แบ่งปันเรื่องราวดี ๆ ด้วยบารมี หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย one-zee, 20 กันยายน 2015.

  1. one-zee

    one-zee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    6,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,824
    <a href="https://www.img.in.th/image/Eef"><img src="https://www.img.in.th/images/ef8e1b9a91fce6ca3a5a8f5a3c15b2a0.md.jpg" border="0"></a>

    ข้าพเจ้าขอกราบนอบน้อมบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระศรีอริยะเมตไตย์ หลวงปู่ทวด และหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เหนือเศียรเกล้า

    หากสิ่งที่ข้าพเจ้าเล่าต่อไปนี้มีส่วนใดที่ล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ และคูรบาจารย์พระอริยะสงฆ์เจ้าทุกพระ ๆ องค์ ลูกขอกราบขอขมากรรม ณ ที่นี้ด้วยเทอญ...

    เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมได้ยินบารมีหลวงปู่ดู่ และรู้จักท่านทางอินเตอร์เน็ต เมื่อมองดูท่านในรูปแล้ว ดูท่านมีเมตตามาก เหมือนท่านกำลังยิ้มให้เราตลอดเวลา และได้อ่านชีวประวัติของท่าน และได้ยินเรื่องเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ
    และความเกี่ยวเนื่องขององค์หลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่ ซึ่งเดิมทีผมเองก็ศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวดอยู่แล้ว จึงรู้สึกเคารพศรัทธาในองค์หลวงปู่ดู่มากขึ้น จึงได้นำบทสวดบูชาพระมหาจักรพรรดิมาสวดมนต์บูชาเป็นประจำเรื่อยมา
    โดยปกติผมจะสวดมนต์เป็นประจำเกือบทุกวันอยู่แล้ว...

    และต่อมาเริ่มอยากได้พระหลวงปู่มาบูชา แต่ผมก็ยังไม่ได้เช่าหาพระเครื่องหลวงปู่ดู่ มาอาราธนาติดตัว เพราะพระรูปเหมือนของท่าน ราคาค่อนข้างสูง และอยากจะเช่าทำบุญกับทางวัดมากกว่า

    ผมก็ยังคงสวดมนต์บูชาหลวงปู่ดู่ และเวลาทำบุญก็ระลึกถึงท่านและนอบน้อมถวายบุญแด่ท่านเรื่อยมาเป็นเวลาเท่าไหร่ไม่รู้ แต่น่าจะเป็นปี ๆ
    อยู่มาวันหนึ่งผมสงสัยว่าทำไมองค์หลวงปู่ดู่ ท่านไม่มาโปรดผมบ้างเลย เพราะพระอริยะสงฆ์เจ้าที่ผมสวดมนต์แล้วระลึกถึงท่าน น้อมถวายบุญแด่ท่าน เกือบทุกรูปท่านมักจะมาโปรดผมในฝัน เกิดคำถามขึ้นภายในใจ
    แต่ผมก็สวดมนต์ไปตามปรกติ...
     
  2. one-zee

    one-zee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    6,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,824
    หลังจากนั้นประมาณ 3 วันผมได้ฝันเห็นหลวงปู่ดู่ ท่านยืนอยู่และยิ้มให้ผม ผมก้มกราบท่าน ท่านล้วงมือไปหยิบตรงช่วงเอวของท่าน ที่แรกผมนึกว่าท่านจะยื่นสิ่งของให้ผม แต่ท่านหยิบชิ้นเนื้อของท่านเข้าไปในปากของท่าน
    (ช่วงนี้ผมจำรายละเอียดไม่ได้มากนัก เพราะนานมากแล้ว) จนสุดท้ายเหลือแต่มือของท่านยื่นมาและแบมือออกเป็นกระดูกให้ผมดู ในฝันผมก็ได้แต่งง ๆ ว่าทำไมหลวงปู่ยื่นกระดูกให้ดู

    (และชีวิตช่วงนั้นเองผมได้ตั้งข้อสงสัยในเรื่องความชื่นชอบหลงใหลในความสวยงามของเรือนร่างสตรีเพศ และเรื่องการเอาชนะกามราคะ เอาชนะกิเลสตัณหา มันช่างยากเย็นนัก เวลามันกำเริบทีไรยากที่กำราบมันอยู่
    ความรู้สึกอย่างนั้นทำให้จิตใจขุ่นมัว และยากที่จะข้ามมันไปได้ จึงมีความรู้สึกที่เบื่อ ๆ กับตัวเองที่เอาชนะอารมณ์แบบนี้ไม่ได้ จึงได้สงสัยในกิเลสตัณหาของตนเองเรื่อยมา)

    เมื่อผมตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปลาบปลื้มปิติที่องค์หลวงปูดู่ท่านมาโปรด และได้พิจารณาความฝันนั้น จึงพอจะเข้าใจตามปัญญาและภูมิธรรมของตนที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสูงนัก
    คิดว่าหลวงปู่น่าจะมาให้กำลังใจในการสร้างคุณงามความดี และได้แสดงปริศนาธรรมเพื่อสอนธรรม เกี่ยวกับร่างกายสังขารว่ามันเป็นของไม่เที่ยง ไม่อยากให้ยึดติดหลงในรูปกาย
    " เพราะมนุษย์ชายหญิงทั้งหลาย ท้ายสุดของชีวิตก็กลายเป็นเถ้ากระดูก... "

    พลันนั้นผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก ยกมือสาธุ ไหว้หลวงปู่เหนือเศียรเกล้า เป็นความฝันแรกที่ผมได้พบองค์หลวงปู่ดู่เมื่อนานมาแล้ว แต่ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ...
     
  3. one-zee

    one-zee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    6,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,824
    หลังจากนั้นผมก็ตื่น เป็นเช้าวันเสาร์ และเป็นวันพระด้วย ในใจลังเลว่าจะไปทำบุญที่วัดพระศรี ฯ ดีมั้ย เพราะตื่นมาก็ค่อนข้างสาย กว่าจะเตรียมตัวเดินทางไปถึงวัดก็คงไม่ทันพอดี
    ก็เลยนึกถึงความฝันจึงรีบเปิดคอม ฯ จำได้ว่าเมื่อวานเราอธิษฐานกับเหรียญหลวงปู่ดู่ไว้ พิมพ์คำว่า หลวงปู่ดู่ กดค้นหา ก็มีคลิป Youtube หลวงปู่ท่านกำลังให้พร ก็กดเปิดดู

    จึงได้รู้ว่าเป็นเสียงสวดมนต์ให้พรในทำนองเดียวกันกับในความฝัน ผมจึงมั่นใจด้วยตนเองว่าเป็นเสียงของหลวงปู่ดู่ท่านมาให้พรแน่เลย พลันเกิดความปลาบปลื้มซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

    ก็เลยค้นหาต่อว่าวัดสะแกอยู่ที่ไหน เดินทางไปอย่างไรได้บ้าง เมื่อศึกษาเส้นทางเรียบร้อย จึงได้ตัดสินใจจะไปกราบหลวงปู่ที่วัดสะแก
    ซึ่งผมยังมีความรู้สึกง่วง ๆ อยู่เพราะนอนดึก จึงได้งีบไปอีกแปป เพื่อจะได้เดินทางไปวัดอย่างสดใสและมีพลัง...

