ไขปริศนา ใครรจนา "คาถาชินบัญชร"

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 10 สิงหาคม 2013.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    ไขปริศนา ใครรจนา "คาถาชินบัญชร"
    โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ คอลัมน์ ปริศนาโบราณคดี
    ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1639 หน้า 76
    [​IMG]

    ถกเถียงกันมานานนับทศวรรษ เกี่ยวกับปริศนาที่ว่า ใครกันแน่เป็นผู้แต่งคาถาชินบัญชร ระหว่าง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรํสีแห่งวัดระฆังโฆษิตาราม กับพระมหาเถระผู้เชี่ยวชาญบาลีปกรณ์รูปหนึ่งจากเชียงใหม่ กรณีของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้น ภายหลังเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วว่า ท่านเป็นเพียงผู้นำคาถาชินบัญชรมาเผยแพร่ให้ผู้คนรู้จักเท่านั้น ทว่า มิได้เป็นผู้เริ่มต้นรจนา ดังที่บันทึกไว้ว่า ท่านได้ไปสวดคาถานี้ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีรับสั่งว่าถ้อยคำไพเราะดี ทรงซักถามว่า "ขรัวโตได้มาจากไหน แต่งเองหรือเปล่า" ท่านถวายพระพรตอบว่า "หามิได้ เป็นสำนวนเก่าของเมืองเหนือ นำมาแก้ไขดัดแปลงใหม่ ตัดตอนให้สั้นเข้า ของลังกายาวกว่านี้"

    ถ้าอย่างนั้น คำตอบก็น่าจะเบนเข็มไปที่ พระภิกษุชาวล้านนารูปหนึ่ง ในยุคทองสมัยพระเจ้าติโลกราชหรือเช่นไร เนื่องจากเป็นยุคสมัยที่มีการ สนับสนุนให้พระเถระหลายร้อยรูปเดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎกที่ลังกา ครั้นกลับมาแล้วต่างแข่งขันกันรจนาบาลีปกรณ์อย่างเอิกเกริก จนกิตติศัพท์ขจรขจายไกลไปถึงพม่า กรุงศรีอยุธยา สิบสองปันนา และล้านช้าง ทำให้เมืองเหล่านั้นต้องขอคัมภีร์ภาษาบาลีที่จารโดยพระภิกษุล้านนาไปศึกษา ผู้รู้บางคนกล้าฟันธงว่า สำนวนร้อยกรองสุดยอดเช่นนี้ จะเป็นพระภิกษุรูปอื่นใดไปไม่ได้นอกเสียจาก "พระสิริมังคลาจารย์" ปราชญ์เอกแห่งล้านนา ผู้ฝากผลงานคลาสสิคไว้แก่แผ่นดินถึง 4 เรื่อง ได้แก่ มังคลัตถทีปนี เวสสันตรทีปนี จักกวาฬทีปนี และสังขยาปกาสกฎีกา

    พระสิริมังคลาจารย์ เป็นผู้รจนาคาถาชินบัญชรจริงล่ะหรือ? หากเป็นผลงานของท่านแล้วไซร้ ไฉนเลยจึงไม่ใส่ชื่อไว้ให้เป็นอมตะเหมือนดั่งผลงานชิ้นเอกอุอื่นๆเล่า พระสิริมังคลาจารย์ แห่งเชียงใหม่ หรือ พระชัยมังคละ แห่งลำพูน ? โปรดสังเกตชื่อของพระภิกษุทั้งสองรูปนี้ให้ดี ว่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกันทีเดียว กล่าวคือ มีคำว่า "มังคลา-มังคละ" เหมือนๆ กัน ด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ชาวล้านนารุ่นหลังเกิดความสับสนจดจำชื่อของผู้รจนาคาถาชินบัญชรผิด จาก "พระชัยมังคละ" กลายมาเป็นการยกผลประโยชน์ให้ "พระสิริมังคลาจารย์" ยิ่งรูปหลังนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับสากลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเบียดบังชื่อของพระชัยมังคละให้ลบเลือนหาย

