เหตุใดสติที่ตามทันขณะปัจจุบัน จึงเป็นหลักสำคัญของวิปัสสนา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 23 ตุลาคม 2009.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666


    กิจกรรมสามัญที่สุดของทุกๆคน ซึ่งเป็นไปอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ก็คือ
    การรับรู้อารมณ์ต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อมีการรับรู้ ก็มีความรู้สึกพร้อมไปด้วย คือ สุขสบายบ้าง, ทุกข์ระคายเจ็บปวด ไม่สบายบ้าง, เฉยๆบ้าง(webmaster - หมายถึงเวทนา ๓ ที่ย่อมเกิดขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใดเมื่อมีการผัสสะ) เมื่อมีความรู้สึกสุขทุกข์ ก็มีปฏิกริยาเกิดขึ้นในใจด้วย คือ ถ้าสุขสบายที่สิ่งใด ก็ชอบใจติดใจสิ่งนั้น ถ้าไม่สบายได้ทุกข์ในสิ่งใด ก็ขัดใจไม่ชอบสิ่งนั้น, เมื่อชอบก็อยากรับรู้อีก อยากเสพซํ้า หรืออยากได้ อยากเอา(webmaster - ตัณหา) เมื่อไม่ชอบ ก็เลี่ยงหนี หรืออยากกำจัด อยากทำลาย(webmaster - ตัณหา หรือจะเรียกวิภวตัณหาก็ได้)กระบวนการนี้ดำเนินไปตลอดเวลา(webmaster - เป็นไปตามหลักเหตุปัจจัยปฏิจจสมุปบันธรรม อันเป็นปรมัตถ์นั่นเอง)มีทั้งที่แผ่วเบา ผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตุ และที่แรงเข้ม สังเกตุได้เด่นชัด มีผลต่อจิตใจอย่างชัดเจนและสืบเนื่องไปนาน ส่วนใดแรงเข้มหรือสะดุดชัด ก็มักชักให้มีการปรุงแต่งยืดเยื้อเยิ่นเย้อออกไป ถ้าไม่สิ้นสุดที่ในใจ ก็ผลักดันให้ออกมาเป็นคำพูด การกระทำต่างๆทั้งน้อยและใหญ่ ชีวิตของบุคคล บทบาทของเขาในโลก และการกระทำต่อกันระหว่างมนุษย์ ย่อมสืบเนื่องออกมาจากกระบวนธรรมน้อยๆที่เป็นไปในการดำเนินชีวิตแต่ละขณะๆ นี้เป็นสำคัญ

    ในทางปัญญาการปล่อยจิตให้เป็นไปตามกระบวนธรรมข้างต้นนั้น คือ เมื่อรับรู้แล้วสุขสบายก็ชอบใจ ติดใจ (webmaster - กามตัณหา,ภวตัณหา) เมื่อรับรู้แล้ว รู้สึกทุกข์ ไม่สบาย ก็ขัดใจ ไม่ชอบใจ (webmaster - วิภวตัณหา) ข้อนี้จะเป็นเครื่องกีดกั้นปิดบัง ทำให้ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงหรือตามสภาวะที่แท้ของมัน ทั้งนี้เพราะจิตใจที่เป็นไปเช่นนั้น จะมีสภาพต่อไปนี้

    -
    ข้องใจอยู่ที่ความชอบใจหรือความขัดใจ ตกอยู่ในอำนาจของความชอบใจ หรือขัดใจนั้น ถูกความชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้นเคลือบคลุม ทำให้มองเห็นเอนเอียงไปอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ตรงตามที่มันเป็นจริง

    -
    ตกลงไปในอดีตหรืออนาคต กล่าวคือ เมื่อคนรับรู้แล้ว เกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจ จิตของเขาจะข้องหรือขัดอยู่ ณ ส่วนหรือจุดหรือแง่ ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจของอารมณ์นั้น และจับเอาภาพของอารมณ์นั้น ณ จุดหรือส่วนหรือแง่ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้น เก็บเอาไปทะนุถนอมคิดปรุงแต่งตลอดจนฝันฟ่ามต่อไป การข้องอยู่กับส่วนใดก็ตามซึ่งชอบใจหรือไม่ชอบใจ และการจับอยู่กับภาพของสิ่งนั้นซึ่งปรากฏอยู่ในใจของตนคือ การเลื่อนไหลลงสู่อดีต การคิดปรุงแต่งต่อไปเกี่ยวกับสิ่งนั้นคือ การเลื่อนลอยไปในอนาคต ความรู้ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับสิ่งนั้น ก็คือภาพของสิ่งนั้น ณ จุดหรือตอนที่ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ หรือซึ่งเขาได้คิดปรุงแต่งต่อไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งนั้นตามที่มันเป็นของมันเองในขณะนั้นๆ

    -
    ตกอยู่ในอำนาจของความคิดปรุงแต่ง จึงแปลความหมายของสิ่งที่รับรู้ หรือประสบการณ์นั้นไปตามแนวทางของภูมิหลังหรือความเคยชินที่ได้สั่งสมไว้ เช่น ค่านิยม ทัศนคติ หรือทิฏฐิที่ตนยึดถือนิยมเชิดชู เรียกว่าจิตตกอยู่ในภาวะถูกปรุงแต่ง ไม่อาจมองอย่างเป็นกลางให้เห็นประสบการณ์ล้วนๆตามที่มันเป็น

    - นอกจากถูกปรุงแต่งแล้ว
    ก็จะนำภาพปรุงแต่งของประสบการณ์ใหม่นั้นไปร่วมในการปรุงแต่งต่อไปอีก เป็นการเสริมซํ้า การสั่งสมนิสัยความเคยชินของจิตให้แน่นหนายิ่งขึ้น

