ใครที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลและทุรกันดาร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย satan, 25 สิงหาคม 2007.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    (b-smile) [b-hi]
    ทางดีไม่มีคนเดิน

    ใครที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลและทุรกันดาร

    แม้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็คงเข้าใจได้ว่า การเดินทางไปไหนมาไหนสะดวกสบายหรือไม่ ยิ่งย้อนรอยไปไกลถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือรุ่นของคุณปู่คุณย่า อย่าว่าแต่หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลอย่างในเวลานี้เลย ที่เดินทางเข้า-ออกลำบาก เอาแค่หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ห่างออกไปจากตัวอำเภอไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตร ถนนหนทาง ย้ำแย่ยิ่งกว่าทางเข้าป่าในเวลานี้เสียอีก ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงถนนหนทางที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้านต่าง ๆ ไปจนถึงทางเท้า ที่ชาวบ้านใช้เดินเข้าไปในป่าและเรือกสวนไร่นา หรือว่าทางเกวียน ที่ชาวบ้านใช้ขนผลิตผลการเกษตรกลับมาเก็บไว้ที่บ้าน พูดได้ว่ายากกว่าสนามแข่งขันออฟโรดเสียอีก

    สภาพของถนนหนทาง ที่เป็นอุปสรรคในการเดินทางเช่นนี้

    ชาวบ้าน จึงไม่มีทางเลือกใดดีไปกว่าการเดินเท้า และไม่มีทางเลือกใด ที่ดีไปกว่าการใช้เกวียนเป็นพาหนะในการเดินทางและขนส่งสินค้าต่าง ๆ อีกแล้ว การเดินทางเช่นนี้ แม้จะมีความล่าช้า ถ้าเปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยรถลาในปัจจุบัน แต่ก็มีความสนุกสนานปะปนกันไปในระหว่างเดินทาง ยิ่งเดินเท้ากับคนหมู่มากและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ก็ยิ่งได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่พรั่งพรูออกมาจากคนโน้นทีคนนี้ที ตลอดเส้นทางที่เดินไปจนกระทั่งถึงที่หมาย

    การเดินเท้าไปไหนต่อไหนกับคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านบ่อย ๆ นี้เอง เป็นที่มาของวลีหนึ่ง

    ซึ่งประทับอยู่ในความทรงจำของผู้เขียนมายาวนาน แม้ในขณะนั้น ผู้เฒ่าหลายคนจะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายหลายอย่างให้ฟัง แต่ก็ไม่ชวนให้สงสัยและจดจำเท่ากับคำพูดที่ว่า “อีกหน่อย ถ้าทางที่เราเดินนี้ดี ก็จะไม่มีคนเดินอย่างทุกวันนี้อีกแล้ว” ในขณะนั้น ผู้เขียนไม่ได้ย้อนถามกลับไปว่าเพราะอะไร แต่ก็คิดอยู่ในใจว่า ทางดีจะไม่มีคนเดินได้อย่างไร ก็ในเมื่อทางไม่ดีอย่างที่เป็นอยู่นี้ยังมีคนเดินเลย ต่อเมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งเติบใหญ่ หวนระลึกถึงคำพูดของพ่อเฒ่าขึ้นมาเมื่อใด ก็รู้สึกว่า พ่อเฒ่าได้ให้ปริศนาธรรมมาขบคิดและหาคำตอบกันเอาเอง

    ทางดีไม่มีคนเดิน” นั้น เข้าใจว่า คงจะไม่ใช่ถนนหนทางที่ใช้เดินกันเพียงอย่างเดียว

    พื้นที่ทางนามธรรมที่เป็นช่องทาง หรือเป็นโอกาสให้เราได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ก็เป็น “ทาง” ในความหมายหนึ่งอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำความดีหรือความชั่วก็ตาม