    พระชัยมังคละ คือใคร เป็นผู้รจนาพระคาถาชินบัญชรจริงหรือ ทำไมคนทั่วไปไม่รู้จัก?
    พระชัยมังคละเป็นพระมหาเถระชาวเมืองหริภุญไชย ในปี พ.ศ.1981 ท่านได้จารคัมภีร์ใบลานด้วยอักษรธรรมล้านนา (ตั๋วเมือง) ไว้ฉบับหนึ่ง ถือว่าเป็นหลักฐานชั้นต้นที่สำคัญอย่างยิ่งยวด สามารถใช้เป็นเครื่องยุติปริศนาข้อที่ว่า ใครรจนาพระคาถาชินบัญชรได้ชะงัดนัก
    คัมภีร์ดังกล่าวปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของ "อาจารย์ศรีเลา เกษพรหม" ข้าราชการบำนาญ อดีตนักจารึกวิทยา-นักภาษาโบราณแห่งสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื้อหาในคัมภีร์กล่าวถึง การเดินทางไปกราบนมัสการพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุที่เมืองลังกา ณ ที่นั้น พระชัยมังคละได้พบกับครูบานักปราชญ์ชาวลังการูปหนึ่ง ซึ่งได้มอบ "คาถาชัยบัญชร" (คนไทยเรียกชินบัญชร) จำนวน 14 บท พร้อมด้วยประวัติความเป็นมาของการแต่งอีกด้วย เมื่อพระชัยมังคละเดินทางกลับมาลำพูน ได้สวดถวายแด่พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ล้านนา ในคราวเสด็จมานมัสการพระธาตุหริภุญไชย
    จากนั้นพระเจ้าติโลกราชโปรดให้นำมาเป็นคาถาสวดประจำราชสำนัก เพื่อปัดเป่าเวทมนตร์คุณไสยเสนียดจัญไรในเชียงใหม่ พร้อมให้คัดลอกเผยแผ่กระจายไปสู่วัดต่างๆ ทั่วภาคเหนือจนถึงราชสำนักอยุธยา ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ แม้แต่ในยุคที่บุเรงนองตีล้านนาแตก แล้วให้โอรสผู้มีนามว่า นรธามังช่อ (อโนรธา) ปกครองเชียงใหม่นั้น ทั้งบุเรงนองและอโนรธา ต่างก็นำคาถาชัยบัญชรจากราชสำนักล้านนา มาท่องเป็นคาถาสวดคู่กายในยามออกรบแทนคำสวดมนตรยานดั้งเดิมแบบพม่า


    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรํสีนำพระคาถาชินบัญชรมาจากไหน?
    เป็นที่แน่นอนแล้วว่า คาถาชินบัญชร มีต้นกำเนิดมาจากลังกา และได้เข้าสู่แผ่นดินสยามครั้งแรกที่เมืองลำพูน จากนั้นก็เผยแพร่ไปยังเมืองต่างๆ
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรํสี ชาตะในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อปี พ.ศ.2331 แสดงว่า คาถาชินบัญชร ที่สมเด็จโตวัดระฆัง สวดตลอดชีวิตนั้น มีมาก่อนแล้ว 350 ปี โดยเอาศักราช 1981 เป็นตัวตั้ง หรือหากนับจนถึงปัจจุบัน คาถาชินบัญชรก็มีอายุครบ 574 ปี คำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ ในเมื่อไม่ได้แต่งเอง แล้วท่านไปนำคาถานี้มาจากใคร ที่ไหน อย่างไร? เมื่อศึกษาปูมหลังของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แล้วพบว่าท่านบรรพชาเป็นสามเณรน้อยด้วยวัยเพียง 5 ขวบ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อนเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ในวัย 7 ขวบ สามเณรโตออกเดินธุดงค์ไปในเขตวัดร้างเมืองกำแพงเพชร อันเป็นถิ่นกำเนิดเมืองมารดาของท่านซึ่งเป็นชาวเหนือ มีชื่อว่า นางเกตุ หรือเกสรคำ ณ เจดีย์ร้างแห่งหนึ่งใกล้ถ้ำอิสีคูหาสวรรค์ ที่เมืองกำแพงเพชรนั้นเอง สามเณรโตได้พบซากคัมภีร์เก่าชำรุด ร้อยเรียงเรื่อง คาถาชัยบัญชร เขียนเป็นภาษาบาลี ด้วยตัวอักษรธรรมล้านนา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแรงบันดาลใจให้ท่านต้องหันมาศึกษาภาษาบาลี และอักขระล้านนาตั้งแต่ยังเป็นเณรน้อยอย่างแตกฉาน

