ใครอดอาหารเพื่อเป็นอุบายวิธีการเพื่อประพฤติปฏิบัติ เราตถาคตอนุญาต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 3 เมษายน 2015.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,820
    pra-ajarn-sangob-218x300.jpg

    เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒
    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

    ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


    เมื่อ วานก็มีมาหานะ ลูกศิษย์เป็นกลุ่มเลย เรียนพุทธศาสน์บัณฑิตปริญญาเอก ปริญญาเอกพอมาคุยนี่มันคุยง่ายไง เราบอกเลยความคิดความเห็นของเขา เห็นไหม เขาศึกษามามันเป็นสมมุติหมดเลย มันเป็นเรื่องโลกนะ ถ้าเรื่องของโลก ถ้าเราคิดไง

    นี่ เรามีการศึกษา เรามีปัญญามาก พูดออกมาเป็นเรื่องของโลกๆ เห็นไหม พูดธรรมะนะ พูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเขาศึกษาพุทธศาสน์ พูดถึงธรรมวินัยนี่เข้าใจหมดเลย รู้ไปหมดเลย แต่รู้เรื่องโลกๆ เพราะใจเขาเป็นโลก แต่เวลาพ่อแม่ครูจารย์ของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านพูด นี่พูดเรื่องโลกนะ เรื่องความเป็นอยู่ ศีล ๕ มี ๒๐ ผัว ๓๐ เมีย นั่นเรื่องอะไร? เรื่องโลกทั้งนั้นเลย ทำไมมันเป็นธรรมล่ะ?
    มัน เป็นธรรมเพราะใจเป็นธรรม ใจของครูบาอาจารย์เป็นธรรม พูดออกมาจากหัวใจที่เป็นธรรม เห็นไหม หัวใจที่เป็นธรรม พูดออกมาแต่ธรรมล้วนๆ แต่หัวใจที่เป็นโลก พูดธรรมมันก็เป็นโลก หัวใจที่เป็นโลกพูดธรรมะ พูดถึงสื่อสารธรรมะหมดเลย แต่เป็นเรื่องของโลกหมดเลย เพราะอะไร? เพราะมันไม่เข้าใจจากหัวใจอันนั้น เวลาเราพูดนี่มือของเราหยิบอะไร? มือของเราหยิบจับสิ่งของสิ่งใด เราบอกเราจะล้างมือๆ ที่จับสิ่งของนั้น เราเข้าใจว่าเราล้างสิ่งของนั้นเป็นการว่าล้างมือ
    ความ คิดไม่ใช่จิต พอความคิดนี่ความคิดของเรา ถ้าความคิดของเราเกิดขึ้นมา ความคิดมันคืออะไร? ความคิดนี่เป็นความรู้สึกไหม? ความรู้สึกเป็นตัวใจนะ ความคิดเป็นความคิดอันหนึ่ง แต่เวลาศึกษาขึ้นมานี่ ศึกษาว่ารู้ธรรมๆ เห็นไหม รู้ภาษาแต่ไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย เพราะพระไตรปิฎกเหมือนตำราทำอาหาร อาหารจะไม่ออกมาจากตำราอาหารนั้น ตำราอาหารจะไม่มีอาหารออกมาแม้แต่จานเดียว ในตำราอาหารนั้นจะไม่มีอาหารออกมาเลย ไม่มี!
    ตำรา อาหารนั้น ศึกษามาแล้วเรามาฝึกหัดการทำอาหาร อาหารจะออกมาจากการกระทำ อาหารไม่ออกมาจากตำรานั้น แต่ตำรานั้นเป็นวิชาการ เป็นการสอน วิชาการนี่เห็นด้วยนะ ปริยัติ เห็นไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางปริยัติ ปฏิบัติเอาไว้.. ปริยัติ ปฏิบัติ ทำไมไม่เอาปริยัติ ปฏิบัติรวมกัน ให้ฝึกสอนเหมือนกัน
    เพราะ ว่าเวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น เห็นไหม นี่ท่านเป็นมหามา เวลาหลวงปู่มั่นท่านก็ศึกษามาแล้ว ศึกษามาโดยภาคประพฤติปฏิบัติของท่าน ศึกษามาโดยการค้นคว้าของท่าน เวลาลูกศิษย์มานี่บอกเลยบอกว่า
    “สิ่งที่เรียนมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชิดชูไว้เหนือศีรษะ”
    เชิด ชูไว้นะ เพราะเราประพฤติปฏิบัติ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย.. รัตนตรัยนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก เห็นไหม เราถึงไตรสรณคมน์
    พระพุทธ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม
    ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่มีรัตนะ ๒
    พระสงฆ์ นี่บรรลุธรรมขึ้นมา
    พระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นศาสดาของเรา เป็นที่พึ่งอาศัย เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา เราเคารพบูชาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก แต่ผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตมหาศาลนะ บอกเลย
    “นี่ เรียนมามหาศาลจนเป็นถึงมหา ให้เอาความรู้ที่ศึกษามานั้นใส่ไว้ในลิ้นชักก่อน แล้วลั่นกุญแจมันไว้อย่าให้มันออกมา เดี๋ยวมันจะมาเตะ มาถีบกัน”
    คำ ว่ามาเตะ มาถีบกัน คือความเห็นมันขัดแย้งกันไง ระหว่างโลกกับธรรม เวลาปฏิบัติมันจะขัดแย้งกัน หัวใจเราเป็นโลก แต่เราไปจำธรรมะมา มันมีความขัดแย้งกันในข้อเท็จจริงของมัน ถึงต้องวางอันใดอันหนึ่งของมัน เวลาศึกษานี่เราศึกษาเพื่อความรู้หมดเลย เห็นไหม เราศึกษาทางปริยัติ ศึกษามาเพื่อความเข้าใจ
    ความ เข้าใจ เห็นไหม ความศรัทธา ความเชื่อ.. ความศรัทธา ความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ของมนุษย์ แต่ความศรัทธา ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ถ้าเราเชื่อนะ ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ภิกษุนะห้ามอดอาหาร ใครอดอาหาร พระพุทธเจ้าห้ามอดอาหารนะ ห้ามไว้เพราะอะไร? ห้ามไว้เพราะคนมันโง่ ถ้าบอกว่าการอดอาหารนี้เป็นของประเสริฐ การอดอาหารนี้มันจะเป็นการบรรลุธรรมนะ คนนี่ตายมหาศาลเลย ลูกศิษย์ลูกหาจะอดอาหารตายเป็นเบือเลย
    ท่านบอกห้ามอดอาหาร! เพราะคนมันโง่ ความคิดโง่ๆ มันคิดหน้าเดียว คิดชั้นเดียว คิดวิทยาศาสตร์คิดเป็นชั้นเดียวไง
    “เราห้ามอดอาหาร แต่ถ้าใครอดอาหารเพื่อเป็นอุบายวิธีการเพื่อประพฤติปฏิบัติ เราตถาคตอนุญาต”
    ถ้า เป็นอุบาย คนที่เป็นคนฉลาด คนที่มีอุบาย เวลาเรานั่งสมาธิภาวนากัน เห็นไหม ทุกคนมาจะบอกว่า “นี่หลวงพ่อ นั่งแล้วมันมีปัญหามาก อยากจะมีความสงบของใจ อยากมีความสงบของใจ” เราอยากได้แต่ผล นี่โลกๆ ศึกษาธรรม โลกๆ ปฏิบัติธรรม
    แต่ ถ้าโลกๆ ปฏิบัติธรรม เห็นไหม เราเห็นเลยนะ นี่เวลาเรานั่งสัปหงกโงกง่วง เวลานั่งทำไมขาดสติ สติเรามันกดถ่วงไว้ ธาตุขันธ์ทับจิต.. ธาตุขันธ์มันเกิดจากอะไร? มนุษย์เกิดจากอาหาร ชีวิตนี้ต้องการอาหารเพื่อดำรงชีวิต แล้วเรากินอาหารเข้าไปเพื่อดำรงชีวิต แล้วมันดำรงชีวิตแล้วมันเหลือไว้ขนาดไหน สะสมไว้ร่างกายนี้
    ถ้า เราถือศีล ๘ งดอาหารเย็นนะ นี่ถือศีล ๘ งดอาหารเที่ยง งดอาหาร เห็นไหม แล้วพูดถึงพระปฏิบัตินี่อดนอนผ่อนอาหาร ถ้าเราผ่อนอาหาร ธาตุขันธ์ไม่ทับจิต ถ้าธาตุขันธ์ไม่ทับจิต มันมีความหิว มันมีความกระหายไหม? มันเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่เรากิน ๓ มื้อ ๔ มื้อ แต่เวลาจิตใจมันอยากจะกิน มันมีความหิว มันก็อยากจะกินเป็นธรรมดา
    สิ่ง นี้ คนเราถ้าจิตมันเป็นธรรม มันเห็นประโยชน์ เห็นไหม การที่เราผ่อนอาหาร หรือการที่เราถือศีล เรางดนี่ ร่างกายมันเคยชิน มันต้องการ มันก็เรียกร้องเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราผ่อนของมันนะ แล้วเรานั่งสมาธิภาวนา เรามีสติของเราขึ้นมา สติมันจะแจ่มชัดมากนะ
    นี่ เวลาหิวขึ้นมา หิวจนตาสว่างโพลงเลยนะ พอสว่างโพลงนี่เวลาปฏิบัติไป พอปฏิบัติไป ตั้งสติไป สตินี่มันทำให้จิตเรามีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะ เวลากำหนดพุทโธ กำหนดปัญญาอบรมสมาธิมันจะชัดเจน พอชัดเจนขึ้นมานี่ภาวนาไป เห็นไหม
    เริ่ม ต้นเราห้ามอดอาหาร เพราะถ้าคนโง่มันคิดว่าการอดอาหารนั้นเป็นมรรค ผล แต่ถ้าคนฉลาดบอกการอดอาหารนั้นเพื่อบรรเทา เพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์มันแข็งแรง เพื่อให้จิตมันมีโอกาส ระหว่างวัตถุทับหัวใจ กับวัตถุที่มันเบาบางลงแล้วหัวใจมันเข้มแข็งขึ้นมา เห็นไหม นี่คนที่มีสติสัมปชัญญะ แต่ถ้าใจเป็นธรรมจะเห็นถึงเหตุร่องรอยที่พระพุทธเจ้าบุกเบิกมา แต่ถ้าใจเป็นโลกนะมันคิดแบบโลก
    นี่ ความคิดแบบโลก ความคิดแบบสมอง เขามีสมอง เขาศึกษาธรรมะมาก ศึกษาธรรมะ เข้าใจธรรมะหมดเลย แต่ธรรมะมาจากสมองไง เขาไม่มีลิ้น ไม่มีปาก เพราะอะไร? เพราะความคิดนี่ ดูสิอย่างตำรา อย่างทางวิชาการ มันเป็นทฤษฎีใช่ไหม? มันเป็นตำราใช่ไหม? มันเป็นฉลากยาใช่ไหม? แต่เนื้อยา ตัวยา มันอยู่ไหน? เนื้อยา ตัวยา แล้วอาหารที่ออกมาจากตำราอาหารนั้นมันผิดหรือมันถูกล่ะ?
    ถ้า มีอาหารขึ้นมานี่เราได้ใส่ปากเรานะ เรามีปาก เรามีลิ้น ลิ้นกระทบนี่มันรู้นะ ลิ้นกระทบมันรู้เลยว่ารสชาติเป็นอย่างไร? ถูกต้องเป็นอย่างไร? แต่ถ้าเป็นความคิดๆๆ จากสมองตลอดเวลานี่มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ทุกคนปฏิบัติอยากจะถึงธรรมนะ อยากจะพ้นจากทุกข์ พอยิ่งศึกษามากยิ่งรู้มาก ยิ่งอยากจะพ้นจากทุกข์มาก ยิ่งโง่มาก โง่จริงๆ
    โง่ เพราะอะไร โง่เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำมานี่ทำโดยเถรตรงอย่างนั้น ตรงกับกิเลสไง เพราะกิเลสมันทำ เพราะอะไร? เพราะไม่ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน เพราะทำความสงบของใจเข้ามาก่อนนี่มันเปลี่ยนฐาน พอมันเปลี่ยนฐานนะ นี่สมถกรรมฐาน.. สมถกรรมฐาน ทำความสงบของใจ