    “ทาง” ในความหมายแรก อันหมายถึง “ถนนหนทาง” นั้น

    ในวันนี้ ก็ต้องยอมรับกันว่าเป็นจริงแล้ว เพราะถนนหนทางที่ลาดยางหรือเทคอนกรีตอย่างดี เชื่อมโยงกันไปทุกที่ทุกแห่งนั้น เต็มไปด้วยรถลาที่วิ่งกันไปมาจนหาทางเดินเท้าไม่ได้ ส่วน “ทาง” อันหมายถึง “มรรค” ที่เป็นโอกาสให้เราได้ทำความดี ที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตตามนัยพระพุทธศาสนานั้น ยิ่งนับวันก็ยิ่งหาคนเดินน้อยลงทุกที แม้แต่ในหมู่ภิกษุเองก็ตาม ยังเดินผิดทางกันเป็นจำนวนมาก

    โดยนัยนี้ “ทางดีไม่มีคนเดิน” ที่คนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนพูดไว้

    จึงเสมือนหนึ่งคำทำนายที่ไม่ได้ตอบคำถามว่า ทำไมทางดีไม่มีคนเดิน หรือมี ก็มีน้อยลงทุกที ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทาง” ที่ส่งเสริมกุศลธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    ในประเด็นคำถาม ที่ผู้เฒ่าให้เราค้นหาคำตอบเองนี้

    หลายคนก็คงมีเหตุผลต่าง ๆ นานาที่จะยกขึ้นมาตอบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการรับรู้แห่งกายและจิตของเราเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ความเห็นแตกต่างกันออกไป แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ความเห็นที่แตกต่างจะนำมาสู่ความขัดแย้งจนเกิดความแตกแยกเสมอไป ในทางตรงกันข้าม ความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย กลับทำให้เราเปิดมุมมองใหม่ ๆ และได้เรียนรู้กว้างขึ้นไปอีกว่า เพราะเหตุใด คน ๆ หนึ่งจึงตัดสินใจเลือกเดินทางอย่างที่ตนคิดตนเชื่อ

    ในพระพุทธศาสนานั้น

    ยอมรับและเคารพความแตกต่างทางความคิดความเชื่อของผู้คนและสังคมมาทุกยุคสมัย พระพุทธองค์ไม่ได้บังคับขู่เข็ญใครให้เดินทางอย่างที่พระองค์ทรงดำเนินมา หรือว่าบังคับขู่เข็ญใคร ให้สึกออกไปจากความเป็นสมณะ พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ทรงทำหน้าที่เพียงเป็นผู้ชี้ทางให้เราเดินเท่านั้น ว่าทางที่พระองค์เดินเป็นอย่างไร เดินกันอย่างไร และจุดมุ่งหมายคืออะไร ส่วนใครจะเดินหรือไม่ ก็ให้เป็นเรื่องของคน ๆ นั้นตัดสินใจเอาเอง

    ในหลาย ๆ พระสูตร เราได้เห็นการทำหน้าที่ของพระพุทธองค์

    ในฐานะที่ทรงเป็นผู้ชี้ทางแก่ผู้คนมากมาย ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบ้าง ไม่ประสบความสำเร็จบ้าง ที่ประสบความสำเร็จ บางท่านเมื่อเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา แต่ไม่สามารถบรรลุมรรคผลตามที่ตนพึงหวังก็ลาสิกขาออกไปก็มี ส่วนที่ไม่ประสบความสำเร็จ พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ติดใจอะไร แม้จะเสียเวลาไปกับการตอบคำถามมากมายให้กับคน ๆ นั้นจนหายสงสัย ต่อเมื่อไม่ต้องการเดินทางที่พระองค์ทรงชี้ให้ ก็ทรงวางอุเบกขาเสีย ที่ซ้ำร้ายกว่านั้น หลายต่อหลายครั้ง พระองค์ยังถูกท้าทาย ถูกต่อว่า และถูกกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา แต่พระพุทธองค์ก็ทรงมีเมตตาอย่างยิ่งกับบุคคลเหล่านั้น

