เหตุ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 24 พฤษภาคม 2010.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    เรื่องปฐมโพธิกาล

    จาก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๒ หน้าที่ ๑๗๘ - ๑๘๐
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๒ หน้าที่ ๑๗๘ - ๑๘๐

    เรื่องปฐมโพธิกาล

    พระศาสดาประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ทรงเปล่งอุทานด้วยสามารถเบิก
    บานพระหฤทัย ในสมัยอื่น พระอานนท์เถระทูลถาม จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
    "อเนกชาติสสาร" เป็นต้น.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล ประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ เมื่อพระ-
    อาทิตย์ยังไม่อัสดงคตทรงกำจัดมารและพลแห่งมารแล้ว ในปฐมยาม ทรงทำลายความ
    มืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ, ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว, ใน
    ปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้ว
    ทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมและปฏิโลม. ในเวลาอรุณขึ้นทรง
    บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
    พร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อจะทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าหลายแสน
    พระองค์ไม่ทรงละแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
    "เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ
    จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิด
    บ่อย ๆ เป็นทุกข์, แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่าน
    แล้ว, ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่ ของท่าน
    เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเรา
    ถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว, เพราะเรา
    บรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว"

    แก้อรรถ


    บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า คหการ คเวสนฺโต ความว่า เราเมื่อแสวงหา
    นายช่างคือตัณหาผู้ทำเรือน กล่าวคืออัตภาพนี้ มีอภินิหารอันทำไว้แล้ว แทบ
    บาทมูลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร เพื่อประโยชน์แก่พระญาณ อัน
    เป็นเครื่องอาจเห็นนายช่างนั้นได้ คือ พระโพธิญาณ เมื่อไม่ประสบ ไม่พบ คือ
    ไม่ได้พระญาณนั้นแล จึงท่องเที่ยวคือเร่ร่อน ได้แก่ วนเวียนไป ๆ มา ๆ สู่สังสาระ
    มีชาติเป็นเอนก คือ สู่สังสารวัฏฏ์นี้ อันนับได้หลายแสนชาติ สิ้นกาลมีประมาณเท่านี้.
    คำว่า ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุน นี้ เป็นคำแสดงเหตุแห่งการแสวงหาช่างผู้ทำ
    เรือน. เพราะชื่อว่าชาตินี้
    คือ การเข้าถึงบ่อย ๆ ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะภาวะที่เจือด้วยชรา พยาธิ และ
    มรณะ. ก็ชาตินั้น เมื่อนายช่างผู้ทำเรือนนั้น อันใคร ๆ ไม่พบแล้ว ย่อมไม่กลับ.
    ฉะนั้น เราเมื่อแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน จึงได้ท่องเที่ยวไป. บทว่า ทิฏฺโสิ ความ
    ว่า บัดนี้เราตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ พบท่านแล้วแน่นอน. บทว่า ปุน เคหํ ความว่า
    ท่านจักทำเรือนของเรากล่าวคืออัตภาพ ในสังสารวัฏฏ์นี้อีกไม่ได้.
    บาทพระคาถาว่า สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา ความว่า ซี่โครง กล่าวคือกิเลสที่
    เหลือทั้งหมดของท่าน เราหักเสียแล้ว.
    บาทพระคาถาว่า คหกูฏ วิสงฺขต ความว่า ถึงมณฑลช่อฟ้ากล่าวคืออวิชชา
    แห่งเรือนคืออัตภาพที่ท่านสร้างแล้วนี้ เราก็รื้อเสียแล้ว.
    บาทพระคาถาว่า วิสงฺขารคต จิตฺต ความว่า บัดนี้ จิตของเราถึงคือเข้า
    ไปถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว คือ พระนิพพาน ด้วยสามารถแห่งอันกระทำให้
    เป็นอารมณ์.
    บาทพระคาถาว่า ตณฺหาน ขยมชฺฌคา ความว่า เราบรรลุพระอรหัตต์ กล่าว
    คือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหาแล้ว.

    เรื่องปฐมโพธิกาล จบ.