    เรา พูดถึงความสงบของใจ เขาเข้าใจนะความสงบของใจ แต่ในปัจจุบันนี้เราศึกษาธรรมกันด้วยปัญญาชน เห็นไหม นี่เขาว่าความสงบไม่มีประโยชน์ ความสงบทำให้ลำบากเปล่า ดูสิตั้งแต่เราเป็นเด็กน้อย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้ชราแก่เฒ่า มันต้องมีกำลังไหม? ถ้าร่างกายแข็งแรงมันจะก้าวเดินไปได้ตลอดเวลา นี่จิตมันจะก้าวเดินขึ้นไป มันต้องมีสมถะ
    สมถะ คืออะไร? สมถะคือจิตที่มันสงบ คือมือที่สะอาด มือที่สะอาดทำสิ่งใดก็สะอาด มือที่ไม่สะอาด ทำสิ่งใดก็สกปรกไปหมด นี่เวลาความคิดมันเกิดจากเรา มันเกิดจากกิเลสทั้งหมดเลย ปัญญาที่เกิดขึ้นมา ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ต่างๆ ความคิดนี้มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นอาชีพ มันเป็นวิชาชีพ
    วิชาชีพ มันเกิดมาจากไหน? ความคิดมาจากไหน? ความคิดมันเกิดมาจากภวาสวะ เกิดมาจากภพ เกิดจากฐีติจิต เคยเห็นฐีติจิตไหม? เคยเห็นที่ต้นของพลังงานไหม ที่กำเนิดของพลังงาน ที่กำเนิดของความคิดมันอยู่ไหน? ถ้าไม่เห็นที่กำเนิดของความคิด มันจะไปเปลี่ยนความคิดได้อย่างไร? คนจะเปลี่ยนระบบความคิด มันต้องเข้าไปที่ต้นกำเนิดของความคิดนั้น ต้นกำเนิดมันอยู่ที่ไหน? จิตสงบเข้าไปนั่นล่ะฐีติจิต
    นี่ พอจิตสงบเข้าไปนะ ถ้ามีจิตสงบ มรรคมันจะเป็นมรรค ๘ ถ้าไม่มีจิตสงบนะมันเป็นมรรค ๗ ในเมื่อหน่วยกิตมันไม่ครบ หน่วยกิต ๗ หน่วยกิตส่งมันไม่ผ่าน ถ้ามันเป็น ๘ หน่วยกิต นี่มรรค ๘ สัมมาสมาธิจะมีขึ้นไป โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มีสัมมาสมาธิหมดเลย ถ้าสัมมาสมาธินี่ความสงบไม่จำเป็น มรรค ๗ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้
    แต่ ด้วยความเห็นของเรา เห็นไหม ความเห็น ความรู้ของเรา นี่พุทธศาสน์บัณฑิตนะ มีความรู้ไปหมดเลย.. นี่มันได้ภาษามา ไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย พูดถึงความสงบเขาเข้าใจ เขาพอใจถึงความสงบ ความสงบของจิต ฐีติจิต ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันไม่มีกิเลส ไม่มีพันธุกรรมทางจิต ความเคยชินของใจ
    พันธุ กรรมทางจิตคือจริตนิสัย มันเป็นอนุสัยที่เราไม่ต้องทำเลย มันเป็นสัญชาตญาณ จิตนี้มันสะสมมาจนเป็นสัญชาตญาณ เป็นพลังงานของมัน พลังงานสะอาด พลังงานสกปรก เห็นไหม น้ำเสีย น้ำดี น้ำที่มันมีออกซิเจนมาก ออกซิเจนน้อย นี่มันเป็นพลังงานทางจิต พันธุกรรมของมันมันมี ถ้าพันธุกรรมของมันมี สิ่งที่ทำขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบเข้าไป มันไปเปลี่ยนพันธุกรรมอันนั้น ถ้าเปลี่ยนพันธุกรรมอันนั้น เห็นไหม โลกียะกับโลกุตตระมันเกิดตรงนี้ไง
    ถ้า โลกุตตระมันเกิดขึ้นมานะ นี่ความสงบของใจมันมีความสำคัญมาก แต่ขณะที่ความสงบของใจจนถึงพันธุกรรม ถึงฐีติจิต มันเข้าไปนี่มันมีวิธีหลากหลาย แม้แต่กำหนดพุทโธอย่างเดียวนี่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พุทธานุสติกำหนดพุทโธ แต่คำว่าพุทโธมันก็หลากหลาย คนพุทโธมาก พุทโธน้อย พุทโธยาวนาน
    คำ ว่าพุทโธนี่มันทำแต่พันธุกรรมทางจิต มันไม่มีสูตรตายตัว ถ้ามีสูตรตายตัวมันเป็นวิทยาศาสตร์ไง สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ การปฏิบัติแบบวิทยาศาสตร์ การปฏิบัติต้องตามนั้น ผิดหมด! ผิดหมดเพราะมันไม่เข้าไปกับพันธุกรรมของจิตนั้น พันธุกรรมทางจิตที่มันสะสมมาแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน จะไม่เหมือนกัน
    การ ปฏิบัติมันต้องให้เป็นสัจจะความจริง เป็นปัจจุบันธรรมของจิตนั้น ถ้าปัจจุบันธรรมของจิตนั้น เห็นไหม การกระทำนี่มันเหมือนกับช่าง เหมือนกับวิชาชีพ คนมีความชำนาญการต่างๆ ดูสิเราฝึกมาด้วยกัน แต่บางคนชำนาญมาก บางคนจะเข้าใจได้หมดเลย บางคนความชำนาญจะน้อยมาก บางคนถึงทำไม่ได้เลย
    นี่ ก็เหมือนกัน จิตเวลาปฏิบัติมันต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงของมัน ถ้าเป็นตามข้อเท็จจริงของมัน นี่สัจธรรม นี่ธรรม.. สัจธรรม เห็นไหม ปฏิบัติ! ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ.. ปริยัติ ปฏิเวธไม่มี ปริยัติเป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานความเข้าใจ แต่ความเข้าใจนี้กิเลสมันเอามาใช้ก่อน
    เหมือน ปัจจุบันนี้ ปัญญาชนๆ ที่เราปฏิบัติกันอยู่นี่ ดูจิตๆ เพราะอะไร? ต้องการให้ถึงฝั่งไวๆ พอให้ถึงฝั่งไวๆ ดูจิตนี่กิเลสมันดูด้วยไง กิเลสมันดูด้วยแล้วกิเลสมันก็สร้างภาพไง สร้างภาพว่านิพพานเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นไง นี่นามรูปเกิดดับๆ เกิดดับ มันดับแล้วมันจะเกิดอีกไหม? มันดับแล้วมันดับไปเลยเป็นไปได้ไหม?
    นี่ สสารมันเป็นไปได้ เราแปรสภาพสสารไปอีกสสารหนึ่งมันทำได้ แต่สันตติ ธาตุรู้ ความรู้สึกนี้เป็นธาตุอันหนึ่ง เป็นธาตุที่เป็นนามธรรม ถ้าวิปัสสนาไม่เป็นธาตุที่เป็นนามธรรม จะเข้าไปจับต้องไม่ได้ จะเข้าไปศึกษามันไม่ได้ มันเป็นธาตุรู้ มันเป็นวัตถุเลย ที่จับต้องได้เลย จิตจับจิต! ถ้าจิตจับจิต สิ่งที่มันเกิดดับ อะไรทำให้เกิด? เหตุที่ทำให้เกิด แล้วเหตุที่ทำให้ดับ
    “ทุกข์ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์.. ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์”
    นี่ มันมีเหตุมีผลของมันทั้งหมด แล้วเหตุผลของมัน ถ้ามีเหตุผลของมัน เห็นไหม นี่ภาคปฏิบัติ สิ่งที่ปฏิบัติ นี่ถ้าปฏิบัติเข้าไปถึงสัจจะความจริง รู้จริง ถ้าใจเป็นจริงขึ้นมา พูดเรื่องโลกๆ ก็เป็นธรรม เพราะใจมันเป็นธรรม ใจเป็นธรรมนี่พูดเรื่องศีล ๕ กามคุณ ๕ เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร แม้แต่พูดเรื่องกามก็พูดเพื่อเป็นธรรม
    แต่ ถ้าใจเป็นโลกนะ พูดถึงธรรมะอวิชชาเลย พูดถึงนิพพานเลย แต่มันเป็นพานอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นพานทำลายตัวเอง ทำลายโอกาสตัวเอง ทำลายโอกาส ทำลายความตั้งใจของตัวเอง เห็นไหม มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงนะมันจะต้องวางไว้ก่อน ศึกษาแล้วต้องวาง ถ้าเอาการศึกษานั้นมาปฏิบัติ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีโอกาสนะมันจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ
    การ ปฏิบัติทุกกระบวนการทั้งหมด ผลของมันคือสมถะหมด ผลของมันคือการปล่อยวางหมด มันไม่มีปัญญาเกิดขึ้นมาให้ได้ แต่ถ้าผลการปล่อยวางคือสมถะทั้งหมด แต่ในสมถะนั้นมันมีมิจฉากับสัมมา สัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ.. พอมันเป็นมิจฉาสมาธิ นี่มันไม่มีสติสัมปชัญญะ มันเลยเข้าใจว่าสิ่งที่ปล่อยวางนั้นเป็นนิพพาน ปล่อยวางนั้นเป็นผล แล้วเป็นไปไม่ได้
    นี่ ไงเกิดดับไง เกิดดับขนาดไหนนะมันมีสสารอยู่ มันต้องเป็นไป ในเมื่อกิเลสมันมีอยู่มันต้องเกิด มันต้องเป็นไป มันต้องมีของมัน เห็นไหม นี่เกิดดับๆ ขนาดไหนเป็นไปไม่ได้ มันเป็นมิจฉา ถ้าเป็นสัมมานะเกิดดับ เกิดจากที่ไหน? ดับที่ไหน? ดับแล้วเหลืออะไร? ใครเป็นสถานที่ให้เกิด? เกิดแล้วสิ่งที่ดับ สถานที่ที่ดับมันดับไปแล้วมันเหลือสิ่งใด? มันจะรู้ มันจะเห็นของมันไปนะ
    นี่ การกระทำ เห็นไหมการศึกษาที่นี่ การกระทำที่นี่ นี่ปฏิบัติ.. ถ้าปฏิบัตินี่รู้ขึ้นมาจากหัวใจ เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง ความรู้จำเพาะตน ความรู้จำเพาะตนนะ เพราะอะไร? เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนะ บอกว่า..
    “อานนท์ เราเอาแต่ธรรมของเราไปนะ เราไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลย”
    พระ สารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด” สมควรแก่เวลาของจิตดวงนั้น สิ่งที่กระทำนั้นให้กาลเวลาของเขา เห็นไหม สมบัติส่วนตน ใจของใครบรรลุธรรม รู้ธรรม มันจะเป็นใจของคนดวงนั้นนะ
    เรา นี่เราก็มีหัวใจดวงหนึ่ง เราก็มีสิทธิเสมอภาคทุกๆ คนที่จะประพฤติปฏิบัติ แต่เราปฏิบัติโดยกิเลส ให้กิเลสชักนำไปนะ เราจะปฏิบัติไปโดยสูญเปล่า ตายเปล่าๆ เกิดเปล่าๆ ศึกษาเปล่าๆ รู้ธรรมะเปล่าๆ รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่แหละ รู้เปล่าๆ ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปเลย
    แต่ ถ้าเราปฏิบัติของเรา มันเป็นของเราขึ้นมานะ นี่ธรรมะส่วนบุคคล ของเรา เรารู้ มันไปกับเรา กับจิตของเรา นี่ถ้าเราทำจริง รู้จริงขึ้นมา เห็นไหม ตรงนี้มันถึงว่าเราต้องทำ แล้วทำขึ้นมานี่มันจะพิสูจน์ได้ ถ้าใครทำถึงเห็นเหตุเห็นผลจะเข้าใจ ถ้ายังไม่เห็นเหตุเห็นผล เราก็ยังโลเล ยังมีความเห็นของตน ตามกิเลสของเราไป
    นี่ โลกกับธรรม แล้วใจเรามันเป็น คิดดี คิดชั่ว คิดโลกก็ได้ คิดธรรมก็ได้ ความคิดมันเป็นอนิจจัง มันยังมีเกิดดับอยู่ คิดแล้วพิจารณาเข้าไปถึงที่สุดจนถึงฐีติจิต แล้วไปแก้พันธุกรรม ไปแก้จิตดวงนั้น มันจะเป็นอกุปปะ.. สถานที่เริ่มต้นของความคิดเราดัดแปลงเรียบร้อยหมดแล้ว อกุปปะไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันจะคงที่ของมัน สัจธรรมอันนี้พิสูจน์ได้ในหัวใจของเรา เอวัง