    วิธีการหนึ่งในหลาย ๆ วิธี ที่พระพุทธองค์ใช้กระตุ้นให้เราพิจารณาด้วยปัญญาของตน

    ก่อนจะเลือกเดินทางใดหรือไม่เดินทางใด หรือก่อนจะใช้จะเสพอะไรนั้น ก็คือการพิจารณาหาประโยชน์แก่นสารและความจำเป็นสูงสุดของวัตถุสิ่งของหรือความคิดความเชื่อนั้น ๆ ด้วยการแยกแยะหาแก่นและกระพี้ ต่อเมื่อเห็นตลอดสายว่า แก่นและกระพี้ของสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างไร เราจะเลือกเดินทางใดก็ไม่มีใครบังคับ ดังตัวอย่างหนึ่งซึ่งปรากฏในโสณทัณฑสูตร

    โสณทัณฑะ เป็นชื่อพราหมณ์ท่านหนึ่ง

    ซึ่งเย่อหยิ่งทะนงตนในความเป็นพราหมณ์ อีกทั้งยังครองตนอยู่ในลาภยศสรรเสริญที่ได้จากพระราชาและชาวบ้าน ต่อเมื่อพระพุทธองค์กระตุ้นให้พิจารณาด้วยตนเองว่า คุณสมบัติที่แท้ของความเป็นพราหมณ์คืออะไร โดยไล่เรียงไปตามลำดับ แล้วตัดออกไปทีละข้อ ๆ จากชาติกำเนิด การศึกษา รูปงาม จนเหลือแต่ศีลและปัญญา ซึ่งไม่อาจจะตัดข้อหนึ่งข้อใดออกไปได้ เนื่องจากทั้งสองอย่างนี้ต้องอาศัยกันและกันฯ

    ต่อเมื่อโสณทัณฑะเห็นชัดว่า อะไรคือแก่นสาร อะไรคือกระพี้

    พระพุทธองค์ก็ชี้ให้เห็นต่อไปอีกว่า ทางที่พระองค์เดินเป็นอย่างไรและนำไปสู่ตรงไหน แต่โสณทัณฑพราหมณ์ แม้จะเห็นดีเห็นงามไปกับพระพุทธองค์ทุกประการ จนไม่มีคำถามและข้อโต้แย้งใด ๆ แต่ก็ไม่ประสงค์เดินทางที่พระองค์ทรงชี้ให้ เนื่องจากเห็นว่าลาภยศสรรเสริญสำคัญกว่าสิ่งใด จึงขอเดินตามทางของตนต่อไป มิหนำซ้ำยังกราบทูลให้พระพุทธองค์ทราบอีกว่า ตนจะขอทำความเคารพพระพุทธองค์ในท่ามกลางคนหมู่มากด้วยวิธีการอื่นที่ไม่ใช่การกราบไหว้ เนื่องจากจะทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาตนอีกด้วย

    ที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง

    ซึ่งสะท้อนให้เห็นตัวตนของคนจำนวนไม่น้อยในปัจจุบัน ทั้งที่เดินทางและกำลังเดินทางอย่างโสณทัณฑพราหมณ์ โดยเห็นลาภยศสรรเสริญเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิต จนลืมคิดไปว่ายังมีความสุขอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ต้องอาศัยอามิส หรืออาศัยอามิสแต่น้อยในการหยั่งชีพแห่งตน

    บุคคลที่เลือกเดินทางเช่นนี้

    ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็จะตะเกียดตะกายหาเงินหาทองให้ได้มาก ๆ โดยคิดว่าปั้นปลายชีวิตจะได้สุขสบาย แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึง ส่วนคนที่ไปถึง ก็รู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่าไร้จุดหมาย จนต้องใช้เงินซื้อหาความสุขทางใจในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิต ซึ่งก็เดินทางผิดอีกเช่นกัน