    ด้วยเหตุที่คัมภีร์ฉบับนั้นไม่ระบุนามผู้รจนา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จึงมิอาจอ้างอิงชื่อผู้ประพันธ์ให้รัชกาลที่ 4 ทรงทราบได้ เมื่อกาลเวลาผ่านผัน คนทั่วไปไม่รู้ที่มาที่ไป ก็ยิ่งคิดกันเอาเองว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) คือผู้แต่งพระคาถาชินบัญชรนั้น ปฐมเหตุแห่งการแต่งคาถาชินบัญชรในลังกา
    เนื้อหาจากใบลานที่จารโดยพระชัยมังคละ ซึ่ง อาจารย์ศรีเลา เกษพรหม ได้ถอดความปริวรรตนั้น กล่าวถึงปฐมเหตุแห่งการแต่งคาถาชินบัญชรในประเทศลังกาไว้อย่างละเอียดว่า เริ่มจากการที่มีพระราชาของลังกาอยู่องค์หนึ่ง ได้ถูกโหรหลวงทำนายทายทักว่าดวงชะตาของพระโอรสเมื่อมีอายุครบ 7 ปี 7 เดือน ในวันใด ราชกุมารจักถึงฆาตด้วยถูกอัสนีบาต ในช่วงแรกๆ พระราชารู้สึกว่าเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระไม่ทรงเชื่อมากนัก แต่ครั้นเมื่อพระโอรสอายุย่างเข้าสู่ปีที่ 7 กำลังน่ารักน่าชัง พระราชาพลันเกิดความกังวลและเริ่มกลัวคำทำนาย เมื่อนำข้อปริวิตกไปปรึกษากับพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ ให้ช่วยกันหาทางหลีกเลี่ยงภยันตรายอันจะเกิดขึ้นแก่พระโอรสในอีกไม่ช้า พระมหาเถระลังกาจำนวน 14 รูปจึงได้ประชุมตกลงกันคิดหาหนทางอาราธนาพระพุทธคุณของพระอดีตพุทธ 28 พระองค์ พร้อมกับพระธรรมเจ้า 9 ประการ และบารมีธรรมของพระอรหันตสาวกที่เป็นเอตทัคคะในด้านต่างๆ ให้มาประมวลรวมกันทั้งหมด จนเกิดความขลังสร้างพลังในการปกป้องคุ้มภัยให้แก่ราชบุตร
    จากนั้นจึงวางแผนแบ่งหน้าที่ช่วยกันรจนาคาถารูปละ 1 บทรวมเป็น 14 บท เนื่องจากสถานที่รวมตัวกันประพันธ์บทคาถานั้น อยู่ในพระมหาปราสาทชั้นที่ 7 ของพระราชา ตั้งอยู่ใกล้กับ "ปล่องเบ็งชร" (คูหาที่เปิดเป็นช่องหน้าต่าง) คาถานั้นในลังกาจึงมีชื่อเรียกว่า "ชัยบัญชร" ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น "ชินบัญชร" โดยเชื่อกันว่าเป็นคำที่บัญญัติขึ้นใหม่โดยสมเด็จโตวัดระฆังฯ ในเมื่อคนทั่วไปไม่ทราบที่มาของชื่อนี้ จึงพยายามให้คำนิยามว่า "ชิน หรือ ชินะ" คือชัยชนะของพระชินเจ้า (เมื่อเปรียบเทียบกับคำเดิมคือ "ชัย" พบว่า "ชิน" มีความหมายลึกซึ้งกว่า) ส่วน "บัญชร" ถูกตีความเป็น ซี่กรงของหน้าต่าง อุปมาอุปไมยดั่งแผงเหล็กหรือเกราะเพชรอันแข็งแกร่งที่ช่วยปกป้องคุ้มกันภยันตรายจากศัตรูหมู่มารทั้งปวง ถือว่าการตีความของคนรุ่นหลังนี้ล้ำลึกไม่เบา ครั้นแต่งคาถาเสร็จแล้ว พระมหาเถระทั้ง 14 รูปได้มอบให้พระโอรสนำเอาไปท่องบ่นทุกวันจนจำให้ขึ้นใจ กระทั่งเมื่อถึงวันครบกำหนดคือพระโอรสมีอายุ 7 ปี 7 เดือน พอดิบพอดี ได้เกิดสายฟ้าฟาดผ่าลงมากลางกรุงลังกาอย่างรุนแรงจริงๆ แต่ไม่ตกต้ององค์พระโอรส กลับแฉลบไปผ่าลงเอาหินก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวัง เป็นที่ร่ำลือกันทั่วลังกา ว่าเพราะพระโอรสได้ท่องบ่นคาถา "ชัยบัญชร" อย่างอุกฤษฏ์ตลอดระยะเวลาหลายเดือนนั่นเอง จึงแคล้วคลาดจากเคราะห์กรรมไปได้ราวปาฏิหาริย์

