แนวปฏิบัติสำหรับเตวิชโช-หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย watnatangnok namai, 16 มีนาคม 2014.

  1. watnatangnok namai

    watnatangnok namai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +3,986
    ทราบแล้วว่า เตวิชโชมีอะไรบ้าง ขอนำแนวปฏิบัติมาเขียนไว้ เพื่อรู้แนวทาง หากท่านผู้อ่านประสงค์จะรู้หรือจะ นำไปปฏิบัติก็จะสะดวกในการค้นคว้า เตวิชโชหรือท่านผู้ทรงวิชชาสาม มีปฏิปทาในการปฏิบัติดังต่อไปนี้

    ๑. การรักษาศีลให้สะอาดหมดจด ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด

    ๒. ฝึกสมาธิในกรรมฐานที่มีอภิญญาเป็นบาท คือกสิณกองใดกองหนึ่งที่เป็นสมุฏฐานให้เกิดทิพยจักษุญาณ กสิณที่เป็นสมุฏฐานให้เกิดทิพยจักษุญาณนั้นมีอยู่สามกองด้วยกัน คือ

    ๑. เตโชกสิณ เพ่งไฟ

    ๒. อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง

    ๓. โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว

    กสิณทั้งสามอย่างนี้ อย่างใดก็ตาม เป็นพื้นฐานให้ได้ทิพยจักษุญาณทั้งสิ้น แต่ตามนัยวิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า ในบรรดากสิณทั้งสามอย่างนี้ อาโลกกสิณเป็นกสิณสร้างทิพยจักษุญาณโดยตรง ท่านว่าเจริญอาโลกกสินั่น แหละเป็นการดี

    วิธีเจริญอาโลกกสิณเพื่อทิพยจักษุญาณ การสร้างทิพยจักษุญาณด้วยการเจริญอาโลกกสิณนั้น ท่านให้ ปฏิบัติดังนี้ ท่านให้เพ่งแสงสว่างที่ลอดมาทางช่องฝาหรือหลังคาให้กำหนดจิตจดจำภาพแสงสว่างนั้นไว้ให้จำได้ดี แล้วหลับตากำหนดนึกถึงภาพแสงสว่างที่มองเห็นนั้น ภาวนาในใจ พร้อมทั้งกำหนดนึกถึงภาพนั้นไปด้วย ภาวนา ว่า "อาโลกกสิณัง" แปลว่า แสงสว่างกำหนดนึกไป ภาวนาไป ถ้าภาพแสงสว่างนั้นเลอะเลือนจากไป ก็ลืมตาดูใหม่ ทำอย่างนี้เรื่อยไป จนภาพนั้นติดตา ติดใจ นึกคิดขึ้นมาเมื่อไร ภาพนั้นก็ปรากฏแก่ใจตลอดเวลา ในขณะที่กำหนด จิตคิดเห็นภาพนั้น ระวังอารมณ์จิตจะซ่านออกภายนอก และเมื่อจิตเริ่มมีสมาธิ ภาพอื่น มักเกิดขึ้นมาสอดแทรกภาพกสิณ เมื่อปรากฏว่ามีภาพอื่นสอดแทรกเข้ามาจงตัดทิ้งเสีย โดยไม่ยอมรับรู้รับทราบ กำหนดภาพเฉพาะภาพกสิณอย่างเดียว ภาพแทรกเมื่อเราไม่สนใจไยดีไม่ช้าก็ไม่มารบกวนอีก เมื่อภาพนั้นติดตา ติดใจจนเห็นได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะเห็นได้แล้ว และเป็นภาพหนาใหญ่จะกำหนดจิตให้ภาพนั้นเล็ก ใหญ่ได้ ตามความประสงค์ ให้สูงต่ำก็ได้ตามใจนึก เมื่อเป็นได้อย่างนั้นก็อย่าเพิ่งคิดว่าได้แล้ว ถึงแล้วจงกำหนดจิตจดจำ ไว้ตลอดวันตลอดเวลา อย่าให้ภาพแสงสว่างนั้นคลาดจากจิต จงเป็นคนมีเวลา คืออย่าคิดว่าเวลานั้นเถอะเวลานี้ เถอะจึงค่อยกำหนด การเป็นคนไม่มีเวลา เพราะหาเวลาเหมาะไม่ได้นั้น ท่านว่าเป็นอภัพพบุคคลสำหรับการฝึก ญาณ คือเป็นคนหาความเจริญไม่ได้ ไม่มีทางสำหรับมรรคผล เท่าที่ตนปรารถนานั่นเอง ต้องมีจิตคิดนึกถึงภาพ กสิณตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ไม่ยอมให้ภาพนั้นคลาดจากจิต ไม่ว่า กิน นอน นั่ง เดิน ยืน หรือทำกิจการงาน ต่อไปไม่ช้า ภาพกสิณก็จะค่อยคลายจากสีเดิมเปลี่ยนเป็นสีใสประกายพรึกน้อยๆ และค่อย ๆ ทวีความสดใสประกายมากขึ้น ในที่สุดก็จะปรากฏเป็นสีประกายสวยสดงดงาม คล้ายดาวประกายพรึกดวงใหญ่ ตอนนี้ก็กำหนดใจให้ภาพนั้นเล็ก โต สูง ต่ำ ตามความต้องการ การกำหนดภาพเล็ก โต สูง ต่ำและเคลื่อนที่ไปมาอย่างนี้ จงพยายามทำให้คล่อง จะเป็นประโยชน์ตอนฝึกมโนมยิทธิ คือ ถอดจิตออกท่องเที่ยวมาก เมื่อภาพปรากฏประจำจิตไม่คลาดเลื่อนได้รวด เร็ว เล็กใหญ่ได้ตามประสงค์คล่องแคล่วว่องไวดีแล้ว ก็เริ่มฝึกทิพยจักษุญาณได้แล้ว เมื่อฝึกถึงตอนนี้ มีประโยชน์ ในการฝึกทิพยจักษุญาณ และฝึกมโนมยิทธิ คือถอดจิตออกท่องเที่ยว และมีผลในญาณต่างๆ ที่เป็นบริวารของ ทิพยจักษุญาณทั้งหมด เช่น