    ความเป็นไปเช่นนี้ มิใช่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องหยาบๆตื้นๆในการดำเนินชีวิตและทำกิจการทั่วไปเท่านั้น แต่ท่านมุ่งเน้นกระบวนของจิตในระดับละเอียดลึกซึ้ง ที่ทำให้ปุถุชนมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นของคงที่ เป็นชิ้นเป็นอัน มีสวยงามน่าเกลียด ติดในสมมติต่างๆ ไม่เห็นความเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ดำเนินอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ดี กระบวนธรรมเช่นนี้เป็นความเคยชินหรือนิสัยของจิต ที่คนทั่วไปได้สั่งสมกันมา คนละนานๆ เกือบจะว่าตั้งแต่เกิดทีเดียว ๒๐ - ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ - ๕๐ ปีบ้าง เกินกว่านั้นบ้าง และไม่เคยหัดตัดวงจรลบกระบวนกันมาเลย การจัดการแก้ไข จึงไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำได้ง่ายนัก ในทันทีที่รับรู้อารมณ์หรือมีประสบการณ์ ยังไม่ทันตั้งตัวที่จะยั้งกระบวนการ จิตก็แล่นไปตามความเคยชินของมันเสียก่อน ดังนั้น การแก้ไขในเรื่องนี้ จึงมิใช่จะเพียงตัดวงจรล้างกระบวนธรรมนั้นลงเท่านั้น แต่จะต้องแก้ไขความเคยชิน หรือนิสัยที่ไหลแรงไปข้างเดียวของจิตอีกด้วย องค์ธรรมสำคัญที่จะใช้เป็นตัวเบิกทางและเป็นหลักรวมพลทั้งสองกรณีนั้น ก็คือสติการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ก็มีวัตถุประสงค์อย่างนี้ กล่าวคือ เมื่อมีสติตามทันขณะปัจจุบัน และมองดูสิ่งนั้นๆ ตามที่มันเป็นอยู่ในขณะนั้นๆตลอดเวลา ย่อมสามารถตัดวงจรทำลายกระบวนธรรมฝ่ายอกุศลลงได้ด้วย ค่อยๆแก้ไขความเคยชินเก่าๆ พร้อมทั้งสร้างแนวนิสัยใหม่ให้แก่จิตได้ด้วย จิตที่มีสติช่วยกำกับให้ตามทันอยู่กับขณะปัจจุบัน จะมีสภาพตรงข้ามกับจิตที่เป็นไปตามกระบวนธรรมข้างต้น คือ

    -
    ความชอบใจ หรือขัดใจ ไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะการที่จะชอบใจหรือขัดใจ จิตจะข้องขัดอยู่ ณ จุดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง และชงักค้างอยู่คือตกลงในอดีต

    -
    ไม่เลื่อนไหลลงไปในอดีต ไม่เลื่อนลอยไปในอนาคต ความชอบใจ ไม่ชอบใจ กับการตกอดีตเป็นอาการที่เป็นไปด้วยกัน เมื่อไม่ข้อง ไม่ค้างอยู่ ตามดูทันอยู่กับสภาวะที่กำลังเป็นไปอยู่ การตกอดีต ลอยอนาคต ก็ไม่มี

    -
    ไม่ถูกความคิดปรุงแต่งเนื่องด้วยภูมิหลังที่ได้สั่งสมไว้ ชักจูงให้แปลประสบการณ์หรือสิ่งที่รับรู้ให้เอนเอียงบิดเบือนหรือย้อมสีไปตามอำนาจของมัน พร้อมที่จะมองไปตามสภาวะของสิ่งนั้นๆ

    -
    ไม่ปรุงแต่งเสริมซํ้าหรือเพิ่มกำลังแก่ความเคยชินผิดๆ ที่จิตได้สั่งสมเรื่อยมา

    -
    เมื่อตามดูรู้ทันทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันทุกขณะ ก็ย่อมได้รู้เห็นสภาพจิตนิสัย เป็นต้นของตนเองที่ไม่พึงปรารถนา หรือที่ตนเองไม่ยอมรับ ปรากฎออกมาด้วย ทำให้ได้รับรู้สู้หน้าเผชิญสภาพที่เป็นจริงของตนเองตามที่มันเป็น ไม่เลี่ยงหนี ไม่หลอกลวงตนเอง และทำให้สามารถชำระล้างกิเลสเหล่านั้น แก้ปัญหาในตนเองได้ด้วย

    นอกจากนั้น ในด้านคุณภาพจิต ก็จะบริสุทธิ์ ผ่องใส โปร่ง เบิกบาน เป็นอิสระ ไม่ถูกบีบจำกัดให้คับแคบ และไม่ถูกเคลือบคลุมให้มัวหมอง

    สิ่งทั้งหลายตั้งอยู่ตามสภาพของมัน และเป็นไปตามธรรมดาของมัน พูดเป็นภาพพจน์ว่า
    ความจริงเปิดเผยตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์ปิดบังตนเองจากมัน หรือไม่ก็มองภาพของมันบิดเบือนไป หรือไม่ก็ถึงกับหลอกลวงตัวของมนุษย์เอง ตัวการที่ปิดบัง บิดเบือน หรือหลอกลวงก็คือ การตกลงไปในกระบวนธรรมดังกล่าวข้างต้น เครื่องปิดบัง บิดเบือน หรือหลอก ก็มีอยู่แล้ว ยิ่งความเคยชินคอยชักลากให้เขวไปเสียอีก โอกาสที่จะรู้ความจริงก็แทบไม่มี ในเมื่อความเคยชินหรือติดนิสัยนี้ มนุษย์ได้สั่งสมกันมานานหนักหนา การปฏิบัติเพื่อแก้ไขและสร้างนิสัยใหม่ ก็ควรจะต้องอาศัยเวลามากเช่นเดียวกัน เมื่อใดสติตามทันทำงานสมํ่าเสมอต่อเนื่องอย่างชำนาญ คนไม่ปิดบังตัวเอง ไม่บิดเบือนภาพที่มอง และพ้นจากอำนาจความเคยชินหรือนิสัยเก่าของจิตแล้ว เมื่อนั้น ก็พร้อมที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมันและรู้เข้าใจความจริง

