เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 สิงหาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,370
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,370
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนหายไป ๒ วัน ตามภารกิจนอกวัด ระยะนี้ต้องบอกว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อยู่ในระดับที่น่ากลัวมาก ถือว่าเป็นช่วงขาขึ้น เพราะว่าแทบทุกวัน ถ้าไม่ใช่ยอดตายทำยอดสูงสุดใหม่ ก็เป็นยอดผู้ติดเชื้อทำยอดสูงสุดใหม่ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ประเทศของเราต้องถือว่ามีความสามารถมาก จากวันที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ จำนวนผู้ติดเชื้อโดยยอดรวมของประเทศเรา เพิ่งจะก้าวเข้าอันดับที่ ๑๐๐ ปัจจุบันนี้อยู่อันดับที่ ๓๕..! และคาดว่าจะขึ้นได้อีกมาก

    เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า เราต้องช่วยกันระมัดระวังกันเอง แล้วขณะเดียวกัน การรักษาตนเองด้วยยาสมุนไพร ก็ถือว่าเป็นการพยายามเอาตัวรอดจากสภาวะวิกฤตแบบนี้ เหมือนอย่างกับยามศึกยามสงคราม เราจะไปหวังให้คนอื่นเขาช่วยไม่ได้ มีอย่างเดียวก็คือ ใช้ความสามารถและทรัพยากรทั้งหมดที่เรามี ทำอย่างไรที่จะให้เราอยู่รอดได้นานที่สุด

    ถ้าเราไปนึกถึงคนงาน ๓๓ คน ที่ติดอยู่ในเหมืองที่ชิลีเป็นเวลา ๖๙ วัน กว่าที่ทางข้างนอกจะเจาะอุโมงค์เข้าไปจนถึงตัว แล้วก็นำออกมาได้ทีละคน เขาทั้งหลายเหล่านั้นต้องสามัคคีกัน และมีวินัยกับตนเองอย่างที่สุด คำว่าสามัคคีกันคือ เขาเอาน้ำและอาหารทั้งหมดที่มีอยู่มารวมเป็นส่วนกลาง แล้วก็กำหนดว่าจะเฉลี่ยให้แต่ละคนในวันหนึ่งได้เท่าไร คำว่ามีวินัยก็คือ ไม่มีใครฝืนข้อตกลงตรงนี้ แม้กระทั่งในวันท้าย ๆ เหลืออาหารกันวันละคำต่อหนึ่งคน..เขาก็สู้ พูดง่าย ๆ ว่าตราบใดที่ชีวิตยังไม่ดับลง ตราบนั้นยังมีความหวัง

    สถานการณ์บ้านเมืองของเราก็เหมือนกัน เราจะเห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ค่อยคำนึงถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ยังคงก่อการประท้วง ก็ต้องบอกว่าเป็นการหาเรื่องใส่ตัว แต่จะว่าเขาโดยตรงก็ไม่ได้ เพราะว่าแต่ละคนนั้นขีดความอดทนมีไม่เท่ากัน ท่านที่มีกำลังสติ สมาธิ และปัญญาสูง ก็มีความอดทนมากกว่า ท่านที่มีขีดความสามารถต่ำ ก็จะอดทนน้อยกว่า

    โดยเฉพาะในส่วนของการเสพสื่อ ที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกไปแล้วว่า ปัจจุบันนี้เราเข้าถึงข่าวสารได้ง่ายมาก แต่เราจะหาความเป็นจริงในข่าวสารได้ยากมาก ท่านทั้งหลายอาจจะเห็นว่า ผมก็ดูหนังสือพิมพ์ หรือว่าอ่านข่าวที่ส่งมาทางไลน์ แต่ว่ากระผม/อาตมภาพดูหรือว่าอ่านในลักษณะของการรับรู้แค่ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศของเรา ไม่ได้ไปนึกคิดปรุงแต่งต่อให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น

    ความมีสติสัมปชัญญะก็จะทำให้เรามองเห็นว่า เนื้อหาข่าวบางอย่างนั้นไม่สมจริง เป็นข่าวปลอม หรือที่นิยมเรียกกันว่า fake news. การที่เราจะมี สติ สมาธิ ปัญญา ให้มั่นคงถึงระดับนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับการฝึกฝน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,370
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    เมื่อสองวันที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพรับกิจนิมนต์ไปงานพุทธาภิเษก ๒ แห่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งก็คือทิดเฟิร์ส (นายบัณฑิต เอี่ยมตระกูล) พยายามที่จะศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่กระผม/อาตมภาพเรียนรู้เอาไว้