    ๑. ได้จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิด ณ ที่ใด ที่มาเกิดนี้มาจากไหน

    ๒. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์

    ๓. ปุเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในกาลก่อนได้

    ๔. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตได้

    ๕. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าต่อไปได้

    ๖. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันว่า ขณะนี้อะไรเป็นอะไรได้

    ๗. ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ บุคคล เทวดา และพรหมได้ว่าเขามีสุขมีทุกข์เพราะผลกรรมอะไรเป็นเหตุ

    การฝึกกสิณจนถึงระดับดีมีผลมากอย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงอย่าท้อถอย สำหรับวันเวลาหรือไม่นานตามที่ท่านคิด หรอก จงอย่าเข้าใจว่าต้องใช้เวลาแรมปี คนว่าง่ายสอนง่ายปฏิบัติตามนัยพระพุทธเจ้า สั่งสอนแล้ว ไม่นานเลย นับ แต่อย่างเลวจัดๆ ก็สามเดือน เป็นอย่างเลวมาก อย่างดีมากไม่เกินเจ็ดวันเป็นอย่างช้า ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะท่านผู้ นั้นเคยได้ทิพยจักษุญาณมาในชาติก่อนๆ ก็ได้เพราะท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรรคว่า "ท่านที่เคยได้ทิพยจักษุญาณ มาในชาติก่อนๆ แล้วนั้น พอเห็นแสงสว่างจากช่องฝาหรือหลังคา ก็ได้ทิพยจักษุญาณทันที" เคยพบมาหลายคน เหมือนกัน แม้แต่มโนมยิทธิซึ่งเป็นของยากกว่าหลายร้อยรายที่พอฝึกเดี๋ยวนั้น ไม่ทันถึงชั่วโมงเธอก็ได้เลย ทำเอา ครูอายเสียเกือบแย่เพราะครูเองก็ย่ำต๊อกมาแรมเดือน แรมปี กว่าจะพบดีเอาความรู้นี้มาสอนได้ก็ต้องบุกป่าบุก โคลน ขึ้นเขาลำเนาไม้เสียเกือบแย่ แต่ศิษย์คว้าปับได้บุปอย่างนี้ ครูจะไม่อาย แล้วจะไปรออายกันเมื่อไร แต่ก็ภูมิใจ อยู่นิดหนึ่งว่า ถึงแม้ครูจะทึบ ก็ยังมีโอกาสมีศิษย์ฉลาดพออวดกับเขาได้