    10 โมงกว่าผมไปขึ้นรถตู้ที่อนุสาวรีย์ ด้วยความที่ไม่รู้ตั๋วโดยสารก็ไม่ได้ซื้อ เห็นเค้ากำลังต่อแถวเดินขึ้นรถอยู่เราก็เลยตามเขาขึ้นไปนั่งบนรถ แต่สักพักก็โดนไล่ลง ฮ่า ๆ (มีอายบ้างเล็กน้อย)
    และพี่คนขับก็แนะนำให้ไปซื้อตั๋ว พร้อมชี้มือบอกจุดขาย เมื่อผมได้ตั๋วเรียบร้อย ในราคา 60 บาท ก็เดินกลับมายืนรอรถที่เดิม

    และได้ช่วยอุดหนุนยายที่นั่งกับพื้นขายพวงกุญแจมั่งถ้าจำไม่ผิด อุดหนุนไปยี่สิบบาทแต่ไม่ขอรับของ

    เห็นยายแกมีรอยยิ้ม ก็ทำให้ผมมีรอยยิ้มขึ้นมาทั้งภายนอกและภายในครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2015
  4. one-zee

    one-zee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    6,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,824
    <a href="https://www.img.in.th/image/Ety"><img src="https://www.img.in.th/images/e40119ced4d3476174eebdcb4065d872.md.jpg" border="0"></a>

    เมื่อรถตู้เคลื่อนตัวออกจากกรุงเทพ ฯ เผลอนั่งหลับบ้างบางช่วง จนมาใกล้ถึงโลตัสอยุธยาจึงได้ถามพี่ผู้หญิงผู้โดยสารบนรถว่าจะไปวัดสะแกต้องลงรถที่ไหน
    (ที่จริงก็เช็คข้อมูลมาแล้วแหละ แต่เพื่อความชัวร์)

    ผมจึงลงตรงโลตัสอยุธยาตามพี่เค้าบอก แล้วจึงต่อรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างไปวัดสะแก ราคา 50 บาท ไปถึงวัดในช่วงเที่ยงกว่า ๆ และแดดกำลังเปรี้ยงเลย
    ผมก็เดินไปนั่งทานข้าวร้านอาหารภายในวัด เมื่อดื่มน้ำชื่นใจแล้วจึงได้เริ่มปฏิบัติภารกิจตามวัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้

    ซื้อพวงมาลัยแล้วเข้าไปกราบสักการะรูปเหมือนหลวงปู่ที่กุฏิ นั่งต่อหน้าหลวงปู่และสวดมนต์บูชาอธิษฐานจิตนานพอสมควร มองหน้าท่านเหมือนท่านกำลังยิ้มให้รู้สึกปิติขนลุก
    ต่อจากนั้นจึงได้ไปกราบสักการะในห้องที่มีวัตถุมงคลให้เช่าบูชา และได้ทำบุญยอดตู้ต่าง ๆ ของทางวัด
    และผมเองได้บูชาน้ำมันโอสถทิพย์ 1 ขวด จากป้าที่ยืนหน้าตู้

    หลังออกจากจุดนั้นซึ่งผมใช้เวลาไปนานทีเดียว ก็ได้เดินไปซื้ออาหารให้ปลาในริมแม่น้ำ แล้วจึงเดินมาไหว้รูปเหมือนหลวงปู่องค์ใหญ่มากตามรูปถ่ายครับ...
     
  5. one-zee

    one-zee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    6,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,824
    <a href="https://www.img.in.th/image/E19"><img src="https://www.img.in.th/images/243486617e3e10887db4e2d40cbc2a76.md.jpg" border="0"></a>
    (รูปถ่ายหลังจากทำความสะอาดแล้วเสร็จ)

    จากนั้นก็เดินมาไหว้สักการะหลวงปู่ดู่ ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ และก็ได้เข้าไปกราบสักการะหลวงปู่ภายในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเวลานั้นก็ใกล้จะ 4 โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาปิดทำการของพิพิธภัณฑ์
    จึงได้เดินชมวัตถุมงคลต่าง ๆ ไม่นานนัก เมื่อพิพิธภัณฑ์ปิดลงผมจึงเดินมาด้านหน้า

    ยืนมองดูรูปเหมือนหลวงปู่ดู่ และเห็นว่าดอกไม้ที่ประชาชนมากราบไหว้ท่านนั้นมีมาก และบางดอกก็แห้งเหี่ยวทับถมกัน อยากจะเก็บออกแต่ก็ลังเลใจ กลัวจะมีคนมาว่าและเข้าใจในเจตนาเราผิด
    แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนำดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวออก และทำความสะอาดคราบเทียนรอบใต้ฐานรูปหลวงปู่

    พระอาจารย์ที่ท่านดูแลพิพิธภัณฑ์ก็เดินมาบอกว่าทำดีแล้วน้อง มีจิตสาธารณะ ผมได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีและมั่นใจต่อการกระทำของตน
    จึงได้นำดอกไม้ไปทิ้งและจัดเก็บธูปเทียนอยู่ตามลำพังจนเวลาล่วงเลยมาจะหกโมงเย็นแล้ว แต่ผมก็ยังทำความสะอาดไม่เสร็จ

    ในขณะนั้นท้องฟ้ารอบ ๆ วัดเริ่มดำมืด และมีลมแรง
    ในใจผมเกรงว่าถ้าฝนตกคงจะเป็นอุปสรรคในการทำความสะอาดแน่เลย จึงได้เร่งมือขึ้นอีก...
     
  6. one-zee

    one-zee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    6,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,824
    [​IMG]

    แต่เมื่อผมมองขึ้นบนท้องฟ้าเหนือหัวอีกที หมู่เมฆก็ยังดูใสเป็นปกติของช่วงย่ำเย็น แต่มีลมพัดอยู่บ้าง เป็นที่น่าแปลกมากที่เฆมดำเคลื่อนผ่านรอบวัดเป็นวงกลม
    อาจจะมองเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ผมนึกในใจว่าต้องเป็นบารมีหลวงปู่ดู่แน่เลย รู้สึกปิติขนลุก และยกมือไหว้สาธุ หลวงปู่ดู่

    จังหวะนั้นผมเอามือถือถ่ายท้องฟ้าเป็นเวลาสั้น ๆ เพราะจะรีบทำงานต่อให้เสร็จก่อนมืดค่ำ
    (น่าเสียดายทริปทำบุญครั้งนี้ไม่ค่อยมีเวลาได้ถ่ายรูปเลย เพราะเอาเวลาไปใช้ในกิจกรรมส่วนอื่น ๆ)

    บรรยากาศรอบ ๆ วัดยังคงดูท้องฟ้าดำมืด มีลมแรง เหมือนจะมีพายุ แต่ฝนก็ยังไม่ตก
    ( ซึ่งผมทราบทีหลังจากมอเตอร์ไซต์รับจ้างที่ไปส่งตอนเดินทางกลับว่า ฝนได้ตกติดต่อกันมาสามวันแล้ว หากวันนี้ตกอีกก็จะเป็นสี่วันติดเลย )

    ขณะนั้นผมได้มองไปยังด้านหน้ากุฏิหลวงปู่ดู่ เห็นพระเณรหลายรูปท่านห่มจีวรเหมือนจะรอเวลาไปทำวัตรสวดมนต์ บางท่านนั่ง บางท่านยืน
    มองมาที่ผมซึ่งกำลังทำความสะอาดอยู่คนเดียว แอบตกใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าท่านมานั่งมองดูตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะผมมัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน

    ท่ามกลางบรรยากาศเริ่มใกล้จะมืดลง และเสียงลมยังพัดไหวอยู่รายรอบ...
     
