แยกรูปแยกนาม เดินปัญญาละกิเลสขั้นสูง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tboon, 17 เมษายน 2011.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สติเป็นอย่างไร สติในธรรม สติในปัจจุบันธรรม

    สติ คือรับรู้ รับรู้ในปัจจุบัน หายใจเข้า กระทบปลายจมูกก็รับรู้ หายใจออกกระทบปลายจมูกก็รับรู้ รับรู้อย่างไร้การปรุงแต่ง รับรู้การกระทบอย่างมีสติ แต่ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้

    สงสัยไหม ว่าทำไมถึงไม่ใช้คำว่า สักแต่ว่ารู้ เพราะต้องให้มีการรับรู้อย่างมีเจตนาที่จะรับรู้ อย่างมีเจตนาที่จะรักษาสติไว้ ไม่ให้เผลอ ไม่ใช่รู้เลื่อนลอยไปโดยไม่มีการสังเกต รู้ทื่อไปหน้าเดียว แบบนั้นเรียกว่า สติหัวหลักหัวตอ ให้หมั่นรักษาสติไว้ ไม่ให้สติเคลื่อนไปไหนได้ง่าย ๆ นี่แหละคือ สติในปัจจุบันธรรม

    สติถ้าถึงพร้อมในปัจจุบันเป็นอย่างดีแล้ว จะมีธรรมชาติโล่งโปร่ง เบาสบาย สบาย ๆ ผ่อนคลาย ไม่ตึงไม่หย่อน กำลังดีกำลังมีสติ นั่นแหละจึงใช้ได้ ฝึกให้มีบ่อย ๆ เข้าไว้

    ใหม่ ๆ อาจจะต้องใช้การตั้งหลักเป็นเรื่องเป็นราว นั่ง นอน ยืนสมาธิ หรือเดินจงกรม ทำกันอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อให้รู้จัก ให้เข้าใจเรื่องการมีสติในปัจจุบันได้อย่างแท้จริงเสียก่อน ต่อไปจึงค่อยขยายผลไปสู่การมีสติในชีวิตประจำวันได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป


    มีสติแล้วแต่ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ จะทำอย่างไรดี


    เกิดโกรธ โมโห แค้น กลุ้ม เซ็ง เบื่อ ท้อขึ้นมาทำอย่างไร ดับความโกรธ โมโหพวกนั้นเสียด้วยการหยุดคิด ดับความคิดเสีย สูดลมหายใจลึก ๆ ตั้งสติดูลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกในปัจจุบันแทน เอาให้ได้นั่นแหละจะช่วยได้ ช่วยกำจัดวิตกจริตได้ดีนักแล

    ถ้าเอาไม่อยู่ ก็เปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสถานที่ อย่าทู่ซี้ ให้หลบออกไปจากจุดนั้นเสียก่อน หรือจะใช้วิธีการอธิษฐานจิตขอแผ่เมตตาอุทิศบุญ ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรที่เราเคยเบียดเบียนเอาไวก็พอช่วยได้ ต้องทำบ่อย ๆ ต้องรู้จักฝืน รู้จักอดทน รู้จักทวนกระแสจิตเดิม ๆ ของตนเองให้ได้เสมอ ๆ จิตจึงจะมีกำลังต้านทานอารมณ์ได้มากขึ้น ๆ กล้าแข็งขึ้น ใหม่ ๆ มันก็ยากกันทุกคนนั่นแหละ ถ้าง่ายคงบรรลุกันไปหมดแล้ว ความยากอยู่ตรงที่เอาชนะใจของตนเองไม่ได้นี่แล ของจริงย่อมอยู่กับคนจริง คนไม่จริง มันก็ไม่จริงเรื่อยไป