    กำหนดภาพถอนภาพ เมื่อรู้อานิสงส์อาโลกกสิณแล้ว ก็จะได้แนะวิธีใช้ฌานจากฌานในกสิณต่อไป การเห็นภาพ เป็นประกายและรักษาภาพไว้ได้นั้นเป็นฌานต้องการจะดูนรกสวรรค์ พรหมโลกหรืออะไรที่ไหน จงทำดังนี้ กำหนด จิตจับภาพกสิณตามที่กล่าวมาแล้วให้มั่นคง ถ้าอยากดูนรก ก็กำหนดจิตลงต่ำแล้วอธิฐานว่าขอภาพนี้จงหายไป ภาพนรกจงปรากฏขึ้นมาแทน เท่านี้ภาพนรกก็จะปรากฏ อยากดูสวรรค์กำหนดจิตให้สูงขึ้น แล้วคิดว่า ขอภาพกสิณ จงหายไป ภาพสวรรค์จงปรากฏแทน ภาพพรหม หรืออย่างอื่นก็ทำเหมือนกัน ถ้าฝึกกสิณคล่องแล้วไม่มีอะไรอธิบาย อีก เพราะภาพอื่นที่จะเห็นก็เพราะเห็นภาพกสิณก่อน แล้วกำหนดจิตให้ภาพกสิณหายไป เอาภาพใหม่มาแทน การ เห็นก็เห็นทางใจเช่นเดียวกับภาพกสิณ แต่ชำนาญแล้วก็เห็นชัดเหมือนเห็นด้วยตา เล่นให้คล่อง จนพอคิดว่าจะรู้ ก็รู้ได้ทันทีทันใด ไม่ว่าตื่นนอนใหม่ กำลังง่วงจะนอน ร้อน หนาว ปวด เมื่อย หิว เจ็บไข้ได้ป่วยทำได้ทุกเวลาอย่างนี้ ก็ชื่อว่าท่านได้กสิณกองนี้แล้วและได้ทิพยจักษุญาณแล้ว เมื่อได้ทิพยจักษุญาณเสียอย่างเดียว ญาณต่าง ๆ ที่ กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็ไม่มีอะไรจะต้องทำ ได้ไปพร้อมๆ กัน เว้นไว้แต่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ท่านว่าต้องมีแบบ ฝึกต่างหาก แต่ตามผลปฏิบัติพอได้ทิพยจักษุญาณเต็มขนาดแล้ว ก็เห็นระลึกชาติได้กันเป็นแถว ใครจะระลึกได้ มาก ได้น้อยเป็นเรื่องของความขยันและขี้เกียจ ใครขยันมากก็ระลึกได้มาก ขยันน้อยก็ระลึก ได้น้อย ขยันมากคล่องมาก ขยันน้อยคล่องน้อย ไหน ๆ ก็พูดมาถึงปุพเพนิวาสานุสสติญาณแล้ว ขอนำวิธีฝึก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณมากล่าวต่อกันไว้เสียเลย

    ฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การเจริญปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือฝึกวิชาการระลึกชาตินั้น ท่านให้ทำดัง ต่อไปนี้ ท่านให้เข้าฌาน ๔ ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องเป็นฌานในกสิณอย่างอื่นไม่ได้ นี่ว่าเฉพาะคนเริ่มฝึก ใหม่ ไม่เคยได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณมาในชาติก่อนๆ เมื่อเข้าฌาน ๔ แล้ว ออกจากฌาน ๔ มาพักอารมณ์อยู่ เพียงอุปจารฌาน เรื่องฌานและอุปจารฌานนี้ขอให้ทำความเข้าใจเอาตอนที่ว่าด้วยฌานจะเขียนต่อไปข้างหน้า หากประสงค์จะทราบก็ขอให้เปิดต่อไป ในข้อที่ว่าด้วยฌาน เมื่อพักจิตอยู่เพียงอุปจารฌานแล้ว ก็ค่อย ๆ คิดย้อน ถอยหลังถึงเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตตั้งแต่เมื่อตอนสายของวัน ถอยไปตามลำดับถึงวันก่อนๆ เดือนก่อนๆ ปี ก่อนๆและชาติก่อนๆ ตามลำดับ ถ้าจิตฟุ้งซ่านก็พักคิดเข้าฌานใหม่ พอจิตสบายก็ถอยออกมา แล้วถอยไปตามที่ กล่าวแล้ว ไม่นานก็จะค่อยๆ รู้ค่อยๆ เห็น การรู้การเห็นเป็นการรู้เห็นด้วยกำลังฌานอันปรากฏเป็นรูปของฌาน คือ รู้เห็นทางใจอย่างเดียวกับทิพยจักษุญาณเห็นคล้ายดูภาพยนต์ เห็นภาพพร้อมกับรู้เรื่องราวต่างๆ พร้อมกันไป รู้ชื่อ รู้อาการ รู้ความเป็นมาทุกอย่าง เป็นการสร้างความเพลิดเพลินแก่นักปฏิบัติ ทำให้เกิดความรื่นเริงหรรษา มีความ สบายใจเป็นพิเศษ ดีกว่ามั่วสุมกับคนมากที่เต็มไปด้วยกิเลสและตัณหา มีประโยชน์ในการเจริญวิปัสสนาญาณ มาก เพราะรู้แจ้งเห็นจริงว่า การเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด หาที่สุดมิได้นี้เป็นความจริง การเกิดแต่ละครั้งก็เต็มไป ด้วยความทุกข์ทุรนทุรายไม่มีอะไรเป็นสุข บางคราวเกิดในตระกูลยากจน บางคราวเกิดในตระกูลเศรษฐี บางคราว เกิดในตระกูลกษัตริย์ ทรงอำนาจวาสนา บางคราวเป็นเทวดา บางคราวเป็นพรหม บางคราวเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน รวมความว่าเราเป็นมาแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าเกิดเป็นอะไรก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หาการ พ้นทุกข์เพราะการเกิดไม่ได้เลย เมื่อเห็นทุกข์ในการเกิดก็เป็นการเห็นอริยสัจ ๔ จัดว่าเป็นองค์วิปัสสนาญาณ อันดับ สูง การเห็นด้วยปัญญาญาณจัดเข้าในประเภทรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่เห็นแบบวิปัสสนึก คือ การคาดคะเนเดาเอาเอง เดาผิดบ้างถูกบ้างตามอารมณ์คิดได้บ้าง หลง ๆ ลืมๆ บ้าง เป็นวิปัสสนึกที่ให้ผลช้าอาจจะเข้าใจในอริยสัจได้แต่ก็นาน มากและทุลักทุเลเกินสมควร ที่เหลวเสียนั่นแหละมาก ส่วนที่ได้เป็นมรรคผลมีจำนวนน้อยเต็มทน