    เทศน์เช้า เพียรด้วยปัญญา เทศน์เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2543 [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    .
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,820

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="780"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="top" width="175">[​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG] </td> <td bgcolor="#3D5532" valign="top" width="1">[​IMG]</td> <td bgcolor="#FFFFFF" valign="top" width="20"> </td> <td bgcolor="#FFFFFF" valign="top">

    [​IMG]
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="98%"> <tbody><tr align="center"> <td>ธาตุขันธ์มีกำลังแล้วทับจิต</td> </tr> <tr> <td bgcolor="#339900">[​IMG]</td> </tr> <tr align="center"> <td> วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 9:00 น.
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด </td> </tr> </tbody></table> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="95%"> <tbody><tr align="right"> <td> [​IMG] | [​IMG] | <table align="center" bgcolor="FFcc99" border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>
    ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
    ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
    </td></tr></tbody></table> </td> </tr> </tbody></table>
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="95%"> <tbody><tr> <td>
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๙
    ธาตุขันธ์มีกำลังแล้วทับจิต
    ก่อนจังหัน
    วัด นี้ไม่เคยมีพระมาฉันจังหันครบองค์เลยตั้งแต่สร้างวัดมา ขาดตลอดเป็นประจำมา ดูเหมือนได้ ๕๐ ปีนี้มัง สร้างวัดที่นี่ดูเหมือน ๕๐ ปี สร้างปลายปี ๒๔๙๘ ดูเหมือน ๕๑ ปีแล้วมัง พระที่มาฉันที่นี่และไม่ฉัน ขาดมาตลอด ที่พระจะมาฉันครบองค์นี้ไม่มี ต้องขาดทุกวันๆ ๕๐ กว่าปีพระท่านขาดมาตลอด ทำไมพระท่านถึงขาด ท่านถึงไม่มาฉัน การไม่มาฉันนี้ก็คือการประกอบความพากเพียร เข้มงวดกวดขันทางสติเป็นสำคัญ เกี่ยวกับเรื่องอาหาร ถ้าอาหารน้อยสติจะดีขึ้นๆ พักอาหารสติตั้งได้ง่าย ดีขึ้น รวดเร็ว ปัญญารวดเร็ว
    การ ปฏิบัติตัวต้องใช้ความสังเกต พระพุทธเจ้าองค์ศาสดาคือจอมปราชญ์ เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตจะจอมโง่แข่งพระพุทธเจ้าไม่สมควรอย่างยิ่ง ต้องตามรอยพระบาท ที่ท่านทรงแสดงไว้แล้วอย่างไร ปฏิบัติมาอย่างไร ให้ถือนั้นเป็นหลักเป็นเกณฑ์ อย่าถือสิ่งใดมาก หนักยิ่งกว่าหลักธรรมหลักวินัย ธรรมก็ดี วินัยก็ดี นั้นคือองค์ศาสดา ใครมีความจงรักภักดี เคารพพระพุทธเจ้าแล้ว ให้เคารพหลักธรรมหลักวินัย หลักศาสนา
    พุทธ ศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราประกาศได้เต็มหัวใจของเรา เพราะเราได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นเต็มกำลังความสามารถตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อมรรคผลนิพพาน ต่อจากนั้นกระจายออกไปหมด ยกนิ้วให้เลย พุทธศาสนาคือศาสนาคู่โลกคู่สงสารโดยแท้ ไม่ใช่ศาสนกิเลส กิเลสเป็นศาสนาใช้ไม่ได้นะ ผู้ที่กิเลสเป็นศาสนา เป็นเจ้าของศาสนา คือเป็นคลังกิเลสอยู่ภายในใจ ยกตนออกไปประกาศศาสนา เป็นศาสนาใดก็ตามไม่พ้นที่เป็นคลังกิเลสเป็นเจ้าของศาสนาจนได้นั้นแหละ
    พุทธ ศาสนา เจ้าของศาสนาคือพระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลส คำว่ากิเลสคือข้าศึกต่อธรรม หรือข้าศึกต่อความดีงาม เรียกว่ากิเลส ความเศร้าหมองมืดตื้อ ความเป็นภัย ความเป็นฟืนเป็นไฟคือกิเลส กิเลสนั้นเราจะไปหาที่ไหนไม่เจอ หาต้นไม้เป็นต้นไม้ หาภูเขาเป็นภูเขา หาดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ หาทั่วแดนจักรวาลก็เป็นแดนจักรวาลไป ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้ กิเลสแท้อยู่ที่ใจ เกิดที่ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ฟัดได้เหวี่ยงกันตลอด ผู้ที่จะบำเพ็ญเพื่อความดีงามตลอดถึงมรรคผลนิพพาน จึงต้องเป็นผู้เข้มงวดกวดขันในเครื่องมือที่จะกำจัดสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย เป็นผู้ที่เสาะแสวงหาเครื่องมือที่ดี
    สติ ธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม นี่สำคัญมาก ดังที่ท่านแสดงไว้ว่าพละ ๕ กำลัง ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่เรียกว่าอินทรีย์ก็ได้ คือความเป็นใหญ่ พละ ๕ ก็ได้ ทั้งสองอย่างนี้ให้อยู่ภายในจิตใจ ถ้าใครมีธรรมเหล่านี้อยู่ในใจแล้วจะเป็นผู้ใกล้ชิดติดพันกับองค์ศาสดาตลอดไป อยู่ไม่มีคำว่าที่ลับที่แจ้ง ก็หมายถึงให้มีธรรมมีวินัยด้วยสติปัญญาเป็นเครื่องควบคุมตัวเองอยู่เสมอ นั่นละอยู่ที่ไหนเท่ากับอยู่ใกล้ชิดติดพันกับศาสดา ศาสดาคือธรรมคือวินัย อย่าไปเห็นข้างนอกทางโน้น ข้างนอกทางนี้ยิ่งกว่าศาสดาภายใน
    เท วทัตก็อยู่ภายในใจของเรา แทรกอยู่ในนั้น ส่วนมากเทวทัตมักจะมีอำนาจมากกว่าศาสดาภายในใจของเรา เทวทัตนี้จะออกตลอดเวลา กิริยาอาการใดแสดงออกมีแต่พวกเทวทัตคือสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่จะทำลายตนและ ส่วนรวม ส่วนธรรมนั้นออกได้ยากมาก จึงขอให้พากันตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ดังที่ท่านอดอาหาร ในวัดป่าบ้านตาดนี้เรียกว่าเด่นมาตลอด ใครจะว่าบ้าก็ให้ว่ามา หลวงตาบัวเป็นสมภารวัดป่าบ้านตาด พาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายดำเนินมา ผิดถูกประการใดให้พิจารณา