    แต่คราวนี้ในตอนพุทธาภิเษกนั้น ตามสายของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หรือหลวงพ่อวัดท่าซุง เราจะกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ แล้วหลังจากนั้นพระท่านสั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าสู่ความสงบของใจให้เร็วที่สุด และลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ใจของเราสะอาดที่สุด จะได้รับสิ่งต่าง ๆ ที่พระ หรือว่าพรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์ท่านบอกกล่าวได้อย่างชัดเจนที่สุด แล้วจะได้กระทำตามนั้น


    แต่คราวนี้ทิดเฟิร์สนั้นห่วงหน้าพะวงหลัง ก็คือห่วงว่างานป่านนี้ไปถึงไหนแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องของเรา แล้วก็ยังไปเดาว่าหลวงพ่อน่าจะออกจากสมาธิตอนนี้ เพื่อที่จะเตรียมการรับใช้ให้ทัน

    เมื่อวันแรกเป็นเช่นนั้นก็เลยดุไป แล้วก็บอกกล่าวให้รู้ว่า สิ่งที่ทำนั้นไม่ใช่ เวลาที่พระหรือว่าพรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์ท่านมาในพิธี กระแสของท่านที่ครอบคลุมลงมา เราต้องทำใจของเราให้คู่ควรที่สุดที่จะรับกระแสนั้นได้ ก็แปลว่าต้องใช้สมาธิสูงสุดที่เรามี ให้ใจนิ่งที่สุด สงบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


    เหมือนอย่างที่หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ไปขอศึกษาวิชาเสกปลัดขิก จากหลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงก ท่านถามว่า "หลวงพี่..ทำกำลังใจอย่างไร ถึงเสกปลัดขิกให้วิ่งได้ ?" หลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงกบอกว่า "ก็แค่ให้นิ่งเท่านั้น" หลวงปู่ทิมท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า แค่ประโยคเดียว ท่านต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี กว่าที่จะควานหาเจอว่า คำว่า "แค่ให้นิ่งเท่านั้น" ของหลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงก คือนิ่งแค่ไหน

    เพราะว่ากำลังใจตั้งแต่ตอนท้ายของอุปจารสมาธิ ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านใช้คำว่า "อุปจารฌาน" ขึ้นไป ความนิ่งสงบของใจก็ปรากฏแล้ว แต่คราวนี้หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่นั้น กำลังของท่านสูงเกินไปกว่านั้น

    เหมือนที่กระผม/อาตมภาพ สมัยที่ยังสอนมโนมยิทธิอยู่ เปรียบว่า ทิพจักขุญาณนั้นจะปรากฏใน ๒ วาระด้วยกัน วาระแรกก็คืออุปจารสมาธิ วาระที่สองก็คือฌาน ๔ เต็มระดับ เหมือนกับเรามีห้องสองห้อง ที่สภาพการณ์ทุกอย่างเหมือนกันหมด ห้องหนึ่งอยู่ชั้นล่าง ห้องหนึ่งอยู่ชั้นบน มีบันไดเชื่อมต่อให้จากข้างล่างขึ้นถึงข้างบนได้


    ส่วนใหญ่แล้วพวกเราที่ฝึกนั้น เป็นช่วงที่กำลังอยู่บนบันได ก็คือครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปก็ไปไม่สุด ลดก็ลดไม่เป็น ในเมื่อหลวงปู่ทิมท่านจับจุดได้ ท่านแค่ลดกำลังใจลงมาในจุดที่ต้องการเท่านั้น ก็สามารถเสกปลัดขิกให้วิ่งได้ เหมือนกับที่หลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงกทำได้ แค่หาตรงนั้น ท่านต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,370
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    คราวนี้การที่พวกเราทั้งหลายเป็นนักปฏิบัติธรรม เมื่อถึงเวลาแล้ว เราใช้ความเพียรพยามยามในการปฏิบัติ จดจ่อต่อเนื่องอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกหรือเปล่า ? ส่วนใหญ่ที่พบก็คือ พอเลิกแล้วก็ทิ้งเลย

    ประการต่อไปก็คือ คอยสำรวจตรวจตราตัวเองอยู่หรือเปล่า ว่าใจของเราที่สงบอยู่ไปฟุ้งซ่านตอนไหน ? แล้วได้ลองพยายามแก้ไขหรือเปล่า ว่าจะไม่ให้ใจของเราฟุ้งซ่านแบบนั้นอีก ?