    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ผ่อนคลายมานะ นอกจากจะทราบประวัติของตนเองในอดีตชาติแล้ว ยังช่วยทำ ให้มีปัญญาญาณรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจได้โดยง่าย ยิ่งกว่านั้นยังคลายมานะ ความถือตนถือตัว อันเป็นกิเลสตัว สำคัญ ที่แม้พระอนาคามีก็ยังตัดไม่ได้ จะตัดได้ก็ต่อเมื่อถึงอรหัตตผลนั่นแหละ แต่เมื่อท่านได้ญาณนี้แล้ว ถ้าท่าน คิดรังเกียจใคร คนหรือสัตว์ รังเกียจในความโสโครก หรือฐานะ ชาติตระกูล ท่านก็ถอยหลังชาติเข้าไปหาว่า ชาติใด เราเคยเป็นอย่างนี้บ้าง ท่านจะพบว่าท่านเองเคยครองตำแหน่งนี้มาก่อน เมื่อพบแล้ว จงเตือนใจตนเองว่า เมื่อเราเป็น อย่างเขามาก่อน เขากับเราก็มีสภาพเสมอกัน เราเป็นอย่างนั้นมาก่อน เขากับเรามีสภาพเสมอกัน เราเป็นอย่างนั้น มาก่อนเขาก็ชื่อว่าเราเป็นต้นตระกูล สภาพการณ์อย่างนั้น ที่เขาเป็นอย่างนั้น เพราะเขารับมรดกตกทอดมาจากเรา เราจะมารังเกียจทายาทของเราด้วยเรื่องอะไร ถ้าเรารังเกียจทายาท ก็ควรจะรังเกียจตัวเองให้มากกว่าเพราะทราบ แล้วว่าเป็นอย่างนั้นไม่ดี เป็นที่น่ารังเกียจ เราทำไมจึงไม่ทำลายกรรมนั้นเสีย กลับปล่อยให้เป็นมรดกตกทอดมาให้ บรรดาอนุชนรุ่นหลังต้องรับกรรมต่อ ๆ กันมา เป็นความชั่วร้ายเลวทรามของเราต่างหาก ไม่ใช่เขาเลว คิดตัดใจว่า เราจะไม่ถือเพศ ชาติตระกูล ฐานะเป็นสำคัญ ใครเป็นอย่างไรก็มีสภาพเสมอกันโดยเกิดแล้วตายเหมือนกันหมด ฐานะความเป็นอยู่ ชาติ ตระกูล ในปัจจุบัน เป็นเสมือนความฝันเลื่อนลอย ไม่มีอะไรเป็นของจริง ในที่สุดก็ต้องตก เป็นเหยื่อของมัจจุราชทั้งสิ้น คิดตัดอย่างนี้ จะบรรเทามานะ ความถือทะนงตัวเสียได้ ความสุขสงบใจก็จะมีตลอด วันคืน จะก้าวสู่อรหัตตผลได้อย่างไม่ยากนัก

    มโนมยิทธิ มโนมยิทธิแปลว่ามีฤทธิ์ทางใจ ในที่นี้ท่านหมายเอาการถอดจิตออกจากร่างแล้วท่องเที่ยวไปในภพ ต่างๆ ความจริงมโนมยิทธินี้ ท่านจัดไว้ในส่วนอภิญญา แต่เพราะท่านที่ทรงวิชชาสาม ก็สามารถจะทำได้ จึงขอนำ มากล่าวไว้ในวิชชาสาม

