ใต้ซากพินาศของเขาหลักที่เหลืออยู่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pongsiri, 11 เมษายน 2005.

  1. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +638
    เรื่อง : จักรพันธุ์ กังวาฬ

    [​IMG]
    รถติดเป็นขบวนยาวเหยียดเคลื่อนไปได้อย่างช้า ๆ บนถนนสายท้ายเหมือง-ตะกั่วป่า ช่วงใกล้จะถึงเขาหลัก ปริมาณรถมากผิดปรกตินั้น แออัดด้วยทั้งรถเก๋ง รถกระบะ รถของหน่วยกู้ภัยต่างๆ รถบรรทุกของบริจาค และรถบรรทุกทหาร ฝั่งตรงข้ามมีรถยกลากซากรถยนต์ที่พังยับเยินวิ่งสวนมาเป็นระยะ เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่บินผ่านท้องฟ้า เสียงใบพัดตัดอากาศดังหนักหน่วง กระแทกกระทั้นเป็นจังหวะ สองข้างทางทั้งตีนเขาฝั่งขวาและที่ราบด้านซ้าย มองเห็นซากรถยนต์บุบยุบจากแรงกระแทก กระจกแตกร้าว บ้างพลิกตะแคง บ้างหงายท้อง หรือปักหัวเข้ากับต้นมะพร้าวหรือสิ่งก่อสร้าง ไม่รู้ต่อกี่คัน

    ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๗ ในวันนี้ไม่มีใครสงสัยหรอกว่าเหตุโกลาหลเกิดจากอะไร เขาหลักคือพื้นที่ซึ่งถูกคลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่มเสียหายที่สุด และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดของประเทศไทย

    จากริมถนนที่เราจอดรถซึ่งเป็นลาดเนินสูงขึ้นจากริมหาด สามารถมองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างได้กว้างไกล ในเปลวแดดร้อนระอุยามบ่าย บัดนี้ชายหาดเขาหลักเป็นดั่งดินแดนแห่งความหายนะ ตลอดแนวหาดทรายกว้างขวางยาวเหยียด มีแต่ซากปรักหักพัง อาคารสูงซึ่งเคยเป็นโรงแรมหรูพังพินาศ ประตูหน้าต่างหลุดหาย ผนังแตกทะลุเป็นช่องโหว่ หลังคากระเบื้องเปิดเปิง ที่เป็นอาคารชั้นเดียวนั้นถูกคลื่นกวาดหายไปทั้งหลัง เหลือแต่พื้นและเสาระเกะระกะ ทั่วบริเวณมีแต่เศษอิฐ แผ่นผนังปูน เสาเป็นท่อน ทั้งวัสดุจำพวกแผ่นไม้ เหล็กเส้น ต้นไม้หักโค่น โต๊ะเก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์ยับเยิน และขยะต่างๆ สุมซ้อนเป็นกองเล็กกองใหญ่ กระจัดกระจายอยู่ทุกที่ทาง

    รถแบ็กโฮกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ หัวตักที่ปลายก้านเครนรถขุดคุ้ยลงไป แล้วตักเอาเศษซากต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อหาร่างผู้เสียชีวิตที่ติดค้างใต้ซากหักพัง คนกลุ่มใหญ่ยืนรุมล้อมอยู่บริเวณหนึ่ง สักพักเจ้าหน้าที่กู้ภัยสองคนหามคานไม้ไผ่ลำใหญ่ออกมา กลางไม้คานมีศพที่ถูกห่อพันด้วยผ้าขาวแขวนร่างอยู่

    สักครู่ใหญ่พวกเราค่อยลงจากเนินถนน เดินผ่านศพเพิ่งถูกพบที่เราเฝ้ามองเมื่อครู่ ซึ่งขณะนี้วางอยู่บนพื้นทรายท้ายรถกระบะของหน่วยกู้ภัย ตรงเข้าไปสู่พื้นที่พังพินาศ

    นอกจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายสังกัดที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ยังพบคนทุกเพศวัย เดินลัดเลาะตามซากปรักหักพังเป็นกลุ่มๆ บ้างชี้นิ้ว เมียงมองตามจุดต่างๆ พวกเขามาตามหาญาติมิตรหรือคนรักที่สาบสูญไปจนบัดนี้ ความหวังที่เหลืออยู่ขอเพียงพบร่างไร้ชีวิตติดอยู่ใต้ซากก็ยังดี

    แล้วเราก็ได้พบเขา- -เดชขจร ไทรทอง ชายวัย ๓๙ ร่างสันทัด ผิวคล้ำ หน้าเข้มแบบคนใต้ แต่แววตาหม่นเศร้า เขาเปรยกับคนที่เข้ามาคุยว่า

    "ตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมมาตามหาเมียที่นี่ทุกวัน ยังไม่พบสักที คงต้องกลับมาหาจนกว่าจะเจอ"

    ยามสายวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ธันวาคม ทะเลส่งคลื่นคลั่งกระแทกหาดเขาหลัก โรงแรมรีสอร์ตทุกแห่งที่เรียงรายพังยับเยิน รวมทั้ง "บ้านเขาหลักรีสอร์ต" ที่ภรรยาของเดชขจร ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ด้วย วันนั้นเขาอยู่บ้านที่นิคมท้ายเหมือง-ห่างจากเขาหลักราว ๑๐ กว่ากิโลเมตร หลังจากมีคนมาแจ้งข่าวร้ายตอนสิบเอ็ดโมงเช้า เขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กระทั่งบ่ายค่อยตั้งสติได้ ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาถึงที่นี่ ด้วยความเป็นห่วงคนรักที่อยู่กินกันมาถึง ๑๐ ปี

    "ตอนแรกผมไปตามหาที่โรงพยาบาลก่อน ใจหวังว่าแฟนยังรอดชีวิต ไปตามโรงพยาบาลแทบทุกแห่งของพังงา โรงพยาบาลท้ายเหมือง โรงพยาบาลตะกั่วป่า สถานีอนามัยต่างๆ ผมก็ไป โรงพยาบาลทุกแห่งมีแต่คนเจ็บ มีแต่กลิ่นคาวเลือด คนมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลก็เยอะ แต่ไม่พบแฟนผม"

    ภาพเหตุการณ์ในวันแรกที่เขาขี่รถมายังหาดเขาหลัก ยังติดตามาจนทุกวันนี้

    "ถ้าคุณมาเองนะ คุณจะเห็นทันทีเลยว่า ไม่น่าเชื่อ ผมขี่รถมานะ จากตีนเขาหลักทางโน้น สองข้างทางศพเกลื่อนหมดเลย บางศพถูกน้ำซัดข้ามถนน ไปค้างบนเชิงเขา แล้วแถวนี้นะ เจอแต่ศพนอนระเกะระกะ ช่วงนั้นศพยังไม่ขึ้นอืด แลรู้หมด เป็นไทย เป็นฝรั่ง เกลื่อนหมด ไม่ต้องแหลงเลย ศพทั้งเพ"

    เดชขจรเล่าว่า ช่วงวันแรกๆ พนักงานกู้ภัยเข้ามาเก็บศพที่มองเห็นได้ง่าย คือศพที่นอนระเกะระกะตามที่ต่าง ๆ กระทั่งช่วงหลังค่อยส่งรถแบ็กโฮเข้ามา เพื่อค้นหาร่างที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ซากหักพัง ส่วนตัวเขากลับมาที่นี่ทุกวัน วันแล้ว...วันเล่า

    "ผมเกณฑ์ชาวบ้านที่บ้านผมมาเป็นสิบๆ คน สองคันรถกระบะ มาช่วยกันหา วันอังคารศพเริ่มเน่าแล้วใช่ไหม เดินไปตรงไหนได้กลิ่นศพผมเรียกพวกมาช่วยรื้อ ถ้าไม่ไหวผมเรียกรถแบ็กโฮมาขุด จนถึงวันนี้ผมเจอเองร่วมร้อยศพได้แล้วมั้ง แต่ไม่เจอเมียตัวเอง ไปเจอศพผู้หญิงอยู่สองศพมองดูคล้าย ๆ...แต่แล้วก็ไม่ใช่ ได้แต่เรียกพวกปอเต็กตึ๊งมาเก็บไป"