    ถึงตอนนี้ ถ้าอินทรีย์อื่นๆ
    โดยเฉพาะ ปัญญา แก่กล้าพร้อมดีอยู่แล้ว ก็จะร่วมทำงานกับสติ หรืออาศัยสติ คอยเปิดทางให้ทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดญาณทัศนะ ความหยั่งรู้หยั่งเห็นตามความเป็นจริง ที่เป็นจุดมุ่งหมายของวิปัสสนาแต่การที่ปัญญินทรีย์เป็นต้นจะพร้อมหรือแก่กล้าได้นั้น ย่อมอาศัยการฝึกฝนอบรมเป็นลำดับ รวมทั้งการเล่าเรียนสดับฟังในเบื้องต้นด้วย การเล่าเรียนสดับฟังและการคิดเหตุผล เป็นต้น จึงมีส่วนเกื้อกูลแก่การรู้แจ้งสัจธรรมได้

    ความจริงนั้น สติ มิใช่ตัว
    วิปัสสนาปัญญา หรือการใช้ปัญญาต่างหากเป็นวิปัสสนา แต่ปัญญาจะได้โอกาสและจะทำงานได้อย่างปลอดโปร่งเต็มที่ก็ต่อเมื่อมีสติ คอยช่วยกำกับหนุนอยู่ ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้วข้างต้น การฝึกสติจึงมีความสำคัญมากในวิปัสสนา พูดอีกอย่างหนึ่งว่า การฝึกสติ ก็เพื่อใช้ปัญญาได้เต็มที่ หรือเป็นการฝึกปัญญาไปด้วยนั่นเอง ในภาษาของการปฎิบัติธรรม เมื่อพูดถึงสติก็เล็งถึงปัญญาที่ควบอยู่ด้วย และสติจะมีกำลังกล้าแข็งหรือชำนาญคล่องแคล่วขึ้นได้ก็เพราะมีปัญญาร่วมทำงานปัญญาที่ทำงานร่วมอยู่กับสติในกิจทั่วๆไปมักมีลักษณาการที่เรียกว่า สัมปชัญญะ ในขั้นนี้ ปัญญายังดูคล้ายเป็นตัวประกอบ คอยร่วมมือและประสานงานกับสติ การพูดจากล่าวขานมักเพ่งเล็งไปที่สติ เอาสติเป็นตัวหลักหรือตัวเด่น แต่ในขั้นที่ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาอย่างจริงจัง ความเด่นจะไปอยู่ที่ปัญญา สติจะเป็นเหมือนตัวที่คอยรับใช้ปัญญา ปัญญาที่ทำงานในระดับนี้ เช่นที่เรียกว่า ธรรมวิจัยโพชฌงค์ ๗ ประการ เป็นต้น สัมปชัญญะก็ดี ธรรมวิจัยก็ดี หรือปัญญาในชื่ออื่นๆก็ดี ที่ทำงานให้เกิดความเห็นแจ้ง รู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายตรงตามสภาวะที่มันเป็น เพื่อให้จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ นี่แหละคือวิปัสสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2009
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สติทำกิจสำคัญทั้งในสมถะ และในวิปัสสนา หากพูดเปรียบเทียบระหว่างบทบาทของสติในสมถะ กับในวิปัสสนา อาจช่วยให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวมานั้นชัดเจนขึ้น ในสมถะ สติกุมจิตไว้กับอารมณ์ (webmaster- อารมณ์หมายถึงสิ่งที่จิตไปยึดเหนี่ยวหรือกำหนด) หรือดึงอารมณ์ไว้กับจิต เพียงเพื่อให้จิตเพ่งแน่วแน่หรือจับแนบสนิทกับอารมณ์นั้น นิ่งสงบ ไม่ส่ายไม่ซ่านไปที่อื่น เมื่อจิตแน่วแน่แนบสนิทอยู่กับอารมณ์นั้นเป็นหนึ่งเดียวต่อเนื่องไปอย่างสมํ่าเสมอ ก็เรียกว่าเป็นสมาธิ และเพียงแค่นั้น สมถะก็สำเร็จ ส่วนในวิปัสสนา สติกำหนดอารมณ์กุมไว้กับจิต หรือคุมจิตไว้กับอารมณ์เหมือนกัน แต่มุ่งใช้จิตเป็นที่วางอารมณ์ เพื่อเอาอารมณ์นั้นเสนอให้ปัญญา ตรวจสอบพิจารณา คือจับอารมณ์ไว้ให้ปัญญา ตรวจดูและวิเคราะห์วินิจฉัย โดยใช้สติ ที่ตั้งมั่นเป็นที่ทำงาน หากจะอุปมา ในกรณีของสมถะ เหมือนเอาเชือกผูกลูกวัวไว้กับหลัก ลูกวัวจะออกไปไหนๆก็ไปไม่ได้ คงวนเวียนอยู่กับหลัก ในที่สุด เมื่อหายพยศก็หมอบนิ่งอยู่ที่หลักนั้นเอง จิตเปรียบเหมือนลูกวัวพยศ อารมณ์เหมือนหลัก สติเหมือนเชือก ส่วนในกรณีวิปัสสนา เปรียบเหมือนเอาเชือกหรือเครื่องยึดอย่างหนึ่งผูกตรึงคน สัตว์ หรือวัตถุบางอย่าง ไว้กับแท่นหรือเตียง แล้วตรวจดูหรือทำกิจอื่น เช่น ผ่าตัดเป็นต้น ได้ถนัดชัดเจน เชือกหรือเครื่องยึดคือสติ คน สัตว์ หรือวัตถุที่เกี่ยวข้องคืออารมณ์ แท่นหรือเตียงคือจิตที่เป็นสมาธิ การตรวจหรือผ่าตัดเป็นต้นคือปัญญา