    เมื่อท่านทรงฌาน ๔ ได้ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็เป็นอันว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะทรงมโนมยิทธิได้ เช่นเดียวกับ ได้ทิพยจักษุญาณแล้ว ก็มีสิทธิ์ได้ญาณอีกเจ็ดอย่าง ได้ตามที่กล่าวมาแล้วในข้อว่าด้วยทิพยจักษุญาณท่านประสงค์ จะท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ จะเป็นภพใดก็ตาม นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ดินแดนในมนุษยโลกทุกหนทุกแห่ง ดาวพระอังคาร พระจันทร์ พระศุกร์ ไม่ว่าบ้านใครเมืองใคร เมืองฝรั่ง เมืองแขก เมืองเจ็ก เมืองญวน ท่านไปได้ทุกหนทุกแห่ง โดยไม่ต้องเสียเวลารอคอยใคร ไม่ต้องยืมจมูกคนขับเคลื่อน หรือเจ้านายเหนือหัวคนใด ที่จะคอยกำหนดเวลาออกเวลาถึงให้ ไม่ต้องเสียค่าพาหนะมากมายอะไร เพียงกินข้าว เสียให้อิ่ม เพียงอิ่มเดียว ซื้อตั๋วด้วยธูปสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม ดอกไม้สามดอก ถ้าหาได้ หากหาไม่ได้ท่านก็ให้ไป ฟรี ไม่ต้องเสียอะไร เพราะท่านเอาเฉพาะที่หาได้ ถ้าหาไม่ได้ ท่านอนุญาตใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ไปถึงจุดหมายปลาย ทางได้ จะเข้าบ้านสถานทำงาน ห้องนอนใครก็ตาม เข้าได้ตามความประสงค์ ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้าน สำรวจ ความลับได้ดีมากใครทำอะไร ซุกซ่อนอะไรไว้ที่ไหนมีเมียน้อยเมียเก็บไว้ที่ไหน ก็สำรวจได้หมด ไม่มีทางปกปิด วิธี ทำเพื่อไปทำอย่างนี้

    ท่านให้เข้าฌาน ๔ ทำจิตให้โปร่งสว่างไสวดีแล้ว กำหนดจิตว่า ขอร่างกายนี้จงเป็นโพรง ก็จะเห็นว่าร่างกายเป็น โพรงใหญ่ ต่อแต่นั้นกำหนดจิตว่า ขอร่างอีกร่างหนึ่งจงปรากฏขึ้นภายในกายนี้ กายอีกกายหนึ่งก็จะปรากฏขึ้น ต่อไป ก็ค่อยบังคับกายนั้น ให้เคลื่อนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย แม้กระทั่งตับไตไส้ปอดลำไส้ทุกส่วน เส้นเลือดทุกเส้น ประสาททุกส่วน บังคับให้กายนั้นเดินไปตรวจให้ถ้วนทั้งร่างกายจะเห็นว่าแม้เส้นเลือดฝอยเส้นเล็กๆ ร่างนั้นก็เดินไป ได้อย่างสบาย จะเห็นเส้นเลือดนั้นเป็นเสมือนถนนสายใหญ่ เดินได้สะดวก เห็นร่างกายนี้เป็นโพรงใหญ่คล้ายเรือ หรือถ้ำขนาดใหญ่เมื่อท่องเที่ยวในร่างกายจนชำนาญแล้ว ขณะท่องเที่ยวในร่างกาย อย่าหาความชำนาญ อย่างเดียว ควรหาความรู้ไปด้วย รู้สภาพของอวัยวะ และรู้สภาพความสกปรกโสมมในร่างกาย จดจำสภาพเมื่อ ปกติไว้ พอป่วยไข้ไม่สบายตรวจร่างกายภายในได้ว่า มีอะไรชำรุดหรือผิดปกติบ้าง เห็นแจ้งเห็นชัด เป็นแผลหรือ ชอกช้ำ รู้ชัดเจนไม่แพ้เอ็กซเรย์เลยมีประโยชน์ในทางตรวจร่างกายด้วย เมื่อชำนาญการตรวจแล้ว ก็กำหนดจิต ว่าจะไปที่ใด กำหนดจิตว่าเราจะไปที่นั้น พุ่งกายออกไปก็จะถึงถิ่นที่ประสงค์ทันที ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวินาที เมื่อถึง แล้ว จิตจะบอกเองว่าสถานที่นั้นเป็นเมืองอะไร ใครบ้างที่พบ ไม่ต้องมีคนบอก เพราะสภาพของจิตที่เป็นทิพย์ กิเลสไม่ได้หุ้มห่อไป จึงรู้อะไรได้ตามความเป็นจริงเสมอ โดยไม่ต้องอาศัยใครบอก

