เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 กันยายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ ก็แทบจะจมอยู่กับหน้าจอทั้งวัน เพราะว่าเข้าอบรมการทำวิจัยของพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, ศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านอาจารย์ยังคงเหมือนเดิม

    พวกกระผม/อาตมภาพเป็นรุ่นแรก ๆ ที่เรียนหลักสูตรสันติศึกษากับท่าน ตอนนั้นหลักสูตรยังไม่เป็นตัวเป็นตนชัดเจน ก็เป็นแค่วิชา ท่านมาถึงท่านก็บอกว่า "ขอเชิญทุกท่านนั่งสมาธิก่อน ๒๐ นาที" แล้วท่านก็ไม่สนใจพวกเราเลย ท่านนั่งสมาธิไปเลย ทุกครั้งก็จะเป็นอย่างนั้น ก็คือลูกศิษย์จะทำหรือไม่ทำ ท่านอาจารย์ทำไปแล้ว..!

    ท่านอาจารย์บอกว่า ท่านจะตื่นขึ้นมาเขียนบทความประมาณช่วงตี ๑ ตี ๒ ประจำ ท่านบอกว่าช่วงนั้น "เป็นเวลาของพรหม เทวดา" ทำให้ท่านมีสมาธิและความคิดที่ปลอดโปร่ง สามารถเขียนบทความได้ประมาณวันละ ๑ เรื่อง..!


    สำหรับคนอื่นฟังแล้วก็อาจจะไม่คิดอะไร แต่พวกเราต้องคิดแล้ว อันดับแรกก็คือ ท่านเห็นประโยชน์ของสมาธิจริง ๆ กระผม/อาตมภาพเคยเล่าให้พวกเราฟังหลายครั้งแล้วว่า ตอนที่พวกเราเรียนปริญญาเอกอยู่นั้น ท่านกำลังยุ่งอยู่กับการเปิดหลักสูตรสันติศึกษาระดับปริญญาเอก ท่านจึงไม่มีเวลาที่จะมาสอนแบบประจำ จึงใช้การ Block Course ก็คือ ถึงเวลาแล้วนัดสอนเป็นวัน ๆ วันละ ๘ ชั่วโมง ๙ ชั่วโมงต่อเนื่องกันเป็นปกติ อย่างวันนี้ผมก็โดนตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งจนถึงบ่าย ๔ ครึ่ง..!


    แล้วในช่วงนั้นถึงได้เห็นว่าคุณค่าของสมาธิเป็นอย่างไร ? เพราะว่าบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นทั้งหมดสู้ท่านอาจารย์ไม่ได้ ออกไปยืดเส้นยืดสาย ออกไปพักผ่อนอิริยาบถ ดื่มกาแฟบ้าง นั่งคุยกันบ้าง ปล่อยให้ผมกับท่านอาจารย์ดวลเดี่ยวกัน โดยที่ทิ้งพวกแฟล็ชไดรฟ์ แฮนดี้ไดรฟ์ ธัมป์ไดรฟ์เอาไว้เป็นกอง บอกอย่างเดียวว่า "สรุปเนื้อหาเสร็จแล้วช่วยโหลดให้ด้วยนะ" ท่านอาจารย์ยังแซวว่า "เป็นการเรียนระบบตัวแทน" ก็คือคนหนึ่งเรียนแทนเพื่อนทั้งห้อง..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    เราจะเห็นว่ากำลังสมาธิที่ฝึกฝนไว้ แม้กระทั่งเรื่องทางโลก อย่างเรื่องการเรียนตำรับตำรา เรียนหนังสือ ก็ยังสามารถที่จะใช้งานได้ดีมาก ถ้าหากว่าสมาธิไม่พอ คนสอนก็ลำดับเรื่องไม่ได้ ท้าย ๆ ก็จะสับสน ตรงนี้ท่านทั้งหลายที่สวดปาฏิโมกข์ได้จะรู้ ถ้าวันไหนสมาธิไม่ดีนี่ ตอนท้าย ๆ เละไม่เป็นท่าทุกราย..! เพราะว่าพอกำลังสมาธิไม่พอ การจดจำก็จะสับสน ลำดับเรื่องราวไม่ค่อยจะถูกแล้ว

