แสงสว่างในทางธรรม พระสุเมธาจารย์ ( โรเบิร์ต สุเมโธ ) ศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 23 กันยายน 2006.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,977
    แสงสว่างในทางธรรม พระสุเมธาจารย์ (โรเบิร์ต สุเมโธ)
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]


    เส้นทางชีวิตที่เปลี่ยนแปลงการค้นหาครั้งสำคัญ
    อเมริกันนาวิกโยธินหนุ่ม เมื่อราวครึ่งศตววรษก่อนเดินทางท่องโลก เพราะภารกิจของกองทัพ ได้คิดได้ค้นได้พบกับศาสนาของโลกตะวันออก และได้กำหนดเส้นทางชีวิตใหม่ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กลายมาเป็น "พระสุเมธาจารย์ที่ฝรั่งไทยเคารพศรัทธา เมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว ท่านเป็นทหารเรืออเมริกันสมัยสงครามเกาหลีได้ไปประเทศญี่ปุ่น มีความสนใจในศาสนาพุทธ แต่หนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษ ยังมีน้อยหายากเดินทางไปๆ มาๆ ญี่ปุ่น ซานฟรานซิสโกอยู่ ๒ ปี

    ออกจากกองทัพแล้ว ก็กลับไปเรียนปริญญาตรีที่อเมริกา จบปริญญาตรีสาขา ประวัติศาสตร์ของประเทศจีน เพื่อศึกษารากลึกของทวีปเอเชีย จากนั้นเรียนต่อที่แคลิฟอร์เนีย ๒ ปี ได้ปริญญาโท ประวัติศาสตร์ของอินเดีย

    "เมื่อจบปริญญาโทแล้ว ก็ยังมีความสนใจมากที่อยากปฏิบัติ แสวงหาอาจารย์ที่จะสอนเรื่องของจิตใจเพื่อจะ ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัส ในประเทศอเมริกายังไม่พบอาจารย์สักคน เมื่อได้ปริญญาโทแล้ว ก็ได้สมัครเป็น
    อาสาสมัครสมัยนั้น เพื่อจะไปสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศมาเลเซีย ไปอยู่ที่นั่น ๒ ปี ก็มีโอกาสมาเมืองไทย...

    "มาเที่ยวครั้งแรก ก็ได้ข่าวว่า มีอาจารย์ดีหลายองค์ที่กรุงเทพฯ ที่จะสอนวิปัสสนากรรมฐาน ไปหาท่านเจ้า คุณที่วัดมหาธาตุ ปี ๒๕๐๙ เราเป็นอาสาสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ สอนที่ธรรมศาสตร์ด้วย ตอนไปก็ข้าม
    ถนนไปจากฝั่งวัดมหาธาตุ (หัวเราะ) ตอนเช้าจะนั่งสมาธิ เดินจงกลม ทำอย่างนั้นอยู่ประมาณ ๖ เดือน ก็มีความสนใจมากขึ้นทำให้เราอยากบวช

    "ในปีนั้นก็บวชที่วัดหนองคาย เป็นสามเณร ฝึกกรรมฐานที่นั่นหนึ่งปี อยู่แต่ในห้อง อยู่ในกุฏิ มีระเบียบเคร่งครัดไม่ให้ออกจากกุฏิ ไม่ให้คลุกคลีกับใคร ต้องอยู่และปฏิบัติก็ได้ผลในการปฏิบัติ

    "ตอนแรกก็มีความสงสัยว่า ปฏิบัติอย่างนี้แล้วจะได้ผลอย่างไร จนกระทั่งขอให้บวชเป็นพระ ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย ก็ส่งไปอยู่ที่วัดหนองป่าพงให้ปฏิบัติและศึกษาอยู่กับหลวงพ่อชา ที่จังหวัดอุบลฯ ๑๐ ปีที่หนองป่าพง จากนั้นหลวงพ่อชาก็ส่งไปอยู่ตามสาขาต่างๆ อย่างที่อำเภออำนาจเจริญ ตั้งวัดนานาชาติ จากนั้นมีผู้นิมนต์ไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษจากวันนั้นถึงวันนี้ ๒๖ พรรษา