    มโนมยิทธินี้ ควรสนใจทำให้คล่อง เพียงกำหนดจิตคิดว่า เราจะไปละ เพียงเท่านี้ก็ไปได้ทันที ทำได้ทุกขณะ เวลา เดิน ยืน นอน นั่งในท่าปกติ ทำงาน กำลังพูด รับประทานอาหาร เวลาที่ควรฝึกให้ชำนาญมากก็คือ เวลาป่วย ขณะที่ร่างกายมีทุกขเวทนามาก ตอนนั้นสำคัญมาก ยกจิต ออกไปเสีย ปล่อยไว้แต่ร่างกายเวทนาจะได้ไม่รบกวน ที่ใดเป็นแดนใหม่ สวรรค์ หรือพรหม ไปอยู่ประจำที่นั้น ยามปกติควรไปอยู่พักอารมณ์เป็นประจำ ยามป่วยไปอยู่เป็นปกติ หมายความว่า บอกกับคนพยาบาลว่าเวลาเท่า นั้นถึงเท่านั้น ฉันจะพักผ่อน อย่าให้ใครมากวน แล้วก็เข้าฌาน ๔ ไปสถานที่อยู่ตามกำลังกุศลที่ทำไว้ ถ้าได้วิมุตติ ญาณทัสสนะก็ไปนิพพานเลย นิพพานอยู่ที่ไหน ท่านที่ถึงวิมุตติญาณทัสสนะเท่านั้นที่จะบอกได้ ท่านที่ยังไม่ถึงงง ไปพลางก่อน ขืนบอกไปท่านก็ไม่เชื่อไม่บอกดีกว่า เอาไว้รู้เองเมื่อท่านถึง ผู้เขียนก็งงเหมือนกัน ท่านว่ามาอย่างนี้ ก็เขียนตามท่านไป เมื่อได้แล้วถึงแล้วก็รู้เอง ผู้เขียนเองก็เหมือนกัน เขียนไปเขียนมาก็ชักอยากรู้นักว่านิพพานอยู่ ที่ไหน ประโยชน์ของมโนมยิทธิได้กล่าวมาโดยย่อ พอสมควรแล้ว มโนมยิทธิ ตามที่กล่าวมานี้เป็นแบบที่ใช้กันทั่วไป มีอีกแบบหนึ่ง เรียนมาจากท่านอาจารย์สุข บ้านคลองแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ของท่านแปลก ได้ผลเร็วเกินคาด แบบปกติที่กล่าวมาแล้วนั้น กว่าจะชำนาญในกสิณก็เหงือกบวม มีมากรายที่ไม่ได้ปล่อยล่อง ลอยไปเลยคือเลิกเลยมีมาก บางรายทำไม่สำเร็จ เลยกลายเป็นศัตรูพระศาสนาไป ไม่เชื่อผลปฏิบัติแถมค้านเอา เสียอีกด้วย น่าสงสารท่านเหล่านั้นแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้ พอได้ของท่านอาจารย์สุขมา ก็รู้สึกว่ามโนมยิทธิเป็น ของง่ายมาก หลายรายพอเริ่มฝึกก็ท่องเที่ยวได้เลย ไม่ข้ามวัน ที่ช้าหน่อยก็ไม่กี่วัน แต่ที่ไม่ได้เลยก็มี เป็นเพราะอะไร ไม่ขอวิจารณ์ บอกไว้แต่เพียงว่า ถ้ารู้จักคุมอารมณ์แล้วไม่นานเลยไปได้และแจ่มใสดีกว่าวิธีปกติธรรมดา แบบของ ท่านมีดังนี้ ใครอยากได้ก็ขอมอบให้เลย ใกล้ตายแล้วไม่หวง

    มโนมยิทธิ แบบอาจารย์สุข แบบนี้ใครเป็นคนคิดไม่ทราบ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า เรียนต่อกันมาหลายรุ่นแล้ว เดิมเป็นใครคิดไม่ทราบ แบบของท่านมีดังนี้

    ๑.ในระยะต้น ท่านเขียนหนังสือลงบนกระดาษที่พับเป็นสามเหลี่ยมเขียนว่า "นะมะพะทะ" สอนคาถาภาวนา ให้ ศิษย์ภาวนาว่า "นะมะพะทะ" เหมือนหนังสือที่เขียนบนกระดาษ แล้วให้ศิษย์เอากระดาษปิดหน้า จุดธูปสามดอก เสียบลงบนกระดาษ ศิษย์ภาวนาว่า นะมะพะทะ ตลอดไป จนกว่าจะมีอาการสั่น อาจารย์หยิบกระดาษออก ถาม ศิษย์ว่าสว่างไหม ? ถ้าศิษย์บอกว่ามืด ท่านก็เอากระดาษสะอาดมาจุดไฟ แกว่งที่หน้าศิษย์ใช้คาถาว่า "นะโมพุทธายะ ขอแสงสว่างจงปรากฏแก่ศิษย์" ท่านแกว่งไฟ ประเดี๋ยวเดียวศิษย์ก็บอกว่าสว่าง ท่านถามว่า จะไปสวรรค์หรือนรก ศิษย์บอกตามความพอใจ สวรรค์ หรือนรกก็ ได้ตามต้องการ ท่านบอกว่าไปได้ เท่านั้นศิษย์ก็ไปได้ตามประสงค์ไปถึงไหนถามได้ บอกมาเรื่อยๆว่า ถึงไหน พบ ใคร มีรูปร่างอย่างไร แต่ห้ามถูกตัว ลองไปสอบดูแล้ว เห็นเป็นของจริง ให้ไปบ้านเมืองไหน ประเทศไหนก็ได้บอกได้ ถูกหมด แม้แต่สถานที่เธอไม่เคยไป เมื่อไปถึงแล้ว ถามว่ามีอะไรบ้างเธอตอบถูกหมด บอกให้ไปต่างประเทศที่เคย รู้จัก เธอไปถึงแล้วก็บอกถูก เป็นของแปลกมาก ได้ขอเรียนมาสอนศิษย์ได้ผลเกินคาด เป็นของเจริญศรัทธาดี และ ส่งเสริมศรัทธาผู้นั่งรับฟังด้วย ตอนแรกจะมีอาการสั่น และออกท่าทางเมื่อจิตตกไป แต่พอสมาธิเข้าจุดอิ่มก็นั่งเงียบ สงัดแบบธรรมดาแต่แจ่มใสมาก รวดเร็วกว่าแบบธรรมดามาก