    เรา เรียนมาก็เรียนมาเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่ออรรถเพื่อธรรมอย่างสูงทีเดียวตั้งแต่ต้นเลย การมาปฏิบัติก็เพื่อปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเหล่านี้จึงแน่ใจว่าไม่ผิด เช่น อดอาหาร ผ่อนอาหาร อาหารนี่เป็นสำคัญพยุงทางธาตุขันธ์ แต่เป็นภัยต่อจิตใจได้ถ้าผู้ไม่พินิจพิจารณา เพราะฉะนั้นจึงให้แบ่งสันปันส่วนกันให้พอดี ธาตุขันธ์ก็ให้พอเป็นไปอย่าให้เหลือเฟือจนเกินไป จะกลายเป็นหมูขึ้นเขียงแล้วไม่ยอมลง ต้องมีการฝึกการทรมาน
    พระ เราถ้าฉันมากๆ สติไม่ดี ดีไม่ดีล้มเหลว จำให้ดีนะข้อนี้พระ พอผ่อนอาหารลงไปสติจะเริ่มดีขึ้น ผ่อนลงไปหรือตัดอาหารเป็นวันๆ ไป สติดี ดีขึ้น ปัญญาจะสอดแทรกไปตามๆ กัน ส่วนมากอดอาหารผ่อนอาหารนี้ถูกจริตนิสัยของผู้ปฏิบัติมากทีเดียว มากกว่าข้อปฏิบัติอย่างอื่นๆ อย่างท่านว่าธุดงค์ ๑๓ นั่นก็เพื่อกำจัดกิเลส คำว่าธุดงค์ๆ ก็แปลว่าเครื่องกำจัดกิเลสนั้นแหละ อะไรที่ถูกกับจริตนิสัยของตนให้ยึดมาปฏิบัติ เช่นท่านบอกว่าเนสัชชิ ไม่นอน จะกำหนดสักกี่วันกี่คืนก็แล้วแต่แล้วปฏิบัติตามนั้น ผลเป็นยังไงบ้าง เราสังเกตดูผล ถ้าไม่ได้ผลทั้งที่เราก็พยายามทำเต็มกำลังตามธุดงค์ข้อนั้นๆ เราก็แยกเสีย เห็นว่าไม่ถูกก็พลิกไปข้ออื่น
    สำหรับ อดอาหารนี้ไม่มีในธุดงค์ ๑๓ แต่มีในธรรมข้ออื่น เช่น บุพพสิกขา ไม่มีในธุดงค์ ๑๓ แต่ก็มีอยู่ในธรรมเช่นเดียวกัน เช่นบุพพสิกขาเป็นต้น ในบุพพสิกขาท่านแสดงไว้ว่า ถ้าพระอดอาหารเพื่อโอ้เพื่ออวดแล้วปรับอาบัติทุกความเคลื่อนไหวเลย ไม่ว่าจะอยู่อาการใดปรับอาบัติเป็นโทษทั้งนั้นๆ ห้ามอด พูดง่ายๆ ถ้าฝืนอดไปก็ปรับโทษตลอด อดอาหารเพื่อกิเลสตัณหา คืออดเพื่อโอ้เพื่ออวด เพื่อให้เขายกยอตนว่าเป็นผู้รู้ผู้ฉลาดเพราะอดอาหารอย่างนี้ ปรับอาบัติตลอดเวลา นี่คือข้อธรรม มีในคัมภีร์ เรายกมาแสดงให้ฟัง แต่ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้วอดเถิด เราตถาคตอนุญาต นี่ธรรมเหมือนกัน คืออดเพื่ออรรถเพื่อธรรมอดเถิด เราตถาคตอนุญาต
    การอด นี้ก็ต้องสังเกตดูจริตนิสัยของตน เหมาะสมกับการอดอาหารหรือไม่เหมาะ ส่วนมากเหมาะ เพราะอาหารกับธาตุขันธ์มันเข้ากันได้ ธาตุขันธ์นี้มีกำลังทับจิตใจ การภาวนาไม่ค่อยสะดวก จึงต้องได้ผ่อนสั้นผ่อนยาวอยู่เสมอ ผู้ปฏิบัติอย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าด้นๆ เดาๆ สักแต่ว่าทำไม่เกิดประโยชน์ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมทุกอย่าง การฝึกฝนอบรมนี้ด้วยความฉลาดของพระองค์ เราอย่านำความโง่ไปแข่งพระพุทธเจ้าใช้ไม่ได้เลย ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
    สำหรับ ผมเองไปๆ มาๆ เข้าๆ ออกๆ แต่ศาสดาคือธรรมวินัยอยู่กับท่านทั้งหลายเอง ให้รักษาธรรมวินัยคือองค์ศาสดาไว้ในหัวใจและกายวาจาของตนด้วยดี จะเป็นผู้สม่ำเสมอ ครูบาอาจารย์ไม่แน่นักการไปการมาเป็นธรรมดา แต่เรื่องธรรมเรื่องวินัยนี้เป็นสำคัญกับตัวของเราที่จะให้ติดแนบกับตน อย่าได้ปล่อยวาง มรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ อยู่กับผู้ปฏิบัติ
    อย่า ไปหลงกลกิเลสว่ามรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัย เรียวแหลมอย่างนั้นอย่างนี้ มันเรียวแหลมอยู่กับคนผู้มันโม้ๆ อยู่นั้นละ มรรคผลนิพพานไม่มีก็อยู่กับคนนั้น คนโมฆะ โมฆบุคคล ไม่มีประโยชน์นั่น พูดอะไรขวางอรรถขวางธรรม ถ้าเป็นทางกิเลสมันคล่องตัวๆ มันเป็นศาสดาเหยียบย่ำหัวพระพุทธเจ้า ก็คือพวกกิเลสหนาๆ นั้นแหละ ผู้ที่กิเลสบางท่านไม่เหยียบม ความเคารพ
    ใคร จะตรัสหรือพูดได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ในโลกทั้งสามนี้ไม่มี หาใครมาพูดให้ถูกต้องแม่นยำดังพระพุทธเจ้าไม่มี นอกนั้นมันเป็นปากกิเลส ปากกิเลสมันก็ปากอมขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ปากอมขี้พ่นออกมาเหม็นคลุ้งไปหมด เป็นอันตรายต่อสังคมมากทีเดียว ปากอมธรรมไม่เป็น ปากอมธรรมพ่นไปที่ไหนๆ โลกได้รับความสงบร่มเย็นๆ พากันจำนะ เอาละให้พร
    หลังจังหัน
    เดี๋ยว นี้ไปที่ไหนมีความสะดวกๆ มันขากุดขาด้วนหมดแล้วเดี๋ยวนี้ เอารถมาแทนขา เอารถเป็นขา ไปไหนขึ้นแต่รถแต่รา พระกรรมฐานสมัยนี้เราไม่อยากเรียกว่ากรรมฐาน คือดูมันผิดกันคนละโลกกับกรรมฐานแต่ก่อน แต่ก็ยังดีสมัยที่เราออกเที่ยวกรรมฐานสถานที่ที่อาศัยการไปมานี้สะดวกเพื่อ อรรถเพื่อธรรม คือไม่มีรถมีรา มีแต่ป่าแต่เขา เดินด้นดั้นไปไหนไปได้หมด แล้วสงัดหมด สะดวก นับว่าดีตอนที่เราเที่ยวกรรมฐาน
    รถ สมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ต้องพูด เดี๋ยวนี้มันมีแต่รถแต่รา ไปที่ไหนมีแต่ขึ้นรถลงรถ พระกรรมฐานก็ขาด้วนไปหมดแหละ พระกรรมฐานไม่มีขานะเดี๋ยวนี้ ถ้าอยากดูขากรรมฐานให้ไปหาดูตามรถตามราก็ได้ พวกนี้ไม่มีเนื้อหนังเป็นของตัวแหละ อาศัยขาคนอื่น ภาวนาก็เลยเป็นกรรมฐานขุนนางไป นั่งรถนั่งราไปภาวนาอะไร นั่น เดินจากที่นี่ไปที่นั่น เดินจากที่นั่นไปที่นี่ เท่ากับเดินจงกรมทั้งวัน มันต่างกัน คือไม่มีที่ว่าเสียเวลา ก้าวออกจากที่นี่สมมุติว่าจะไปเขาลูกนั้น ไปป่านั้นอย่างนี้นะ จากนี้ปั๊บเป็นเดินจงกรมตลอดเลย ไม่มีคำว่าเสียเวล่ำเวลา วันนี้เดินทางเสียเวลาไม่ได้ทำความเพียร ไม่มี เดินจงกรมตลอดเวลา ถึงที่ก็ถึงด้วยความเพียรๆ ตลอด
    พูด เรื่องกรรมฐานเรื่องภาวนานี้ โลกชาวพุทธนี้แหละมันเชื่อเมื่อไร มันหนักขนาดนั้นนะ ชาวพุทธๆ จะเชื่อเรื่องกรรมฐานเดินภาวนาหาอรรถหาธรรมนี้มันไม่เชื่อเสียมากต่อมาก ยิ่งว่าสำเร็จมรรคผลนิพพานมันไม่เชื่อ เกือบว่าไม่เชื่อเลย มันหนาขนาดไหนกิเลสในหัวใจสัตว์โลก คือมันมีแต่กิเลสมีแต่ฟืนแต่ไฟเครื่องหมุนอยู่ตลอดเวลา จักรของกิเลส วัฏจักรหมุนอยู่ในหัวใจ หมุนติ้วๆ โลกก็เพลินไปตาม โลกก็โลกกิเลสจะว่าไง มันก็ต้องหลงไปตามกิเลสจนได้นั่นแหละ ไขว่โน้นคว้านี้คว้าโน้น โลกอันนี้มันโลกไขว่คว้า หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้เลย เราอยากพูดให้เต็มปาก เพราะไม่มีธรรมในใจ