  7. one-zee

    one-zee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    6,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,824
    <iframe width="420" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/wvVlhAmZ0HY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    น่าจะเป็นเวลา 6 โมงเศษ ๆ ผมก็ได้ทำงานแล้วเสร็จตามที่ตั้งใจไว้ ถัดจากนั้นจึงได้สวดมนต์บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บูชาหลวงปู่ และขอขมาท่าน
    ในบรรยากาศแบบนั้นผมสวดออกเสียง สู้กับเสียงลมที่พัดไปมา เป็นบรรยากาศที่ดูเข้มขลังมีพลัง และความปิติอิ่มเอิบใจที่ได้ทำความสะอาดถวายหลวงปู่ทำให้ขนลุกขนพอง

    เป็นความรู้สึกที่ยากจะพรรณณาได้ครับ พร้อมกันนั้นก็กราบลาหลวงปู่เพื่อเดินทางกลับครับ

    เดินออกมาหน้าวัดเจอคุณป้าคนนึง ( คิดว่าเป็นป้าที่ยืนอยู่หน้าตู้ยาในห้องวัตถุมงคล ) แกได้ยกมือไหว้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

    “ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะ ที่ทำความสะอาดถวายหลวงปู่ ฯ ”

    ผมก็ยกมือไหว้ “ สาธุ... ครับป้า ” ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

    และป้าแกก็สอบถามว่ามาจากไหน ได้คุยกับแกเล็กน้อย ผมก็ขอตัวกลับกลัวฝนจะตก ได้นั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างหน้าวัด
    ให้มาส่งที่ท่ารถตู้ฝั่งตรงข้ามโลตัส เพื่อขึ้นรถตู้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

    “ เป็นอีกหนึ่งการเดินทางโดยลำพังเพื่อสร้างเรื่องราวเล็ก ๆ ดูไม่ยิ่งใหญ่ แต่มีความหมายภายในใจผมยิ่งนัก... ”




    ** เจตจำนงเพื่อเผยแผ่บารมีครูบาอาจารย์ และเสริมสร้างกำลังใจให้กับทุกท่านในการสร้างคุณงามความดีต่อไปครับ

    ** เป็นเรื่องราวสัมผัสปัจจัตตัง จากความรู้สึก และความศรัทธาเฉพาะตน ถือว่าฟังเรื่องเล่านิทานนะครับ

    ** เรียบเรียง และคิดอยู่นานว่าจะนำเผยแพร่ดีไหม กลัวไม่เหมาะสม แต่คิดอีกทีเผื่อเรื่องราวนี้จะเป็นประโยชน์ให้แก่ท่านอื่น ๆ ได้บ้าง...

    ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่าน yimm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2015
  8. puniw

    puniw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    771
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,094
    มี ปสก.ดีๆจากศิษย์หลวงปู่ดู่มาเล่าสู่กันฟัง ขออนุญาตเจ้าของบทความนำมาเผยแพร่ด้วยนะครับ เพื่อโมทนาบุญพ่อแม่ครูอาจารย์ มีหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด :cool:


    ผมเป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี ครอบครัวค่อนข้างยากจน มีโอกาสเรียนแค่ประถม 6 ก็ต้องออกจากโรงเรียน โดยเหตุผลว่าเรียนต่อ ม.1 ค่าเทอมและค่าเสื้อผ้ารวมกันแล้วเกือบพันบาท ผมยังจำได้ดีตอนนั้นแม่ผมกอดผมไว้ และบอกว่า "ลูก เรามันจนอย่าเรียนต่อเลยนะลูก" ผมได้ยินแม่พูดถึงกับน้ำตาร่วงอย่างไม่รู้ตัวเพราะสงสารแม่มาก เมื่อวานผมเห็นแม่ไปขอเชื่อข้าวสารร้านข้างบ้านมา 1 กิโล ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่า จะไปหางานทำเพื่อหาเงินมาให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่ลำบากแบบนี้ ผมออกจากโรงเรียนและไปเป็นลูกจ้างล้างจานที่ร้านข้าวแกงมีหน้าที่ยกข้าวแกงไปให้ลูกค้า พอว่างก็ต้องไปล้างจาน ค่าตัววันละยี่สิบบาท ผมทำอยู่นานเจ้าของร้านแกเป็นคนใจบุญ บอกว่าผมขยันและอดทนดี จึงขึ้นเงินให้เป็นวันละห้าสิบบาท ตามปกติเจ้าของร้านที่ผมอยู่ ถ้าวันไหนหยุดแกก็จะไปทำบุญตามวัดต่าง ๆ อยู่เสมอ มีอยู่วันหนึ่งขายดีมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพียงครึ่งวันก็ขายหมด พอเก็บร้านเสร็จ เจ้าของร้านก้บอกว่า วันนี้ขายดีเลิกเร็วไม่รู้จะไปไหน ไปกราบหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแกดีกว่า แกเลยชวนผมไปด้วย ผมว่างไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ก็เลยไปกับเขาด้วย