    ที่กล่าวมานั้นเป็นการพูดถึงหลักทั่วไป ยังมีข้อปลีกย่อยบางอย่างที่ควรกล่าวถึงอีกบ้าง อย่างหนึ่งคือในสมถะ ความมุ่งหมายอยู่ที่ทำจิตใจให้สงบ ดังนั้น เมื่อให้สติกำหนดอารมณ์ใดแล้ว สติก็ยึดตรึงดึงสติกุมไว้กับอารมณ์นั้น ที่ส่วนนั้นอย่างเดียว ให้จิตจดจ่อแน่วแน่แนบสนิทอยู่กับอารมณ์นั้นเท่านั้น ไม่ให้คลาดไปเลย
    จนในที่สุดจิตน้อมดิ่งแน่วแน่อยู่กับนิมิตหรือมโนภาพของสิ่งที่กำหนด ซึ่งเป็นเพียงสัญญาที่ อยู่ในใจผู้กำหนดเอง ส่วนในวิปัสสนา ความมุ่งหมายอยู่ที่ความรู้ความเข้าใจสภาวธรรม ดังนั้น สติจึงตามกำหนดอารมณ์เฉพาะตัวจริงของมันตามสภาวะเท่านั้น และเพื่อให้ปัญญารู้เท่าทันครบถ้วนชัดเจนเกี่ยวกับสภาวะของมัน จึงตามกำหนดอารมณ์นั้นๆตามความเป็นไปของมันโดยตลอด เช่น ดูมันตั้งแต่เกิดขึ้น คลี่คลายตัว จนกระทั่งดับสลายไป นอกจากนั้นยังต้องกำหนดอารมณ์ทุกอย่างที่เข้ามาหรือเข้าไปเกี่ยวข้องซึ่ง ปัญญาจะต้องรู้เข้าใจเพื่อให้เกิดความรู้เท่าทันตามความเป็นจริง จึงเปลี่ยนอารมณ์ที่กำหนดได้เรื่อยๆ และเพื่อให้รู้เท่าทันตรงตามที่สิ่งนั้นเป็นอยู่เป็นไปแท้ๆ จึงต้องตามกำหนดดูให้ทันความเป็นไปในแต่ละขณะนั้นๆทุกขณะ ไม่ยอมให้ติดค้างอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอารมณ์ใดๆ ข้อสังเกตุปลีกย่อยอื่นๆยังมีอีก เช่น ในสมถะ สติกำหนดอารมณ์ที่นิ่งอยู่กับที่ หรือเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบจำเพาะซํ้าไปซํ้ามาภายในขอบเขตจำกัด ส่วนในวิปัสสนา สติตามกำหนดอารมณ์ที่กำลังเคลื่อนไหวหรือเป็นไปในสภาพใดๆก็ได้ ไม่จำกัดขอบเขต ในสมถะ นิยมให้เลือกกำหนดอารมณ์บางอย่าง ในบรรดาอารมณ์ที่สรรแล้ว ซึ่งจะเป็นอุบายช่วยให้จิตใจสงบแน่วแน่ได้ง่าย ส่วนในวิปัสสนา กำหนดอารมณ์ทุกอย่างได้ไม่จำกัด สุดแต่อะไรปรากฎขึ้นให้พิจารณา และอะไรก็ตามที่จะให้เห็นความจริง (สรุปลงได้ทั้งหมดใน กาย เวทนา จิต ธรรม หรือในนามและรูป)