    ระหว่างเดชขจรค้นหาร่างคนรักอยู่นั้น เขาเล่าว่าเห็นเจ้าหน้าที่กู้เก็บศพขึ้นมาจำนวนมาก เรียกว่าเจอศพแทบทุกชั่วโมง ก่ายกองเต็มรถบรรทุกหกล้อและรถกระบะ ก่อนนำไปเก็บไว้ที่วัด นอกจากนั้นยังพบทรัพย์สินเงินทองเกลื่อนไปหมด

    "ทรัพย์สินไม่ใช่น้อยๆ พวกกระเป๋าสตางค์ กระเป๋ารัดเอวนะ เกลื่อนเลย เป็นเงินยูโร เงินดอลลาร์ ถ้าไปแลกคงได้เป็นแสน ๆ เงินสด ๆ ที่ผมเจอ ผมไม่เอาเลย ให้เขาไปหมด เรียกพวกกู้ภัยมาเอาไป อย่างน้อยเขาก็ทำงานกันเหนื่อย ผมขอให้ได้พบแฟนผมก็พอ"

    ห้าวันแล้วนับจากคลื่นยักษ์ถล่มเขาหลัก ในวันนี้เราเห็นภาพเดชขจรเดินวนเวียนบนซากหักพังอย่างเดียวดาย

    "ผมมาเดินหาทุกวัน วันหนึ่งไม่รู้กี่รอบ ตระเวนไปทั่วหมด วันนี้ผมยังไม่ได้นั่ง เดินจนไม่รู้จะเดินไปไหนแล้ว หาแล้วหาเล่า หาอยู่นั่นละ"

    เงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วเขาก็พูดขึ้น "แฟนผมถ้าเจอมีชีวิตอยู่ ผมดีใจจัง ไม่แน่นะ ถ้าไม่เจอ ต้องมีความหวังบ้าง ถ้าเจอแล้วเป็นศพ ก็รู้ว่าตายแล้ว แต่ถ้าไม่เจอ ความหวังยังมี ตอนนี้ยังก้ำกึ่ง"

    ระหว่างคุยกันนี้ เรายืนอยู่บนพื้นปูนโล่ง แต่ตอเสาตรงมุมและซากเชิงผนังที่พื้น บอกให้รู้ว่าบริเวณนี้เคยเป็นอาคารหลังหนึ่ง

    "แฟนผมทำงานอยู่ที่นี่" เดชขจรชี้ "มีคนทำงานด้วยกันที่รอดตายมาเล่าให้ฟังทีหลัง เขาว่าตอนที่คลื่นยักษ์มา มีคนตะโกนบอก คนเป็นสิบรวมทั้งแฟนผมวิ่งกันกระเจิง แล้วคลื่นตามหลังมาทั้งเพ สูงเป็น ๑๐ เมตร บางคนสะดุดล้ม วิ่งไปถึงแถวๆ โน้น คลื่นมันทูนไปเองหมด สะเปะสะปะไปหมดเลย ที่ว่าทูนไปรอดก็รอด ทูนไปไม่รอดก็สูญหมด"

    เขากล่าวทิ้งท้ายว่า "ผมจะไปหาตามวัดแล้ว เพราะทางนี้มันเริ่มสิ้นหวัง คิดว่าอาจจะไม่เจอ วัดแถบนี้กลายเป็นที่ไว้ศพ แต่ละวัดนี่คนเป็นพัน เขามาแลญาติเขา ศพนี่แน่นวัด สี่ห้าร้อยทั้งเพ ถ้าว่าคนขี้ขลาดไม่อยากเข้า ผมนี่เมื่อก่อนขี้ขลาด ป่านนี้ผมไม่ขี้ขลาดแล้ว

    และ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...