    ถ้ากำลังสติมีมากขึ้น กำลังจิตตั้งมั่นขึ้น การส่งจิตออกนอกไปตามอารมณ์หรือความอยากต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ลดลง ๆ เรามีสติแบบไม่ใช่สักแต่ว่ามี สักแต่ว่าเป็นสติหัวหลักหัวตอ รู้จักสังเกต เวลาความคิดวิ่งเข้ามา ความเคยชินในการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดขึ้น ความปรุงแต่งเกิดขึ้น เรารับรู้ได้เร็วได้ไว จิตใจเป็นอย่างไร หวั่นไหวหรือไม่ ถ้าหวั่นไหวก็ให้รู้จักดับ รู้จักควบคุม ไม่ปล่อยโอกาส ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง สักวันหนึ่งเราต้องแจ้ง ต้องแทงตลอดในธรรม คลายความคิด คลายจิตออกจากขันธ์ ๕ ได้ เราก็จะหายสงสัยเอง สัมมาทิฏฐิก็จะเกิดก็จะเปิดทางให้เราเอง เราก็จะรู้เองว่าเราหลงอย่างไร ต่อไปก็จะสามารถเดินปัญญาละกิเลสขั้นสูงต่อไปได้ แต่ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียร ประมาทเลินเล่อ ย่อหย่อนเกียจคร้าน ก็มีสิทธิล่วงอีกได้เหมือนกัน (โสดาปัตติมรรคยังล่วงได้ อย่าประมาทเชียว ล่วงมานักต่อนักแล้ว ลองดูในพระไตรปิฎกก็ได้มีกล่าวไว้เหมือนกัน) ต้องตั้งหน้าตั้งตาละกิเลส เจริญสติทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะละวางจางคลายได้อย่างแท้จริง

    มันก็ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของตน ต้องอาศัยการบ่มเพาะ ไม่ใช่จะเอาแต่ธรรม ๆ ๆ อย่างเดียว ทางโลกก็ต้องรู้จักสงเคราะห์ช่วยเหลือ ต้องมีเมตตา ต้องมีพรหมวิหารจริง ๆ ต้องทั้งฉลาดรอบรู้ในกองกิเลส จึงจะพอมีหวังได้ ทุกคนก็พอมีบุญมีบารมีเก่ามาบ้างแล้วถึงได้มาสนใจอย่างนี้ จึงขอให้ตั้งอกตั้งใจให้ดีทั้งทางโลกและทางธรรมเลยทีเดียว ทางโลกก็อย่าให้เดือดร้อนทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น อย่าทอดธุระ ทางธรรมก็ให้ทำให้ต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมรู้เอง ครูบาอาจารย์ท่านว่า หากถึงเวลาบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ต้องได้ต้องสำเร็จทุกคนไป


    ------------------------------------
    ขอฝากอะไรไว้เป็นข้อคิดสักนิดหนึ่ง ขอให้ลองพิจารณาดู

    หากเปรียบเปรยว่า เวลานี้เรามาโรงพยาบาล ต้องการมาหาหมอเพราะป่วย อยากให้หมอช่วยรักษาให้หาย


    แต่พอมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ยังไม่ทันได้พบหมอ ไปเจอคนไข้ด้วยกันเสียก่อน เลยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน

    ครั้นคุยกันไปคุยกันมา เกิดเพลิน
    ถูกความฟุ้งซ่านครอบงำ ทำไปทำมาก็เลยหลงวินิจฉัยโรคกันเสียเอง

    ที่สุดว่าจะมารักษาโรคกับหมอ ก็เลยไปรักษากับคนไข้ด้วยกันเองแทน


    ผลสุดท้ายโรคก็ไม่หาย แถมตายเปล่าซ้ำ อันนี้ขอฝากไว้เป็นข้อคิดข้อพิจารณา ผู้ที่ทำดีแล้วก็ขออนุโมทนา ผู้หลงผู้พลาดไปแล้ว ก็ขอเอาใจช่วย ขอให้พ้นบ่วงมารโดยไวด้วยกันทุกท่าน...เทอญ
     
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    สติไม่ใช่การรับรู้ในปัจจุบันครับ แต่คือการระลึกได้ ถ้าสติคือการรับรู้ในปัจจุบัน
    มันจะต่างกับสัมปชัญญะอย่างไรล่ะครับ สติหมายถึงสิ่งที่ผ่านมาแม้นานแล้วก็
    ระลึกได้ การระลึกได้มันก็ต้องระลึกในปัจจุบันอยู่แล้วครับ
     