    น่าเสียดายที่ไม่มีการระบุปีศักราชของเหตุการณ์ รวมทั้งพระนามของกษัตริย์และพระโอรสคู่นั้น เราจึงไม่อาจทราบได้ว่าจุดเริ่มต้นของคาถาชัยบัญชรในลังกานั้นมีขึ้นยุคใด สมัยราชวงศ์อนุราธปุระ หรือโปลนนารุวะ ก่อนหน้าการเดินทางไปศึกษาพระธรรมของพระชัยมังคละนานมาแล้วกี่ร้อยปี แต่ที่แน่ๆ คาถานี้เกิดขึ้นมาเพื่อหาทางแก้หนักให้เป็นเบา จากคำทำนายของโหรหลวงในราชสำนักลังกา มิได้เกิดจากพุทธวัจนะของพระพุทธเจ้า

    หันมามองดูศักราชใหม่ปี 2012 นี้บ้าง ...ปีที่โลกจะถึงจุดจบตามคำทำนายของปฏิทินชาวมายา ปีที่เด็กชายปลาบู่ร้องทักว่าเมืองไทยจะถึงกาลหายนะจนเหล่าสลิ่มขวัญอ่อนนอนไม่หลับ ต้องรวมตัวทำพิธีสวดมนต์ข้ามปีกัน ระเบ็งเซ็งแซ่อย่างสาหัสยิ่งกว่าปีใดๆ หวังแก้เคล็ดปัดเป่าเรื่องเลวร้ายอัปมงคล ตามที่หมอดูบอก ไม่ว่าเรื่องเขื่อนยักษ์จักถล่ม น้ำจะท่วมทะลักหนักกว่าปีกลาย กรุงเทพฯ จักจมหายคล้ายท้องทะเล การเมืองสยามจักยิ่งสั่นสยอง เกิดการนองเลือดตายเป็นเบือ

    มิน่าเล่า หันไปทิศทางไหน ก็ได้ยินแต่เสียงสวดคาถาชินบัญชรสลับกับบทสวดพาหุงฯ ดังก้องกระหึ่มสวดกันชนิดข้ามปีข้ามเดือนเช่นนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อปฐมฤกษ์เบิกฟ้าใหม่สู่ปีมะโรงแล้ว พลังการสวดนั้นจักทำให้คนไทยรู้สึกหายขวัญผวาจากเสียงจิ้งจกตุ๊กแกทักขึ้นบ้างแล้วหรือยัง