    ด้วยเหตุดังนั้น

    ถ้าเราไม่ต้องการเดินทางตามโสณทัณฑพราหมณ์ หรือเดินตามโสณทัณฑพราหมณ์ แต่กอปรไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” อยู่เต็มหัวใจ คล้ายกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ควรใช้วิถีแห่งปัญญาในการพิจารณาแยกแยะให้ตลอดสาย มีกัลยาณมิตร และมีศรัทธาอย่างยิ่งยวดที่จะค้นหาแก่นและกระพี้ ก็เชื่อแน่นว่าเราจะไม่เดินหลงทางอีกต่อไป ทางดีที่ไม่มีคนเดิน หรือมีคนเดินกันน้อย ก็จะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นไปเรื่อย ๆ
    ขอบคุณที่มา ทีมงานพุทธิกา

    โดย :แอ๊บแบ๊ว (ทีมงาน TeeNee.Com)
    http://variety.teenee.com/foodforbrain/3678.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2007
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    "กลอนธรรมะสอนใจคลายยึดตน"
    ขอพวกเราทั้งหลายจำไว้เถิด
    ว่าการเกิดนี้ลำบากยากนักหนา
    ครั้นคนเราได้กำเนิดเกิดขึ้นมา
    ก็กลับพากันถึงซึ่งความตาย
    (หลวงวิจิตรวาทการ)

    ต้องเวียนเกิดเวียนตายตามบุญบาป
    เมื่อไรทราบธรรมแท้ไม่แปรผัน
    ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายสบายครัน
    มีเท่านั้นใครหาพบจบกันเอย
    (ท่านพุทธทาสภิกขุ)

    กายนี้ท่านเปรียบดั่งท่อนไม้
    ครั้นดับไปสมมติว่าเป็นผี
    เครื่องเปื่อยเน่าสะสมถมปฐพี
    เหมือนกันทั้งผู้ดีและเข็ญใจ
    (เจ้าพระยาคลัง หน)

    อันรูปรสกลิ่นเสียงนั้นเพียงหลอก
    ไม่จริงดอกอวิชชาพาให้หลง
    อย่าลืมนะร่างกายไม่เที่ยงตรง
    ไม่ยืนยงทรงอยู่คู่ฟ้าเอย
    (จากหนังสือเก่าโบราณ)

    กลางทะเลอวกาศที่เวิ้งว้าง
    สรรพสิ่งได้ถูกสร้างแปลงไว้
    จากดินน้ำลมและไฟ
    ก่อเกิดเป็นสิ่งใหม่เรื่อยมา

    เมื่อถึงคราวแตกดับ
    สรรพสิ่งก็หมุนกลับไปหา
    ธรรมชาติเดิมแท้นั้นอีกครา
    เวียนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น
    (สมภาร พรหมทา)

    ขอบคุณที่มา เว๊ปไซต์ธรรมะไทย
    โดย :แอ๊บแบ๊ว (ทีมงาน TeeNee.Com)
    http://variety.teenee.com/foodforbrain/3679.html
     
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ความอ่อนน้อมถ่อมตน
    ผู้ทรงภูมิปัญญาไม่อวดโอ้

