เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 มิถุนายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๖



    32E9F752-8716-458F-A834-D51D747D60BF.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2023
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ระยะนี้มีสารพัดเรื่องในวงการสงฆ์ เนื่องเพราะว่าปัจจุบันนี้มีบุคคลประเภทที่วัยรุ่นเรียกว่า "ตัวตึง" ค่อนข้างจะมาก อย่างเช่นที่กล่าวว่า "ครูของเราคือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระไตรปิฎก" ซึ่งเรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายขาดความรู้และฟังเผิน ๆ ก็จะเข้าใจไปตามนั้น

    คราวนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ก่อนปรินิพพานนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา นี่คือพระพุทธวจนะที่พระองค์ท่านกล่าวไว้ชัดเจนที่สุดว่า "ดูกร..อานนท์..ธรรมและวินัยอันใดที่ตถาคตแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราตถาคตได้ล่วงลับไปแล้ว" เกิดจากการที่พระอานนท์ปริวิตกว่า เมื่อสิ้นองค์พระศาสดาไปแล้ว ภิกษุทั้งหลายจะอยู่กันได้อย่างไร ? พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสตอบเอาไว้ชัดเจน

    คราวนี้ "ตัวตึง" ท่านนั้นที่กล่าวว่าครูของเราคือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระไตรปิฎก ถ้าเป็นไปได้ อยากจะเรียนถามท่านสักหน่อยว่า "ในปัจจุบันนี้จะให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงธรรมแก่พวกเราอย่างไร ? กรุณาช่วยตอบให้ชัดเจนด้วย"

    เนื่องเพราะว่าครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกองค์ ก็ล้วนแล้วแต่ปฏิบัติตามแนวทางในพระไตรปิฎก ซึ่งมีการย่นย่อลงมาเป็นวิสุทธิมรรค เกิดจากอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถ ผ่านการศึกษาพระไตรปิฎกมาและปฏิบัติจนเกิดผลดีแล้ว จึงได้เขียนเป็นวิสุทธิมรรคขึ้นมา ก็แปลว่าในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะได้รับคำสอนจากครูบาอาจารย์ท่านใดก็ตาม คำสอนนั้นก็มาจากวิสุทธิมรรค หรือว่าพระไตรปิฎกทั้งสิ้น

    วิสุทธิมรรคนั้นก็คือพระไตรปิฎกโดยย่อ เน้นเอาเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติ คือมีส่วนของสีลนิทเทส สมาธินิทเทส และปัญญานิทเทส รวมแล้ว ๓ นิทเทสหรือว่า ๓ บทด้วยกัน แต่ว่าหลายท่านก็ใช้วิธีค้นคว้าจากพระไตรปิฎกเลย โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่ศึกษาพระบาลีจนเชี่ยวชาญแล้ว ก็ไปค้นจากพระไตรปิฎกภาษาบาลีเลย ก็แปลว่า "ตัวตึง" ท่านนั้น
    "กล่าวตู่" ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า ธรรมและวินัยที่พระองค์ท่านบัญญัติแล้วจะเป็นศาสดาของพวกเรา
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ธรรมและวินัยนั้น พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ซึ่งมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ได้ทำการสังคายนาร้อยกรองเอาไว้ให้กับพวกเรา เมื่อจัดหมวดหมู่แล้วได้เป็น ๓ ปิฎก ก็คือพระไตรปิฎกนั่นเอง แล้วท่านกล่าวว่า "ครูบาอาจารย์คือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระไตรปิฎก" ก็แปลว่าท่านมีความเข้าใจผิด อยู่ในลักษณะมิจฉาทิฏฐิเฉพาะตนยังไม่พอ ยังสอนให้คนอื่นเป็นมิจฉาทิฏฐิไปด้วย..!

    เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าจะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เนื่องเพราะว่าบรรดาครูบาอาจารย์สมัยนี้นั้น ส่วนหนึ่งก็หลงระเริง เพราะว่าลูกศิษย์ยกขึ้นไป แล้วก็จะกลายเป็นอาจารย์ใหญ่แบบพระกปิละ หรือว่าพระเถระผู้เกิดเป็นปลาทอง ก็คือบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม ทั้ง ๆ ที่แม้แต่ศีล ๘ ของฆราวาส ก็ให้เว้นจากการรับประทานอาหารหลังเที่ยงไปแล้ว แต่ท่านก็บอกว่าไม่ได้ระบุชัด จะกินตอนดึก ๆ ก็ได้ อาตมภาพได้ยินแล้วก็ถอนใจ ท่านจะทำให้ลูกศิษย์กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิอีกเท่าไรก็ไม่ทราบ..?!