    คาถาไชยเบงชร (ไจยะเบงชร) คาถาชินบัญชรล้านนา


    ชะยาสะนา คะตา พุทธา เชตตะวามารัง สะวาหะนัง
    จะตุสัจจังมะตะ ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา
    ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
    สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก มุนิสสะรา
    สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
    สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร
    หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
    โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก
    ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล
    กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก
    ทันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
    นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว
    กุมาระกัสสะโป นามะ มะเหสี จิตตะวาทะโก
    โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร
    ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ อุปาลี นันทะสิมพะลี
    อิเม ปัญจะ มหาเถรา นะลาเฏ ตีละกา มะมะ
    เสสาสีติ มะหาเถรา ชิตะวันตา ชิโนระสา ชะลันตา สีละเต เชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
    ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะ กัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
    ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะสุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
    ชินนานัง พะละสังยุตเต ธัมมะปาการะลังกะเต วะสะโต เมสะกัจเจนะ สัมมาสัมพุทธะปัญชะเร
    วาตะปิตตา ทิสะชาตา พาหิรัชฌัตตุปัททะวา อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา
    ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮีตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เตมะหาปุริสาสะภา
    อิจเจวะเม กะโตรักโข สุรักโข พุทธานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโค สังฆานุภาเวนะ
    ชิตันตะราโย จะรามิ ธัมมานุภาวะปาลิโตติ
    (ชะยะปัญชะระปัณณะระสะคาถานิฏฐิตา)


    ที่มา : บทความดีๆ เพื่อชีวิตเสรี&เวทียุติธรรม: ไขปริศนา ใครรจนา "คาถาชินบัญชร" โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ
     
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    คุณพี่ joni_buddhist ช่วยแก้ไขข้อข้องใจให้ผมด้วยครับ

    เนื่องจากผมได้เข้าไปอ่านประวัติสมเด็จโตในเว็ปนี้ครับ

    สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

    เขามีการกล่าวอ้างว่า

    พระชาติที่ได้มาประสูติหลังจากทรงบำเพ็ญพระมหาบารมีมาครบ ๓๐ ทัศน์แล้ว ๙ พระชาติ และพระชาติสุดท้ายทรงพระนามว่า “โต” (สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) ดังนี้:-
    พระชาติที่ ๑ เป็นพระอชิตะ (ได้รับการทำนายจากพระพุทธองค์) ในประเทศอินเดีย
    พระชาติที่ ๒ เป็นพระย่ามใหญ่ (ย่ามผ้า) ในประเทศจีน
    พระชาติที่ ๓ เป็นพระมหากษัตริย์ ต้นราชวงศ์ถัง ในประเทศจีน
    พระชาติที่ ๔ เป็นพระถังซำจั๋ง (ผู้อาราธนาพระไตรปิฎก) ในประเทศจีน
    พระชาติที่ ๕ เป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (สร้างเมืองไทย) ในประเทศไทย
    พระชาติที่ ๖ เป็นสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(จัดระบบการปกครอง) ในประเทศไทย
    พระชาติที่ ๗ เป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชา (ทรงใช้ปัญญาบารมี) ในประเทศไทย
    พระชาติที่ ๘ เป็นสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (สร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศ)
    ในประเทศไทย
    พระชาติที่ ๙ เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี (เจริญพระพุทธศาสนา)
    ในประเทศไทย

    ถ้าเป็นตามที่เขากล่าวอ้างจริงๆ ว่า สมเด็จโตก็คือพระศรีอาริย์จริง แล้วหลวงปู่ทวดหายไปไหนอ่ะครับ เพราะตอนแรกอ่านแล้วน่าเชื่อถือ เพราะเขาได้แสดงหลักฐานต่างๆ พอเจอหัวข้อเกี่ยวกับอดีตชาติ ถึงกับไปต่อไม่เป็นเลยครับ

    คำถามที่จะถามคุณพี่ joni_buddhist ก็คือ
    1. สมเด็จโตคือพระศรีอาริย์หรือเปล่าครับ
    2. ถ้าสมเด็จโตไม่ใช่พระศรีอาริย์ แล้วท่านคือพระพุทธเจ้าพระองค์ใดในอนาคต
     
  3. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    สมเด็จโตท่านไม่ใช่พระศรีอาริย์เมตไตรแน่นอน พระศรีอารย์คือหลวงปู่ทวดแน่แท้ครับ เว็บนั้นในวงการพระเครื่องก็รู้ๆๆกันอยู่
     

แชร์หน้านี้

Loading...