู่ประสิทธิ จนกระทั่งเมื่อท่านป่วยไม่ค่อยแข็งแรง ผู้บูชามักเกรงใจ ไม่ให้ท่านเป็นผู้ประสิทธิ แม้กระนั้น หลวงปู่ยังอดไม่ได้ด้วยความเมตตา เพราะท่านบอกว่าเพื่อกำลังใจและความศรัทธา เนื่องจากทุกคนต้องสละทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ท่านประสิทธิให้กับผู้บูชารายหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน เมื่อเสร็จแล้วท่านพูดว่า "แกรับพระยังไม่ถูก" ผู้รับเกิดความสงสัย หลวงปู่ท่านจึงอธิบายต่อ "ทำจิตให้น้อมรับสิ่งที่ดีที่ให้ โดยเรียกพระเข้าตัว เวลาที่รับแกไม่ได้ทำจิตแบบนี้ แกมุ่งจิตออกมาให้ข้า แทนที่จะได้เลยไม่ได้" เคยมีลูกศิษย์หลวงปู่ที่เป็นพระ เมื่อเวลาที่ท่านประสิทธิให้ ต้องการลองกำลังของหลวงปู่ จนหลวงปู่ต้องพูดขึ้นว่า "ลองพอหรือยัง" ลูกศิษย์ผู้นั้นจึงได้คิดว่าหลวงปู่สามารถรู้ได้ บางครั้งเมื่อรับพระแล้วหลวงปู่ท่านจะกล่าวชมสำหรับคนที่รับถูกต้องว่า "เจอดีแล้วทำได้แบบนี้แกขนลุกใช่ไหม" ผู้รับจึงถามว่า "หลวงปู่รู้ได้อย่างไรครับ" หลวงปู่ท่านตอบว่า "แกขนลุก แต่อาการของแกมาเกิดที่ข้า ข้าจึงรู้" สำหรับเรื่องการรู้นี้ หลวงปู่ท่านรู้เป็นเรื่องปกติวิสัย ผู้เขียนเองหรือหลายคนก็เคยประสบกับเรื่องเหล่านี้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น
     
  13. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ไม่เคยโกหกใคร

    ๑๒. ไ ม่ เ ค ย โ ก ห ก ใ ค ร

    หลังจากที่ผู้เขียนสอบสัมภาษณ์ปริญญาโทเรียบร้อยแล้ว ได้กลับมานมัสการหลวงปู่พร้อมกับรายงานผลเนื่องจากก่อนจะไปสอบ ผู้เขียนได้ขอบารมีหลวงปู่ให้ช่วยเหลือ ท่านพยักหน้ารับ ซึ่งในวันนั้นหลวงปู่มีอารมณ์แจ่มใสมาก ท่านพูดว่า "ข้าอธิษฐานบารมีพระ แผ่บุญกุศลไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาของแกนั่นแหละ เอาบุญให้เขา เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา สามคนข้ารู้ชื่อ แต่อีกคนไม่รู้ เลยขอให้สามคนถาม อีกคนคอยนั่งฟัง" ซึ่งก็เป็นจริงดังที่หลวงปู่พูดไว้

    ผู้เขียนได้สนทนากับท่านจนถึงเรื่อง คาถามหาจักรพรรดิ

    ผู้เขียน "หลวงปู่เป็นผู้แต่งคาถาบูชาพระ (คาถามหาจักรพรรดิ) ใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ "สำเภาเขาสร้างพระพุทธรูป อยากได้คาถาบูชาพระก็เลยมานึกเอาเอง มันจะผิดอยู่หน่อยตรงคำบูชาที่มี นะโมพุทธายะ แล้วก็ ยะธาพุทโมนะ หรือแกว่าไง"