    ไปถึงวัดสะแกประมาณสามโมงเย็น มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อดู่ นั่งอยู่กับท่านสองคน เจ้าของร้านเข้าไปถึงก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ผมก็กราบตาม เจ้าของร้านพูดทักทายลูกศิษย์ที่อยู่ก่อนแล้วอย่างคุ้นเคย แสดงว่ารู้จักกันมานานแล้ว หลวงพ่อท่านท่าทางเมตตามากท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดี และส่งถ้วยที่มีน้ำชาให้ผมและเจ้าของร้าน ท่านมองผมด้วยความเมตตา ผมขนลุกขึ้นไปถึงหัวไม่รู้เพราะอะไร ท่านบอกผมวา "กินซะน้ำมนต์" ผมก็ยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย พอกินหมดวางถ้วยลงกับพื้น ผมรู้สึกสว่างไปทั่ว ตัวเบา ตาดูมองอะไรก็สว่างใสไปหมด ทั้งหูก็ได้ยินชัดเจนขึ้นมากกว่ที่เคยเป็นมา จึงนึกไปว่าเราไม่เคยกินน้ำชาบ่อยนักพอมากินเข้าร่างกายถึงสดชื่น เจ้าของร้านคุยกับหลวงพ่อดู่นานมากจนเย็น วันนั้นเขาเช่าพระองค์ละหนึ่งร้อยบ้างสิบบาทยี่สิบบาทก็หลายองค์แหวนวงละสามร้อยบาทถึงห้าองค์ หลวงพ่อดู่บอกเขาว่าเอาเงินไปใส่ตู้ทำบุญไว้ ไม่ต้องเอาให้ท่าน วันนั้นผมไม่ได้พูดกับหลวงพ่อเลยสักคำ เจ้าของร้านเห็นว่าเย็นมากแล้วจึงลาหลวงพ่อกลับ เขากราบท่านผมจึงกราบตามแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่รถ ผมก็ลุกขึ้นจะเดินตาม เสียงหลวงพ่อพูดว่า "เดี๋ยวก่อนมานี่" ผมหันไปตามเสียง เห็นท่านยิ้มอย่างเมตตา จึงเข้าไปหาท่านใกล้ ๆ ท่านหยิบลูกกลม ๆ เล็ก ๆ สีขาวอมเหลืองให้ผมหนึ่งเม็ด และท่านก็พูดว่า "เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่ อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตายแล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี" ผมมองดูเม็ดกลม ๆ เล็ก ๆ ที่ท่านให้ก็ไม่เห็นมีพระอะไร อย่างที่ท่านบอกเลยสักองค์ท่านคงเห็นผมทำท่าแปลกใจ เลยพูดว่า "แกไปได้แล้ว" ผมรีบกราบท่านอีกครั้งแล้วรีบวิ่งไปที่รถเพรากลัวเจ้าของร้านจะรอนาน ผมขึ้นรถเจ้าของร้านก็ถามว่า "หลวงพ่อท่านเรียกทำไม" ผมบอกเขาว่า "ท่านให้เม็ดกลม ๆ ผมครับ" เจ้าของร้านหันมามองดูสิ่งที่อยู่ในมือของผมแล้วพูดเฮ้ยนี่ของดีหายาก "พี่มาหาหลวงพ่อหลายครั้งแล้วยังไม่เคยได้เลย เก็บไว้ให้ดีนะโว้ย" ผมรับคำว่า "ครับพี่" หลังจากนั้นนานสักสิบกว่าวัน เจ้าของร้านก็ไปหาหลวงพ่อดู่อีก แต่ผมไม่ได้ไปกับเขาด้วย พอเขากลับมาวันรุ่งขึ้นก็บอกผมว่าหลวงพ่อท่านฝากของดีมาให้ผม แกส่งกระดาษให้ผมใบหนึ่ง พอผมเปิดดูในนั้นมีหนังสือเขียนว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ให้ภาวนามาก ๆ ผมนึกกราบท่านในใจผมเป็นเด็กจน ๆ คนหนี่ง คิดว่าท่านคงลืมผมไปนานแล้ว แต่นี่ท่านยังเมตตาจำผมได้ และเมตตาให้คำภาวนามาด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยไปกราบพระที่ไหน พอมาเจอแบบนี้ทำให้ผมเกิดความศรัทธา หลวงพ่อดู่เป็นอย่างมาก ด้วยความศรัทธาท่านผมจึงภาวนา ไตรสรณคมณ์เรื่อยมา ผมไปไหนต้องมีลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อท่านให้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา

    ระยะหลังแม่ของผมเริ่มเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งไปทำงานไม่ไหว ผมจึงขอเจ้าของร้านหยุดงานเพื่อพาแม่ไปหาหมอ ผลออกมาว่าแม่ของผมเป็นเบาหวานความดัน ไขมันในเส้นเลือด และอย่างอื่นด้วย ยาแต่ละอย่างแพงมาก ผมไม่มีเงินซื้อยาดี ๆ ทางโรงพยาบาลจึงให้ตัวที่ถูก ๆ คือยาที่ไม่มีมาตรฐาน ผมเสียใจที่ตนเองไม่มีปัญญารักษาแม่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำยังไงถึงจะมีเงินซื้อยาดี ๆ ให้แม่ ก่อนออกจากบ้านเช้ามืดของทุกวันผมจะยกลูกกลม ๆ ที่แขวนอยู่ในคอขึ้นมาพนมและภาวนาไตรสรณคมณ์ทุกวัน เช้านี้ไม่เหมือนกับทุกเช้า พอผมภาวนาไตรสรณคมณ์จบก็อธิษฐานว่า "หลวงพ่อดู่ครับ ผมขอเงินมาซื้อยารักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ" และก็ออกไปทำงานตามปกติ ตอนสาย ๆ ของวันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ผมพอจำได้ว่านาน ๆ หลาย ๆ เดือนจะมากินข้าวแกงสักครั้ง ก็มานั่งกินอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ทันสังเกตุ ผมจึงตักน้ำแข็งใส่แก้วและเดินไปให้เขาตามปกติเหมือนทุกครั้ง พอเขาเห็นผมก็พูดว่า "มาทีไรเจอทุกครั้งเลยขยันจังนะ" ผมยิ้มรับในคำทักทายของเขา แล้วพูดว่า "ถ้าไม่มาทำงานเดี๋ยวไม่มีข้าวกินครับ" เขาก็พูดว่า "เออพูดตรงดี พี่ชอบว่ะ แบบนี้ไปทำงานกับพี่ไหม" ผมถามเขาว่า "งานอะไรครับ" เขาบอกว่า "งานอยู่เรือดูดแร่ เงินดีนะน้อง" ผมถามต่อว่า "ดีของพี่ได้เดือนละเท่าไหร่ครับ" เขาตอบทันทีว่า "เป็นหมื่น" พอได้ยินคำว่าเป็นหมื่น ผมถึงกับตาโตเลยทีเดียว ผมเริ่มสนใจมาก ถามต่อว่า "ไปทำที่ไหนพี่" ชายผู้นั้นบอกว่า "จังหวัดภูเก็ต" ผมทวนคำพูดว่าภูเก็ต และนึกว่าแม่กำลังไม่สบายจะทิ้งแม่ไปได้อย่างไร แต่ถ้าได้ไปก็จะมีเงินมาซื้อยาดี ๆ รักษาแม่ ชายผู้นั้นคงเห็นผมยืนคิดอยู่นาน ชายผู้นั้นจึงพูดขึ้นว่า "อาทิตย์หน้าพี่ถึงจะไปภูเก็ตอีกสองสามวันจะมากินข้าวใหม่ น้องลองกลับไปคิดดูแล้วค่อยบอกพี่" แล้วเขาก็เดินออกจากร้านไป ผมมองดูชายคนนั้นเดินจากไปจนลับสายตา