    ชอบคุยโวย่อมสูญเสียความสุขุม

    ทุกเวลาหมั่นสำรวจแลควบคุม

    จิตถูกหุ้มไอโลกีย์จะคืนเสรี

    ผู้ทรงภูมิปัญญาไม่อวดโอ้

    เหมือนขวดน้ำหากมีน้ำเต็มเปี่ยม

    เมื่อเคาะเสียงจะไม่ดัง

    ไม่เหมือนขวดที่มีน้ำไม่เต็ม

    ยิ่งเคาะยิ่งเสียงดัง

    เกิดเป็นคนต้องเป็นเหมือนดาบที่คมในฝัก

    เมื่อชักออกมาถึงเห็นคุณค่า

    แต่จะเป็นคนที่คมในผักได้นั้น

    ภายในจิตใจต้องมีหลักการและอุดมการณ์ที่เข้มแข็งมั่นคง

    ท่าทีที่แสดงออกต่อบุคคลภายนอกจะต้องอ่อนน้อม

    สับหลีกและไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร

    จึงจะเรียกว่าคมในผักอย่างแท้จริง

    การเสแสร้งหลอกลวง

    ย่อมเป็นการง่ายที่จะก่อเรื่องทะเลาะวิวาท

    ถ้ารู้จักยอมในเรื่องเล็กๆน้อยๆ

    เรื่องใหญ่ๆเขาย่อมทำได้สำเร็จ

    มีสำนวนกล่าวว่า

    หากเราเกิดเป็นคน

    การอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้ใช้ท่าทีที่อ่อนน้อมสำรวมระมัดระวังตน

    เมื่ออยู่ร่วมกับเขา

    ทั่วสี่คาบสมุทรเขาย่อมเป็นเพื่อนเราก็รังเกียจ

    เราลองย้อนดูท่าทีที่เราปฏิบัติต่อเขา

    ว่าหยิ่งผยอง ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงเขาหรือไม่

    แต่หากตรวจสอบแล้วว่า

    เราใช้ท่าทีที่อ่อนน้อม อยู่ร่วมกับเขาด้วยความสุภาพนุ่มนวล

    ไม่เคยใช้อำนาจบาตรใหญ่

    หากเขายังทำไม่ดีกับเรา ก็ต้องอดทน

    ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญทำดีอย่างไม่ย่อท้อ

    เสียสละ อ่อนน้อม สุภาพกับเขาให้เต็มที่

    สักวันหนึ่งความดีย่อมชนะความชั่ว

    ทำไปเรื่อยๆ วันนี้ไม่ชนะ...พรุ่งนี้ย่อมชนะได้


    (พระโอวาทท่านหลันไฉ่เหอเมตตา ที่ ฉงเต๋อ กาญจนบุรี ๒๕๔๒)

    ขอบคุณที่มา : สังคมธรรมะออนไลน์
    โดย :แอ๊บแบ๊ว (ทีมงาน TeeNee.Com)
    http://variety.teenee.com/foodforbrain/3516.html
     
  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    คิดผิด คิดถูก




    เราต้องพยายามพิจารณาให้รู้ว่า

    คิดอย่างไรเรียกว่า "คิดผิด" คิดอย่างไรเรียกว่า "คิดถูก"


    ถ้ามีเรา มีเขา มีสิ่งนี้ สิ่งนั้น เรียกว่าคิดผิด

    คิดแล้วจิตไม่สงบก็เรียกว่า คิดผิด

    คิดไปตามกิเลสตัณหา เรียกว่า คิดผิด


    ปกติจิตก็คิดไปเรื่อยๆ

    เมื่อระงับการปรุงแต่งของจิตไม่ได้ ก็ทุกข์

    คิดผิด คือ จิตที่คิดมาก มี "เขา" มี "เรา"

    เป็นความคิดต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ

    คิดตามอำเภอใจ ตามกิเลสตัณหา เช่นนี้ เรียกว่า คิดผิด

    ถ้าเรา ตั้งเจตนา คิดที่จะทวนกระแส

    คือ ระงับตัณหา เรียกว่า คิดถูก

    แม้จะทุกข์อยู่ก็ตาม ทุกข์มากก็ตาม ก็อย่าสนับสนุน

    เพื่อจะระงับทุกข์ ระวังอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น

    มีหิริ โอตตัปปะ ละอาย กลัว

    ไม่คิดไปตามกิเลสตัณหา ทวนกระแสต่อสู้อยู่อย่างนี้

    ระงับตัณหา อุปาทาน ระงับความยินร้าย


    อันนี้เราก็หมั่นสังเกต

    ให้เราปฏิบัติตรงนี้ ปฏิบัติให้ถูก

    จิตก็สงบ ไม่ค่อยคิดอะไร ทำใจสงบอย่างเดียว

    เห็นอะไร ได้ยินอะไร ที่ไม่ถูกใจ จิตก็ไม่ปรุง

    เราสามารถทำใจสงบได้ เพราะไม่ต้องคิดอะไร

    อดทน ขัดเกลาความรู้สึก เรียบง่าย





    สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:
    พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
    วัดป่าสุนันทวนาราม

    http://variety.teenee.com/foodforbrain/2500.html
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ทำไมใบไม้ต้องอยู่ด้วยกันกับดอกไม้
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