    ส่วนประกอบสำคัญที่พึงสังเกตุอีกอย่างหนึ่ง ภายในหลักทั่วไปแห่งการปฏิบัตินั้น
    ซึ่งช่วยให้เห็นลักษณะพิเศษของวิปัสสนา ที่แตกต่างจากสมถะชัดเจนยิ่งขึ้น ก็คือ โยนิโสมนสิการโยนิโสมนสิการเป็นองค์ธรรมที่จะช่วยให้เกิดปัญญา จึงมีความสำคัญมากสำหรับวิปัสสนา ส่วนในฝ่ายสมถะ โยนิโสมนสิการแม้จะช่วยเกื้อกูลได้ในหลายกรณี แต่มีความจำเป็นน้อยลง บางครั้งอาจไม่ต้องใช้เลย หรือเพียงมนสิการเฉยๆก็เพียงพอ ขยายความว่า ในการเจริญสมถะ สาระสำคัญมีเพียงให้ใช้สติกำกับจิตไว้กับอารมณ์หรือคอยนึกถึงอารมณ์นั้นไว้ และเพ่งความสนใจไปที่อารมณ์ ให้จิตอยู่กับอารมณ์นั้นจนแน่วแน่ ในกรณีเช่นนี้ ถ้าผลเกิดขึ้นตามขั้นตอน ก็ไม่ต้องใช้โยนิโสมนสิการเลย แต่ในบางกรณีที่จิตไม่ยอมสนใจอารมณ์นั้น ดึงไม่อยู่ คอยจะฟุ้งไป หรือในกรรมฐานบางอย่างที่ต้องใช้ความคิดพิจารณาบ้าง เช่น การเจริญเมตตา เป็นต้น อาจต้องใช้อุบายช่วยนำจิตเข้าสู่เป้าหมาย ในกรณีเช่นนี้ จึงอาจต้องใช้โยนิโสมนสิการช่วย คือ มนสิการโดยอุบาย หรือทำในใจโดยแยบคาย หรือรู้จักเดินความคิดนำจิตไปให้ถูกทางสู่เป้าหมาย เช่น รู้จักคิดด้วยอุบายวิธีที่จะทำให้โทสะระงับและเกิดเมตตาขึ้นมาแทน เป็นต้น แต่จะทำอย่างไรก็ตาม ในฝ่ายสมถะนี้ โยนิโสมนสิการที่อาจต้องใช้ ก็เฉพาะประเภทปลุกเร้ากุศลธรรมเท่านั้น ไม่ต้องใช้โยนิโสมนสิการประเภทปลุกความรู้แจ้งสภาวะ ส่วนในฝ่ายวิปัสสนา โยนิโสมนสิการเป็นขั้นตอนที่สำคัญทีเดียวที่จะให้เกิดปัญญา จึงเป็นองค์ธรรมที่จำเป็น โยนิโสมนสิการอยู่ต่อเนื่องกับปัญญา เป็นตัวการทำทางให้ปัญญาเดิน หรือเปิดขยายช่องให้ปัญญางอกงาม มีลักษณะและการทำงานใกล้เคียงกับปัญญามากจนมักพูดคลุมกันไป คือ พูดถึงอย่างหนึ่งก็หมายถึงอีกอย่างหนึ่งด้วย จึงเป็นเหตุให้ผู้ศึกษาแยกไม่ค่อยออกว่าอะไรเป็นอย่างไหน อาจกล่าวได้ว่า โยนิโสมนสิการทำงานเชื่อมต่ออยู่ระหว่างสติและปัญญา เป็นตัวนำทางหรือเดินกระแสความคิดในลักษณะที่จะทำให้ปัญญาได้ทำงานและทำงาน ได้ผล พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นตัวให้วิธีแก่ปัญญา หรือเป็นอุบายวิธีของการใช้ปัญญาให้ได้ผล แต่ที่นักศึกษามักสับสนก็เพราะในการพูดทั่วไป เมื่อใช้คำว่าโยนิโสมนสิการก็หมายรวมทั้งการเสนออุบายหรือวิธีแห่งการคิด ที่เป็นตัวโยนิโสมนสิการเอง และการใช้ปัญญาตามแนวทางหรือวิธีการนั้นด้วย หรือเมื่อพูดถึงปัญญาภาค ปฏิบัติการสักอย่างหนึ่ง เช่น คำว่า ธรรมวิจัย ก็มักละไว้ให้เข้าใจเองว่า เป็นการใช้ปัญญาเฟ้นธรรมให้สำเร็จโดยวิธีโยนิโสมนสิการอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าจะพูดให้เห็นเหมือนเป็นลำดับ ก็จะเป็นดังนี้ เมื่อสติระลึกถึงสิ่งที่เกี่ยวข้อง ต้องใช้ ต้องทำ และเอาจิตกำกับสิ่งนั้นไว้แล้ว โยนิโสมนสิการก็จับเอาสิ่งนั้นหมุนหันเอียงตะแครงเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปัญญาพิจารณาจัดการ ซึ่งเป็นการกำหนดจุดแง่มุมด้านข้างและทิศทางนั้นๆ ถ้าโยนิโสมนสิการจัดท่าทำทางให้เหมาะดี ปัญญาก็ทำงานได้ผล อุปมาเหมือนคนพายเรือเก็บดอกไม้ใบผักในแม่นํ้าไหลมีคลื่น เอาอะไรผูกหรือยึดเหนี่ยวตรึงเรือให้หยุดอยู่กับที่จ่อตรงตำแหน่งของดอกไม้หรือใบผักนั้นดีแล้ว มือหนึ่งจับกิ่งก้านกอหรือกระจุกพืชนั้น รวบขึ้นไป รั้งออกมา หรือพลิกตะแครง โก่งหรืองออย่างใดอย่างหนึ่งสุดแต่เหมาะกับเครื่องมือทำงาน อีกมือเอาเครื่องมือที่เตรียมไว้เกี่ยว ตัดหรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จกิจได้ตามประสงค์ สติเปรียบเสมือนเครื่องยึดตรึงเรือและคนให้ตรงที่กับต้นไม้ เรือหรือคนที่หยุดตรงที่เปรียบเหมือนกับจิต มือจับกิ่งก้านต้นไม้ให้อยู่ในอาการที่จะทำงานได้เหมาะเปรียบเหมือนโยนิโสมนสิการ อีกมือหนึ่งที่เอามีดหรือเครื่องมืออื่นทำงานเกี่ยวตัด เปรียบได้กับปัญญา อย่างไรก็ตาม ในที่ทั่วไป พึงจับเอาง่ายๆเพียงว่า โยนิโสมนสิการหมายคลุมถึงปัญญา คือ มนสิการด้วยปัญญานั่นเอง

    อนึ่ง เมื่อ
    โยนิโสมนสิการกำลังทำงานอยู่ สติก็จะยังอยู่ด้วยไม่หลงลอยหลุดไป(คิดปรุงแต่งคือฟุ้งซ่าน - webmaster) ดังนั้น สติกับโยนิโสมนสิการจึงเกื้อกูลแก่กันและกันในวิปัสสนา


    พระธรรมปิฎก(ป.อ. ปยุตฺโต) คัดลอกจากหนังสือ พุทธธรรม หน้า๘๑๙ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๙
    คัดลอกจาก nkgen.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2009
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คม ชัด ลึก
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เมื่อตามดูรู้ทันทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันทุกขณะ ก็ย่อมได้รู้เห็นสภาพจิตนิสัย เป็นต้นของตนเองที่ไม่พึงปรารถนา หรือที่ตนเองไม่ยอมรับ ปรากฎออกมาด้วย ทำให้ได้รับรู้สู้หน้าเผชิญสภาพที่เป็นจริงของตนเองตามที่มันเป็น ไม่เลี่ยงหนี ไม่หลอกลวงตนเอง และทำให้สามารถชำระล้างกิเลสเหล่านั้น แก้ปัญหาในตนเองได้ด้วย

    อนุโมทนา ตรงนี้อ่านแล้วชอบใจ
     
  5. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
  6. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ขอกราบท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ปัญญาของท่านสุดพรรณนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2009
  7. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    มีสติจากฌาน ๔ เมื่อเจริญวิปัสสนา สามารถบรรลุพระอานาคามี และพระอรหันต์ได้ จำไว้แต่เพียงว่าจะต้องได้ฌาน ๔ ถึงจะบรรลุพระนิพพานได้[/QUOTE]
    อ้างอิงจากคุณผู้ตรวจการธรรมะ