    1. ก่อนที่หลวงพ่อจะมาศรัทธาในพระพุทธศาสนา คงเคยนับถือคริสต์มาก่อน ตรงไหนที่ทำให้ เลื่อมใสพระพุทธศาสนา ?
    - พ่อแม่เราเป็นคริสต์ เรานับถือศาสนาแต่ไม่เอาจริงเอาจังด้วย อาตมาก็มีศรัทธาตั้งแต่เป็นเด็ก ก็ไม่ค่อยสงสัย บาทหลวง หรือพ่อแม่พูดอย่างไร ก็ไม่ค่อยสงสัย แต่พอตอนวัยรุ่นอายุ ๑๕-๑๖ ปี จึงเกิดความสงสัย มักจะถาม อยากจะรู้พระเจ้าเป็นอย่างไร มีหรือไม่มี แล้วมีประโยชน์อะไรที่จะทำอย่างนี้ต่อไป

    แล้วก็มาสมัครเป็นทหารเรือ ออกจากบ้านไปอยู่ห่างไกลจากพ่อแม่ ไปหาความสุขสนุกทางโลก ไม่เคยคิดเรื่องของพระพุทธศาสนาเลย จนกระทั่งได้พบพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น แล้วก็ อ่านหนังสือ ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท่านบอกว่าอย่าไปเชื่อ ต้องทดลอง ต้องค้นคว้าต้องเห็นเอง นี่ก็เป็นจุดที่ทำให้เราศรัทธา

    หลังจากนั้นอายุ ๒๑ ปี เราก็มีศรัทธามั่นคง ศาสนานี้ก็ถูกใจเรามันมีทั้งปฏิบัติ มีทั้งพิสูจน์ได้เห็นความจริงในใจเรา และเราไม่จำเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้

    2. ตอนที่ไปเป็นทหาร มีเพื่อนที่นับถือพุทธศาสนาอยู่แล้วหรือเปล่า?

    - สมัยนั้นไม่มีใครนับถือพุทธศาสนาเลย เพราะเมื่อ ๕๐ ปีก่อนคนอเมริกันที่เป็นรุ่นเดียวกัน ส่วนมากก็ไม่เคยมีใครสนใจศาสนาไม่ว่าจะเป็นคริสต์ หรือศาสนาอะไรก็ไม่สนใจ เบื่อแล้ว และก็ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มอยู่ด้วย คิดกันว่าศาสนาเป็นเรื่องสมัยโบราณ เป็นคนล้าสมัย ส่วนมากจะเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งสูงสุดแล้ว แต่เราก็สงสัยหลายอย่าง ในวิทยาศาสตร์ด้วย

    (หัวเราะ) วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ลึกซึ้ง พอสงสัยว่าจิตใจของ เราเป็นอย่างไรเรื่องวิทยาศาสตร์ของตะวันตก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องภายนอก

    3. เหตุผลที่คนตะวันตก ให้ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

    ส่วนมากชาวตะวันตกให้ความสนใจในด้านการปฏิบัติ เพราะเราหาในวัฒนธรรมในศาสนาของ เราไม่เจอ แต่เดี๋ยวนี้โลกมันคับแคบแล้ว เอเชียกับยุโรปก็ไม่ห่างไกลกันเท่าไรนัก เมื่อ ๕๐ ปี มาแล้ว เราสังเกตดูความคิดของชาวต่างประเทศกำลังจะเปลี่ยนไปบ้าง ศรัทธาในวิทยาศาสตร์มันกำลังจะเสื่อม ศรัทธาในพุทธศาสนาก็จะเสื่อมด้วย หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ วัฒน
    ธรรมญี่ปุ่นกับวัฒนธรรมอเมริกา มีการแลกเปลี่ยนกันมาก สิ่งที่เราได้รับจากวัฒนธรรม ญี่ปุ่น คือ พุทธศาสนา

    ส่วนมากเรามีความคิดสองอย่าง ดีชั่ว ถูกผิด เท่านั้นที่จะพิจารณาได้ และพระพุทธเจ้าสอนให้ใช้สติสัมปชัญญะ ที่จะเห็นสัจธรรม และทางวัฒนธรรมของเรา ในศาสนาคริสต์ไม่มีใครพูดถึง

    สติสัมปชัญญะด้วยนั่นเป็นเรื่องเชื่อถือ เรื่องเหตุผล เรื่องอุดมคติ ทำให้เรามีความยึดมั่นถือมั่นในอุดมคติสูง และที่จะเข้าใจการเป็นมนุษย์จริง ซึ่งไม่มีใครรู้นี่ก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องรู้การเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร คบคิดว่าการเป็นมนุษย์ต้องรู้ตัวเอง ต้องรู้โลภ โกรธหลงเป็นอย่างไรว่ามัน
    เกิดที่ไหนดับที่ไหน