    ผู้เขียน "ปกติการตั้งองค์พระ (การอธิษฐานให้เป็นพระ) โบราณเขาใช้กันว่า นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ ดังนั้นการที่หลวงปู่กล่าวเช่นนี้ ต้องการให้บูชาคาถาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่พยักหน้ารับพร้อมทั้งกล่าวว่า
    "คาถาบทนี้เป็นของดี หมั่นท่องไว้ทุกวัน ปกติเขาไม่ให้กันหรอก เพราะเขากลัวลูกศิษย์จะดีกว่าอาจารย์ แต่ข้าไม่เคยกลัวและไม่ปิดบัง ท่องให้ดีนะอีกหน่อยจะรวย เพราะมีการกล่าวถึงพระสีวลี ผู้เลิศทางลาภไว้ด้วย อาบน้ำอาบท่า อาบไปเสกไปก็ได้ กินข้าวก็ได้ ดีทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามาบอกพวกแก ข้าทดลองมาแล้วทั้งนั้น เมื่อดีแล้วจึงมาบอก ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาและการหมั่นฝึกฝนปฏิบัติ คนเราอยู่ดีๆ จะให้รวยได้อย่างไร ต้องปฏิบัติให้ดีเสียก่อน ดูอย่างข้าเมื่อก่อนต้องไปยืมเงินเขามาซื้อธูปเทียนใบชามาเลี้ยงแขก เดี๋ยวนี้ของกินของใช้มีให้เกลื่อนกลาดไป เรามาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น แกว่าจริงไหม ของดีของอร่อยกินก็ไม่ได้ ฟันไม่มี"

    หลวงปู่หัวเราะแล้วเสริมอีกว่า

    "คนเราต้องทำให้ดี เมื่อดีแล้วจึงรวย แล้วจะได้ไม่ซวย พระจะดีต้องหมดอยาก ถ้ายังอยากอยู่ก็ไม่ใช่พระดี"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2007
  14. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ถวายกระทง

    ๑๓. ถ วา ย ก ระ ท ง

    ปกติ คืนวันเพ็ญเดือนสิบสองจะมีการลอยกระทงตามแม่น้ำต่างๆ แต่ในคณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่นั้น จะนำกระทงมาถวายท่าน ซึ่งเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ผู้เขียนและหมู่คณะได้มีโอกาสนำกระทงไปถวายกับท่าน ซึ่งในคณะนี้ส่วนใหญ่เป็นนักปฏิบัติ เคยมีผู้สงสัยกราบเรียนหลวงปู่ว่า
    "เห็นมีผู้นำกระทงมาถวายกับหลวงปู่มากมาย ทำไมหลวงปู่ไม่ลอยในน้ำหรือ"
    หลวงปู่ตอบว่า "ลอยด้วยน้ำจิตน้ำใจของเราไงละ"

    หลวงปู่จะให้สมาทานศีลก่อนแล้วถวาย เมื่อกล่าวคำถวายเสร็จแล้ว พวกเราจะประเคนแก่ท่าน หลังจากนั้น ท่านจะให้พวกเราทุกคนภาวนาไตรสรณคมน์สักครู่ แล้วท่านจะนำจิตนำกระทงไปถวายพระพุทธเจ้าที่วิมานแก้ว เมื่อพระพุทธเจ้ารับแล้ว หลวงปู่จึงให้พร ผู้ที่มีจิตใจเป็นทิพย์หลายๆ คนจะสามารถเห็นได้ว่า ได้ไปจริงๆ บุญที่ได้ จึงมีทั้งบุญภายนอกคือ อามิสบูชา และบุญภายในคือ ปฏิบัติบูชา