  3. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -นั้นคือสิ่งเดี่ยวกัน จิต ความนึกคิด ขันธ์ 5
     
  4. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -สติ คือ การระลึกรู้ ไม่ใช่การระลึกได้
    -การระลึกได้ หรือ นึกได้เป็น สัญญาขันธ์
     
  5. ภวโลกร้อน

    ภวโลกร้อน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,272
    สติคือการระลึกได้ หมายถึงรุว่า...พูด.. คิด.. ทำในสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว หรือระลึกได้ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ใช้ได้2กาลคืออดีตและอนาคต

    สัมปชัญญะคือการรู้ตัว หมายถึง ความรู้ตัวในปัจจุบัน..ในการ..พูด..คิด..ทำ..หน้าที่ของสัมปชัญญะย่อมเป็นไปในทางปัจจุบันเท่านั้น...
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ทำไปเถอะ ฝึกสติให้มากๆ อย่าไปติด อย่าไปยึดตำรามากเกินไป ติดมากมักไปไม่รอด หาสติในปัจจุบันให้เจอ อยู่ตรงไหน สติอยู่ตรงไหน ใจอยู่ตรงไหน ความคิดอยู่ตรงไหน 3 ส่วนนี้มันมามีอิทธิพลกับชีวิตของเราอย่างไร แยกให้ออก แล้วจะเข้าใจทั้งหมดเอง ถ้ายังแยกไม่ออก ยังคลายความหลงไม่เป็น ก็ยากที่จะเข้าใจ ครั้นจะคุยมากก็กลับจะไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะก็จะสงสัยไปไม่รู้จักจบจักสิ้นนั่นเอง และเท่าที่สังเกตดูส่วนมากที่เขาเถียง ๆ กันมาก ๆ นั้น ก็เถียงกันที่ตัวอักษรไม่ตรงกัน ไม่ได้ใจความอย่างที่ตัวเองเคยเรียนเคยท่องจำมา มากกว่าจะเถียงเพราะเข้าใจและได้ปฏิบัติผ่านพ้นมาแล้วจริง ๆ หายากนะแบบนั้น

    ขออนุโมทนา...
     
  7. pearl8

    pearl8 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +154
    อนุโมทนาค่ะ
    เราเชื่อและศัทธาในพุทธองค์และท่านครูบาอาจารย์
     
  8. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    สติคือเรารู้ เมื่อรู้เราก็ทำหรือไม่ทำ พูดหรือไม่พูด วีนหรือไม่วีน แต่ควรเป็นไปในทางกุศล เช่น มีคนมาด่าเรา ถ้าเรามีสติเราก็รู้ว่าไม่ควรวีน เป็นต้น.......
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็ประมาณว่า "บารมี มีอยู่ 10 จะให้ทำแค่ 5 มันก็ไม่ครบ 10 เสียที"

    1. ทาน การให้โดยไม่หวังผล
    2. ศีล การรักษาศีลให้เป็นปกติ
    3. เนกขัมมะ การถือบวช
    4. ปัญญา ความรู้
    5. วิริยะ ความเพียร
    6. ขันติ ความอดทนอดกลั้น-------------------------+
    7. สัจจะ ความตั้งใจจริง เอาจริง จริงใจ-------------|
    8. อธิษฐาน ความตั้งใจมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง-----[ องค์ธรรม "สักแต่ว่า" แบบบาลี ไม่ใช่ แบบพี่ไทย]
    9. เมตตา ความสลัดคืนแก่โลก------------------------|
    10. อุเบกขา ความวางเฉย----------------------------+
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2011
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    สติคือความระลึกได้ คือมันเป็นสิ่งที่เคยรู้ อย่างจิตพุทธะ หรือวิปัสสนาญาณ 16
    มันเป็นสิ่งที่เคยรู้แล้วลืมไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือการระลึกได้
     
  11. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -ถ้าอย่างนั้น สติ ก็เป็นความจำแล้วละชิ
    -สิ่งที่ระลึกไม่ได้แต่อยากให้ระลึกนึกได้มันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
     