    ธรรม เท่านั้นเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะให้เป็นที่ตายใจ ไปด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุคโตๆ อยู่ก็เป็นสุข ไปก็เป็นสุขถ้ามีธรรมในใจ ถ้าขาดธรรมเสียอย่างเดียวใครอย่าเอาเหล่านี้มาอวดธรรม มันเท่ากับมูตรกับคูถ เท่ากับกองฟืนกองไฟ ไปอวดธรรมได้ยังไง ธรรมท่านเลิศเลอทุกอย่าง เพียงจิตตภาวนาเข้าสู่ความสงบปั๊บเท่านั้น วันนั้นทั้งวันจิตไม่ไปไหนเลย แต่ก่อนมันก็ไปของมันธรรมดา ไปธรรมดา ส่วนจิตของคนทั่วๆ ไปไม่ต้องพูด จิตเราที่เป็นนักบวชมันก็ออกโน้นออกนี้ธรรมดา แต่พอจิตได้รวมปึ๋งเข้าไปเท่านั้นวันนั้นทั้งวันอยู่นี้หมดเลยไม่ไปไหน มันปีติยินดี เป็นอารมณ์อยู่ในนั้น จะภาวนาไม่ภาวนามันก็ปีติยินดีอยู่ในผลที่ได้ผ่านมาแล้วเมื่อคืนนี้ว่างั้น เถอะน่ะ ขนาดนั้นนะ พอธรรมได้สัมผัสเข้าสู่ใจเท่านั้นมันจะปล่อยทุกอย่างเข้าไปทันที เพราะรสแห่งธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสไหนจะเหมือนรสของธรรม
    นี่ เกิดมาไม่เคยได้ยินคำว่าธรรม มันไม่เคยมี ว่าพุทโธคำเดียวแอ้ๆ มันจะตายแล้ว พุทโธก็ไม่จบ แล้วจะมีความสุขมาจากไหน สงบร่มเย็นที่ไหน มีแต่กิเลสหุ้มห่ออยู่ภายในจิตใจ ไฟเผากันตลอดเวลาคือไฟกิเลส แล้วจะเอาความสุขมาจากไหน เราพูดท้าทายได้ในสามแดนโลกธาตุนี้ เรียกว่าเรารู้หมดแล้ว กระจ่างแจ้งไปหมดแล้ว มันสนุกดูถ้าว่าสนุก แต่จะสนุกอะไรไฟเผาโลกอยู่นี้ พูดสอนนี้ด้วยความสลดสังเวชต่างหาก ไม่มีใครเห็นธรรมชาตินั้น ธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมสอนโลกมา ๒๕๐๐ กว่าปีนี้ มีใครเห็นบ้าง เราจะเห็นได้ในเฉพาะที่สำคัญๆ เช่นอย่าง....
    เรา ไม่ได้ยกยอกรรมฐาน แล้วเหยียบย่ำทำลายผู้อื่น เราเอาความจริงมาพูด จะหาได้ตามป่าตามเขาที่พระท่านอยู่เงียบๆ เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองๆ อยู่ในนั้น นี่หมายถึงพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ท่านจะไม่สนใจกับอะไร โลกนี้เหมือนไม่มี มีแต่สติกับจิตพันกันอยู่นี้ กิเลสอยู่ในนี้ ฟัดกันอยู่ในนี้ตลอดเวลา พอกิเลสจางไปๆ ธรรมจ้าขึ้นมาๆ นี้ท่วมท้นไปหมดเลยธรรม กิเลสมุดมอดไปจากหัวใจๆ จากนั้นกิเลสพังหมด จ้าหมดเลย นั่น
    เป็น ยังไงธรรมพระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี พวกหูหนวกตาบอดพวกเรานี้เป็นยังไง ชาวพุทธเรานี้แหละ เฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์หลวงตาบัวเป็นยังไงบ้าง มันลืมหูลืมตาหรือเปล่า ที่สอนอยู่เวลานี้สอนถอดออกมาจากหัวใจมาสอนนะ มันกำลังจะตายแล้วรีบพูดเสีย ทุกอย่างกิริยาของโลกมันดูไม่ได้ถ้าจะดู มันมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาอยู่ในหัวใจ อย่าเอาสมบัติเงินทองข้าวของยศถาบรรดาศักดิ์มาอวดนะ อวดธรรมไม่ได้ ธรรมจ้อเห็นหมดเลย มาอวดได้ยังไง
    พระ พุทธเจ้าสอนโลกสอนด้วยบรมสุข ท่านไม่ได้สอนด้วยความทุกข์จนข้นแค้นความทุกข์ความทรมานนะสอนโลก โลกทั้งหลายโลกทรมาน ธรรมสอนโลกจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นบรมสุขสอนโลก มหาเศรษฐีสอนทุคตะเข็ญใจ พูดง่ายๆ ว่างั้น พระพุทธเจ้า พระสาวกถ้าลงได้จ้าเข้าไปตรงนั้นแล้วเหมือนกันหมด นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ความบริสุทธิ์เสมอกันหมด ไม่มีคำว่ายิ่งหย่อนกว่ากัน นี้คือจิตของผู้สิ้นกิเลสแล้วเป็นอย่างนั้น
    ท่าน สอนโลกท่านสอนด้วยความเมตตาสงสารจริงๆ ท่านไม่ได้ยุ่งอะไรกับโลกามิสต่างๆ ไปไหนมีแต่สงเคราะห์โลก มุ่งหัวใจโลกเป็นสำคัญยิ่งกว่าวัตถุสิ่งของเงินทองไทยทานต่างๆ อันนั้นเป็นเรื่องนอกต่างหาก ท่านมุ่งต่อธรรมต่อหัวใจคนต่างหาก ถ้าหัวใจไม่รับอะไรแล้วมีความหมายอะไร แน่ะ วัตถุสิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว แล้วความทุกข์จางไปจากโลกไหมล่ะ ถ้าเอาเหล่านี้มาเป็นความสุข โลกควรจะมีความสุขมากที่สุดแล้ว แต่นี้จนที่สุดทุกข์ที่สุดคือโลกที่เต็มไปด้วยวัตถุ เพราะเอาเขามาเป็นตัวของตัวมาเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นได้ยังไง เขาเป็นเขา เราเป็นเรา วันยังค่ำ ธรรมกับเราเป็นอันเดียวกันได้ เอาตรงนี้ซิ ให้พากันพิจารณาเสียบ้าง
    เรา ยิ่งห่วงนะ จวนจะตายเท่าไรแทนที่จะมาห่วงเจ้าของไม่ห่วงนะ ยิ่งห่วงโลกห่วงสงสารหนักเข้าทุกวันๆ พูดจึง... อย่างนี้ละถ้ากิเลสมันฟังก็ว่า โอ๊ย วันนี้ท่านเทศน์ดุเทศน์ด่า มันเป็นบ้าไปอีก เทศน์สอนให้เป็นผู้เป็นคนมันกลับเป็นบ้าไป สอนให้รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง มันลืมตัวตลอดเวลานะเดี๋ยวนี้ ใหญ่เท่าไรยิ่งกิเลสกองใหญ่กองโต มีอำนาจบาตรหลวงอย่างที่กิเลสมันเสกสรรกันให้เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นนั้นเป็นนี้ แล้วเป็นบ้าไปเลย พวกนี้พวกบ้าหนักที่สุด พวกยศถาบรรดาศักดิ์สูงๆ ที่ไม่มีธรรมในใจนี้พวกบ้าที่สุด บ้าไม่มีสถานีที่จอดแวะ แต่เจ้าของยังภูมิใจ กิเลสมันก็ภูมิใจแหละ ภูมิใจเป็นบ้าไปอีกสองชั้นสามชั้น ธรรมดูแล้วสลดสังเวชจะตายไป
    ใหญ่ โตเท่าไรยิ่งเป็นบ้าหนัก ได้เท่าไรไม่พอๆ เอาจนตายไม่มีพอเรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไม่มีคำว่าพอ สิ่งเหล่านี้ไม่มีวัย มีอยู่กับหัวใจของสัตว์โลกตลอดไปเลย ฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้วหมด ไม่มีอะไรทุกข์ในหัวใจ กิริยาอาการความเคลื่อนไหวไปมานี้เป็นเรื่องสมมุติ คือธาตุขันธ์เป็นทุกข์เป็นธรรมดาของมัน แต่เรื่องใจท่านไม่เป็น ท่านไม่มีอะไร ต่างกันอย่างนี้นะ
    ขอ ให้ธรรมเข้าสัมผัสใจเถอะน่ะ มันจะปล่อยเข้ามา มันจะเคยยึดสามโลกธาตุก็ตามมันจะปล่อยหมด เมื่อธรรมเข้าสู่ใจเต็มเหนี่ยวแล้วปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง บรมสุขขึ้นที่ตรงนั้น จำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้

    รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
    และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
    FM 103.25 MHz
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,820

    พระธุดงคกรรมฐาน ของพระธรรมวิสุทธิมงคล

    พระธุดงคกรรมฐาน ของพระธรรมวิสุทธิมงคล
    พระกรรมฐานเพชรน้ำหนึ่ง
    ผู้ ที่ท่านมีความสุขจริงๆ คือ พระกรรมฐานเฉพาะปัจจุบันเอาสายหลวงปู่มั่น ยันเลย เพราะหลวงปู่มั่น เป็นเอกในเรื่องอรรถเรื่องธรรม และการบำเพ็ญธรรมก็เป็นเอก บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ก็รองๆ กันลงไป ตามกำลังวาสนาของตน ดีดดิ้นเพื่ออรรถเพื่อธรรม ต่างองค์ก็ได้ครองธรรมเป็นลำดับลำดาเราจะเห็นได้จากครูบาอาจารย์ที่เป็นลูก ศิษย์หลวงปู่มั่น มีน้อยเมื่อไร ตั้งแต่สมัยท่านอาจารย์สิงห์ ท่านอาจารย์มหาปิ่น เรื่อยมาหาอาจารย์ขาว อาจารย์แหวนอาจารย์ฝั้น อาจารย์คำดี มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น นะ ท่านเหล่านี้แลที่ท่านครองอรรถครองธรรมอย่างเต็มเม็ด เต็มหน่วย เรียกว่า เพชรน้ำหนึ่ง ฯลฯ
    ดังที่นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ครูบาอาจารย์เหล่านี้มีแต่เพชรน้ำหนึ่ง หลวงปู่มั่นเรานี้แหละเป็นต้นเหตุ มีน้อยเมื่อไรที่ท่านมรณภาพไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เวลานี้ตั้งสิบกว่าองค์แล้วนะที่ท่านล่วงไปแล้ว อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุ อัฐิกลายเป็นพระธาตุต้องตีตราอย่างชัดเจน ไม่ต้องถามใครเลยว่า นี้คือพระอรหันต์เพราะท่านบอกในตำรา บอกชัดเจนแล้วว่า อัฐิของพระอรหันต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นพระธาตุได้ เมื่อประกาศออกมาเป็นพระธาตุแล้วก็ชัดเจน
    นี่คือท่านปฏิบัติอยู่ใน ป่า ขวนขวายอรรถธรรมเข้าสู่ใจ ใจก็แสดงความสุข ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมา ไปแนะนำสั่งสอนใคร ถ้าใจมีหลักเกณฑ์แล้ว ผู้ฟังมันก็เป็นเครื่องดึงดูดกันให้เกิดความสนใจ ผิดกันนะธรรมที่มีอยู่ในใจ แสดงออกจากธรรมที่มีอยู่ในใจ เจ้าของมีรสมีชาติ มีน้ำหนักมากนะ ผิดกันกับที่เราเรียนมาตามตำรับตำรา มาบอกมาเล่าเทศนาว่าการนี้มันก็เป็นลอยๆ ไป เพราะผู้เทศน์ก็ลอยๆ ไม่ได้หลักเกณฑ์ธรรมที่ออกไปก็ลอยๆ ผู้ฟังก็หาหลักเกณฑ์ยึดไม่ได้แล้ว ก็ลอยๆ ไปตามกัน

    ไม่ว่านิกายไหนเป็นศากยบุตรด้วยกัน

    คำว่าสายหลวงปู่มั่นนี้ มีทั้งมหานิกาย มีทั้งธรรมยุตนะ ทางฝ่ายมหานิกายที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้น้อยเมื่อไร รวมเรียกว่าสายหลวงปู่มั่นด้วยกัน ปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น เราก็เปิดให้ พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า หลวงปู่มั่นท่านคิดกว้างขวางขนาดไหนสำหรับประโยชน์ให้โลกนะ ฯลฯ
    ครู บาอาจารย์แต่ละองค์ ๆ ที่มาพอใจแล้วจะญัตติ พาหมู่คณะญัตติอะไรๆ นี้ ท่านห้ามทันทีเลย ไม่ต้องญัตติขึ้นอย่างเด็ดด้วยนะ พวกท่านเป็นศากยบุตรเหมือนกัน ไม่ว่าธรรมยุต มหานิกาย เรียกว่า ศากยบุตร ท่านว่างั้นธรรมยุตมหานิกาย อะไรนี้เป็นชื่อ แยกออกเพราะความแตกแยก เนื่องจากการปฏิบัติยิ่งหย่อนในธรรมวินัยต่างกัน ก็เป็นธรรมดา แต่เมื่อตั้งใจปฏิบัติแล้วไม่มีธรรมยุต มหานิกาย เรียกว่า ศากยบุตรอย่างเดียวเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องญัตติขอให้ปฏิบัติเถิด
    เพราะฉะนั้นไม่ต้องญัตติ ท่านบอกไม่ต้องเลย เอ้า อบรมไป ไม่มีคำว่า สัคคาวรณ์ มัคคาวรณ์ การห้ามมรรคห้ามผลต่อนิพพานนั้นนี้ไม่มี ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป มรรคผลนิพพานมีอยู่กับทุกพวกทุกคณะนั่นแหละพอว่าอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า ถ้ามาญัตติแล้วฝ่ายส่วนมาก ซึ่งเป็นฝ่ายของท่านจะขาดประโยชน์มากมาย ท่านว่าอย่างนี้นะ ไม่ใช่ขาดเพียงเล็กน้อย เมื่อพวกท่านทั้งหลาย ไม่ต้องญัตติ ออกไปนี้กระจายกันไปเลยได้ทั่วถึงกัน สมานกันไปได้หมด ท่านว่าอย่างนี้นะ จึงไม่ต้องญัตติ ท่านพูดเอง เราฟังอย่างถนัดทีเดียว ฯลฯ
    ด้วย เหตุนี้เอง คณะลูกศิษย์ทางฝ่ายมหานิกาย ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านจึงไม่ได้ญัตติ เพราะหลวงปู่มั่นเป็นผู้พูดเอง เราก็เห็นอย่างนั้นด้วยนะยังเลย เราก็เหมือนกัน ขอให้ปฏิบัติดีเถิด เข้ากันได้ทันที ฯลฯ

    ความทุกข์ของพระกรรมฐาน

    มันหนาว ยังไง มันหนาวอากาศฝนจะตก หรือมันหนาวอะไร ดูเหมือนฝนจะตกนะเย็นแบบฝนจะตก ฝนตกหน้านี้หนาวมากไม่ได้เหมือนหน้าฝนธรรมดา หน้าฝนธรรมดา ฝนตกนี้ก็หนาวธรรมดา แต่ตกหน้านี้ อู๊ยหนาวจริงๆ จนตัวสั่นไปได้เลย หน้าเดือนอ้าย เดือนยี่ที่มันต่อปีใหม่ปีเก่ารู้สึกว่าหนาวจริงๆ
    เรา นี้อยากจะพูดว่าโดนทุกปี คือหน้านี้ออกเที่ยวแล้ว ออกเที่ยวอยู่ตามป่า แต่ยังไม่ได้ขึ้นถ้ำ ขึ้นถ้ำจะเป็นเดือนมีนาฯ เมษาฯ ที่เป็นหน้าร้อนเข้าไปอยู่ในถ้ำเย็นดี มีนาฯ เมษาฯ เป็นหน้าร้อน เราไปอยู่ตามถ้ำ เย็นสบายๆ หน้านี้ยังไม่ได้ขึ้นทางภูเขาเข้าถ้ำอะไร ถึงขึ้นภูเขาก็อยู่หลังเขาเสียไม่ได้อยู่ในถ้ำ นี่ล่ะฝนฟาดลงมานี้ โถ พิลึกพิลั่นจริงๆ ตัวสั่นเลย ยังหนุ่มอยู่นะซัดลงมานี้ บางทีกลางคืนดึกสงัด มันเอาแบบปิดประตูตีหมาเทียวนะ ขี้ทะลักไม่มีทางออก
    ฝนพาดลงมาตอนกลางคืนตีหนึ่งตีสอง โอ๊ย มุ้งกับกลดนี้ไหลเลยคนอยู่ในมุ้ง เอาของใส่เข้าในบาตร ปิดฝาบาตรเท่านั้นแหละ ปล่อยให้มันตกกลดไหลออกมา มุ้งไหลออกมา มุ้งเรียกว่าเป็นฝากั้น เอามุ้งเป็นฝากั้น ตกลงมาก็ไหลเรื่อยๆ หน้านี้ล่ะ เราจึงจำได้ มันหนาวจริงๆ ฝนหน้านี้ มันไม่ใช่หนาวหน้าหนาว หนาวฝนหน้านี้ โถ จนขนาดตัวสั่นได้นะ มันโดนแทบทุกปีหน้านี้เพราะระยะนี้เป็นระยะที่เข้าป่าเข้าเขาแล้ว ถ้าตกกลางวันก็ค่อยยังชั่ว ตกกลางวัน เรามองหาอะไรๆ มันก็เห็นหาทางไปทางมาได้ ถ้าตกกลางคืนนี่ โหต้องอยู่ในมุ้งออกไม่ได้เลย แล้วแต่จะตกเมื่อไร นี่ฝน
    บางทีเสือมากัดควายอยู่ข้างมุ้งก็มี กลางคืนน่ะ ห่างกันจะประมาณสัก... คือ อันนี้ มันก็ดง เราอยู่นี้ก็ป่า ทีนี้ควายมันก็อยู่ริมน้ำอูน แต่อูนนี่หมายถึงอูนในภูเขานะ ไม่ใช่น้ำอูนที่ออกมาพรรณาฯ น้ำอูนที่อยู่ภูเขา ควายก็หากินตามประสาของมัน หน้าแล้งเขาไม่ได้ผูกมัดพวกสัตว์ เขาปล่อยตามทุ่งตามนาไป เพราะไม่มีใครขโมยใคร เขาไม่ค่อยสนใจ ต่างคนต่างปล่อยก็ยั้วเยี้ยอยู่ตามป่า ตามทุ่งนา
    ทีนี้เสือมากลางคืนล่ะซี เสือมันอยู่ในภูเขามันหากินสัตว์บ้าน มันกินง่ายกว่าสัตว์ป่า สัตว์ป่ามันระวัง ไม่ได้กินมันง่ายๆ แต่สัตว์บ้านเซ่อซ่าเพราะมันอาศัยอำนาจมนุษย์ เอานิสัยมนุษย์ไปใช้ เสือจึงกัดกินได้ง่าย มันไม่ระวังคือ สัตว์บ้านไม่ระวังอะไรนะ สัตว์ป่า โอ๋ คล่องตัวตลอดเวลา ผิดกันนะ เวลาฝนตก ฟังเสียงควายร้องโอ๊กๆ อยู่นี่ อะไรกันอีกที่นี่น่ะ ออกก็ออกไม่ได้นี่จะว่าไงฝนก็ตกจนกระทั่งเช้าแล้วไปดู ควายมันถูกเสือโคร่งใหญ่กัด ฯลฯ
    นี่ล่ะ ความทุกข์ ความลำบากของพระกรรมฐานท่าน เป็นอย่างนั้นแต่ว่าท่านไม่ได้ถือเป็นอารมณ์ เรื่องอย่างนี้รู้สึกว่า จะมีความรู้สึกอย่างเดียวกันไม่ค่อยสนใจ ทุกข์ยากลำบากอะไร ท่านก็ไปของท่าน ไอ้เราก็ไปแบบเราเราพูดถึงเรื่องฝน หน้านี้หนาวที่สุด หนาวกว่าหน้าฝนเสียอีก ฝนตกธรรมดาไม่เห็นหนาวอะไรนัก ตากฝนไปธรรมดาก็ไม่เห็นหนาวอะไรนัก แต่หน้านี้โถพิลึกจริงๆ มันเข้าภายในหัวตับจนตัวสั่น มันหนาวจริงๆ เที่ยวภูเขา
    พูดถึง เรื่องกรรมฐาน ท่านลำบากอย่างนั้นนะ ลำบากของกรรมฐานลำบากสบายนะ ไม่ได้ลำบากยุ่งเหยิงวุ่นวายเป็นกองทุกข์ ความลำบากถึงทุกข์ก็ทุกข์ในร่างกาย ทางจิตใจท่านมุ่งต่อธรรมตลอดๆ เลย ก็เลยไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นยังไง น่าเข็ดน่าหลาบท่านไม่เห็นมี ถึงฤดูปีนี้ท่านออกของท่านสบาย อย่างที่เคยออกเที่ยวกรรมฐาน