    เย็นนั้นผมกลับถึงบ้านก็นึกถึงแต่เรื่องอยากไปทำงานที่ภูเก็ต คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน วันต่อมาผมกำลังเอายาให้แม่กิน แม่คงสังเกตเห็นผมผิดปกติเลยถามว่า "ไปมีเรื่องอะไรกับเขาหรือเปล่า เป็นอะไรแปลก ๆ ไป" ผมจึงเล่าให้แม่ฟังทั้งหมด แม่ก็พูดว่า "เรื่องแค่นี้เอง ลูกอยากไปไหมล่ะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอกแม่อยู่ได้" ผมบอกแม่ว่า "อยากรักษาแม่ให้หาย ถ้าผมมีเงินก็จะได้ไปซื้อยาทีดี ๆ มาให้แม่กินครับ" แม่บอกว่า "ตามใจแกถ้าอยากไปทำงานแม่ก็ตามใจ" แม่กอดผมและพูดขึ้นว่า "แม่รักลูกนะ" ผมน้ำตาไหลและกอดแม่แน่นบอกว่า "ผมก็รักแม่ครับ" และเราสองคนก็ร้องไห้

    วันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามแบบทุกวัน พอตอนเย็นเลิกร้านแล้ว ผมก็เข้าไปหาเจ้าของร้านบอกว่าผมขอลาออก เขาท่าทางตกใจ พูดว่า "อยู่กันมาตั้งนานไม่สบายใจมีอะไรบอกพี่ได้นะ" ผมจึงเล่าเรื่องแม่ไม่สบายผมอยากได้เงินไปรักษาแม่ ให้เจ้าของร้านฟังจนหมด เขาพูดเสียงดังว่า "ให้มันได้อย่างนี้ เองทำถูกแล้วละ จะไปเมื่อไหร่" ผมตอบว่า "อีกสองสามวันครับ" เขาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควักเงินออกมานับ น่าจะเป็นสองถึงสามหมื่นแล้วส่งให้ผม บอกว่า "เอาไป พี่ให้" ผมงงบอกกับเจ้าของร้านว่า "ผมไม่รบกวนยืมเงินพี่หรอกครับ ถ้าเอาไปคงไม่มีปัญญามีเงินมาใช้คืนพี่" "เอ็งกับพี่นับถือหลวงพ่อองค์เดียวกัน เท่ากับเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ต้องช่วยเหลือกันถึงจะถูก เงินนี้พี่ไม่ได้ให้ยืมแต่พี่ช่วยโดยไม่ต้องเอามาคืน" ผมเกรงใจเจ้าของร้านมากเขาเป็นคนใจบุญ มีเมตตาและยังมีน้ำใจต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอีก ผมก้มลงกราบเขาเพราะไม่มีอะไรจะตอบแทนความดีของเขา และนึกในใจว่าขอให้พี่จงเจริญ ๆ วันต่อมาชายผู้นั้นก็มากินข้าวแกง พอเขาเห็นผมก็ถามว่า "คิดได้หรือยัง" ผมตอบว่า "ไปครับ" เขาพูดว่า "เออดีไม่เสียแรงที่ชวน" ผมนัดกับเขาถึงวันที่จะออกเดินทาง เมื่อรู้วันเดินทางแล้ว ผมก็ไปบอกกับแม่และให้เงินแม่เก็บไว้หาหมอรักษาตัวระหว่งที่ผมไปทำงานผมบอกแม่ว่า "ได้เงินเดือนเมื่อไหร่ผมจะรีบส่งมาให้แม่ทุกเดือน" ผมนำเงินติดตัวไปแค่หนึ่งพันบาทเป็นค่ารถ และในที่สุดผมได้ไปขุดทองที่ภูเก็ตเหมือนกับเวลาที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันสมัยก่อนว่า ใครไปทำงานขุดพลอยเมืองจันทบุรี หรือไปทำแร่ภาคใต้เท่ากับไปขุดทอง แต่สิ่งที่มีคุณอนันต์ตรงกันข้ามก็จะมีโทษมหันต์เหมือนกัน ไปร่ำรวยกันมาก็มากพากันไปตายมาก็เยอะผมนั่งรถไป ใจก็คิดว่าเราจะไปแล้วรวยหรือไปตายก็ยังไม่รู้ คิดไปคิดมายิ่งสับสน ผมจึงคิดว่าตายเป็นตาย ผมต้องหาเงินรักษาแม่ให้ได้ มือก็กำลูกกลม ๆ ของหลวงพ่อดู่และอธิษฐานว่า "เรือลำไหนที่ดีเจ้าของเป็นคนดีมีเมตตาอยู่แล้วจะมีเงินมาก หรือร่ำรวยขอให้ผมได้ไปอยู่กับผู้นั้นด้วยเถิดสาธุ" และผมก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่นเป็นท่าเรือใหญ่ผู้คนมองดูพลุกพล่านคุยกันเสียงดังอย่างไม่มีใครเกรงใจกันบางกลุ่มก็คุยภาษาอีสานบางพวกก็พูดใต้ มีคนส่วนน้อยที่พูดภาษาภาคกลาง ที่นี่มีคนจากหลายจังหวัดหลายพ่อหลายแม่น้อยคนที่จะมองดูแล้วบอกได้ว่าเป็นคนสุภาพแทบจะหาไม่เจอเลยทีเดียว ส่วนมากจะท่าทางนักเลง บางคนก็ตัวดำยังไม่พอแถมยังสักยันต์เต็มตัว มองดูแล้วไม่น่าไว้ใจ หรือที่เขาเรียกกันว่าน่ากลัว ผมเดินตามพี่คนที่พาผมไปทำงาน เขาบอกว่าตัวเราชื่อโก๋ พี่โก๋ เดินนำหน้า ผมเดินตามเดินผ่านวงเหล้าที่นั่งกินกันเป็นกลุ่ม ๆ บางคนหันมาเห็นพี่โก๋ก็ร้องทักว่า "เฮ้ยมากินเหล้าด้วยกันโว้ยไอ้โก๋" พี่โก๋ก็จะตอบว่า "พวกมึงกินกันเถอะ วันนี้กูยังไม่อยากเมา" พอมาถึงที่พักซึ่งเป็นเหมือนห้องแถวประมาณสิบกว่าห้อง ตรงกลางมีลานกว้างประมาณ 7-8 เมตร มีโต๊ะหินสองตัวต่อกันคนนั่งได้สักสิบกว่าคนสบายมาก ที่ตรงนั้นมีผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งกินเหล้ากันอยู่พอเห็นผมกับพี่โก๋ ก็ร้องทักว่า "พี่โก๋พาใครมาด้วยละ" พี่โก๋บอกว่า "น้องชายมันชื่อตั้ม" ในกลุ่มนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางคงเมามากแล้วพูดว่า "หน้ามันอ่อนอย่างนี้มึงจะพามันเล่นลิเกหรือว่ะไอ้โก๋" "กูจะพามันมาทำงานกับนายเค้า ไม่ได้มาเล่นลิเกแบบมึงว่าหรอก" เสียงชายคนเก่าพูดว่า "ไอ้โก๋มึงยังกวนตีนเหมือนเดิมนะไม่ได้เห็นหน้ากันเสียหลายวัน" พี่โก๋พูด "กูยังเหมือนเดิม" แล้วแกก็พาผมไปพักห้องเดียวกับแก "มึงอยู่กับพี่ที่นี่แหละพี่อยู่คนเดียว ห้องมันใหญ่ไปจะได้มีเพื่อนคุยถ้ามึงไปอยู่คนเดียวไอ้พวกเหี้ยมันเยอะ เดี๋ยวไม่มีคนดูแลจะเกิดเรื่อง"




