แว่นส่องความเป็นพระโสดาบัน อธิบายความโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 4 กันยายน 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น หน้า ๕๘๐

    อานนท์! เราจักแสดงธรรมปริยายอันชื่อว่ แว่นธรรม ซึ่งหากอริยสาวกผู้ใด ได้ประกอบพร้อมแล้ว
    เมื่อจานงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พีงทำได้ ในข้อที่ตนเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มี
    เปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้ว, ในข้อที่ตนเป็นพระโสดาบันผู้มีอันไม่ ตกต่ำเป็น
    ธรรมดา เที่ยงแท้ ต่อพระนิพพาน เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ ในกาลเบื้องหน้ ดังนี้.
    อานนท์! ก็ธรรมปริยายอันชื่อว่ แว่นธรรม ในทีนี้ เป็นอย่างไรเล่า?
    อานนท์! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใสอันหยังลงมั่น ไม่
    หวั่นไหว ในองค์ พระพุทธเจ้า ในองค์ พระธรรม ในองค์ พระสงฆ์ และอริยสาวกในธรรมวินัยนี้
    เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจของเหล่อริยเจ้ คือเป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่
    ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่านสรรเสริญ เป็นศีลที่ตัณหา
    และทิฏฐิไม่ลูบคลำ และเป็นศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ .
    อานนท์! ธรรมปริยาย อันนี้แล ที่ชื่อว่า แว่นธรรม ซึ่งหาก อริยสาวกผู้ใดได้ ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อ
    จำนงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึ่งทำได้ , ดังนี้แล.

    อธิบายความโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
    ท่านอธิบายคุณสมบัติของความเป็นพระโสดาบัน ในฐานะที่พระโสดาบันจะทําไม่ได้ เอาไว้เป็น
    เครื่องตรวจสอบ อันนี้เป็นธรรมะที่สาคัญที่ท่านแสดงไว้ก่อนปรินิพพาน เพราะแต่ก่อนไม่มีใคร
    พยากรณ์ความเป็นอริยบุคคล นอกจากพระผูมีพระภาคเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่เมื่อท่านจะปรินิพพาน
    แล้วท่านก็มอบกฎเกณฑ์ธรรมะ เพื่อให้เราพยากรณ์ตนเอง ไม่ต้องให้ใครมาพยากรณ์ เพราะเราย่อม
    รู้ตัวเราดีที่สุด ภายในจิตในใจว่า ศีลเราดีรึยัง ยังมีอะไรที่บกพร่องอยู่บ้าง เราจะต้องเพิ่มเติมการ
    ประพฤติปฏิบติอะไรอีกบ้าง ไม่มีใครที่จะมาติดตามเราทุกวินาที ทุกขณะจิต แต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่
    เราจะสามารถรู้ตัวเราเอง ท่านจึงวางกฎเกณฑ์เอาไว้ว่า ถ้าผู้ใดมีความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นไม่
    หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็มีศีลอันเป็นที่รักของพระอริยเจ้า คือศีลที่ ไม่ขาด
    ไม่ทะลุ ไม่ด่างไม่พร้อย ก็คือย้อนมาที่ตัวศีล ๕ นั่นเอง

    ความไม่หวั่นไหวนั้น มีความละเอียดลึกซึ้ง ว่าถ้าเรายังมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งนอกจากพระรัตนตรัยอยู่
    หรือไม่ อันนั้นก็เรียกว่ายังเป็นความหวั่นไหว ไม่มั่นคง จึงว่าคุณสมบัติของความเป็นพระโสดาบัน
    ไม่ใช่ว่าจะต้องมีอิทธิ ปาฏิหาริย์ หรือคุณวิเศษใดๆ คุณวิเศษที่พระโสดาบันมี ก็คือตัวความประพฤติ
    ทางกาย ทางวาจาที่ถูกต้องนั่นเอง ซึ่งถ้าดูแล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยที่เราจะพอทําได้ เพราะศีลห้า
    แม้วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ก็คิดว่าพวกเราคงจะพอรักษาได้ถ้าตั้งใจ แต่ถ้าเราสามารถทําให้เป็นปกติวิสัย
    เป็นผู้มีปกติอย่างยิ่งอยู่ในศีล ๕ อย่างไม่บกพร่อง แล้วก็มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นว่า
    พระพุทธเจ้ามีจริง ตรัสรู้จริง เชื่อมั่นว่าพระธรรมคําสอนนั้นสามารถทําคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวให้ มีการ
    พัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นพระอริยบุคคลได้ เชื่อมั่นในอํานาจของพระธรรมที่จะฝึกฝนขัดเกลาบุคคล
    จากปุถุชนให้เป็นอริยชนได้ และเชื่อมั่นว่า พระสงฆ์นั้นมี คือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่
    ประพฤติธรรมปฏิบติธรรม จนกระทั่งได้ผลของการประพฤติปฏิบติเป็นอริยบุคคล ในขั้นโสดาบัน
    สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ นั่นมี คือความมั่นคงของความเห็นในความเป็นพระโสดาบัน
    และสิ่งที่ใช้ตรวจสอบอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านจะวางฐานะที่เป็นไปไม่ได้ของพระโสดาบัน เช่น เรา
    จะไม่มองเห็นสังขารใดๆ โดยความเป็นของสุข ความเป็นของเที่ยง เพราะเราเห็นความแปรเปลี่ยน
    ความเป็นอนิจจังของมัน จิตใจมั่นคง เพราะของใดๆ ในโลกนี้ หยิบมา ในที่สุด แล้วก็เดินไปสู่ ความ
    แตกสลายทั้งหมด จิตใจจะมั่นคงอย่างนี้ บุคคลนั้นไม่เห็นธรรมชาติใดๆ โดยความเป็นตัวตน เพราะ
    เมื่อเห็นความไม่เที่ยงแล้ว ย่อมที่จะเห็นความแตกสลาย ความดับไปของมัน จริงๆ แล้ว ธรรมชาติ
    ทั้งหลายก็เป็นตัวตนชั่วคราว ไม่ได้เป็นตัวตนถาวร อันนี้เป็นความรู้ความเห็นที่พระโสดาบันจะต้อง
    มี จะต้องได้