    เนื่องเพราะว่าพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ฆราวาสหญิงชาย ที่เป็นพุทธศาสนิกชนนั้น ท่านทั้งหลายก็ต้องยึดถือและปฏิบัติตามแนวทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เป็นประการแรก ก็คือยึดถือพระธรรมวินัยในเบื้องต้น รองลงมาก็คือรักษากฎหมายบ้านเมือง รองลงไปก็ต้องกระทำตามจารีตประเพณี เพราะว่าค่านิยมของคนส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น

    ดังนั้น..ในเมื่อมีศีลบัญญัติเอาไว้ว่า เว้นจากการฉันอาหารในเวลาวิกาล ซึ่งคำว่าวิกาล วิเป็นอุปสรรค (คำนำหน้า) แปลว่าวิเศษอย่างหนึ่ง แจ่มแจ้งอย่างหนึ่ง แตกต่างอย่างหนึ่ง กาละ คือเวลา ในที่นี้วิกาลก็คือเวลาที่ต่างจากปกติ ก็คือเวลากลางคืน ไม่ใช่กลางวัน ดังนั้น..ที่ท่านบอกว่าดึก ๆ สามารถที่จะฉันข้าวได้ นักปฏิบัติในลักษณะนั้น ถ้ามีสติสัมปชัญญะจริง ๆ คาดว่าคงไม่มีใครเชื่อท่านแน่..

    แต่ว่าผู้ที่ขาดสติตามท่านไปก็จะมีอยู่ แล้วไปประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ล่วงพระวินัย คือศีลยังไม่พอ ยังไปล่วงจารีตประเพณี ที่บ้านเราถือว่าการกินอาหารในเวลาวิกาลเป็นเรื่องต้องห้าม ถ้าหากว่าใครทำ บางทีก็เป็นโลกวัชชะ คือ โลกติเตียน ดูเหมือนอย่างกับจะหนักกว่าอาบัติปาราชิก หรือสังฆาทิเสสเสียอีก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ที่เกิดขึ้น กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกกับท่านทั้งหลายว่า จะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้เกิดวิปลาส คำว่าวิปลาสในภาษาบาลี แปลว่าเข้าใจผิดเพี้ยน คลาดเคลื่อนไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นการทำลายพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลายเป็นสนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน

    เนื่องเพราะว่าพระพุทธศาสนาของเราไม่มีอะไรทำลายได้ นอกจากพุทธบริษัท ๔ จะทำลายเสียเอง ถ้าหากว่าพุทธบริษัท ๔ เข้มแข็ง มั่นคง รักษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้รู้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ต่อให้มีข่าวลงสื่อโซเชียลทุกประเภท ตีหนักขนาดไหนก็ตาม จะไม่สามารถทำให้พระพุทธศาสนาของเราพังลงไปได้ เพราะว่าเป็นของแท้ ท้าพิสูจน์ได้ แต่พระพุทธศาสนาของเราที่จะพังลงไป ก็เกิดจากพุทธบริษัท ๔ ประเภท "ตัวตึง" เหล่านี้เอง

    อีกรายหนึ่งก็สอนว่า "ปัจจุบันนี้เราปฏิบัติผิดกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ภาวนาสัมมาอะระหัง ไม่ได้สอนให้ภาวนาพุทโธ" นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ท่านทั้งหลายทราบหรือไม่ว่า สัมมาอะระหัง หรือว่า พุทโธ นั้นคืออะไร ? สัมมาอะระหัง แปลว่า ไกลจากกิเลสโดยชอบ พุทโธ แปลว่าได้ ๓ ความหมาย คือ ผู้รู้อย่างหนึ่ง ผู้ตื่นอย่างหนึ่ง ผู้เบิกบานอย่างหนึ่ง เป็นพระนามที่กล่าวถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น