    พุทธองค์บอกให้เราเห็นผลของการทำความดี ว่าจะได้ผลอย่างนี้ ถ้าทำไม่ดีก็ได้ผลอย่างนี้ เราจะเปรียบ เทียบกับอะไร ถ้าเราจะเพิ่มความสุขควรทำอย่างไร ถ้าเราอยากเพิ่มความทุกข์ควรทำอย่างไร แล้วก็เห็นทางพ้นทุกข์ด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นหลักธรรมที่เราไม่เห็นในวัฒนธรรม และศาสนาทางตะวันตก
    สังคมทางตะวันตกมีความเจริญทางเทคโนโลยีสูงจำเป็นขนาดไหนที่พวกเขาต้องหาที่พึ่งทางจิตใจก็มีการปฏิบัติก็เป็นศาสนาคริสต์ อิสลาม ยิว ศาสนาสามอย่างนี้มันเป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้า และก็เป็นศาสนาที่เรามีเรื่องพระเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็มีคำสอนเริ่มต้นที่อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่เราเห็นได้ในปัจจุบันคือความทุกข์เราจะเห็นความทุกข์ของเราได้นี่ต้องเชื่อโดยการพิสูจน์และเราก็จะสามารถเห็นนิพพานได้

    นี่ก็เป็นที่มาของคริสต์กับพุทธซึ่งตรงกันข้าม คริสต์เริ่มต้นที่พระเจ้า จุดเริ่มต้นของพุทธศาสนาก็พระพุทธเจ้า มองเห็นความทุกข์ของมนุษย์ นี่เป็นวิธีที่จะพิจารณาในสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วก็จะเห็นพระเจ้าได้ ถ้าคิดแบบคริสต์ก็เห็นทางพ้นทุกข์ได้ เราก็คิดว่าการปฏิบัติเกิดจากการเชื่อถือพระเจ้า แล้วก็ถ้ามีศรัทธาและเชื่อถือในคำสอนของพระเจ้าก็จะมีคนดีเหมือนกัน มันก็แล้วแต่บุคคลเป็นอย่างไร

    แม่ของอาตมาเป็นชาวคริสต์ ไม่สงสัยเรื่องศาสนา แม่สงสัยไม่ได้เลย และก็ได้ผลดีด้วย (หัวเราะ) แต่ ท่านก็สามารถแก้ปัญญาได้ด้วยความศรัทธาในพระเจ้า แม่ก็เป็นคนอย่างนั้นแต่ลูกชายก็เป็นคนตรง กันข้ามเป็นชาวพุทธ (หัวเราะ) ​


    4. สังคมของคนตะวันตกเป็นคนขี้สงสัยช่างซักถาม แล้วยากไหมที่เราจะไปเผยแพร่ให้เขาเข้าใจ?

    - ก็ไม่ยากเท่าไร ก็มีคนสนใจมากในการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา ปัจจุบันชาวตะวันกำลังสนใจวัตถุนิยมกันมาก ตอนนี้คนกำลังดูจิตพิจารณาตัวเองเป็นอย่างไร นี่ก็เป็นสิ่งที่ชาวต่างประเทศ กำลังทำ อยู่ที่อเมริกา ซึ่งมีประโยชน์มาก แล้วก็เราอยู่อังกฤษ ๒๖ ปีแล้ว เราก็สังเกตเห็นคนที่สนใจมากขึ้น คนที่ปฏิบัติแล้วได้ผลที่จะเห็นทางก็มีมากขึ้น

    คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ทำให้เราทึ่ง คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่จะพิจารณาให้เราเห็นจิตใจ ความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจ ที่จะปล่อยวางไม่ให้เกิดความสงสัยได้ เมื่อมีความสงบแล้ว ก็จะเห็นถึงความ สงบในจิตใจของเรา อย่างแท้จริง และจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย ซึ่งสังคมในตะวันตกความสงบไม่ค่อยมี (หัวเราะ) เขาก็อยากได้สันติภาพมาเป็นความสงบ
    ครั้งเรียนธรรมกับหลวงพ่อชา

    [​IMG]

    " การปฏิบัติของเราที่หลวงพ่อชาสอนในสมัยก่อน
    ที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลฯ เราก็นึกถึงแต่หลวงพ่อ
    ชานี่ ก็เป็นความจำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ตอนที่อยู่กับ
    หลวงพ่อชา ก็ได้ผลในเรื่องของการปฏิบัติ เพราะท่าน
    เป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่จะแนะนำทางที่จะปลดทุกข์ได้ แรก
    ๆ เราก็อยู่กับหลวงพ่อชา ปี ๒๕๑๐ ตอนนั้นเราไม่รู้
    ภาษาไทย และภาษาอีสาน ท่านหลวงพ่อก็เทศน์เป็น
    ภาษาอุบลฯ แล้วเราก็ไม่รู้เรื่อง