    เรื่องพวกนี้ เราต้องใช้วิมังสา ในหลักของอิทธบาท ๔ ก็คือ ฉันทะ เรามีกำลังใจที่จะกระทำเรื่องนี้แล้ว ทุกคนมีเหมือนกันหมด คราวนี้ก็ขาดอยู่ที่


    วิริยะ คือความเพียรที่ไม่เท่ากัน ใครที่พากเพียรมาก ไม่ท้อถอย โอกาสสำเร็จก็จะมีมากกว่าคนอื่น


    จิตตะ กำลังใจของเราปักมั่นต่อสิ่งที่เราทำหรือเปล่า ? หรือว่ากำลังพิจารณาดี ๆ พอมีเรื่องอื่น ก็โดนดึงให้เป๋ไปอีกแล้ว กิเลสนั้นมีมายามาก พอเห็นว่าจะแพ้เราเมื่อไร เขาก็จะหลอกให้เราหลงไปทางอื่น เหมือนกับเราเดินไปถึงประตู แค่เปิดประตู เราก็จะเดินพ้นจากสถานที่นี้ออกไปแล้ว แต่เราจะโดนหลอกให้เดินหลบประตูไปด้านอื่นทุกที


    ถ้าสมมติว่าสถานที่นั้นเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลม แล้วมีประตูบานเดียว ถ้าเราเดินเลาะข้างออกไปเมื่อไร กว่าที่จะมาเจอประตูอีก แปลว่าต้องเดินอย่างน้อยครบ ๑ รอบ ซึ่งแต่ละรอบของเรานั้น มากน้อยช้าเร็วไม่เท่ากัน


    บางท่านสร้างบุญสร้างบารมีไว้ดี รอบก็เล็ก กลับมาถึงเร็ว มีโอกาสแก้ตัวเร็ว บางท่านสร้างบุญสร้างบารมีไว้น้อย มีปัญญาน้อย รอบก็ใหญ่ มาถึงช้า กว่าที่กำลังใจของเราจะวนกลับมาให้ดี ให้เหมาะ ให้ควรแก่การตัดกิเลสในลักษณะอย่างนั้น ก็ต้องรอรอบใหม่ เสียเวลาไปรอบแล้วรอบเล่า เพราะเราขาดตัววิมังสาในการไตร่ตรองทบทวนตัวเอง ในการดูว่าเราผิดพลาดตรงไหน ในการเพียรพยามยามแก้ไขตรงนั้นเสียใหม่ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยใช้คำว่า "ยังไม่เข็ด" ถ้าคนเรารู้จักเข็ด ก็ต้องตั้งท่าระวัง ไม่ให้พลาดอย่างนั้นอีก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,370
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ท่านทั้งหลายจะต้องทำก็คือ ต้องซักซ้อมการเข้าออกสมาธิให้ได้คล่องตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งสามารถที่จะทำกิจการต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กับการทรงสมาธิได้ ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านใช้คำว่า ฌานใช้งาน
    เมื่อทำถึงตรงนั้นแล้ว เราก็จะมีความคล่องตัวมากขึ้น ในการที่จะบังคับตนเองให้เข้าให้ออกสมาธิ ใช้กำลังสมาธิในการกดกิเลสให้อยู่ก่อน แล้วหลังจากนั้นอาศัยกำลังสมาธินั้น ช่วยปัญญาในการห้ำหั่นตัดกิเลสกันต่อไป ก็ไม่ต้องมาผีเข้าผีออกเหมือนอย่างที่ทิดเฟิร์สทำอยู่

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ที่เล่าให้พวกเราฟังก็คือว่า ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินวุ่นวาย เรามีสติมั่นคงแค่ไหน ? มีสมาธิยับยั้งตนเอง ไม่ให้ไหลไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง ได้เท่าไร ? มีปัญญาที่จะดึงตนเองออกจากกระแสนั้นได้เมื่อไร ? และสามารถที่จะใช้สมาธิให้เกิดประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมได้อย่างไร ?

    วันนี้ก็ขอฝากการบ้านเอาไว้ให้ทั้งพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยม ทั้งที่อยู่ที่นี่และอยู่ที่บ้าน ได้ทดสอบใช้งานด้วย บรรดาคาถาต่าง ๆ ที่ให้ไปก็ต้องซักซ้อม ใช้ให้เกิดประโยชน์หรือว่าให้เกิดผล ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็แค่ศึกษาเรียนรู้ไว้มากขึ้น ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นอกจากแบกเอาไว้อวดชาวบ้านเขาเท่านั้น..ขอเจริญพร

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...