เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นวันสำคัญก็คือ วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และเป็นวันสุนทรภู่

    ส่วนใหญ่เด็กสมัยนี้แทบจะไม่รู้จักแล้วว่าสุนทรภู่เป็นใคร แต่ก็คงจะเคยได้ยิน อย่างเช่นว่า

    มนุษย์นี้มีที่รักอยู่สองสถาน.......บิดามารดารักมักเป็นผล
    ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน.........เกิดเป็นคนคิดเห็นจึ่งเจรจา
    แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ.......ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
    รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา..................รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

    แต่ที่กล่าวถึงในที่นี้ ไม่ได้กล่าวถึงความสำคัญของวันทั้งสอง เนื่องเพราะว่าสุนทรภู่นั้น ท่านกลายเป็นบุคคลที่ยูเนสโกยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญมานานหลายปีแล้ว

    ส่วนสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) นั้น ทางคณะสงฆ์ทุกระดับก็จัดเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระกุศลเนื่องในวันคล้ายวันประสูติ ตามคำสั่งของมหาเถรสมาคมกันแทบทุกวัด

    ที่อยากจะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือ ตัวกระผม/อาตมภาพต้องมานั่งปรกคุมธาตุ และปลุกเสกวัตถุมงคลหลวงพ่อวัดบ้านแหลมองค์จำลอง ที่วัดปราสาทสิทธิ์ ตำบลประสาทสิทธิ์ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ตามคำนิมนต์ของเพื่อน ก็คือ พระครูอนุกูลวรากร (รวีโรจน์ วรมงฺคโล) เจ้าอาวาสวัดปราสาทสิทธิ์

    เมื่อมาถึงก็พบพรรคพวกเพื่อนฝูงหลายรายด้วยกัน อย่างเช่น หลวงพ่อพระสมุทรวชิรโสภณ, ดร. เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอก ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม ท่านพระครูวิสุทธานันทคุณ, ดร. เจ้าคณะอำเภอโพธาราม เจ้าอาวาสวัดเขาช่องพราน ท่านพระครูชินวรานุวัตร, ดร. เจ้าคณะตำบลท่าผา เจ้าอาวาสวัดบ้านฆ้องน้อย ซึ่งต่างก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอกเช่นเดียวกัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    อีกท่านหนึ่งก็คือพระมหาสมคิด อตฺถสิทฺโธ รองเจ้าคณะอำเภอโพธาราม เจ้าอาวาสวัดหนองโพ เพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ ๕๑ ยังได้ถามพระครูรวีโรจน์ว่า "นี่ตกลงว่าคุณจะใช้แต่เพื่อนกันทั้งหมดเลยหรือ ?" ก็ได้หัวเราะกันเป็นที่ครื้นเครง

    แต่เรื่องที่อยากจะเล่าจริง ๆ นั้นก็คือ เมื่อไปถึงพอดีกับพิธีบวงสรวง เห็นพราหมณ์ซึ่งทำหน้าที่บวงสรวงแล้ว ก็รู้สึกสงสาร แล้วก็กลัวแทน..! เนื่องเพราะว่าท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณยืนค้ำกระบอง ฝ่าเท้าเคาะพื้นอยู่ ประมาณว่าหมั่นเขี้ยว อยากจะเหยียบหรือทุบกบาลใครเสียเต็มแก่..!

    พอถามท่านว่า "ปู่มีอะไรหรือครับ ?" ท่านบอกว่า "ฟังมันดูสิ เอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ" ซึ่งถ้าหากว่าแปลเป็นไทยก็คือ "จงมา จงมา" "มึงเอาสิทธิ์อะไรมาเรียกพวกกูวะ..?!" สรุปว่างานนี้กระผม/อาตมภาพจำเป็นต้องออกหน้าไปห้ามทัพ ไม่เช่นนั้นแล้วบรรดาเทวดาทั้งหลายก็คงจะได้เหยียบผู้ทำพิธีเป็นแน่..!

    ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ท่านบอกว่าบุคคลที่ทรงคุณความดี ถึงขนาดเชิญพรหม เชิญเทวดามาได้ ต้องอาศัยคุณความดีเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง อาศัยคุณพระศรีรัตนตรัยอย่างหนึ่ง ไม่ใช่มาถึงก็เรียกกันดื้อ ๆ แบบนี้