    ถ้าหากว่าใครภาวนาถึง แปลว่ากำลังระลึกในพุทธานุสติ คือนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพุทธานุสตินี้มีระบุไว้ชัดเจนว่าเป็น ๑ ในอนุสติ ๑๐ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนมา

    การภาวนานั้นก็ต้องควบกับลมหายใจเข้าออก ก็คือ อานาปานสติ ก็เป็น ๑ ในอนุสติทั้ง ๑๐ เช่นกัน พระพุทธเจ้าสอนมาเช่นกัน

    ถ้าหากว่าท่านจับสัมผัส ไม่ว่าจะเป็น ฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐาน หรือว่า รู้ตลอดกองลม นั่นก็คือสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตร ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ชัดเจน แล้วทำไม "ตัวตึง" เหล่านี้ถึงกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ถ้าเอาในพระไตรปิฎกจริง ๆ นั้นไม่มี แต่ว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติได้แล้วสรุปลงมาอย่างนั้น เอามาสอนให้ง่ายขึ้น ผู้ปฏิบัติตามได้ผลมาไม่ทราบว่าเท่าไรต่อเท่าไร อย่างเช่นว่าสายธรรมกายของหลวงพ่อสด (พระมงคลเทพมุนี) วัดปากน้ำภาษีเจริญ มีลูกศิษย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก หรือว่าการภาวนาพุทโธ อย่างหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าทางภาคอีสาน ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ใช้ไปทั่วประเทศไทยแล้ว

    แม้แต่ครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่ฝั้น อาจาโรก็ดี หลวงพ่อวิริยังค์ (สมเด็จพระญาณวชิโรดม) ก็ดี ท่านก็สอนกระผม/อาตมภาพ ให้ภาวนา "พุทโธ ธัมโม สังโฆ..พุทโธ ธัมโม สังโฆ..พุทโธ ธัมโม สังโฆ" เมื่อครบ ๓ คาบแล้วก็ให้ภาวนา "พุทโธ..พุทโธ..พุทโธ" สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้ครูบาอาจารย์ทำสำเร็จประโยชน์มามากต่อมากด้วยกัน

    แม้กระทั่งหลวงตามหาบัวที่เป็นครูบาอาจารย์ ซึ่งกระผม/อาตมภาพสมัยวัยรุ่นบังอาจไปขอหวยท่าน แล้วท่านก็ให้เสียด้วย..ออกตรง ๆ ด้วย..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะท่านทราบว่า กระผม/อาตมภาพแค่ต้องการรู้ว่า พระที่ปฏิบัติสายวิสุทธิมรรคอย่างสายพระสายวัดป่านั้น ถึงเวลาจะมีฤทธิ์ มีอภิญญา มีทิพจักขุญาณหรือไม่ ? แล้วตัวกระผม/อาตมภาพเองก็เป็นคนไม่เล่นหวย ท่านถึงได้ให้มา ถ้าในช่วงระยะหลังลองไปขอหวยท่านดู ว่าจะเจอกระโถนขว้างใส่หน้าหรือไม่..!?

    หลวงตามหาบัว หรือพระเดชพระคุณพระธรรมวิสุทธิมงคล ท่านได้กล่าวถึงครูบาอาจารย์สายวัดป่าว่า ท่านนั้นเป็นผู้ที่มีใจสะอาดหมดทั้งดวงแล้ว ท่านนี้เป็นผู้ที่ไม่เกิดแล้ว นั่นก็เกิดจากการที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นปฏิบัติมาในสายพุทโธ และอานาปานสตินี้เอง

    อีกพวกหนึ่งก็กล่าวว่า "พุทธแท้ต้องไม่แขวนพระ" อันนี้ก็สิ้นสติเช่นกัน..! เนื่องเพราะว่าการแขวนพระนั้น อันดับแรกเลย ครูบาอาจารย์ที่สร้างพระเครื่อง หวังในการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ตราบใดที่ยังมีพระเครื่องเกลื่อนอยู่ในพื้นปฐพี ตราบนั้นพระพุทธศาสนานี้ยังตั้งอยู่ได้ นั่นก็คือปณิธานของหลวงพ่อขอม อนิโช (พระครูอุภัยภาดาทร) ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเคารพมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแก้ผ้าวิ่งอยู่..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    แล้วต่อ ๆ มาก็คือบุคคลที่ติดตัวไว้เป็นเครื่องระลึกในถึงพุทธานุสติหรือว่าสังฆานุสติ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานกองใหญ่โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เพราะว่ามีเครื่องโยงจิตปรากฏให้เห็นชัดขึ้นและง่ายขึ้น