    ดอกไม้และใบ้ไม้ยังไม่ได้รวมอยู่บนต้นเดียวกันอย่างเช่นทุกวันนี้ มันต่างก็แยกกันอยู่ อีกทั้งเหล่าใบไม้ก็ไม่ได้มีแต่สีเขียวหากแต่มีหลากหลายสีสัน งดงามนัก แต่ดอกไม้กลับมีเพียงสีขาวเท่านั้น ใบไม้รวมอยู่กับ หมู่ใบไม้ด้วยกัน มีแต่ความร่าเริง มีนิสัยรักสนุก ต่างจากดอกไม้ที่อยู่อย่างเงียบเหงา เดียวดาย แม้จะอยู่รวมกันคุยกันกับหมู่ดอกไม้ด้วยกันแต่ดอกไม้แต่ละดอกต่างมีความคิดและวาดฝันเป็นของตัวเอง เธอเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่าง ที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

    บ่อยครั้งที่เธอมองไปที่ใบไม้

    แล้วนึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของสีสันสวยงามนั้นบ้าง แต่ดอกไม้ดอกเล็กและเสียงเบาเกินกว่าที่จะเรียกใบไม้ให้หันมา

    กระทั่งวันหนึ่ง...

    ใบไม้เกิดรู้สึกเบื่อสีสันของตัวเองขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นดอกไม้น้อยสีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งเข้า ใบไม้ไม่รู้จักสีขาวมาก่อน เขาไม่รู้ว่าสีขาวเป็นอย่างไร เพราะใบไม้ต่างก็มีสีสันกันทุกใบ ใบไม้เกิดหลงใหลในความอ่อนหวานละมุนละไมของดอกไม้น้อยในทันที แต่ในความอ่อนหวานนั้นดูเหมือนจะมี ความเหงาแฝงอยู่ด้วย ใบไม้จึงเข้าไปถามดอกไม้ว่า

    "ดอกไม้ เธอช่างมีสีขาวสวยเหลือเกิน แต่ทำไมเธอจึงดู เงียบเหงาอย่างนี้เล่า"
    ดอกไม้น้อยแหงนมองใบไม้กิ่งใหญ่ แข็งแรงก่อนจะตอบกลับไปว่า " สีขาวซีดอย่างนี้หรือสวย ฉันอยากจะมีสีสันอย่างเธอบ้างจัง มันคงจะทำให้ฉันมีชีวิต ชีวาขึ้นมาก"

    ใบไม้ได้ฟังแค่นั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเหลือ
    ดูแล และปกป้องดอกไม้น้อยดอกนี้ เขาจึงบอกเธอไปว่า "มาซิดอกไม้ ฉันช่วยเธอได้นะ ถ้าเพียงเธอมาอยู่กับฉันฉันจะทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นเอง" ดอกไม้น้อยไม่รอช้ารีบตอบตกลงในทันที เมื่อดอกไม้ไปอยู่กับใบไม้แล้ว ใบไม้ก็ให้การดูแลเธอ อย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อเธอ ถ่ายทอดออกมา เป็นสีสันสวยงามให้กับดอกไม้ แล้ววันหนึ่งเมื่อดอกไม้น้อย มองลงไปในลำธาร เธอก็เห็นเงาตัวเองเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีสวยที่มีชีวิตชีวา แต่เมื่อหันไปมองที่ใบไม้ เขากลับกลาย เป็นสีเขียวที่ดูอบอุ่นนัก ดอกไม้น้อยถามใบไม้ว่า

    "ใบไม้ นี่ฉัน แย่งสีสันในชีวิตเธอมารึเปล่านะ" ใบไม้ยิ้มแล้วตอบ กลับไปว่า "ไม่หรอก ทุกวันนี้เธอคือสีสันในชีวิตฉัน ฉันไม่ต้องการสีสันอะไรอีกแล้ว ฉันมีเพียงความสบายใจที่ได้เห็นเธอมีความสุข"

    จากนั้นมา...