    ตรงนี้ขอให้ทุกท่านที่ได้ยิน พึงสังวรเอาไว้ให้ดี เพราะว่าสมัยก่อนที่วัดท่าซุงนั้นเคยมีอยู่ ก็คือหลวงตาผ่อง พระอาวุโสที่ "เก๋า" มากของทางวัดท่าซุง ชอบนิยมที่จะทำการบวงสรวง แล้วก็ชุมนุมเทวดาเป็นพิเศษ วันดีคืนดีหลวงตาผ่องก็ลอยละล่อง หน้าทิ่มพื้นลงมาจากตึกทหารอากาศสงเคราะห์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของท่าน ลงไปตะครุบกบ ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้กบตัวใหญ่หรือตัวเล็ก ? แต่ดูแล้วปากคอก็เริ่ดไปเหมือนกัน..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านทราบเข้า ก็บอกว่า "สมน้ำหน้ามัน..! ไม่ได้มีคุณความดีอะไรเลย แต่ดันไปเรียกเทวดา ก็เท่ากับไปจิกหัวใช้เขา ยังบุญที่เขาละอายชั่วกลัวบาป ก็เลยแค่ถีบส่งเบา ๆ ไม่เช่นนั้น..อาจจะถึงขนาดหัวร้างคางแตกก็เป็นได้..!"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพที่เห็นแก่งานเพื่อน จึงต้องออกหน้าอาราธนาแทน แต่ว่าเป็นการอาราธนาแบบไม่บอกกล่าวกับผู้ใด เพราะเกรงว่าทางเจ้าภาพจะเสียกำลังใจ แล้วเพื่อนฝูงพอรู้เรื่องเข้า ดีไม่ดีอาจจะเรียกใช้กันชนิดหัวไม่วางหางไม่เว้น

    เมื่อขึ้นสู่ที่อาสนะซึ่งเขาจัดเอาไว้ให้ ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็เล็งอาสนะที่อยู่ที่มุมไกลที่สุด เนื่องจากว่าเขาจัดพระเกจิอาจารย์นั่งปรกคุมธาตุด้วยกัน ๕ รูป ซึ่งผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วก็คือ ท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิโสภณ วิ. หรือหลวงพ่อสุรศักดิ์ วัดประดู่พระอารามหลวง ท่านเจ้าคุณพระมงคลพัฒนาภรณ์ หรือหลวงพ่อดิเรก วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร แล้วก็พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ หรือหลวงพ่ออิฏฐ์ วัดจุฬามณี เป็นต้น

    แต่ว่าในเมื่อทุกคนไปยึดสี่มุมเสียแล้ว ตรงกลาง กระผม/อาตมภาพก็ต้องรับบทหนักไปโดยปริยาย เรียกว่าสถานการณ์บังคับให้เด่น ไม่เด่นก็ไม่ได้ เพราะว่าไม่มียอมใครมานั่ง..!

    ในเมื่อรับผิดชอบตรงนั้น เมื่อกราบอาราธนาบารมีหลวงพ่อวัดบ้านแหลมขอให้ท่านสงเคราะห์ ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีศากยมุนี วัดเอ็นเช่ เมืองกังต็อก นครรัฐสิกขิมโผล่มาแทน ก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมพระองค์ท่านถึงมาได้ ? พระองค์ท่านตรัสว่า "จำได้ไหมว่าเราเพิ่งจะพบกันมา ?" ก็กราบเรียนว่า "จำได้พระเจ้าข้า เพราะว่ารูปถ่ายที่ได้มานั้น ยังมีดวงแก้วปาฏิหารย์ลอยให้เห็นอย่างชัดเจน"

    ท่านบอกว่า "เรื่องของพุทธบารมีนั้นไม่มีสิ่งใดประมาณ ไม่มีสิ่งกั้นได้ ก็ในเมื่อเราเพิ่งพบกัน ก็เลยมาในรูปลักษณะนี้ให้เห็นอีกวาระหนึ่ง" กระผม/อาตมภาพจึงกราบอาราธนาบารมีท่านช่วยเสกรูปหล่อหลวงพ่อวัดบ้านแหลมองค์จำลองและวัตถุมงคลทั้งหมดในพิธีนั้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    พิธีในวันนี้ องค์ประธานก็คือ พระเดชพระคุณพระพรหมมงคลวัชราจารย์ (ไสว วฑฺฒโน) พระอนุชาของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสุริยวงศารามวรวิหารในจังหวัดราชบุรี ในเมื่ออยู่จังหวัดเดียวกัน ถึงเวลามีงานมีการอะไร ก็เท่ากับว่าเป็นพระผู้ใหญ่สำคัญที่ทางเจ้าภาพต้องนิมนต์อยู่แล้ว ท่านก็มาเจิมและจุดเทียนชัย เทียนวิปัสสี แล้วก็เป็นประธานในพิธีหล่อพระ

    เมื่อเสร็จพิธีแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ลาท่านเจ้าภาพ แล้วก็ออกเดินทางเพื่อไปยังวัดอุทยาน เตรียมตัวที่จะรับงานต่อในวันพรุ่งนี้ แต่เนื่องจากว่าถึงเวลาในการบันทึกเสียงธรรมจากวัดจากวัดท่าขนุนแล้ว จึงได้ทำการบันทึกเสียงในระหว่างเดินทาง เพราะว่าเท่าที่ผ่านมานั้น การบันทึกเสียงบนรถยนต์ก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน

    สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ามานี้ จะว่าไปแล้วไม่ใช่สิ่งอัศจรรย์ ถือว่าเป็นของแถมสำหรับนักปฏิบัติ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถทำจิตทำใจของตนเองให้สงบระงับได้ ถ้าในวิสัยเดิมของท่านมาในด้านวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือว่าปฏิสัมภิทาญาณ ๔ เมื่อใจของท่านสงบได้ที่ สิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ก็จะปรากฏขึ้นมาเอง ซึ่งกระผม/อาตมภาพได้ย้ำหนักย้ำหนาว่า "เป็นของแถมในการปฏิบัติ" แต่ในเมื่อเป็นของแถม ก็มักจะเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการ

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะญาติโยมที่ฟังอยู่ ลองพินิจพิจารณาดูก็จะเห็นว่า ในการซื้อข้าวซื้อของนั้น บางทีท่านไม่ได้ต้องการสินค้าหลัก หากแต่เห็นแก่ของแถมถึงได้ซื้อ..! ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน แม้ว่าในทิพจักขุญาณต่าง ๆ เป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติ แต่ว่าหลายต่อหลายท่านก็ทำเพื่อของแถมนี้โดยตรง เพียงแต่ว่าวางกำลังใจผิด

    คำว่า วางกำลังใจผิด ในที่นี้ก็คือ ทำเพราะว่าอยากได้ ในเมื่อทำเพราะอยากได้ เป็นการเอากิเลสนำหน้า ตัณหานำทาง ท่านทั้งหลายทำไปเท่าไร โอกาสที่จะได้ก็ไม่มี จนกว่าท่านจะวางกำลังใจเอาไว้ว่า เรามีหน้าที่ทำ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะได้หรือไม่ได้ จะมีหรือไม่มี ก็ไม่เป็นไร

    ถ้าสามารถทำกำลังใจแบบนี้ได้ ท่านทั้งหลายก็จะสามารถเข้าถึงทิพจักขุญาณได้ ตามวาสนาบารมีที่ตนเองบำเพ็ญมา แต่ถ้าหากว่าทำกำลังใจแบบนี้ไม่ได้ ยังคงทำเพราะอยากได้ ทำเพราะอยากมี ท่านทั้งหลายก็แทบจะไม่มีโอกาสเข้าถึงได้เลย
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติทุกรูปแบบนั้น จะต้องประกอบไปด้วยอุเบกขาเป็นอารมณ์สุดท้าย ถ้าหากว่าไม่มีอุเบกขารมณ์อยู่ด้วย ท่านทั้งหลายจะไม่มีโอกาสเข้าถึงที่สุดของการปฏิบัติธรรมขั้นนั้น ๆ

    อย่างเช่นว่าในการที่เราจะทรงปฐมฌานให้ได้นั้น ก็ต้องประกอบไปด้วย

    วิตก คือ คิดนึก ตรึกอยู่ว่าเราจะภาวนา

    วิจาร กำหนดรู้ว่าลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น คำภาวนาว่าอย่างไร ลมหายใจกระทบกี่ฐาน เป็นต้น

    ปีติ มีความรู้สึกสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นใน ๕ อย่าง เช่น ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง ลอยขึ้นทั้งตัว หรือว่าตัวพองตัวใหญ่ ตัวแตกตัวระเบิด เป็นต้น

    สุข มีสุขความเยือกเย็นอย่างที่ไม่สามารถจะบอกกล่าวเป็นภาษามนุษย์ได้ว่ามีความสุขสบายขนาดไหน

    แล้วถึงจะเป็นเอกัคตารมณ์ คืออารมณ์ใจที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว คำว่าตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว ในที่นี้ก็คือเป็นอุเบกขา ไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์กลาง ๆ ที่นิ่งอยู่ สงบอยู่

    ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำกำลังใจไว้ว่า เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็น จะได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน ท่านทั้งหลายก็จะเข้าถึงคำว่าอุเบกขาได้ เพราะคำว่าเป็นหรือไม่เป็น ได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน ก็คืออารมณ์อุเบกขานั่นเอง


    ดังนั้น...ในส่วนที่ท่านทั้งหลายเพียรพยามยามมานาน บางคนใช้เวลาถึงหลายสิบปีแล้วยังไม่ได้อะไร ขอให้ท่านมาพิจารณาใหม่ว่า ขาดอุเบกขาในการปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าขาด ก็จงทำให้มีตามอย่างที่ได้บอกกล่าวไปแล้วข้างต้น


    สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...