    พระโสดาบันไม่อาจทําอนันตริยกรรม ไม่อาจที่ จะฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทําพระพุทธเจ้าให้
    ห้อเลือดหรือทําสงฆ์ให้แตกแยก เป็นทางที่เป็นไปไม่ได้ เป็นอนันตริยกรรม ๕ อย่าง
    ท่านบอกต่อไปอีกว่า พระโสดาบันไม่อาจหวังความบริสุทธ์ด้วยมงคลภายนอกของสมณพราหมณ์
    เหล่าอื่น เราจะหวังความบรรลุธรรม การพ้นจากความแก่ เจ็บ ตาย ด้วยการประพฤติวัตรในแบบ
    ของสมณพราหมณ์เหล่าอื่นนั้น โสดาบันไม่เชื่อ การไปสะเดาะเคราะห์ บูชาไฟ บูชาสิ่งนั้นสิ่งนี้
    เพื่อให้เกิดความบริสุทธ์ของกาย วาจา ใจ ขึ้นมา โสดาบันมั่นใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ และมั่นคงใน
    เส้นทางที่พระผูมีพระภาคเจ้าทรงสอนและวางเอาไว้ อันนี้เป็นฐานะที่เอาไว้ตรวจสอบความเป็น
    พระโสดาบัน

    อย่างสุดท้ายท่านบอกว่า พระโสดาบันไม่อาจแสวงหาทักขิเณยยบุคคลนอกเหนือจากศาสนานี้ ก็คือ
    ท่านบอกว่า พระโสดาบันเข้าใจว่า นอกเหนือจากพรหมจรรย์นี้ ศาสนานี้ ไม่มีทกขิเณยยบุคคล
    อริยบุคคลประเภทที่ ๑ ๒ ๓ ๔ เครื่องให้ตรวจสอบว่า พรหมจรรย์ใดหรือศาสนาใดมีอริยบุคคล
    ท่านก็ให้ตรวจสอบว่า ศาสนานั้นหรือพรหมจรรย์นั้นมีข้อปฏิบติ มีมรรคมีองค์ ๘ หรือเปล่า ถ้า
    ศาสนานั้นมีตัวมรรคมีองค์ ๘ ศาสนานั้นก็มีตัวทักขิเณยยบุคคล แต่ ณ เวลานั้น ท่านมองไม่เห็นว่า
    ศาสนาใดจะมีตัวมรรคมีองค์ ๘ ตรงนี้ขึ้นมา ท่านจึงว่า พระโสดาบันไม่อาจแสวงหาทักขิเณยย
    บุคคลในที่อื่นนอกจากศาสนานี้ อันนี้คือฐานะที่เป็นไปไม่ได้ของความเป็นพระโสดาบัน
    เป็นกฎเกณฑ์ เป็นแว่นส่องธรรมเพื่อตรวจสอบตัวเราเอง ถ้าหวังพยากรณ์ก็ให้พยากรณ์ตนและตน
    นั่นแหละว่าเป็นโสดาบันแล้ว ผลของมันก็คือเราจะพ้นจาก นรก กําเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย
    พระนิพพาน เป็นความเที่ยงแท้ในเบื้องหน้า อย่างแน่นอน.
     

แชร์หน้านี้

Loading...