    "แรก ๆ ก็นั่งฟังหลวงพ่อท่านเทศน์หลายชั่วโมง
    ด้วยความที่เราเป็นพระฝรั่ง เราจึงขอ ว่าช่วงที่หลวง
    พ่อเทศน์นั้นเราจะกลับกุฏิ ไปทำสมาธิในกุฏิดีกว่า แต่
    หลวงพ่อไม่อนุญาตบอกว่าต้องอยู่ต้องอดทนฟังเทศน์
    ท่านก็บังคับให้ให้อยู่

    "อารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตของเราเอง แทนที่จะยอม
    เพราะเรื่องภาษา ก็เป็นอุปสรรค อาจารย์ชาก็พูดภาษา
    อังกฤษไม่เป็น พระสุเมโธก็พูดภาษาไทยไม่เป็นหลวง
    พ่อชาจะสอนพระฝรั่งอย่างไร แต่ท่านก็มีอุบาย มี
    ความสามารถที่จะให้เราพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้นและ
    ท่านบอกว่าพระสุเมโธความอดทนมันน้อยไป เป็นคน
    อเมริกัน วัฒนธรรมอเมริกัน เป็นวัฒนธรรมที่ชอบทำ
    อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่คนที่อดทนต่ออะไร และท่านก็
    บอกว่า พระสุเมโธไม่เข้าใจภาษาไทยก็ไม่เป็นไรแต่ให้
    อดทนกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น

    "เบื่อแล้วก็เกิดอารมณ์โกรธ โมโหอย่างนี้ แล้วก็เรา
    ก็คิดแบบคนอเมริกันด้วย สงสารตัวเองว่าเราเป็นฝรั่ง
    ไม่รู้ภาษา หลวงพ่อชายังจะให้เราอยู่ไม่เห็นใจเราแล้ว
    ตอนนั้นนั่งพับเพียบไม่ค่อยได้ ด้วยความ ที่เราไม่เคย
    นั่งอย่างนี้ จึงทำให้เจ็บปวดอย่างแรงที่สุด จึงอยาก
    เปลี่ยนท่านั่ง

    "พิจารณาในอารมณ์ แล้วทราบความทุกข์กับชีวิต
    ของเราได้ ที่กุฏิครั้งแรกกุฏิที่อยู่วัดหนองป่าพง พระ
    ไทยสมัยนั้นก็ไม่สูงเท่าไร นิยมสร้างเตี้ยๆ และไม่มี
    พระฝรั่ง เราต้องก้มตัวลง ยืนตรงไม่ค่อยได้ เวลาเข้า
    ประตูก็ต้องก้ม เสร็จแล้วก็เกิด อารมณ์รังเกียจกุฏิหลัง
    นั้น บ้างก็อยากได้กุฏิสูงกว่านี้ แล้วไปหาหลวงพ่อบอก
    ว่ากุฏิมันเตี้ยเกินไป อยู่ยาก มันโดนศีรษะ มันอันตราย
    และเรารู้สึกไม่สบายใจ อยากอยู่กุฏิอื่น

    "หลวงพ่อไม่ให้เรา พอพิจารณาแล้วว่ากุฏิ พอที่จะกัน
    แดดกันฝนได้ กุฏิเตี้ยนั้นพออยู่ได้ก็ดีแล้ว ถ้าพิจารณา
    โดยปัญญาอย่างนี้ก็พอใช้ได้ ถ้าพิจารณาแบบคนอเมร กัน ตามวัฒนธรรมของคนอเมริกาว่าเตี้ยเกินไป เล็ก

    เกินไป ไม่เหมาะไม่ชอบกุฏิหลังนี้ก็จะมีความทุกข์อยู่ ถ้าเราพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่

    "เรื่องอาหารก็เหมือนกัน หลวงพ่อท่านชอบทรมานลูก
    ศิษย์ เรื่องอาหารญาติโยมก็นำมาถวาย แล้วหลวงพ่อก็
    ให้เทใส่กะละมังใหญ่ เป็นปลา เป็นไก่เป็นหมูทุกอย่าง
    แล้วก็ผสมกัน จะมีข้าวเหนียวมีอาหารอีสานมีรสแปลก
    ๆ ที่เราไม่เคยชิม เราก็เลยเกิดอารมณ์รังเกียจอาหาร
    ด้วยมันไม่อร่อยมันไม่คุ้นเคย แล้วก็มีของ หวานที่โยม
    นำมาถวายผสมกันหมดเลย มันทำให้การ ทานอาหาร
    ลำบากแล้วก็มีความทุกข์เกิดขึ้น

