โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 16 สิงหาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    ถาม : คาเมนไรเดอร์ หรือไอ้มดแดง เรื่องนี้เป็นเรื่องเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่ก้าวหน้า ไอ้มดแดงเขามักจะให้หน้าที่คอยปราบอธรรมและจะมีหญิงสาว หรือนางเอกคอยพูดคำว่า “กันปะเต๊ะ” ที่แปลว่า สู้เขานะ หรือให้กำลังใจไอ้มดแดง ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีมาก แต่กลับประสบปัญหาทางด้านจิตใจและวัฒนธรรม หรือที่เรียกว่า “วัตถุนิยม” ดั่งจะเห็นได้จากวัยรุ่นคลั่งนักร้องมากกว่าที่อื่น ช่วงหลังมาจึงได้พยายามรื้อฟื้นประเพณีต่างๆ ขึ้นมามากขึ้น เช่น การฝึกฝนการชงชา เป็นต้น

    คราวนี้มาถึงบ้านเราที่มีวัฒนธรรมการสร้างการ์ตูนแบบ “จ๊ะจิงจา” คือขายเทปเพลงอย่างเดียว เรื่องการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็กๆ ที่ชอบใจสิ่งที่ผู้ใหญ่สร้างให้ดูภาพและเสียง สำหรับผู้ที่มีอารมณ์ใจในการปฏิบัตินั้น สภาพสีสันและเสียงที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าควรตั้งอารมณ์ใจอย่างไร ? สีสันวรรณะที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้านั้นที่ว่ามันหลอกเรา มันหลอกเราอย่างไร ? การพัฒนาทางโลกและทางธรรมมีความเป็นไปได้หรือไม่ ? ที่จะพัฒนาไปพร้อมๆ กัน

    ตอบ: เริ่มจากการ์ตูนญี่ปุ่นแล้ว ก็ที่ชาวบ้านคือ พวกวัยรุ่นญี่ปุ่นก็พากันกลายไปเป็นพวกวัตถุนิยม บริโภคนิยม คลั่งไคล้พวกนักร้องหนักกว่าที่อื่นเขา จริงๆ แล้วทั้งหมดนี่เรื่องของความเจริญเราปฏิเสธไม่ได้ มันมาถึงอยู่เรื่อยๆ คราวนี้เราถาม เอาคำถามสุดท้ายขึ้นมาก่อนที่บอกว่า เรื่องของการพัฒนาทางโลกและทางธรรรมไปด้วยกันได้มั้ย ? จริงๆ แล้วไปด้วยกันได้ คือ เทคโนโลยีทุกอย่างเราปฏิเสธมันไม่ได้ ความเจริญนี่ แต่เราใช้มันอย่างมีสตติให้มันเป็นเครื่องส่งเสริมเรา อย่าให้มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา

    อย่างที่ในหลวงเตือนอยู่เสมอๆ ว่าให้ใช้เศรษฐกิจพอเพียงน่ะ ที่ท่านบอกพอเพียงไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แต่ว่าเรามีเหลือเฟือแล้วเราค่อยไปหาอย่างอื่นเข้ามา ในเมื่อถ้าเราใช้อย่างมีสติอย่างนั้น ทางโลกกับทางธรรมจะไปกันได้ดี

    ส่วนที่ว่าลักษณะของมันๆ ล่อลวงให้หลงยังไง ? ก็คือตาเห็นรูปแล้วชอบใจไม่ชอบใจ หูได้ยินเสียงชอบใจไม่ชอบใจ จมูกได้กลิ่นชอบใจไม่ชอบใจ ลิ้นได้รสชอบใจไม่ชอบใจ กายสัมผัสชอบใจไม่ชอบใจ ไอ้ทั้งสองตัวนี้มันเล่นเราทั้งขึ้นทั้งล่อง ชอบใจเป็นอารมณ์ของราคะ ไม่ชอบใจเป็นอารมณ์ของโทสะ เสร็จมันทั้งคู่