    ตามคําสอนของครูบาอาจารย์หลายท่าน ท่านกล่าวไว้ว่า ประเภทสุกขวิปัสสโก ใช้เพียงปฐมฌานก็หลุดพ้นได้ ลองวินิจฉัยและปฏิบัติต่อไปใหม่นะครับ เรื่องนี้ลึกซึ้งมาก


    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" border=0 cellSpacing=0 borderColor=#111111 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ebebeb><TBODY><TR><TD height=25>๑. อัชฌาสัยสุกขวิปัสสโก


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    บางคนชอบแบบสุกเอาเผากิน เรื่องความละเอียดเรียบร้อย การรู้เล็กรู้น้อยแสดงฤทธิ์ อวดเดช
    เดชาอะไรนั้น ไม่มีความต้องการ หวังอย่างเดียวคือความบรรลุผล ท่านประเภทนี้พระพุทธเจ้ามีแบบ
    ปฏิบัติไว้ให้เรียกว่า สุกขวิปัสสโก คือปฏิบัติแบบสบาย เริ่มด้วยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เรื่องศีลนี้
    นักปฏิบัติต้องสนใจเป็นพิเศษ ถ้าหวังผลในการปฏิบัติแล้ว อย่าให้ศีลบกพร่องเป็นอันขาด แม้แต่
    ด่างพร้อยก็อย่าให้มี ถ้าท่านเห็นว่าศีลเป็นของเล็กน้อย ปฏิบัติยังขาด ๆ เกิน ๆ แล้ว ท่านไม่มีหวังใน
    มรรคผลแน่นอน เมื่อมีศีลครบถ้วนบริสุทธิ์ผุดผ่องดีแล้ว ท่านก็ให้เจริญสมาธิ ตอนสมาธินี้ ท่านฝ่าย
    สุกขวิปัสสโกท่านไม่เอาดีทางฌานสมาบัติ พอมีสมาธิเล็กน้อยก็เจริญวิปัสสนาญาณควบกันไปเลย
    คุมสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนาบ้าง พอสมาธิที่รวบรวมได้ทีละเล็กละน้อย เมื่อสมาธิเข้าถึงปฐมฌาน
    วิปัสสนาก็มีกำลังตัดกิเลสได้ จะได้มรรคผลก็ตอนที่สมาธิเข้าถึงปฐมฌาน หากสมาธิยังไม่ถึงปฐมฌาน
    เพียงใด จะได้มรรคผลไม่ได้ นี้เป็นกฎตายตัว เพราะมรรคผลต้องมีฌานเป็นเครื่องรู้ ฌานนี้จะบังเกิด
    ขึ้นเมื่อจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ คือเกือบถึงปฐมฌาน ห่างกันระหว่างปฐมฌานกับอุปจารฌานนั้น เพียง
    เส้นผมเดียวเท่านั้น จิตเมื่อตั้งมั่นในอุปจารสมาธิแล้ว ก็จะเกิดทิพยจักษุฌาน คือเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์
    และได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ เพราะตามธรรมดาจิตนั้นเป็นทิพย์อยู่แล้ว ที่ต้องมาชำระกันใหม่ด้วยการ
    ฝึกสมาธิ ก็เพราะจิตถูกนิวรณ์ คืออกุศลหุ้มห่อไว้ ได้แก่ความโลภอยากได้ไม่มีขอบเขต ความผูกโกรธ
    คือพยาบาทจองล้างจองผลาญ ความง่วงเมื่อขณะปฏิบัติทำสมาธิ ความฟุ้งซ่านของอารมณ์ในขณะฝึก
    สมาธิ ความสงสัยในผลปฏิบัติโดยคิดว่าจะได้หรือ จะสำเร็จหรือ ทำอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร ความ
    สงสัย ไม่แน่ใจอย่างนี้ เป็นนิวรณ์กั้นฌานไม่ให้เกิด รวมความแล้ว ทั้งห้าอย่างนี้นั่นแหละ แม้เพียง
    อย่างเดียว ถ้าอารมณ์ของจิตยังข้องอยู่ฌานจะไม่เกิด จะคอยกีดกันไม่ให้จิตผ่องใส มีอารมณ์เป็นทิพย์
    ตามสภาพปกติได้ จิตเมื่อถูกอกุศลห้าอย่างนี้หุ้มห่อก็มีอารมณ์มืดมนท์รู้สิ่งที่เป็นทิพย์ไม่ได้เพราะ
    อำนาจอกุศลคือนิวรณ์ห้านี้จะพ้นจากจิตไปได้ก็ต่อเมื่อจิตทรงอารมณ์ของฌานไว้ได้เท่านั้น ถ้าจิตทรง
    อารมณ์ปฐมญานไม่ได้ จิตก็ต้องตกเป็นทาสของ นิวรณ์
    อารมณ์ปฐมฌานนั้นมี ๕ เหมือนกัน คือ
    ๑. วิตก คำนึงถึงองค์กรรมฐานที่ฝึกตลอดเวลา
    ๒. วิจาร ใคร่ครวญกำหนดรู้ตามในองค์กรรมฐานนั้น ๆ ไม่ให้บกพร่องตรวจตราพิจารณาให้
    ครบถ้วนอยู่เสมอๆ
    ๓. ปีติ มีความเอิบอิ่มรื่นเริงหรรษา ไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ๔. สุข เกิดความ สุขสันต์หรรษาทางกายอย่างไม่เคยปรากฏมาในกาลก่อนมีความสุขสดชื่น
    บอกไม่ถูก
    ๕. เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์มั่นคงในองค์กรรมฐาน จิตกำหนดตั้งมั่นไม่คลาดจากองค์
    กรรมฐานนั้นๆ