    ดังนั้น...เรื่องแบบนี้คนสอนจะหนักกว่า เพราะว่าต้องลำดับเรื่องราว แล้วก็สอนอย่างไรให้ลูกศิษย์เข้าใจ ส่วนคนฟังก็แค่ทุ่มเทสมาธิในการรับ แยกแยะเนื้อหาว่า เรื่องหลักคืออะไร ? เรื่องรองคืออะไร ? เนื้อหามีว่าอย่างไร ? คราวนี้ถ้าจับได้ว่าวันนี้เรื่องหลักคืออะไร เรื่องรองคืออะไร ก็ฟังเนื้อหาอย่างเดียว ก็สามารถทำความเข้าใจได้ตั้งแต่ต้นยันปลาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วบรรดาท่านที่ศึกษามักจะขาดตรงจุดนี้ ก็คือถ้ารู้ว่าเรื่องหลักคืออะไร ? เรื่องรองคืออะไร ? ก็แค่ฟังเนื้อหาให้เข้าใจ แล้วเราก็จะสามารถอธิบายได้หมด

    สมัยก่อนแม้กระทั่ง พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เจอหน้ากันเมื่อไร ท่านก็บอกว่า "ท่านเล็ก อย่าทิ้งสมาธินะ" เพราะว่าตอนนั้นกระผม/อาตมภาพเรียนบาลีอยู่ ท่านบอกว่า "คนเรียนบาลี ถ้าทิ้งสมาธิ ไปไม่รอดสักราย"

    ผมเองเรียนบาลี ไม่ได้ทิ้งสมาธิ แต่ไปไม่รอด เพราะว่าไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน จึงโดนมาลาเรียรับประทาน..! ท้ายสุดก็เลยต้องเลิกเรียน เพราะว่าการเรียนบาลีสำคัญที่สุดก็คือต้องท่องหนังสือหนีอาจารย์ อย่าให้อาจารย์แซงได้เป็นอันขาด ถ้าท่องหนังสือหนีอาจารย์ไม่ได้..ตายทุกราย เพราะสิ่งที่อาจารย์สอนเราจะไม่เข้าใจ มัวแต่ห่วงพะวงว่าจะท่องจำได้หรือเปล่า ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราทุกคนก็ควรที่จะดูด้วยว่า กำลังสมาธิของเรานั้น ใช้ในชีวิตประจำวันได้เท่าไร ? มีกำลังยืนระยะได้แค่ไหน ? สมัยที่กระผม/อาตมภาพออกธุดงค์ ก็เพราะว่าสังเกตว่า กำลังของตนเองไม่พอที่จะยืนระยะได้ทั้งวัน

    เนื่องจากเวลามีงานที่วัดท่าซุง ญาติโยมไปกันเป็นแสน ๆ คราวนี้อาตมภาพรับหน้าที่จำหน่ายวัตถุมงคล คนที่ไปวัดทุกคนที่จะไม่เอาวัตถุมงคลนั้นไม่มี ทุกคนดาหน้าเข้ามา ไม่ต้องหยุดหายใจ ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องฉันข้าวฉันน้ำ หรือเข้าห้องน้ำห้องส้วม สมาธิต้องทรงตัวโดยอัตโนมัติ

    แต่คราวนี้ผมเป็นคนช่างสังเกต ผมก็สังเกตว่า ช่วงบ่ายเสียงผมจะดังขึ้นไปเรื่อย ๆ เสียงดังขึ้นแสดงว่าความเครียดบังเกิด แปลว่ากำลังสมาธิของเราตก เพราะฉะนั้น...คนจะมากแค่ไหนก็ตาม ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอตัวเข้าห้องน้ำ ไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำห้องส้วมอะไรหรอก..ไปนั่งภาวนา..! พอกำลังใจทรงตัวได้ที่ก็กลับออกมาทำงานต่อ เจอแบบนั้นหลาย ๆ ครั้งเข้า ก็รู้ว่ากำลังสมาธิของตนเองไม่พอที่จะรบกับคนเป็นหมื่นเป็นแสนได้ทั้งวัน

    ถึงได้ขออนุญาตหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกธุดงค์ เพราะสังเกตว่า ที่กำลังสมาธิไม่ทรงตัว เพราะว่าไปปรุงแต่ง เห็นว่าคนนี้ดี คนนี้ไม่ดี คำว่าคนดีก็คือเชื่อฟัง บอกอะไรทำอย่างนั้น คนไม่ดีคือบอกอะไรกูไม่ทำสักอย่าง ยังเห็นคนเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นสาว เป็นแก่ ทำให้กำลังใจไม่สามารถที่จะสงเคราะห์เขาให้เท่าเทียมได้แบบอัปปมัญญาพรหมวิหาร จึงต้องขออนุญาตหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกไปธุดงค์
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    สิ่งที่หลวงพ่อท่านให้ไปคือคาถาบทหนึ่ง บอกว่าถ้ามั่นใจก็เอาตัวรอดได้ทุกที่ ก็คือ บทบารมี ๓๐ ทัศ ต่อด้วยนะโมพุทธายะ
    อิติปาระมิตา ติงสา
    อิติสัพพัญญู มาคะตา
    อิติโพธิ มะนุปปัตโต
    อิติปิโส จะเตนะโม
    นะโมพุทธายะ