    หลังจากนั้น ก็ยังมีอานุภาพพิเศษตามแต่ผู้ที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกจะให้เป็นไป ไม่ว่าจะเป็นด้านของมหาอุด คงกระพัน เมตตามหานิยม ให้ลาภ เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นของแถมที่เกิดขึ้น เนื่องเพราะว่าครูบาอาจารย์แต่ละรูป แต่ละองค์ สร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน จริตนิสัยไม่เหมือนกัน เมื่ออธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องเหล่านี้ จึงทำให้เกิดอานุภาพที่ไม่เหมือนกัน และคนที่เอาไปใช้ก็เกิดผลมามากต่อมากด้วยกัน

    แต่ "ตัวตึง" เหล่านี้ก็บอกว่าพุทธแท้ต้องไม่แขวนพระ กระผม/อาตมภาพอยากจะถามว่าพุทธแท้นั้นแท้ตรงไหน ? เนื่องเพราะว่าแม้แต่ศีล ๕ ซึ่งเป็นหลักประพฤติปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน
    ทั่วไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังดัดแปลงมาจากหลักศีล ๕ ของศาสนาเชน ก็คือของศาสดามหาวีระ แล้วท่านจะเอาความเป็นพุทธแท้ กรุณาศึกษาพระไตรปิฎกให้ละเอียดกว่านี้หน่อย จะได้ไม่สอนคนให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วก่อให้เกิดโทษใหญ่แก่ตัวท่านเอง..!

    กระผม/อาตมภาพเป็นห่วงท่านทั้งหลายเหล่านี้มาก เนื่องเพราะเคยมีประสบการณ์ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกกล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่า บุคคลที่สอนคนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ส่วนใหญ่ลงไปโลกันตนรก..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า
    บุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ถึงเวลาต้องตกสู่อบายภูมิ ถ้าหากว่าลงนรกเลย โทษเก่ามีเท่าไรก็ต้องชดใช้เขาจนหมด แล้วเศษกรรมก็ทำให้ต้องเกิดมาเป็นเปรต ชดใช้กรรมในแดนเปรตจนหมด ก็ต้องมาเกิดเป็นอสุรกาย เมื่อชดใช้กรรมในเขตอสุรกายจนหมด ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตามจำนวนที่ตนเองเคยฆ่าไว้..!

    กว่าที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น บางทีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ผ่านไปหลายองค์แล้ว ก็ยังไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นมนุษย์ได้
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ในเมื่อท่านทำให้เขาต้องเวียนว่ายตายเกิดนานนับกัปกัลป์อนันตชาติ เส้นทางแห่งวัฏสงสารเต็มไปด้วยความทุกข์ ก็เท่ากับว่าท่านเป็นคนสร้างบาปหาบทุกข์ให้แก่ผู้อื่นอย่างมากมายมหาศาล โทษจึงได้หนักถึงขนาดมากกว่าอเวจีมหานรก ซึ่งถือว่าเป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด โทษหนักที่สุด แต่ไปลงโลกันตนรกที่เป็นขุมพิเศษ ไม่มีแสงสว่างใด ๆ ให้เห็นเลย

    ยกเว้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ครั้งหนึ่ง ฉัพพรรณรังสีที่แผ่ออกไป ก็ปรากฏให้เห็นแค่วูบเดียว เหมือนอย่างกับฟ้าแลบในความมืด ท่านทั้งหลายอาจจะต้องเจอเวรกรรมขนาดนั้น เพราะกระผม/อาตมภาพก็มั่นใจว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกกล่าวไว้นั้นเป็นความจริง จึงได้เป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่ง

    กรุณาเถิด อยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อยากให้คนเขาชื่นชมเรา กรุณายึดพระไตรปิฎก และพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก อย่าให้หลุดจาก ศีล สมาธิ และปัญญา ท่านจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เชิดชูพระพุทธศาสนา ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็เป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนานั่นเอง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...