    เช้าของวันต่อมา พี่โก๋พาผมไปยังบ้านหลังหนึ่งใหญ่โตมาก มีคนมาเปิดประตูรั้วบ้านให้เราสองคนเข้าไปในบ้าน มีผู้ชายตัวใหญ่ดำสักมังกรพันแขน ใส่กางเกงตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ อยู่ที่โต๊ะทำงาน พอเห็นพี่โก๋ก็พูดว่า "เป็นยังไงกลับบ้านซะหลายวันพี่นึกว่าอาทิตย์หน้ามึงถึงจะกลับมาเรือมันขาดคนทำงานไม่ได้ดีเลยวะ" ตัวดำใหญ่ผมคิดว่าแกคงน่ากลัวแต่ที่ไหนได้แกพูดจายิ้มแย้มอารมณ์ดีท่าทางใจดีอีกต่างหาก ชายเจ้าของบ้านถามพี่โก๋ว่า "แล้วพาใครมาด้วยละ" แกตอบ "น้องครับพี่ ผมจะเอามันมาฝากให้ทำงานกับพี่ครับ" "รูปมันหล่อหน้ามันอ่อนจะทำงานไหวหรือวะโก๋" "พี่ก็ให้งานเบา ๆ ให้มันทำก็ได้" เป็นอันว่าผมได้งานทำ ในห้องนั้นที่โต๊ะรับแขกมีผู้หญิงแต่งชุดนักศึกษานั่งเขียนหนังสืออยู่สามคน มุมโต๊ะมีจานขนมและผลไม้วางอยู่ พวกเธอมองผมและก็ยิ้มให้ ผมยิ้มตอบ พี่โก๋ลาชายเจ้าของบ้าน ผมก็ยกมือไหว้เขาและพากันกลับยังที่พัก ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้หญิงสามคนนั้นคนหนึ่งเป็นหลานสาวของเจ้านาย อีกสองคนเป็นเพื่อนของเธอ เรื่องมันยาวครับผมขอเล่าเรื่องที่สำคัญดีกวา เดือนต่อมาผมได้เงินเดือน พอได้ก็รีบส่งไปให้แม่ เงินประมาณหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือน ผมให้แม่เกือบหมด เหลือไว้บางเดือนก็ห้าหกร้อยบาทเท่านั้นก็พอใช้เพระผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ คนอื่นเขาได้เงินมาก็ไปกินเที่ยวกันแต่ผมไม่ไปเพราะไม่ชอบ ที่นั้นมีทุกอย่างทั้งเหล้า การพนัน ผู้หญิง เพราะเรือแร่ขึ้นทีคนงานจะมีเงินกันเป็นจำนวนมาก บางคนก็ไปสิบห้าวันจะได้เงินประมาณสามหมื่น บางคนงานเบาเป็นคนถือสายน้ำฉีดแร่ก็จะได้ประมาณหมื่อนแปดพันหรือสองหมื่น คนที่ถือสาย่อดูดแร่ลงไปใต้น้ำเสี่ยงชีวิตมากก็จะได้เงินมากกว่าอื่นเป็นเท่าตัว มีคนมากมายที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น ฆ่ากันตายก้เยอะลงไปดูดแร่เกิดเรื่องต่าง ๆ ตายกันไปจนนับไม่ถ้วน ที่นั่นไม่มีใครสนใจใครเพราะเป็นที่ไกลปืนเที่ยง ฆ่ากันตายบ่อยมาก พอตายตำรวจมาตรวจดูศพแล้วก็ไปโดยมาเอาผิดกับใครไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะตำรวจไม่ค่อยในใจ เพราะคนมาอยู่รวมกันมาก ๆ เป็นร้อยพ่อพันธ์แม่ ยากแก่การดูแล มีทั้งดีและชั่วปนกันไป ผมมาอยู่ตั้งแต่ตัวยังไม่โตนัก ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ตัวเล็กเอวบางร่างน้อย คนอื่นดูแล้วว่าท่าทางไม่แข็งแรง เราออกเรือจะใช้เวลาไปกลับสิบห้าวันเจ้าของเรือตั้งเป้าของน้ำหนักแร่ไว้ว่าถ้าได้ 1,000 กิโลเมื่อไหร่ก็กลับได้เลย แต่ถ้าสิบห้าวันแล้วยังได้แร่ไม่ถึง 1,000 กิโลต้องกลับเหมือนกันเพระอาหารและน้ำดื่มที่เตรียมไปพอแค่สิบห้าวัน สิบห้าวันถ้าได้แร่ 700-800 กิโล ลูกเรือก็จะได้เงินน้อยแต่ถ้าได้แร่ถึง 1,000 กิโล คนถือท่อดูดแร่ที่ลงไปใต้น้ำจะได้เงินประมาณ 30,000 บาท คนฉีดน้ำบนเรือจะได้เงินประมาณ 20,000 บาท ถ้าเป็นผมจะได้ 10,000 บาท แต่ต่อมาผมได้เงินมากกว่าคนอื่นเสียอีกด้วยเหตุผลว่าพี่เจ้าของเรือแกชอบผมมาก เขามีเรืออยู่หลายลำ แต่ลำที่ผมอยู่เจ้าของเรือไปคุมด้วยตัวเอง แกเคยบอกผมว่า ครั้งไหนที่ผมไม่สบายและไม่ได้ไปด้วยต้องไปนานจนครบสิบห้าวันทุกครั้งเลย แต่ถ้าผมไปด้วยอย่างมากก็แค่ 7 วันก็ได้แร่ถึง 1,000 กิโล และบางครั้งก็ห้าวันก็มี บางหนสามวันยังมีเลย "พี่สังเกตเห็นแกเวลาที่เรือจะออกจากฝั่งจะยกสิ่งที่แขวนคอซึ่งเป็นเม็ดกลม ๆ เล็ก ขึ้นมายกมือพนมแล้วว่าคาถาอะไรไม่รู้ แต่คาถาของเองนี่ขลังจริง ๆ ว่ะ พี่นับถือ" ตอนหลังถ้าผมไม่สบาย แกบอกว่าไม่ต้องหยุดงาน ไปนอนในเรือแต่ไม่ต้องทำงานก็ได้ แต่แกแบ่งเงินให้เหมือนเดิมแกว่า "แค่เองไปด้วยพี่ก็ได้กลับเร็วกว่ปกติตั้งเยอะ" ผมมาอยู่กับพี่เขานี่ก็สามปีแล้วผมโตเป็นหนุ่มเต็มตัวตอนนี้ไม่ได้เงินน้อยแล้ว คนที่ลงถือท่ออยู่ใต้น้ำถ้าเขาได้เงิน 30,000 บาท ผมก็จะได้เงินถึง 40,000 บาท เลยทีเดียว ซึ่งผมไม่ได้มีคาถาอะไรอย่างที่เขาว่าหรอก เพียงแต่เวลาจะออกเรือผมก็จะยกลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาแล้วอธิษฐานว่า "ขอให้ผมปลอดภัยได้เงินมา เพื่อเอาไปรักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ" ออกเรือทีไรลำอื่นไม่ได้แร่กัน แต่ลำที่ผมไปกับได้มากและกลับเร็วกว่าลำอื่นเสมอ เจ้าของเรือจึงรักผมมากบอกว่าอยู่กันแล้วเจริญรุ่งเรืองคนแบบนี้หายาก ผมโชคดีทั้งเรื่องงานและความรัก หลานสาวของเจ้าของเรือ เธอก็มารักผมด้วย ไม่เพียงแค่นั้นเพื่อรักของเธอทั้งสองคนก็รักผมเหมือนกัน จึงทำให้ผมเลือกไม่ถูกว่าคนไหนดี เธอทั้งสามคนเป็นคนสวยและน่ารักมาก ผมเคยบอกกับเธอทีละคนว่าบ้านผมที่จังหวัดสิงห์บุรีหลังเล็กเพราะครอบครัวของผมยากจน เธอบอกว่าจน ๆ แหละชอบ แค่เห็นผมครั้งแรกที่ผมมาสมัครงานกับพี่โก๋ คืนนั้นกลับไปนอนไม่ค่อยหลับเลย ผมนึกในใจอะไรจะขนาดนั้น อยู่มาไม่นานนัก พวกชายหนุ่มที่หลงรักพวกเธอ แต่ผมไม่รู้ว่าคนไหนเพราะมีผู้ชายมาจีบพวกเธอมากมายหลายคน ส่วนมากจะรวย ๆ กันทั้งนั้น