    ดอกไม้กับใบไม้ก็อยู่ร่วมกันเป็นต้นไม้ที่อบอุ่นบนรากของความรักที่หยั่งลึกลงไปในผืนดินของหัวใจ ด้วยเหตุนี้ใบไม้จึงมีสีเขียว สีเขียวที่มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา เพราะเมื่อเรามองดูสีเขียวเมื่อไรเราจะรับรู้ได้ถึงความสบายใจของใบไม้
    ที่เห็นดอกไม้น้อยของเขามีความสุข ส่วนดอกไม้ขาวที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ อ่อนหวานละมุนละไมนั้น ดอกไม้คงไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป จึงยังคงมีดอกไม้สีขาวให้เราเห็นมาจนทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน...

    ขอบคุณเนื้อหาจาก สาระแน
    โดย :แอ๊บแบ๊ว (ทีมงาน TeeNee.Com)
    http://variety.teenee.com/foodforbrain/3690.html
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    แย่งตำแหน่ง
    คิ้ว ตา จมูก ปาก ล้วนประกอบขึ้นมาบนใบหน้า

    มีตำแหน่งอย่างเหมาะสม มีอยู่วันหนึ่ง ปากก็พูดกับจมูกว่า
     
  7. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    สิ่งที่ทำได้ยาก
    เราดูอะไรได้ทั้งวัน แต่ให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งสักครู่หนึ่งดูช่างยากเย็นเหลือหลาย

    เราฟังอะไรได้ทั้งวัน แต่ให้ฟังเสียงเต้นของหัวใจตัวเองสักตุ๊บหนึ่งดูช่างยากเย็นเหลือหลาย

    เราหายใจเข้า-ออกได้ทั้งวัน แต่ให้กำหนดสติหายใจเข้า-ออกยาวๆก่อนนอนสักครั้งหนึ่ง ดูช่างยากเย็นเหลือหลาย

    เรากินอะไรได้ทั้งวัน แต่รอให้มีสติพิจารณาก่อนสักชั่วอึดใจหนึ่งดูช่างยากเย็นเหลือหลาย

    เราพูดอะไรได้ทั้งวัน แต่ให้กล่าวคำสรรเสริญพระรัตนตรัยสักจบหนึ่งดูช่างยากเย็นเหลือหลาย

    เราจับต้องลูบคลำอะไรได้ทั้งวัน แต่ให้ลูบคลำเนื้อหนังอันเหี่ยวย่นของตนเองสักครั้งหนึ่งดูช่างยากเย็นเหลือหลาย

    เราเสวยอารมณ์ที่อิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ต่างๆ ตลอดวันแต่ให้รู้สึกสัมผัสต่อความทุกข์จนตลอดสายแม้เพียงครั้งเดียวในชีวิตดูช่างยากเย็นยิ่งไปกว่านั้น

    ที่มา : โลกนี้ไม่มีฉันของ วรธัม

    โดย :แอ๊บแบ๊ว (ทีมงาน TeeNee.Com)
    http://variety.teenee.com/foodforbrain/3659.html

    และสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งคือ การให้อภัยและการเห็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง...แต่ความพยายามอยู่ไหน ความสำเร็จอยุ่ที่นั่น...สักวันมันต้องทำได้...จริงไหม (b-smile) [b-hi]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 สิงหาคม 2007
  8. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    อย่าเก็บกากเดนของวันวานมาเป็นเครื่องถ่วงความเจริญในวันนี้
     
  9. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
     

แชร์หน้านี้

Loading...