    สถานที่ฝึกทรมานจิตของพระกรรมฐาน

    ป่า นี้มันมีหลายประเภท ประเภทป่าธรรมดาก็มีเสืออยู่ทั่วๆ ไป แต่ป่าเสือจริงๆ แล้ว เป็นสถานที่ระวังมาก ความเพียรดีมากนะ นั่นล่ะ ท่านฝึกทรมานท่าน ท่านฝึกอย่างนั้น ถ้าที่ไหนเป็นที่น่ากลัวมาก เข้าไปอยู่ที่นั่นสติ สตังดีทั้งวันทั้งคืน นอนก็เว้นแต่หลับ นอกนั้นตั้งตลอดเวลา


    หนังสือแนะนำ










    ที นี้ เมื่อสติตั้งอยู่กับจิต รักษาจิต จิตก็ไม่ออกเพ่นพ่าน ไม่แสดงเหตุการณ์ต่างๆ เช่น กลัวนั้นกลัวนี้ จิตออกไปหลอกเจ้าของนะ ออกไปว่าเสืออยู่ที่นั่น เสืออยู่ที่นี่ แล้วมันก็เอาคำว่า เสืออยู่ที่นั่นที่นี่มาหลอกเจ้าของให้กลัวทีนี้เวลาจิตมันไม่ออก มันก็ไม่ออก ไปหลอกเรา มันอยู่กับคำบริกรรม เช่นผู้ภาวนาบริกรรมก็อยู่กับคำบริกรรม คำบริกรรมรักษาจิต ทีนี้จิตก็มีกำลังขึ้นมาแล้วสงบเย็นขึ้นมาๆ แข็งขึ้นมาเรื่อยนะ ถ้าว่าแข็ง จากนั้นความกลัวหายหมดแม้จะคิดออกไปเรื่องสัตว์เรื่องเสือ ก็ไม่กลัว เพราะฐานของมันดีแล้ว นี่มันเคยอย่างนั้นแล้ว
    เพราะฉะนั้น เวลาเราไปภาวนา พระกรรมฐานที่ท่านมุ่งอรรถ มุ่งธรรมจริงๆ ท่านถึงมักหาแต่ที่อย่างนั้นแหละ หาแต่ที่กลัวๆ อย่างนั้น คือ รักษาจิตได้ง่าย เพราะไม่กลัว จิตมันจึงเพ่นพ่าน มันดื้อนะ จิตนี่พอมันอยู่ที่ไหนชักชินๆ รู้สึกชินๆ เข้ามานี้ ภาวนา จิตจะเผลอๆ อย่างนี้ไม่ดี เปลี่ยนใหม่พลิกใหม่ ตั้งท่าเรื่อย
    อย่างงั้นการฝึกเจ้าของต้องรู้จักอุบายวิธี คือ สติกับจิตนี้ ถ้าประคองกันอยู่แล้ว จะไม่กลัวอะไรนะ ไม่ยอมคิดออกไปข้างนอก เสือนี้ จิตคิดออกไปแล้วว่าเสือ เสือเป็นภัย มันคิดแล้ว มันกลัวทันที ความคิดนั่นแหละไปหลอก เจ้าของให้กลัว เมื่อเอา พุทโธ แทนเข้าไปเสีย ไม่ยอมให้ออกมันอยากจะคิดเท่าไร บังคับไว้ไม่ให้ออก ทีนี้จิตมันก็อยู่กับพุทโธ ๆ ก็ค่อยแน่นหนามั่นคงขึ้น ฯลฯ

    การอดนอน ผ่อนอาหาร

    เมื่อ เช้านี้ เห็นไหมล่ะ พระไม่ค่อยมีมามาก มีแต่อาหารทั้งนั้นนะ ท่านภาวนาของท่าน พระเบาบางนี้ก็ท่านภาวนาของท่าน วันหนึ่งๆ โอ๊ยเป็นสิบเกือบยี่สิบ วันหนึ่งๆ พระขาดไป เป็นประจำสำหรับวัดนี้นะ พระท่านไม่เคยมาฉันจังหันครบองค์ล่ะ ไม่เคยจริงๆ ขาดอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้
    เหตุ เบื้องต้น ก็เป็นมาจากเราที่เคยอธิบายให้ฟัง แต่เราบอกว่านี้ไม่ใช่คำสั่ง นี้ไม่ใช่คำสอน เป็นคำบอกเล่าธรรมดา เรื่องราวที่ดำเนินมาเราก็พูดถึงเรื่อง เราดำเนินมายังไงๆ อันใดที่เหมาะกับจริตนิสัยของตนยังไงๆ บ้างเช่น การอดนอน การผ่อนอาหาร การอดอาหาร การเดินมาก การนั่งมากให้สังเกตดู ทั้งๆ ที่เราตั้งสติสตังเพื่อความเพียรด้วยกันนั้น ฯลฯ
    ท่านเนสัชชิ (อดนอน) ก็ธุดงค์ข้อ ๑๓ ข้อที่ ๑๓ เนสัชชิ ท่านก็ทำไว้เป็นธุดงควัตร เครื่องชำระกิเลส แต่ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยของใครจะเลือกเอาข้อใดนั่นเอง พูดง่ายๆ ว่างั้น เราไปอดนอนไม่ได้เรื่องก็หยุด เมื่อทดลองเต็มที่แล้วไม่ได้ผล หยุด มาผ่อนอาหารดี อ้าว เข้าท่า แน่ะ เอ้าอดเป็นยังไง ขยับเข้าหาอด พออดอาหารนี้ดีขึ้น ๆ อ๋อ ถูกต้อง อันนี้เด่นกว่าเพื่อน นี่ล่ะถึงได้ปฏิบัติตลอดมา

    พระพุทธเจ้าชมเชยการอดอาหารเพื่ออรรถเพื่อธรรม

    พระ พุทธเจ้าท่านไม่ได้ทรงสั่งสอนพระให้อดอาหารอย่างนั้นอย่างนี้นะทั้งๆ ที่ท่านก็ทำมาแล้ว ท่านก็ไม่สอน ท่านส่งเสริม แต่ไม่เป็นคำสอนจริงๆสั่งบังคับหรือเป็นกฎ เช่น อย่างธุดงค์ ๑๓ ข้อ เป็นข้อๆ เครื่องดำเนิน การอดอาหารไม่ได้มีในธุดงค์ ๑๓ แต่มีในบุพพสิกขา นั่นอย่างนั้นนะ คือแยกออกไปหลายเล่ม คัมภีร์มีมากนี่นะ เรามันเห็นนี่ว่าไง บุพพสิกขาท่านถอดออกมาพูดถึงเรื่องการอดอาหาร
    พระองค์ว่าการอด อาหารนั้นมีทั้งโทษทั้งคุณ ถ้าอดเพื่อความโอ้อวดเรียกว่าเป็นแบบกิเลส ปรับอาบัติทุกอิริยาบถความเคลื่อนไหว ปรับหมด ฟังซิอดอาหาร อดอาหารเพื่อโอ้เพื่ออวดเป็นกิเลสตัณหา ท่านปรับอาบัติทุกอิริยาบถ ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้ว อดเถิด เราตถาคตอนุญาต นั่นเห็นไหมถ้าอดเพื่ออรรถ เพื่อธรรมแล้วอดเถิด ตถาคตอนุญาต นี่อันหนึ่ง
    อัน หนึ่งบอกไว้ ตอนที่พระสาวกทั้งหลายมาเฝ้า ท่านบอกว่าการขบฉันอาหารน้อยๆ รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเบา ธาตุขันธ์ก็เบา จิตใจก็สะดวกสบายบรรดาพระสงฆ์ที่เข้าเฝ้าท่าน เออ ถูกแล้ว เราตถาคตก็ทำอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน นั่นเห็นไหม ถ้าเวลาฉันมากมันอึดอัด นั่นฟังซิ
    พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงชมเชย ฉันน้อยดี ท่านว่า ตอนอดอาหารท่านก็บอก อดเถิด เราตถาคตอนุญาต นั่นเห็นไหม ถ้าตอนที่ฉันน้อยนี้ เราตถาคตปฏิบัติอย่างนั้นอยู่แล้ว ยิ่งเวลาว่างๆ แล้วตถาคตจะไม่ฉันมากเลยเพื่อความสะดวกในธาตุ ในขันธ์ ท่านไม่ได้แก้กิเลสตัวใดนะ พระพุทธเจ้าระหว่างขันธ์กับจิตที่อาศัยกันอยู่นี้ โลกสมมุติทั้งมวลจะมาอยู่ในขันธ์กับจิตเท่านั้นที่รับทราบ รับผิดชอบกันอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าไม่ได้แบกอะไรรับทราบอะไรมากมายนัก ยิ่งกว่าเรื่องของขันธ์
    การอดและการผ่อนอาหารนี้ เป็นการเสริมความพากเพียร เสริมจิตใจให้ดีขึ้น อย่างไรดีกว่ากันก็ต้องทำอย่างนั้น แต่ที่ให้พอดีนั้นก็คือการผ่อนนั้นแหละ เวลาอยู่กับหมู่กับเพื่อนมากนี้ การผ่อนดี ถ้าไปอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวเรียกว่าทุ่มกันเลย ทีนี้เอาให้หมดตัวเลย อดว่างั้นเลย ตายก็ตายซัดกันเลย นี่ได้ผลเป็นที่พอใจ เกี่ยวกับหมู่กับคณะนี้ก็ต้องลดหย่อนผ่อนผัน จึงต้องมีผ่อนอาหารๆ เพื่อการประกอบความเพียรให้พอเหมาะพอดี เพราะฉะนั้นพระในวัดนี้ ท่านจึงทำอยู่เสมอ ไม่ขาดวัดขาดวาแหละ
    การอดอาหารไม่ได้เพื่อ ตรัสรู้ด้วยการอดอาหารนะ ด้วยความเพียรต่างหาก เป็นแต่เพียงว่าอาหารมันเป็นเครื่องเสริม เครื่องกดเครื่องถ่วงได้จึงต้องระมัดระวัง นี่ล่ะให้บรรดาลูกหลาน ทั้งหลายจำเอาไว้ เห็นไหมพระท่านอดท่านจะเป็นจะตายเหมือนเรา แต่ทำไมท่านถึงอด ท่านก็มีหัวใจเหมือนกันนั่นล่ะอดด้วยเหตุด้วยผล ด้วยอรรถด้วยธรรม อดเถิด ว่างั้นเลย