    ๒. กระดาษปิดหน้า ถ้าศิษย์คนใดท่องเที่ยวได้แล้ว ต่อไปไม่ต้องปิดอีก ใช้เฉพาะเวลาที่ยังไปไม่ได้เท่านั้น

    ๓. เครื่องบูชาครูมี ดอกไม้สามดอก เอาสามสี เทียนหนักบาท ๑ เล่ม ธูปสามดอก เงิน ๑ สลึง สามอย่างนี้ขาดไม่ ได้ เงินต้องซื้อของถวายพระ เอาใช้เองไม่ได้

    ๔. ก่อนที่ศิษย์จะเริ่มภาวนา ครูต้องทำน้ำมนต์ก่อน น้ำมนต์ทำด้วย อิติปิโส ฯลฯ ทั้งบท พรมศิษย์เมื่อเริ่มทำ และ ตอนเลิกทำ ท่านว่ากันอารมณ์ฟั่นเฟือนดีมาก

    คนที่ทำเป็นใครก็ได้ บางรายเป็นคนทำงานหนัก พอทิ้งจอบเสียมก็มาทำเลยเห็นท่องเที่ยวกันได้ไปเป็นคณะก็ได้ เหมือนเที่ยวธรรมดา ออกมาแล้วพูดเหมือนกันหมด น่าแปลก และน่าดีใจที่สมัยนี้ยังมีท่านผู้ทรงมโนมยิทธิอภิญญา อยู่ คิดว่าจะสูญไปเสียหมดแล้ว

    วิธีใช้ญาณต่างๆ เมื่อเจริญฌานในกสิณจนถึงอุปจารฌานแล้ว ก็เริ่มสร้างทิพยจักษุญาณได้ เพราะทิพยจักษุ ญาณนั้น เริ่มมีผลตั้งแต่จิตเข้าสู่อุปจารฌาน มีผลในการรู้บ้างพอสมควรเช่นรู้สวรรค์นรก และเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ บ้าง ไม่ถึงกับรู้ตายรู้เกิด คือตายแล้วไปเกิดที่ใด ผู้ที่มาเกิดนั้นมาจากไหนรู้เหตุการณ์เพียงผิวเผินกว่านั้น เช่นรู้โรค ว่าเป็นโรคอะไร หายได้ด้วยวิธีใด คนนี้จะมีเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย ประการใด รู้เหตุในอดีตและอนาคตได้บ้างพอสม ควร รู้สวรรค์ นรก ได้บ้าง แต่ไม่แจ่มใสนัก พูดจากับเทวดาและพรหมได้บ้างคำสองคำ ภาพเทวดาและพรหมก็หาย ไป ภาพที่เห็นก็ไม่เห็นนาน ประเดี๋ยวก็หายไป จะเอาเรื่องราวที่เป็นการเป็นงานที่ต้องใช้เวลานาน ๆ ก็ต้องกำหนดจิต กันบ่อยครั้ง ทั้งนี้เพราะสมาธิเพียงอุปจารสมาธิ ยังเป็นสมาธิที่ทรงกำลังให้สงบอยู่ได้ไม่นาน ถ้าจะเปรียบ ก็คงเหมือน เด็กเพิ่งสอนเดิน ยืนไม่ได้นาน ยืนเดินได้ชั่วขณะก็ล้มต้องลุกๆ เดินๆ อยู่อย่างนั้น กว่าจะเดินถึงที่หมายก็ต้องล้มลุกบ่อยๆ ทิพยจักษุญาณระดับ อุปจารฌานก็เหมือนอย่างนั้น การเห็นก็ไม่ชัดเจนแจ่มใส ยังเห็นไม่เต็มตัว เห็นบนไม่เห็นล่าง เห็นหน้าไม่เห็นขา อย่างนี้เป็นต้น ต่อเมื่อได้สมาธิที่ค่อยๆ ฝึกฝนไปนั้นเข้าถึงฌาน ๔ และเข้าฌานออกฌานชำนิชำนาญดีแล้ว ความ ตั้งมั่นมีมาก ดำรงอยู่ได้นานตามความต้องการ ทิพยจักษุญาณก็มีสภาพเข้าเกณฑ์สมบูรณ์ใช้งานได้สะดวก เห็น ภาพเต็มพูดกันได้ตลอดเรื่อง รู้ละเอียดจนถึงผลของการตายการเกิด รู้เหตุรู้ผลครบถ้วน ตอนชำนาญในฌาน ๔ นี้ ท่านเรียกว่า จุตูปปาตญาณ ความจริงก็ทิพยจักษุญาณนั่นเอง แต่เป็นทิพยจักษุญาณที่มีฌานเต็มขั้น ทิพยจักษุ ญาณ ขั้นฌานโลกีย์นี้ แม้จะเป็นญาณที่มีฌานเต็มขั้นก็ตาม การรู้การเห็นจะให้ชัดเจนแจ่มใสคล้ายกลางวันนั้น ไม่ได้ อย่างดีก็มองเห็นได้มัวๆ คล้ายเห็นภาพเวลาพระอาทิตย์ลับแล้วเป็นเวลาใกล้ค่ำ เห็นภาพดำๆ พอรู้ได้ว่าอะไร เป็นอะไร จะเห็นชัดเจนตามสมควรได้ต่อเมื่อเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ท่านเปรียบการเห็นด้วยอำนาจทิพยจักษุ ญาณนั้นไว้ดังนี้

    ๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นได้คล้ายดูภาพในเวลากลางวัน ที่มีอากาศแจ่มใส

    ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นได้คล้ายกลางคืน ที่มีพระจันทร์เต็มดวง ไม่มีเมฆหมอกปิดบัง

    ๓. พระอัครสาวกซ้ายขวา เห็นได้คล้ายคนจุดคบเพลิง

    ๔. พระสาวกปกติ เห็นได้คล้ายตนจุดประทีป คือตะเกียงดวงใหญ่ที่มีแสงน้อยกว่าคบเพลิง

    ๕. พระอริยะเบื้องต่ำกว่าพระอรหันต์ มีการเห็นได้คล้ายแสงสว่างจากแสงเทียน

    ๖. ท่านที่ได้ฌานโลกีย์ เห็นได้คล้ายแสงสลัวในเวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

    ระดับการเห็นไม่สม่ำเสมอกันอย่างนี้ เพราะอาศัยความหมดจดและกำลังบารมีไม่เสมอกันนำมากล่าวไว้เพื่อ ทราบ เมื่อท่านได้และถึงแล้วจะได้ไม่สงสัย มีนักปฏิบัติส่วนใหญ่ที่ทำได้แล้ว และเกิดเห็นไม่ชัดได้มาถามบ่อยๆ จึง เขียนไว้เพื่อรู้

    การใช้ญาณ ได้กล่าวแล้วว่า ญาณต่างๆ มีความสว่างตามกำลังของฌานหรือสมาธิ ฉะนั้นเมื่อจะใช้ญาณให้ เป็นประโยชน์ ก่อนอื่นถ้าได้ทิพยจักษุญาณเบื้องต้นก็ต้องเพ่งรูปกสิณตามกำลังของสมาธิก่อน เพราะเห็นภาพ กสิณชัดเจนเท่าใด ภาพที่ต้องการจะเห็นก็เห็นได้เท่าภาพกสิณที่เห็นเมื่อเพ่งภาพกสิณจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงอธิษฐานให้ภาพกสิณหายไป ขอภาพที่ต้องการจงปรากฏแทนภาพที่ต้องการก็จะปรากฏแทนเห็นได้เท่าภาพกสิณ
    ได้ฌาน ๔

    การใช้ญาณเมื่อชำนาญในฌาน ๔ แล้ว ท่านให้เข้าฌาน ๔ ให้เต็มขนาดของฌานก่อนจนจิตสงัดเป็นอุเบกขาดีแล้ว ค่อยๆ คลายจิตออกมาสู่อุปจารสมาธิ แล้วกำหนดจิตอธิษฐานว่า ขอภาพที่ต้องการจงปรากฏ แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ ออกจากฌาน ๔ กำหนดรู้ ภาพที่ต้องการจะปรากฏแก่จิตคล้ายดูภาพยนต์ พร้อมทั้งรู้เรื่องไปตลอดจะใช้ญาณอะไร ก็ตาม ทำเหมือนกันหมดทุกญาณ จงพยายามฝึกฝนให้คล่องแคล่วว่องไว ต้องการเมื่อไรรู้ได้ทันที การรู้จะคล่องหรือ ฝืดขึ้นอยู่กับฌาน ถ้าเข้าฌานออกฌานคล่องการกำหนดก็รู้ก็คล่อง ทั้งนี้ต้องหมั่นฝึกหมั่นเล่นทุกวันวันละหลายๆ ครั้ง เล่นทั้งวันทั้งคืนยิ่งดี ความเพลิดเพลินจะเกิดมีขึ้นแก่อารมณ์ ความรู้ความฉลาดจะปรากฏ ปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ในส่วนแห่งวิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในการเกิดจะปรากฏแก่จิตอย่าง ถอนไม่ออก ความตั้งมั่นในอันที่จะไปสู่พระนิพพานจะเกิดแก่จิตอย่างชนิดไม่ต้องระวังว่าจิตจะคลายจากพระนิพพาน ผลของญาณแต่ละญาณที่จัดว่าเป็นคุณส่งเสริมให้เกิดปัญญาญาณนั้นจะนำมากล่าวไว้โดยย่อพอเป็นแนวคิด

    จาก หนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...