    คราวนี้การที่เราถ้าหากว่าไม่เอาสติตั้งอยู่เฉพาะหน้า ตาเห็นรูปใจไปคิดต่อก็จะเป็นอันตรายต่อเรา อย่างเช่นว่าเห็นนักแสดงผู้หญิงสวยๆ เราเป็นผู้ชายก็เออสวยแฮะ สเปกอย่างนี้ของเราเลย ถ้าเป็นเมียเราก็ดีเนอะ อะไรก็จะว่ายาวไปเรื่อย ก็จะเกิดประเภทไม่ราคะก็โทสะโมหะขึ้นมาบานเบอะ ทำอย่างไรเราจะสร้างสติของเราให้เท่าทันและหยุดมันไว้ทันทีที่เห็น ทันทีที่ได้ยิน ทันทีที่ได้กลิ่น ทันทีที่ได้รส ทันทีที่สัมผัส อย่าให้มันเข้ามาทำอันตรายเราในใจได้ นั่นคือเราต้องหยุดใจของเราอยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้เดี๋ยวนี้อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับการภาวนา หยุดการปรุงแต่งทั้งปวง ถ้าเราหยุดได้ สติปัญญารู้เท่าทันห้ามมันทัน เพราะเห็นทุกข์ เห็นโทษของมัน ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นไม่ได้ มันก็ดับอยู่แค่นั้น อันนี้หนึ่งข้อสามคำถามเริ่มตอบจากหลังมาหน้า

    ถาม : ในทางจิตวิทยาเขาได้ชี้แนะหนทางในการห้ามปรามลูกวัยรุ่นด้วยประโยคคำถามและรู้สึกว่าจะได้ผลดี แต่เรื่องนี้ไม่ต้องให้นักจิตวิทยาสอนเราก็รู้อยู่แล้ว แต่เราจะใช้ประโยคคำถามในลักษณะประชดมากกว่า เขาบอกกันว่าจะพูดอะไรให้คิดก่อนรู้สึกว่าจะไม่ทันอารมณ์ ถ้าเราจะฝึกพูดให้เข้าหูคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านพระคุณเจ้าพอจะมีหลักเบื้องต้นให้แก่กระผมหรือไม่ ?

    ตอบ: จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านบอกเอาไว้ชัดแล้วว่า อย่ากล่าววาจาที่เป็นคำส่อเสียดยุคนอื่นให้แตกร้าวกัน อย่ากล่าววาจาที่เป็นคำหยาบ อย่ากล่าววาจาที่เป็นคำเพ้อเจอเหลวไหล ท่านให้กล่าวแต่ปิยะวาจา คือคำพูดที่ดี ชักนำให้คนอยากปฏิบัติความดี เห็นว่าความดีนั้นทำได้ง่าย เห็นว่าความดีนั้นทำแล้วเป็นเรื่องที่ดีที่จะส่งเสริมเราให้เจริญขึ้น อะไรลักษณะทำนองนี้

    แต่คราวนี้ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราทุกคนขาดการฝึก ในเมื่อขาดการฝึกพออารมณ์กระทบขึ้นมาก็มักจะอาละวาดก่อนเป็นอันดับแรก ในเมื่ออาละวาดไปก่อนเด็กๆ นี่เขาแรงกว่า เขาไม่ค่อยรับอะไรง่ายๆ หรอก อาละวาดใส่มาเขาก็แรงกลับ ก็บ้านแตกสาแหรกขาดอย่างที่เห็น

    เพราะฉะนั้นถ้าจะทำให้ดีที่สุดก็ต้องเอาอย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า หรือไม่ก็ที่โบราณท่านว่านับหนึ่งถึงร้อยไว้ก่อน หรือไม่ก็พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง อะไรอย่างนี้ อย่างอาตมาสมัยก่อนแก้อาการปากไวด้วยการเอาเหรียญหลวงพ่อมาอมไว้ ถึงเวลาขยับลิ้นมันติดเหรียญก็รู้ว่าเอ่อ เราจะไม่พูดเรื่องเหล่านี้นะก็หยุดได้ทัน ก็อยู่ที่เราต้องฝึกตัวเราเอง คนอื่นบอกได้เท่านั้นแหละ แต่จะทำได้เป็นผลต้องอยู่ที่ตัวเราทำ