    การสวดมนต์ไหว้พระของวงกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น

    วง กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น จะไม่มีรวมกัน สวดมนต์ไหว้พระ เพราะอันนี้เป็นอีกประเภทหนึ่ง หยาบกว่าการทำภาวนาเงียบๆ การรวมสวดมนต์ไหว้พระกันนี้ ผลสู้เงียบๆ ไม่ได้ อย่างหลวงปู่มั่นไม่เคยพาทำวัตรทำวานอกจากเป็นวัน จำเป็นที่ท่านจะโอนอ่อนลงสำหรับสังคม เช่น มาฆบูชา ทำวัตรค่ำหรือวันอุโบสถ ทำวัตรเรียบร้อยแล้วก็ลงอุโบสถ ท่านทำเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่มี ต่างองค์ต่างเงียบ มีเท่าไรก็เงียบ ภาวนามีผลมากกว่าการไปรวมกันอีก รวมกันมีรวมอารมณ์อีกด้วย ท่านไม่เคยพาทำมา

    วันอุโบสถของพระกรรมฐานสมัยหลวงปู่มั่น

    มัน ติดหูติดตานะสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่น พระกรรมฐานนี้มีรอบๆท่านเต็มไปหมด สำนักละสามองค์บ้าง สี่องค์บ้าง ห้าองค์บ้าง ไปอยู่ตามหมู่บ้านเขาหมู่บ้านละเล็กละน้อย ถึงวันอุโบสถ ท่านก็มาลงอุโบสถ ตอนบ่ายโมง สวดปาฏิโมกข์ลงอุโบสถ หลวงปู่มั่น ท่านประทานโอวาทให้ตอนนั้นแหละ พอลงอุโบสถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เทศน์อบรมพระที่มาลงอุโบสถและฟังธรรมเทศนากับท่านด้วย กลับไปด้วยความเอิบอิ่ม ดูมันประจักษ์ตา มันไม่ลืมนะสิบโมงล่วงไปแล้วไปถึงเที่ยง พระจะหลั่งไหลเข้ามาจากสำนักต่างๆ คอยลงอุโบสถตอนบ่ายโมง
    พอถึงเวลาแล้วพระเตรียมพร้อม ท่าน (หลวงปู่มั่น) ออกมาก็ลงจากนั้นก็สวดปาฏิโมกข์ พอจบลงแล้วก็ประทานโอวาทให้บรรดาพระสงฆ์แต่ละองค์ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าชื่นตาบานเหมือนกันหมด นี่แหละจึงว่าเป็นเหมือนตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ท่านอยู่ที่นั่นสง่างามไปหมด ภายในสง่างาม จิตใจที่ส่องแสงออกไปก็สง่างาม นี่คือผู้หาความสุขเจอความสุขเป็นลำดับลำดา คือ ผู้เสาะแสวงหาธรรมนั้นแล จะเป็นผู้ได้ครองสมบัติที่พึงภูมิใจเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงภูมิใจสุดขีด ได้แก่ อรหัตตบุคคล

    ภัยของพระกรรมฐาน

    เวลานี้วงกรรมฐาน รู้สึกว่าคับแคบเข้ามาทุกทีๆ ผมนี้อดวิตกวิจารณ์ไม่ได้ แล้วยิ่งกว่านี้กิเลสมันมาแบบลึกลับมาเรื่อยๆ ท่านทั้งหลายเห็นไหมเรื่อง หนังสือพิมพ์ ก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องโลก เรื่องสงสาร เรื่องกิเลส โดยประการทั้งปวง ใครก็ทราบแล้ว ผู้ปฏิบัติอรรถธรรมจริงๆ แล้ว จะไม่สนใจถึงข่าวคราวของโลกเหล่านี้เลย เพราะเป็นข่าวของกิเลส ตั้งแต่ไม่มีหนังสือพิมพ์กิเลสมันก็ดีขึ้นมาภายในใจ ให้เป็นข่าวเป็นคราวขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ จนได้อยู่นั้นแหละ
    จากนั้นมาก็มี วิทยุ ก็เป็นข่าวคราวของโลกทั้งนั้น เหล่านี้ ที่กล่าวมานี้ฟัง นี่ขึ้นมาสองกษัตริย์แล้วนะ จากหนังสือพิมพ์แล้วก็มาวิทยุ ฟังข่าวนั้นข่าวนี้มีแต่เรื่องกิเลสตัณหา เข้ากับความเพียรของผู้ปฏิบัติธรรมเพื่ออรรถเพื่อธรรมไม่ได้เลย
    ที นี้ก้าวเข้ามา ก้าวที่สามก็ เทวทัต โทรทัศน์ วิดีโอ นี้เป็นตัวสำคัญมากทีเดียว เป็นสื่อเป็นทางให้ดูดให้ดื่ม ตามกลิ่นอันนี้ไปเรื่อยๆ เพราะมันจะแจ้งมากขึ้น ส่งเสริมกิเลสได้ดีมากขึ้นเป็นลำดับลำดา นี่เป็นกษัตริย์องค์ที่สามกษัตริย์วัฏจักร พอโทรทัศน์วิดีโอขึ้นแล้ว มันก็ต้องมองหาตน หาตัว หาเนื้อหาหนัง หาตัวจริงของกิเลสล่ะทีนี้ มันก็เสาะแสวงไปตามที่เทวทัตวิดีโอชี้ทางบอกแล้ว
    อันดับที่สี่นี้ คือ โทรศัพท์มือถือ อันนี้คอขาดได้เลยพระเรา สี่กษัตริย์มารวมอยู่กษัตริย์ที่สี่ ที่เป็นโทษหนักมากทีเดียว เริ่มปั๊บเข้ามาในวัดก็เป็นเรื่องที่ว่าหาเรื่องหาราว สร้างเรื่องสร้างราว สร้างโรงงานโรงการยุ่งเหยิงวุ่นวายมีแต่เรื่องกิเลสล้วนๆ เข้ามาสู่หัวใจตลอด หาความสงบไม่ได้ ถ้าลงได้มีโทรศัพท์ โทรศัพท์กับหูจะจ้อกันอยู่เหมือนโลกทั่วๆ ไป ดูไม่ได้นะ พระเราถ้าลงมีโทรศัพท์มือถือแล้ว เขียนใบตายให้เลย ไม่ต้องเขียนอย่างอื่นแหละ ฯลฯ

    วัตถุ คือ ภัยของพระกรรมฐาน

    ด้าน วัตถุล่ะเป็นสำคัญมาก เป็นอันตรายต่อ เฉพาะอย่างยิ่งต่อจิตตภาวนาของพระ ต่อพระกรรมฐานของเรา วัตถุนี้เกลื่อน ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่าวัตถุนั้นคือ ตัวภัย ถือเป็นความสะดวกสบายทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดด้วยกันกิเลสนี้แฝงไปตลอดเวลา ไม่ว่าสถานที่อยู่ ที่กิน ที่หลับ ที่นอน เรื่องกิเลสนี้จะแฝงไปๆ
    ธรรมชาติแท้ๆ ท่านไม่มีอะไร ท่านไม่ยุ่งนะ วัตถุนี้ท่านไม่ยุ่ง คิดดูซิไล่เข้ารุกขมูลร่มไม้ นั่นเห็นไหมล่ะ ถ้าวัตถุก็เป็นอย่างนั้นไปเสีย ไม่ได้วัตถุหรูหราฟู่ฟ่า ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนทุกวันนี้นะ ในวัดในวานี้ไม่ต้องพูดล่ะ เป็นส้วมเป็นถานของกิเลสทั้งหมดเลย พูดให้ชัดเจนตามอรรถตามธรรม ตามความรู้สึก ได้พิจารณาและปฏิบัติมาอย่างนี้ ฯลฯ

    พระธุดงคกรรมฐาน ของพระธรรมวิสุทธิมงคล - Powered by phpwind
     

แชร์หน้านี้

Loading...