    ตามประเพณีเดิมของการลอยกระทง มีทั้งคติทางพราหมณ์และพุทธ ทางพราหมณ์ถือว่าเป็นการขอขมาพระแม่คงคา ส่วนทางพุทธมีหลายเจตนาเช่น การบูชาพระจุฬามณี การบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์แสดงไว้แก่พญานาคที่แม่น้ำ ส่วนเค้ามูลดั้งเดิม มีมาจากการที่มานพทั้ง ๕ ซึ่งเกิดจากไข่กา เมื่อรังถูกพายุพัดไข่กระจัดกระจายไป ได้มีการนำไปเลี้ยงโดย ไก่ นาค เต่า วัว และราชสีห์ เมื่อมานพทั้ง ๕ บำเพ็ญเพียรแล้วได้มาพบกันจึงรู้ความจริงว่า แม่ของตนเองซึ่งเสียใจเมื่อมาไม่พบลูกทั้ง ๕ นั้น ขณะนี้ไปอยู่พรหมโลกชื่อว่า พกา มานพทั้ง ๕ จึงคิดเป็นรอยตีนกาเพื่อบูชาท้าวพกาพรหมซึ่งเป็นแม่ และมานพทั้ง ๕ คือ พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ต่อมาคือ นะ โม พุท ธา ยะ นั่นเอง ดังนั้น ท้าวพกาพรหมจึงถือว่าเป็นโยมของพระพุทธเจ้าก็ได้ หลวงปู่จึงสร้างพระปางโปรดท้าวพกาพรหมไว้ให้พวกเราทั้งหลายบูชา หลวงปู่ยังได้บอกอีกว่า

    "พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ขึ้นไปโปรดท้าวพกาพรหมจนละทิฏฐิได้เป็นพระโสดาบัน แต่ขณะนี้เป็นพระอนาคามีแล้ว จะเข้าถึงนิพพานในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2007
  15. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    อย่าท้อถอย

    ๑๔. อ ย่า ท้ อ ถ อ ย

    ญาติโยมผู้หนึ่งเกิดความลังเลสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมที่ควรจะได้ผลมาก เพราะเธอมีความขยันหมั่นเพียร จึงมานมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า

    "หลวงปู่คะ การที่ลูกนั่งไม่ดีนี่แสดงว่าชาติก่อนทำมาไม่ได้ใช่ไหมคะ"

    หลวงปู่ตอบว่า "แกรู้เหรอเรื่องแต่ก่อน ไม่ต้องไปสนใจ เพราะเรารู้ไม่ได้ เอาชาตินี้ให้มันดี ไม่ต้องคิดถึงชาติก่อน อย่าท้อถอย ทำไปเดี๋ยวก็ดีเอง"

    หลวงปู่ตอบตรงตามพุทธพจน์ที่ว่า อย่าสนใจอดีตเพราะเป็นสิ่งที่ล่วงมาแล้ว ให้สนใจในปัจจุบัน

    หลวงปู่แหวนเคยตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
    "อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา เฮาบ่มีอดีต เฮาบ่มีอนาคต เฮามีแต่ปัจจุบันเท่านั้น"

    คำพูดของท่านสมกับเป็นพระอริยสงฆ์ที่เราเคารพกราบไหว้ เพราะเป็นสัจจธรรมที่เป็นความจริงเสมอมา
     
  16. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    อยากจะไปนิพพาน

    ๑๕. อ ยา ก จะ ไ ป นิ พ พา น

    ผู้ที่มากราบนมัสการหลวงปู่หลายๆ คน มาถึงก็แจ้งความประสงค์กับหลวงปู่ ปรารถนาไม่เกิด อยากไปนิพพานในชาตินี้ จะได้พ้นทุกข์ บางคนก็ตั้งเจตนาจริง บางคนก็พูดไปอย่างนั้น หลวงปู่เคยให้ข้อคิดสำหรับคนที่ไม่ตั้งใจจริงเหมือนคำพูดที่ปรารถนา ว่า

    "อยากจะไปนิพพาน แต่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ จะไปได้อย่างไร"

    "วันนี้มีผู้หญิงอยู่คนมากราบข้า บอกว่าจะไปนิพพาน ข้าไม่พูดแต่มองดู ปากยังทาแดงแจ๋ เล็บตีนเล็บมือยังแดงแจ๋ หัวตะพานจะไปถึงหรือเปล่า"