    ท่านให้ภาวนาต่อเนื่องกันไปเลย ปรากฏว่าสถานที่ที่เลือกไปนั้นเท่ากับไปหาที่ตาย..! เพราะว่าทันทีที่เดินพ้นบ้านคนซึ่งเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง ข้ามลำห้วยไป เห็นแล้วใจหาย รอยตีนสัตว์ป่าเป็นเทือกเลย เหมือนอย่างกับเรามองดูรอยวัวควายในคอก..! ก็เลยได้แต่เดินตัวเกร็งไปตลอดทาง ไม่รู้จะรอดหรือไม่รอดกลับมา ยิ่งไปสัตว์ป่าก็ยิ่งมาก ไม่ต้องเห็นตัวหรอก แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าชุกชุมขนาดไหน..!

    ดังนั้น..ตัวเมตตาพรหมวิหารที่ตั้งใจก็เลยไม่เหลือ..ไม่ได้มา เหลืออยู่อย่างเดียวคือ "ตายแน่..! ตายแน่...!" ปรากฏว่ากำลังใจกระโดดข้ามขั้นไปเลย ไม่ได้ตัวเมตตามา แต่ไปได้สังขารุเปกขาญาณเลย ซึ่งปกติแล้วตัวนี้จะได้ยากได้เย็นมาก เพราะว่าต้องปล่อยวางภาระทั้งปวง ชนิดที่เรียกว่าร่างกายนี้ก็ไม่ต้องการจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่กล้าเดินหน้าต่อ..!

    นับว่าการออกไปตั้งใจที่จะแสวงหาหลักธรรมที่ตนเองต้องการนั้นไม่ได้มา แต่ไปได้เกินกว่าที่ต้องการ หลังจากนั้นก็พยายามซักซ้อมทบทวนมาตลอด กำลังสมาธิก็ทรงตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ให้นั่งดวลเดี่ยวกับท่านอาจารย์หรรษาทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา

    ถ้าไม่มีพระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ ศ.ดร. รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี อาจารย์หรรษาจะเป็นศาสตราจารย์ที่หนุ่มที่สุด พอดีมีท่านอาจารย์บุญเลิศอยู่ ท่านอาจารย์หรรษาก็เลยอายุมากกว่าหน่อยหนึ่ง คือท่านขอศาสตราจารย์ตั้งแต่ตอนอายุ ๔๐ แต่ไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะเขาเห็นว่าท่านหนุ่มเกินไป ตอนหลังก็เลยโดนท่านอาจารย์พระมหาบุญเลิศแซงหน้าไป
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    ฉะนั้น...ในเรื่องของทางโลก สมาธิของท่านใช้งานได้ดีมาก ทำให้เกิด "ญาณ" คือ เครื่องรู้ ซึ่งไม่ว่าจะมองในแง่ไหนมุมไหน ก็จะสามารถที่จะดึงเอาเหตุเอาผลออกมาได้หมด ท่านจึงชำนาญและถนัดในงานวิจัยมาก สามารถที่จะอธิบายหลักธรรมในพุทธศาสนาเข้ากับทฤษฎีฝรั่งได้ชนิดที่แนบเนียน แล้วขณะเดียวกัน หลักธรรมของพระพุทธศาสนาก็สามารถที่จะเชื่อมโยงทุกหัวข้อเข้าหากันได้

    ซึ่งตรงนี้ผมมองเห็นท่านแล้วก็เสียดาย เพราะว่าสิ่งที่ท่านทำได้ ท่านเอาไปใช้ในทางการศึกษาทางโลก ได้แต่หวังว่าวันดีคืนดี ท่านจะหวนกลับมาทางธรรมเต็ม ๆ บ้าง ตรงจุดนี้ก็ต้องแล้วแต่บุญแล้วแต่กรรมของท่าน

    แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากทั้งหมด อย่างเรื่องของสันติสนทนาที่ผ่านมา ก็คือชวนคนกลับสู่ชนบท ใช้คำว่า "คำตอบอยู่ที่ชนบท" การพัฒนาไม่จำเป็นต้องไปทางวัตถุ แต่ให้พัฒนาจิตใจให้คนรู้จักพอ อยู่กับการเกษตรแบบพออยู่พอกิน จะได้ไม่ต้องเป็นทาสนายทุน งานพวกนี้เป็นงานสายพระโพธิสัตว์ ก็ต้องดูว่าท่านเองจะมีโอกาสเลี้ยวกลับมาหรือเปล่า ? ถ้าไม่มีก็ไปยาว รอตรัสรู้ในภายภาคหน้า..! พวกเราก็ยกมือโมทนาตามหลังไป

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...