    และวันนั้นก็มาถึง ผมจะต้องจำไปตลอดชีวิตอย่างไม่มีวันลืมเลยทีเดียว ผมออกเรือไปดูดแร่ตามปกติแต่ครั้งนี้เจ้าของเรือไม่ได้ไปด้วยเพระเขามีธุระสำคัญต้องไปทำ ออกเรือไปเป็นวันที่สี่ได้แร่ประมาณ 800-900 กิโลแล้ว จะกลับอีกสองวันนี่แหละ คืนนั้นอากาศดีดาวเต็มท้องฟ้า ผมยืนคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ท้ายเรือ ได้ยินเสียงคนเดินมาข้างหลังจึงหันไปดูก็เห็นลูกเรือด้วยกันแต่วันนี้เขาไม่ได้มาอย่างมิตร ในมือเขาถือปืนมาด้วย พอเขารู้ว่าผมเห็นเขา ก็ยกปืนในมือมายิงผม มีเสียงดัง ปั้ง ปั้ง ปั้ง เป็นระยะ ๆ คมกระสุนปืนพุ่งเข้าหาผมทุกนัดอย่างแม่นยำ ตัวผมกระเด็นตกจากเรือ ตอนนั้นผมตกใจยังทำอะไรไม่ถูก หล่นไปในน้ำมันก็มืด ผมมองไม่เห็นตัวเองได้แต่เอามือลูบ ๆ ดูว่าแผลถูกยิงตรงไหนบ้าง แต่น่าแปลกตัวผมไม่มีบาดแผลสักแห่งเดียวแต่ผมต้องลอยคออยู่ในทะเลจนถึงเช้าและมีคนที่อยู่เรือลำอื่นมาช่วยและพาขึ้นฝั่ง ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้ชายที่หลงรักผู้หญิงที่มารักผมจ้างลูกเรือที่อยู่เรือลำเดียวกับผมเป็นเงิน 50,000 บาท เพื่อฆ่าผมทิ้งกลางทะเล ตอนที่ผมถูกยิงผมจำได้ว่ผมเห็นพระพุทธรูปเหมือนกับองค์ที่อยู่ที่วัดหน้าพระเมรุในพระอุโบสถจำได้ดีว่าเป็นพระมหาจักรพรรดิ์ มาลอยอยุ่ข้างหน้าของผม กระสุนปืนทั้งหมดทะลุผ่านองค์พระมหาจักรพรรดิ์แล้วถึงมาโดนตัวผม ด้วยอำนาจของพระพุทธคุณนี้เอง จึงทำให้ลูกกระสุนปืนทุกนัดไม่ระคายผิวของผม ทำให้ผมนึกไปถึงตอนที่หลวงพ่อดู่ท่านมอบลูกกลม ๆ ให้ผมและท่านบอกวา มีพระอยู่ในนั้น หลายปีที่ผ่านมาผมมองดูทีไร ไม่เคยเห็นพระที่ท่านบอกสักองค์ มาเห็นพระตอนที่ผมถูกยิงนี่เอง ดีที่ผมจำคำสอนของหลวงพ่อดู่ได้ตลอดไม่เคยลืมคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ และภาวนาอยู่ทุกวัน ถ้าไม่มีพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ผมคงตายไปแล้ว


    ผมรอดตายโดยไม่มีบาดแผลไม่สามารถเอามือปืนและคนว่าจ้างมาลงโทษได้ตามกฏหมายทั้งตำรวจก็ไม่สนใจในเรื่องคดีเพราะคนที่ว่าจ้างเป็นลูกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ผมไม่ตายยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นให้กับคนที่ว่าจ้างคนมาฆ่าผมหลายเดือนผ่านไป เมื่อเขารู้ว่ากระสุนปืน ไม่อาจฆ่าผมได้จึงเปลี่ยนวิธิใหม่เขาไปจ้างหมออิสลามหรือที่เรียกกันว่าหมอแขกเพระพวกนี้มีวิชาอาคมเข้มขลังมาก สามารถทำคุณไสยให้คนตายมามากต่อมาก ที่นั่นคนอยู่เรือเขาไม่นิยมใส่รองเท้ากัน เพราะเวลาเดินบนเรือมันจะลื่นง่ายเลยเป็นเรื่องไม่ยากนักที่เขาจะให้คนแอบมาเอารอยเท้าของผมไปทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มนต์ดำ