    ถาม : สำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า “Bolt and Nut” แปลได้ว่า รู้อะไรก็ตามให้รู้หลักๆ ก็พอ รายการแฟนพันธุ์แท้สามก๊กก็มีการตอบคำถาม โดยความจำกันว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร นักวิชาการได้กล่าวถึงประโยชน์ของสามก๊กไว้หลายอย่าง เช่น ๑. การ merge กันหรือการควบรวมกันของกิจการ ๒. การหลั่งไหลของผู้คนที่เรียกว่า สวามิภักดิ์ ๓. ตอนจูล่งฝ่าทัพไปรับอาเต๊าและสุดท้ายอาเต๊า(ไม่ชัด) เรื่องสามก๊ก ที่เกิดขึ้นมาในแต่อดีตเมื่อประมาณ ค.ศ. ๓๐๐ กว่า (ถ้าจำไม่ผิด) แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เคยเกิดมาก่อน สามก๊กเปรียบเสมือน case study หรือกรณีศึกษาเอาไว้เรียนรู้ผู้คน ไม่ใช่ว่าการจำเรื่องทั้งหมดได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่จะให้ดีเข้าขั้นคบไม่ได้ก็ต้องว่ากันอีกที

    ประเด็นคำถามอยู่ที่ว่าความรู้ของคนทางโลกอย่างหนึ่ง ทางธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าบุคคลผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่ทนต่อทุกข์และยอมรับกฎของกรรมเพียงอย่างเดียว ไม่ได้หมายความว่าการยอมรับกฎของกรรมเป็นของไม่ดี และละทิ้งความรู้ในทางโลกทั้งหมด โดยเห็นว่าไม่มีความหมาย ความรู้ในทางโลกและในทางธรรมเราตั้งใจกันอย่างไรดี ?

    ตอบ: จริงๆ แล้วโลกธรรมเขาให้ไปพร้อมกัน โลกต้องไม่ช้ำ ธรรมต้องไม่เสีย อย่างที่โบราณเขาบอกไว้ว่า รู้จริงสิ่งเดียวอาจมีมั่ง เลี้ยงชีพ ช้าอยู่ร้อย ชั่วลื้อหลานเหลน

    เรื่องของตำราต่างๆ โดยเฉพาะสามก๊กนี่ ต้องเอาอย่างที่จีนเขาว่า จีนเขาบอกว่าการเรียนรู้ตามอาจารย์สอนได้ถือว่าเก่ง ถ้าหากว่าเอาไปพลิกแพลงใช้งานได้ผลถึงจะเป็นยอด แต่ถ้าให้เยี่ยมจริงๆ คุณต้องบัญญัติใหม่

    สรุปรวมทั้งหมดที่คุณว่ามาเลยว่าจริงๆ แล้วของทุกอย่างที่ผ่านมาแล้วเป็นบทเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดขึ้น เสื่อมไป เกิดขึ้น เสื่อมเป็นปกติของมันอยู่แล้ว วงจรของมันอยู่อย่างนี้ เรื่องในสามก๊กเกิดขึ้นในสมัยโน้นหลายพันปีมาแล้ว ถึงเวลามันก็มาเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้อีก เพียงแต่ว่าบางแง่บางมุมอาจจะต่างไป เราสามารถที่จะนำของเก่ามาเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขของใหม่ได้อยู่ตลอดเวลา

    พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงจุดสุดท้ายเอาไว้ว่า อิทธิบาท คุณเครื่องแห่งความสำเร็จมันมีข้อสุดท้ายว่า วิมังสา คือเราต้องไตร่ตรองพิจารณาทบทวนอยู่เสมอๆ อย่างที่คนสมัยใหม่เขาใช้คำว่า สรุปประเมินผล ในเมื่อถ้าหากว่าเราไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ เราก็สามารถใช้ของเก่าเพื่อที่เอามาแก้ไขของใหม่ได้ เพราะว่าทุกอย่างมันไปด้วยกันได้ทั้งหมด