    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    ข้อความโดยสรุป
    เรื่อง ปฐมโพธิกาล
    -------------------------
    คำว่า ปฐมโพธิกาล หมายถึง ช่วงเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ใหม่ ๆ
    หรือ เมื่อแรกที่ได้ทรงตรัสรู้
    เป็นความจริงที่ว่า พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็จะทรงเปล่ง
    พระอุทาน (คำที่ทรงเปล่งออกด้วยพระโสมนัสสญาณ) ว่า เราแสวงหานายช่างผู้ทำ
    เรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก เป็นต้น
    พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ (พระสมณโคดม) ก็เช่นเดียวกัน ในวันที่ทรงตรัสรู้ (วันขึ้น
    ๑๕ ค่ำ เดือน๖) พระองค์เสด็จเข้าไปยังโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงกำจัดกองกำลัง
    แห่งมาร และ ทรงบรรลุสัมโพธิญาณ ณ ที่นั้น ในเวลาใกล้รุ่งของวันวิสาขบูชา
    เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงเปล่งพระอุทาน ดังกล่าว ในสมัยต่อมา
    พระอานนท์ทูลถาม พระองค์จึงได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ ดังปรากฏในพระสูตร
    นั่นแล
    ใจความของพระคาถาที่เป็นพระอุทานของพระพุทธเจ้า สรุปได้ว่า พระโพธิสัตว์
    ทรงบำเพ็ญบารมีตลอดระยะเวลา ๔ อสงไขยแสนกัปป์เพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    เป็นผู้ทรงห่างไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง แต่เมื่อยังไม่ได้ปัญญาที่
    จะสามารถดับตัณหาซึ่งเป็นกิเลสที่สร้างภพชาติได้ ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด นับชาติ
    ไม่ถ้วน ยังเต็มไปด้วยกองแห่งทุกข์นานัปประการ แต่เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็น
    พระพุทธเจ้า ดับตัณหาซึ่งเป็นตัวสร้างภพชาติ พร้อมทั้งอวิชชา และกิเลสทั้งหลาย
    ในฐานะเดียวกัน ได้ทั้งหมดแล้ว กิเลสเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นอีก ไม่สามารถสร้าง
    ภพชาติให้กับพระองค์ได้อีกต่อไป ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับพระองค์ ภพใหม่
    ไม่มีอีกต่อไป
    วันวิสาขะ เป็นวันพิเศษวันอันประเสริฐที่สุด เพราะเป็นวันที่
    พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ได้ตรัสรู้ และย้อนกลับไปเมื่อสี่อสงไขย
    แสนกัปป์ ในวันวิสาขะ ท่านสุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จาก
    พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าอนาคตจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
    พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิในครรภ์มารดา
    ในวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 8(อาสาฬหบูชา)พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ปฏิสนธิ
    ในพระครรภ์พระนางมหามายาเทวี พร้อมๆกับแผ่นดินไหว (ขณะที่ปฏิสนธิในพระครรภ์
    มารดา ไม่ใช่ขณะประสูติ) เทวดาต่างอารักขาพระโพธิสัตว์และพระมารดา พระมารดา
    ไม่มีความลำบากในการทรงพระครรภ์ พระมารดาย่อมได้ยศ ได้ลาภอันเลิศ ไม่มีความ
    พอใจในบุรุษ
    พระโพธิสัตว์ทรงประสูติ
    ตามธรรมเนียมของสมัยนั้น สตรีเมื่อจะคลอดย่อมคลอดที่สกุลเดิมหรือบ้านของบิดา
    มารดาของตน พระนางมหามายาเทวีจึงมีพระประสงค์จะไปที่กรุงเทวทหะอันเป็นเมือง
    ของพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์
    เมื่อเสด็จถึงป่าสาลวันชื่อลุมพินีวัน ขณะนั้นต้นสาละออกดอกบานสะพรั่ง พระเทวีมี
    ประสงค์จะเล่นในสวนสาลวัน พระนางมีประสงค์จะจับกิ่งใด กิ่งนั้นก็น้อมมาที่พระหัตถ์
    และลมกัมมัชวาตก็เกิดขึ้น มหาชนจึงล้อมม่านแล้วถอยออกไป พระนางได้ยืนจับกิ่ง
    สาละนั่นแล ได้ประสูติแล้ว

    นี่ก็ใกล้วันวิสาขบูขาอีกแล้ว เวลาผ่านไปไม่เคยรอใคร เราที่เกิดมา ก็เหมือนนักโทษ
    ประหาร ที่ถูกตัดสินโทษแล้วว่า จะต้องตาย เพียงแต่วันไหนเท่านั้น ก็ไม่มีใครรู้
    เมื่อระลึกถึงวันวิสาขบูชาด้วยความแยบคาย ย่อมเห็นถึงสัจจธรรม ว่าทุกคนเมื่อมี
    กิเลสก็ต้องเกิด แต่บุคคลบางคน ย่อมรู้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ (เพราะนำมาซึ่ง แก่
    เจ็บ ตาย) บุคคลนั้น จึงอบรมปัญญา (พระปัญญาคุณ) บรรลุธรรม ดับกิเลสหมด
    ไม่มีเหลือ (พระบริสุทธิคุณ) และที่สำคัญ เพื่อจะช่วยเหลือสัตว์โลก ให้บรรลุตาม
    (พระมหากรุณาคุณ) และแม้กระนั้น บุคคลผู้เลิศอย่างนั้นก็ต้อง ปรินิพพาน เช่นกัน
    แต่เป็นการพ้นทุกข์ คือไม่เกิดอย่างแท้จริง เมื่อเห็นดังนี้ ย่อมน้อมระลึกถึงพระคุณ
    ของพระพุทธเจ้า และความเป็นธรรมดาของโลก ที่จะต้องมี ความตายเป็นธรรมดา
    และเดี๋ยวนี้ ทุกท่านกำลังคิด หรือกำลังทำอะไรอยู่ในชีวิตที่เกิดมา ? อบรมเจริญ
    กุศลทุกประการ มีเมตตา เป็นต้น และอบรมความเข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน เรื่องสภาพ
    ธัมมะ ที่มีในขณะนี้ มิเช่นนั้น วันวิสาขบูชา ก็ผ่านไป ผ่านไป แล้วก็ต้องตายไป
    พร้อม ๆกับ ความไม่รู้


    เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน
    อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตามถนนหนทาง กรวดน้ำอุทิศบุญ เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน
    รักษาศีล อาราธนาศีล เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม
    ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ
    ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ทุกวัน
    และเจริญอาโปกสิน
    ศึกษาการรักษาโรค
    และเมื่อวานได้มีงานบวชพระอีก 1 รูป
    และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

    ขอเชิญสร้างห้องน้ำ ถวายพระชราและตาบอด
    โทร.085-2467175
    ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...