    ทั้งห้าอย่างนี้เป็นอารมณ์ของปฐมฌาน เมื่อเข้าถึงตอนนี้จิตก็เป็นทิพย์มาก สามารถกำหนดจิตรู้
    ในสิ่งที่เป็นทิพย์ได ้ก็ผลของวิปัสสนา คือมรรคผลนั้น การที่จะบรรลุถึงได้ต้องอาศัยทิพยจักษุญาณ
    เป็นเครื่องชี้ ตามที่ท่านกล่าวไว้ว่าเมื่อภิกษุบรรลุแล้วก็มีญาณบอกว่ารู้แล้ว ที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้
    ก็ทรงหมายเอาญาณที่เป็นทิพยจักษุญาณนี้ถ้าบรรลุอรหัตตผลแล้ว ท่านเรียกว่า วิมุตติญาณทัสสนวิสุทธิ
    วิมุตติแปลว่า หลุดพ้น ญาณ แปลว่า รู้ ทัสสนะ แปลว่า เห็น วิสุทธิ แปลว่า หมดจดอย่างวิเศษ คือ หมด
    ไม่เหลือ หรือสะอาดที่สุด ไม่มีอะไรสกปรก (บอกไว้เพื่อรู้)

    ฉะนั้น ท่านสุกขวิปัสสโก ถึงแม้ท่านจะรีบปฏิบัติแบบรวบรัดอย่างไรก็ตาม ท่านก็ต้องอาศัยฌาน
    ในสมถะจนได้ แต่ได้เพียงฌานเด็กๆ คือปฐมฌาน เป็นฌานกระจุ๋มกระจิ๋มเอาดีเอาเด่นในเรื่องฌาน
    ไม่แน่นอนนัก กล่าวโดยย่อ ก็คือ
    ๑. ท่านรักษาศีลบริสุทธิ์ ชนิดไม่ทำเอง ไม่ใช้ให้คนอื่นทำ และไม่ยินดีในเมื่อคนอื่นทำบาป
    ๒. ท่านเจริญสมาธิควบกับวิปัสสนา จนสมาธิรวมตัวถึงปฐมฌานแล้ว ท่านจึงจะได้
    สำเร็จมรรคผล
    ท่านสุกขวิปัสสโก มีกฏปฏิบัติเพียงเท่านี้ ท่านจึงเรียกว่า สุกขวิปัสสโก แปลว่า บรรลุแบบ
    ง่ายๆ ท่านไม่มีฌานสูง ท่านไม่มีญาณพิเศษอย่างท่านวิชชาสาม ท่านไม่มีฤทธิ์ ท่านไม่มีความรู้พิเศษ
    อะไรทั้งสิ้น เป็นพระอรหันต์ประเภทรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่มีคุณพิเศษอื่นนอกจากบรรลุมรรคผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2009
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อันดับแรกต้องเชื่อก่อนว่า ปัจจุบันนี้มีพระอรหันต์จริงๆ ทั้งที่เป็นเจโตวิมุติและสุกขวิปัสสโก อย่างแน่นอน เพราะเป็นบทพิสูจน์แรกของจิตใจว่า มีศรัทธา เป็นจุดเริ่มต้นนั้นมากแค่ไหน หากยังสงสัยอยู่ก็ต้องเพียรออกค้นหา ให้พบเพื่อสร้างศรัทธาให้เกิดให้ได้ เพราะเมื่อพบแล้วท่านจะเห็นและทราบได้ด้วยตัวท่านเองว่า อะไรคืออะไรครับเพราะผมเห็นว่าสิ่งหนึ่งที่องค์อรหันต์มีเหมือนกันคือ ความเมตตา ที่ส่งมาไม่ว่าจะทาง กาย วาจา ใจ หากเราพบเห็นก็จะทราบเองและก็นับเป็นบุญเป็นกุศลด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นครับ
     
  9. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    ขออนุโมทนา สาธุ ๆ กับท่านทั้งหลายที่ได้เผยแพร่ธรรมะดี ๆ ในครั้งนี้ด้วยนะครับ
    นิพพานัง ปัจจโยโหตุ
    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
     
  10. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    อนุโมทนา สาธุ ๆ กับผู้ที่เผยแพร่ธรรมะดี ๆ อย่างนี้ด้วยนะครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
     
  11. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  12. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนว่า “อดีตได้ผ่านพ้นล่วงเลยไปแล้ว

    อย่าเสียดาย และเสียใจกับอดีต ส่วนอนาคตก็ยังมาไม่ถึง อย่าวิตกกังวล

    กลัวอนาคต จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เมื่อทำปัจจุบันดีแล้ว อนาคตย่อมดีเอง

    ตรงกับลักษณะที่ว่า "เมื่อเหตุดี ผลย่อมดี”



    บางคนชอบเอาอดีตที่ไม่พึงพอใจ ที่คับข้องใจ ที่ไม่สบายใจ ที่มีความโกรธ

    มาครุ่นคิด ให้จิตใจเกิดความเสียดาย เสียใจ ผิดหวัง แค้นเคือง และกลุ้มใจ


    ผู้ที่ฉลาด จะนำอดีตมาเป็นบทเรียนสอนใจ นำมาเป็นครูไว้สอนตนเอง

    เตือนตนเอง ยับยั้งตนเอง ที่จะไม่ให้ประวัติศาสตร์ ต้องซ้ำรอย


    คนเราส่วนใหญ่มักขาดสติลืมตัว ชอบเพ้อฝัน ฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นา ๆ ในเรื่อง

    ของอดีตบ้าง อนาคตบ้าง หารู้ไม่ว่า อดีตเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจเรียกกลับมาได้

    อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เพราะถึงเมื่อใด ก็กลายเป็นปัจจุบันอยู่ดี


    ดังนั้น จงอยู่กับปัจจุบันทุกขณะ


     
  13. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    คำว่า “ปัจจุบัน” ในทางพระพุทธศาสนา หมายเฉพาะ ปัจจุบันในขณะจิตหนึ่ง

    เท่านั้นเอง ในขณะที่........