    เขาบอกว่าอ่านสามก๊กครบสามจบคบไม่ได้ อาตมาอ่านมาหลายสิบจบ (หัวเราะ) และที่แน่ๆ เมื่อไม่นานมานี้ปีที่แล้ว ป่วยหนักขึ้นมา ก่อนจะหายป่วยทุกครั้งมันจะมีนิมิตให้รู้ว่าตัวเองทำกรรมอะไรไว้ เคยเกิดสมัยสามก๊กเหมือนกัน แต่ตอนนั้นนี่ไปล่อเขาเสียพรุนเลย ตอนนั้นเป็นนายบ้านควบคุมประชากรจำนวนมากอยู่เหมือนกัน แล้วคราวนี้ นายทหารฝ่ายของขงเบ้งนี่แหละ เขาจะไปกวาดต้อนผู้ชายเพื่อเอาไปเข้ากองทัพ ไอ้เราก็ไม่อยากให้ลูกบ้านลำบาก ก็ไปขวางไว้ การขวางนี่เมื่อมีทางเดียวก็คือเขาบอกว่า นอกจากให้เขาทำงานไม่ได้เท่านั้นแหละ เขาถึงจะเลิกความคิดอันนี้เลิกล้มงานอันนี้ มันก็ต้องสู้กันใช่มั้ย ?

    คราวนี้ตอนจะสู้กันไอ้เรานี่ขาสั่น ของเขานี่เป็นยอดขุนพลเลย เคยสู้เสมอกวนอูมาแล้ว และเราเองก็เป็นตัวอะไรก็ไม่รู้อยู่กลางป่า แต่คราวนี้ว่าเพื่อลูกบ้านเราก็ต้องสู้ เพราะว่ามันมีแต่เสมอตัวกับกำไร มันไม่มีขาดทุนนี่ใช่มั้ย ? เสมอตัวคือ ยังไงๆ เขาจะเอาคนของเราอยู่แล้ว ถ้าเราแพ้เขาก็เอาไป กำไรคือ ถ้าชนะเขาไม่ได้แน่ ก็ลองดู แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามเขาประมาท เขากะน้ำหนักอาวุธของเราผิด ตอนนั้นใช้ทวนเป็นอาวุธก็จริง แต่ด้ามมันเป็นเหล็ก พอเขากะน้ำหนักอาวุธของเราผิดเขาปัดแล้วไม่พ้นตัว แหมแทงทีแรกก็ได้แผลเลย มันก็เกิดกำลังใจสอยมันซะพรุนเป็นรังผึ้งเลย แต่ไม่ได้ถึงตายนะ เพราะว่าเราต้องการจะให้เขาเลิกล้มความคิด แต่แหม ขุนทัพที่ผ่านศึกมามากนี่บาดแผลแค่นั้นมันเรื่องเล็กสำหรับเขา มันก็ยิ่งฮึดสู้เข้าไปใหญ่ ประเภทยิ่งเห็นเลือดยิ่งบ้าอย่างนั้น เราก็เลยจำเป็นที่จะต้องแทงเขาจนพรุนเป็นรังผึ้งไปเลย ไม่ถึงตายหรอกแต่เอาแค่สู้ไม่ได้ (หัวเราะ)

    กรรมอันนั้นแหละ ที่ทำให้อาตมาฉี่เป็นเลือดอยู่เป็นอาทิตย์เลย มันปวดเหมือนอย่างกับโดนหอกโดนดาบมันเสียบอยู่ทั่วตัวเลย อันนี้จบจ้ะ เคยเกิดสมัยนั้นเหมือนกัน ถือว่าเป็นนิทานแล้วกัน





    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    .
     
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  3. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...