    ดังนั้น หลวงปู่จึงสอนพวกเราทั้งหลาย เมื่อตั้งใจสิ่งใดแล้ว ต้องทำหรือปฏิบัติจึงจะสมปรารถนา หลวงปู่ทวดกล่าวว่า "การปฏิบัติจะตัดภพชาติให้สั้นลงทีละครึ่ง เช่น ถ้าเราจะเกิดอีก ๑๐๐ ชาติ ก็เหลือ ๕๐ ถ้าจะเกิด ๒๐ ชาติ ก็เหลือ ๑๐"

    ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน ท่านเคยเปรียบเทียบดังนี้ "ทำทานเหมือนการไปด้วยถ่อ รักษาศีลไปด้วยรถยนต์ ภาวนาก็ขี่เรือบินไป อาจถึงนิพพานได้ในชาตินี้"

    คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า "ใกล้ก็ไม่ใกล้ ไกลก็ไม่ไกล มองเห็นไวไว เป็นทิวลิบลิบ" ซึ่งเทียบได้กับพระนิพพานคือปลายจมูกนี่เอง หลวงปู่กล่าวว่า "จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็ไม่เชิง ผู้ปฏิบัติพึงรู้เองเห็นเอง เพราะเป็นปัจจัตตัง"
     
  17. จิตงาม

    จิตงาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +1,787
    โมทนาสาธุค่ะ

    ธรรมะของหลวงปู่ฟังง่าย เข้าใจง่าย แต่ด้วยกิเลสมนุษย์ ปฏิบัติยากจริง ๆ อ่านแล้วก็คิดถึงหลวงปู่ เหมือนไปนั่งตรงหน้าฟังหลวงปู่พูดเลย

    เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ได้รู้จักหลวงปู่ตั้งแต่ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ เราจะเป็นพวกใกล้เกลือกินด่างหรือไม่ จะหาโอกาสไปกราบท่านซักครั้งได้หรือไม่

    นะโม โพธิสัตโต พรหมมะปัญโญ
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่ด้วยความเคารพ
     
  18. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    สุดยอดครับ มาลงต่อเร็วๆนะค้าบ
     
  19. kim_osk119

    kim_osk119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,598
    รอคุณ leo_tn มาลงต่อครับ

    มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นเลย
     
  20. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ผู้หญิงไปได้หรือไม่

    ๑๖.ผู้ ห ญิ ง ไ ป ไ ด้ ห รื อ ไ ม่

    มีนักปฏิบัติท่านหนึ่งนำข้อข้องใจมากราบเรียนหลวงปู่ดังนี้

    นักปฏิบัติ "ลูกปฏิบัติไปถึงวิมานแก้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ชาตินี้ลูกไปนิพพานได้ไหมเจ้าคะ"

    หลวงปู่ยิ้ม "หลับตาไปได้ แล้วลืมตาไปได้หรือเปล่า"

    นักปฏิบัติ "ยังเจ้าค่ะ"

    หลวงปู่ "ต้องทำให้ได้ทั้งหลับตาและลืมตา หลับก็เห็นพระ ลืมก็เห็นพระ อย่างนี้ไปได้แน่นอน"

    หลวงปู่ท่านบอกผู้เขียนว่า "ทุกอิริยาบท ถ้าเราเห็นพระได้ จิตของเราจะไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เคลื่อนจากความดี พระมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งไหว้ตรงไหนก็เจอ" ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของ หลวงปู่อินทร์ จันทูปโม ที่ว่า "ที่กล่าวว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เป็นสิ่งจริงแท้ เพราะพออาตมาได้ธรรม มองไปทางไหนก็เจอแต่พระ บนอากาศก็มี บนบกก็มีไหว้ได้ทั้งนั้น เกิดความซาบซึ้งในธรรมจนน้ำตาไหล ถ้าใครไม่รู้มาเห็นเข้าคงนึกว่า อาตมาบ้าแน่นอน"
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...