    ตาเห็นรูป...เห็นแสงสี เห็นสิ่งของ เห็นบุคคลตัวตน

    หูได้ยินเสียง...ดัง / เบา เสียงเพราะ ไม่เพราะ

    จมูกได้กลิ่น...หอม / เหม็น / ไม่มีกลิ่น

    ลิ้นกระทบ...รสหวาน /ขม / เผ็ด / เปรี้ยว / มัน

    กายสัมผัส...ความร้อน / เย็น / อ่อน / แข็ง

    ใจกระทบ...สภาวะธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิด



    เมื่อมีการกระทบ หรือสัมผัสต่างๆ ผ่านพ้นไป ก็เป็นอดีตไปแล้วสิ้น และขณะจิต

    ที่กำลังจะมาถึงในอีกวาระหนึ่ง ต่อจากขณะจิตปัจจุบัน ก็คือ อนาคต


    โดยความเป็นจริงแล้ว ชีวิตคนเรามีเพียงขณะจิตเดียว นอกนั้นอดีต และอนาคต

    ล้วนเป็นสิ่งลวงตา ไร้แก่นสาร และแม้แต่ขณะจิตเดียวในปัจจุบัน ก็ย่อมผ่านพ้น

    ไปในที่สุด ไม่อาจเอากลับคืนมาได้


    ทุกสิ่ง เป็นเพียงกระแสธรรมชาติล้วน ๆ ที่ไหลเรื่อยไป มีการเกิดขึ้น

    ตั้งอยู่ ดับหรือสลายไป / เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป / เกิดขึ้น ตั้งอยู่

    และดับไป เป็นนิรันดร



    ซลล์ต่าง ๆ ที่รวมตัวกันขึ้นเป็นร่างกาย หรือรูปขันธ์ ก็ทะยอยกันเกิดขึ้น

    ใหม่ แล้วทำหน้าที่อยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็ตายไป และก็ทะยอยเกิด - ตาย

    / เกิด - ตาย ไปตลอดชีวิต


    สิ่งต่าง ๆ จะทำหน้าที่อยู่ชั่วขณะ แล้วก็ดับไป และจะเกิดขึ้นอีก เพื่อทำหน้าที่

    แล้วก็ดับไปอีก เป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นของมัน เช่นนั้นเอง........


    สรรพสิ่งสากลในจักรวาล ต่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง ทนอยู่ได้ยาก

    และหากพิจารณาโดยแยบคาย ย่อมนำมาซึ่งความน่าอิจหนาระอาใจ เป็นทุกขัง

    มิใช่ตัวเรา ตัวเขา หรือของผู้ใด จึงบังคับบัญชาไม่ได้ ให้คงอยู่ ตลอดไป

    ก็ไม่ได้อีก เพราะเป็นอนัตตา


    หากมนุษย์ผู้ใด ได้รู้เท่าทันธรรมชาติและกฎแห่งธรรมชาติ ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง

    จนสามารถปลดปล่อย หรือลดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งทั้งหลายทั้ง

    ปวงไปได้บ้าง มนุษย์ผู้นั้นย่อมโชคดี ที่ไม่เสียชาติเกิด
     
  14. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    การฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงการนั่งหลับตาภาวนา แต่เพียงเท่านั้น

    เราต้องฝึกการครองสติ ในอิริยาบทต่างๆ รวมทั้งกิจวัตรประจำวัน ซึ่งจะสามารถ

    ทำให้สติที่มีกำลังอ่อน กลายเป็นสติที่มีกำลังกล้าแข็งยิ่งขึ้นไป ตัวอย่างเช่น


    - ฝึกกำหนดรู้ตัว เมื่อเราตื่นนอน รู้ตัวในการล้างหน้า รู้ตัวในการแปรงฟัน รู้ตัวใน

    การอาบน้ำ และการขับถ่ายต่าง ๆ

    - ฝึกกำหนดรู้ตัว ต่อการแต่งตัว ถอด – ใส่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า ทาปาก หวีผม

    - ฝึกกำหนดรู้ตัว ต่อการดื่มน้ำ การรับประทานอาหาร การขบเคี้ยวสิ่งของ

    - ฝึกกำหนดรู้ตัว ต่อการออกกำลังกาย : ตอนเดิน วิ่ง กระโดด เล่นกีฬา



    ควรเริ่มฝึกไปทีละเล็กน้อย ในกิจวัตรประจำวัน หรือระหว่าง ยืน เดิน นั่ง นอน

    จนจิตเกิดความเคยชิน เช่นระหว่างที่เราอยู่ในห้องน้ำ เราก็ตั้งใจทำสติ โดยรู้ตัว

    ตลอดว่า เราได้ทำอะไรอย่างไร ทำให้จบตรงนั้น รู้สึกตัวอยู่ที่ตรงนั้น


    เมื่อเราแปรงฟันอยู่ ก็ต้องรู้ตัวว่าแปรงอย่างไร ถูซ้ายถูขวา หรือแปรงบนล่าง

    เมื่อเราล้างหน้าอยู่ ก็ต้องรู้ว่าล้างหน้าอย่างไร สะอาดหรือยัง สบู่ที่หน้าหมดหรือไม่

    ทุกอย่างที่เป็นกิจวัตร ในขณะที่พวกเราทำอยู่ รวมถึงระหว่างทำงาน หรือกระทำ

    กิจกรรมใดใด สามารถใช้จิตกำหนด รู้ รู้ รู้ ในสิ่งที่ทำ ให้เป็นปัจจุบันได้ทั้งสิ้น


    การปฏิบัติธรรมทุกอย่าง เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ต้องทำไปตลอดชีวิต และทำต่อ

    เนื่องกัน จึงจะเกิดเห็นผลและชัดเจน


    ธรรมะที่เรียนแล้ว ถ้าไม่นำมาประพฤติปฏิบัติ จะเกิดประโยชน์อะไร

    ได้แต่เพียงเป็นนกแก้วนกขุนทอง รู้แต่ทฤษฏีเท่านั้นเอง

    ธรรมะทุกข้อ ที่องค์พระศาสดาสอนไว้ จะมีค่า

    ถ้าหมั่นนำมาปฏิบัติ
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]

    [music]http://charyen.com/jukebox/asx_file/oldsong5176.wma[/music]
     

แชร์หน้านี้

Loading...