    "ความจริงพระพุทธเจ้า สร้างวินัยให้พระรับอะไร
    ก็ได้ไม่ใช่แต่สิ่ง ที่ชอบ หรือเป็นอาหารของเศรษฐีที่
    เอร็ดอร่อย แต่ให้คิดว่าอาหารที่ให้ทานมานั้น เป็น
    อาหารที่บริสุทธิ์ ให้พิจารณาอย่างนี้ และอาหาร ที่มี
    อยู่ในบาตรนั้นก็ดีแล้ว พอที่จะรักษาสุขภาพ ร่างกาย
    ให้ดีด้วย

    "เรื่องอาหารของอเมริกา เปรียบเทียบกับอาหารที่
    มีอยู่ในวัดหนองป่าพงนั้น เราก็คิดว่าอาหารของ
    อเมริกาดีกว่าอร่อยกว่า อาหารที่วัดหนองป่าพงก็แย่
    ไม่อร่อยเลย นั่นก็เป็นความคิดความเห็นที่เกิดขึ้น ทำ
    ให้เรามีความทุกข์ พิจารณาด้วยปัญญาเราก็จะเห็น
    และปล่อยความคิดแบบนี้ได้เราก็จะสามารถฉันอาหาร
    ได้ด้วยสติด้วยปัญญา


    "เมื่อ ๒๖ ปีมาแล้วตอนนั้นโยมได้นิมนต์ไป อยู่ประ
    เทศอังกฤษ แล้วเราก็อยู่จนเคยแล้ว อยู่วัดป่าพงวัดป่า
    นานาชาติมากว่า ๑๐ พรรษาแล้ว แล้วก็เปลี่ยนแปลง
    ร่างกายใจ ให้เข้ากับพระไทยในสมัยนั้นตอนนั้นที่ไป
    อยู่อังกฤษกับหลวงพ่อเราก็สงสัยว่า เราจะรักษาวินัย
    ได้ไหม ในอังกฤษไม่ค่อยมีใคร รู้เรื่องของพระพุทธ
    ศาสนา แล้วเราจะอยู่ในลอนดอนอย่างไร ถ้าไม่มีเงิน
    จะใช้ แล้วคนอังกฤษจะเข้าใจอย่างไร เป็นคนแปลก ศีรษะอย่างนี้(จับศีรษะ) มีจีวรอย่างนี้ เดินวิบากใน กรุงลอนดอน จะเข้าใจความประสงค์ของเราอย่างไร เราก็สงสัยอย่างนี้

    "แล้วเราก็ถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อถ้าไม่มีใครจะใส่
    บาตร ไม่มีใครจะถวายปัจจัย ๔ เราจะอยู่ได้อย่างไร
    อาจารย์ก็ตอบอย่างดีว่า คนตะวันตกไม่มีเมตตา เราก็
    ว่ามีเมตตาเหมือนกันและอาจารย์บอกว่าเราต้องอยู่ได้
    เพราะชาวพุทธมีอยู่ทั่วโลก และชาวพุทธเป็นคนดีเรา
    ต้องอาศัยความดี ท่านก็อยากให้เราพิจารณาในความ
    เป็นมนุษย์ ว่าเป็นอย่างไร

    " ในประเทศอังกฤษ อเมริกาคนใจดีก็มีมาก คนมี
    เมตตาก็มี ท่านก็อบรมเราอย่างนี้ หลวงพ่อชาก็เก่งนะ
    ทั้งที่ท่านไม่เคยไปอเมริกา ไม่รู้ว่าอังกฤษเป็นอย่างไร อยู่เมืองไทยตลอด แต่ท่านก็รู้ในเรื่อง ของสัตว์มนุษย์
    เราว่าเป็นอย่างไร เราก็ไปอยู่อังกฤษ ๒๖ ปี ก็ดีเหมือน
    กัน ไม่อดอาหาร ที่อยู่อาศัย ผ้าจีวรก็สมบูรณ์ดี เราไป
    อยู่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร เรื่องสิ่งจำเป็น..."


    ที่มา http://www.thaitv3.co.th

    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    ...สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต คือการรู้จักชื่นชม แต่ไม่ใช่การยึดครองอยู่....
     
  2. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">อนุโมทนากับข้อความดี ๆ ค่ะ สาธุ</TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...