  12. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ไม่ใช่ความจำแต่เป็นการจำ แยกไม่ออกหรือครับ ภาไทยเขาใช้ต่างกัน ภาษา
    อังกฤษเขาก็ใช้ต่าง remembrance กับ memory
     
  13. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -การจำ จำได้ว่าเป็น แมว ไม่ใช่ เสือ สิ่งที่จำได้นี้ถูกเก็บหรือบรรทึกไว้ที่ใหน ความทรงจำหรือความจำแน่นอนใช่มั้ยครับท่าน
     
  14. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    นี่คุณไม่มีความคิดว่าคุณอาจจะเข้าใจผิดบ้างเลยหรือ ถ้าคุณมีความเชื่อว่าอย่าง
    ไรความคิดของคุณมันถูกเราจะคุยกันอย่างไร ผมก็จะพูดเหตุผลของผม คุณก็จะ
    พูดเหตุผลของคุณ สุดท้ายผมก็จะเชื่อแบบเดิม คุณก็จะเชื่อแบบเดิม แล้วมันจะมี
    ประโยชน์อะไร คุณลองพิจารณาที่ผมพูดดูหรือยังเพราะมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ
    การแยกความจำกับการจำนี่ ถ้าคุณคิดว่ามันเหมือนกันมันเหมือนกันอย่างไร สิ่ง
    สองสิ่งมันเหมือนกันทุกอย่างไม่ได้หรอกครับ ม้าลายสองตัวมันยังไม่เหมือนกัน
    เลย คุณต้องบอกมาว่ามันเหมือนกันด้านไหน
     
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อื้มม..ดี มีเหตุผล ถูกของคุณ bluebaby พูดไปคนละอย่าง เชื่อไปคนละอย่างจะคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร อื้อ..จริง ๆ

    ก่อนอื่น เราคงต้องช่วยกันแยกระหว่าง ความจำ กับ ความจริง ออกจากกันให้ได้เสียก่อน แล้วเอาความจริงมาพูดกัน ทิ้งความจำไว้สักพัก ดูที่ความจริงเลย ความจริงมันปรากฏได้โดยไม่ต้องใช้คำอธิบายใด ๆ มันเห็นกันตรงไปตรงมา เห็นตามความจริง...ทำได้จริงมั้ย ไม่ยากอะไร.
     
  16. ทศมาร

    ทศมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +237
    โมทนาสาธุครับ
    เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถ้าเผลอๆเพลินๆ มีแต่จะร่วงลงที่ต่ำทันทีเลยครับ
     
  17. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เห็นตามความเป็นจริงมันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะความจริง
    มันเป็นสิ่งที่ขึ้นกับความเห็นของเรา ความเห็นเป็นเหตุความจริงเป็น
    ผล ถ้าพูดถึงเรื่องความจริงสากลแล้วมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
    มันเป็นอนัตตา เราเชื่ออย่างไรเราก็เห็นแบบนั้นแล้วมันก็จะกลายเป็น
    ความจริงของเรา
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยนะคับ..
    ผมพอเค้าใจที่พูดนะคับ..
    ท่านเริ่มเหมือนผมเลย..หวังว่าอาจารย์คงไม่ใช่ท่านเดียวกันนะคับ..ฮ่าๆ
     
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เราลองไม่ต้องคิดมากดูสิ รู้สึกลงไปตรง ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ สังเกตตรงที่ลมหายใจเข้าออกกระทบปลายจมูก ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น ไม่ต้องไปสงสัยว่าเรากำลังทำอะไร รู้สึกลงไป รู้สึกรับรู้ลงไปตรง ๆ รู้การสัมผัสแบบตรงไปตรงมา นั่นแหละ คือการฝึกให้เริ่มรู้จัก การรู้ตามความเป็นจริง เพราะถ้าเราไม่ฝึกให้รู้ตามความเป็นจริง เราก็ไม่มีวันเห็นข้อเท็จจริง เห็นเหตุเห็นกระบวนการก่อตัวของความทุกข์ตามความเป็นจริงได้ เราก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ไปได้
     
  20. ชญามณี

    ชญามณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +29
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...