    ช่วงนั้นผมคงกำลังดวงตก อยู่ ๆ เชือกแขวนพระขาดเลยยังหาเชือกใหม่ไม่ได้ ผมเก็บลูกกลม ๆ ของหลวงพ่อดู่ไว้หัวนอนรุ่งเช้าก็ลืมนำติดตัวไปด้วย เที่ยวนั้นเรือดูดแร่ออกไปได้เพียงวันเดียวผมก็ปวดท้องอย่างแรง จนพี่เจ้าของเรือจะเอาเรือเข้าฝั่ง ผมบอกว่า "อย่าเลยพี่เดี๋ยวนอนพักก็หาย" แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ผมเริ่มปวดจากท้องแต่เดี๋ยวก็ปวดหัวจนลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา หนักเข้าไม่หัวอย่างเดียว ในที่สุดก็ปวดไปทั้งตัว แม้แต่กระดูกยังปวด คิดในใจว่าจะรอดหรือเปล่า กลางคืนนอนก็ฝันเห็นแต่ฝีปีศาจจะมาเอาชีวิตบางครั้งเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่นฝีแขกใส่หมวกแบบอิสลามมาบังคับให้ผมเอาเชือกมาผูกคอ ผมไม่ยอมทำตามมันก็บอกว่าให้ไปโดดทะเล ผมนอนดิ้นไปดิ้นมาปวดทรมานไปทั้งตัว ผีเข้ามาบังคับจะเอาชีวิตอีก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนหลังมันมากันเป็นสิบ ๆ ตัว มันพูดว่ามึงต้องตาย บางตัวก็จับแขนกดเอาไว้อีกตัวก็กดขา ไอ้ตำดำสูงใหญ่เข้ามาบีบคอ จนผมเริ่มหายใจไม่ออก ตอนนั้นผมร้องไห้คิดถึงแม่คิดว่าคงไม่ได้กลับไปเห็นหน้าแม่อีกแล้ว ครั้งนี้ต้องตายแน่นอน

    มีเสียงหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงพ่อดู่ ท่านพูดว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พอผมได้ยินหลวงพ่อท่านบอก ผมก็ตั้งจิตภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ก็มีรัศมีเป็นแสงสว่างหลายสีพุ่งออกมาจากตัวผมรอบตัวทำให้แสงรัศมีนั้นโดนปีศาสทุกตัวมันร้องอย่างเจ็บปวดแสงสว่างนั้นกลายเป็นไฟเผาพวกปีศาจทั้งหมดละลายไปกับอากาศ ผมเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นกราบหลวงพ่อดู่ ใจก็บอกตัวเองว่ารอดตายแล้ว คืนนั้นผมไม่ยอมนอน ผมนั่งสมาธิทั้งคืนจนเช้า ประมาณแปดโมงเช้ามีเรือผ่านมาจะเข้าฝั่ง เจ้าของเรือที่ผมอยู่ รีบเรียกเรือลำนั้น ผมนอนอยู่ใต้ท้องเรือได้ยินเสียงเขาชัดเจน เขาบอกคนคุมเรือลำนั้นว่า "น้องกูไม่สบายฝากเข้าฝั่งด้วย" แกรักและเป็นห่วงผมแบบน้องชาย พอเรือเข้าถึงฝั่งผมรีบตรงไปยังห้องพักแทนที่จะไปหาหมอ ถึงห้องก็ไปที่หัวนอนหยิบลูกกลม ๆ ยกมือพนมพระ ถึงหลวงพ่อดู่ ตั้งนะโมสามจบ แล้วภาวนาไตรสรณคมณ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เท่านั้นผมอ๊วกออกมาเป็นน้ำสีเหลือง ๆ เหม็นไปทั่วบริเวณนั้น สิ่งที่ออกมามันเหมือนกับน้ำเหลืองผีอย่างไงอย่างนั้นเลยทีเดียว พออ๊วกเสร็จผมรู้สึกร่างกายเบาสบายสดชื่นเหมือนไม่เคยเจ็บปวดมาเลย ทั้งที่เมื่อคืนผมปวดไปทั้งตัว ครั้งนี้ถ้าไม่ได้อำนาจของไตรสรณคมณ์ ผมจะเป็นอย่างไรอาจจะไม่รอดก็ได้ใครจะรู้

    ตอนหลังผมมารู้ชื่อของลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาว่าชื่อ ลูกแก้วสารพัดนึก ภูเก็ตที่ผมไปอยู่ตรงนั้นเขาเรียกว่า ท่านุ่น สมัยนั้นยังเป็นดินแดนป่าเถื่อนหรือที่เรียกว่า ไกลปืนเที่ยง แต่ผมก็รอดชีวิตมาได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกโดนยิง แต่กระสุนปืนไม่อาจระคายผิวของผม ครั้งสองโดนคุณไสยมนต์ดำของหมอแขก แต่ก็รอดมาอีก ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีคนดีคอยช่วยเหลือ รักใคร่เมตตา โชคลาภทั้งทรัพย์สินเงินทองก็ได้มาจากการทำกิน จะไปทำอะไรอาชีพเดียวกับคนอื่น คนอื่นเขาทำแล้วไม่ค่อยได้ดี แต่พอผมทำก็จะเจริญและร่ำรวยอย่างผิดหูผิดตา ทั้งผู้หญิงดี ๆ ก็มารักผมหลายคน ผมเป็นคนที่ไม่ชอบแต่งตัว ทองสลึงเดียวก็ไม่เคยมีติดตัว ใส่เสื้อผ้าถูก ๆ แต่ผู้หญิงกลับมาชอบอย่างมากมายหลายคนเงินทองทั้งหมดที่ได้มา ผมส่งไปให้แม่หมด เหลือไว้ใช้เพียง 500-600 บาทต่อเดือนเท่านั้น ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆ หลายปีผ่านไป เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นเศรษฐีมีเงินทองมากมายทั้งเป็นเจ้าของเรือดูดแร่อีกหลายลำ แต่ผมไท่เคยลืมตัว ยังแขวนลูกแก้วสารพัดนึกอยู่ในคอตลอดเวลา

    ผมจำได้ตอนที่หลวงพ่อดู่ให้ลูกแก้วสารพัดนึกท่านบอกว่า "เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่ อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตาย แล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี" คำพูดของหลวงพ่อดู่ ท่านศักดิ์สิทธิ์ เป็นจริงทุกคำ ผมอยู่ที่ภูเก็ตนานจึงมีเพื่อนมากเคยมีเพื่อนคนหนึ่งมันชอบสะสมพระดัง ๆ ที่มีราคาแพงมาก ๆ มันถามผมว่า "มึงเป็นเถ้าแก่ใหญ่เงินทองมากมาย ทำไมเอาลูกอมกลม ๆ มาแขวนคอลูกเดียววะ ไม่หาสมเด็จวัดระฆังมาแขวนคอสักองค์" ผมตอบมันว่า "พระสมเด็จน่ะดีต้องคนมีบุญมีวาสนาถึงจะได้มีไว้ครอบครอง สำหรับกูลูกกลม ๆ นี่แหละดีที่สุดแล้ว มึงรู้ไว้เลยนะที่กูมีวันนี้ได้ก็เพราะลูกกลม ๆ นี้แหละ"

    เครดิต - ข้อมูลจาก: นะโภคทรัพย์ ฉบับที่ 5
     
  9. thth

    thth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    537
    ค่าพลัง:
    +887
    ผมก็ชอบประสบการณ์เรื่องนี้มากเหมือนกันครับ ทุกวันนี้ก็ติดลูกแก้วติดตัวไว้ตลอดแม้ขณะตอนนอน ติดลูกแก้วไว้พวงเดียวกับชานหมากพ่อท่านคล้ายและชานหมากพ่อท่านคลิ้งครับ
     
  10. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,083

แชร์หน้านี้

Loading...