เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 พฤษภาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,703
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,263
    ค่าพลัง:
    +25,982
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,703
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,263
    ค่าพลัง:
    +25,982
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ มีภารกิจสำคัญของกระผม/อาตมภาพก็คือ การมอบพระพุทธรูปประจำห้องเรียนให้กับนายศราวุฒิ วงษ์เอก ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ ที่ขอมาจำนวนทั้งสิ้น ๓๑ องค์ ซึ่งตรงนี้ก็ได้รับการอุปถัมภ์จากชมรมรักษ์ธรรมรักษ์ไทย ที่ช่วยหามาให้ในราคามิตรภาพ

    เหตุที่ทางโรงเรียนต้องขอมา ก็เพราะว่าโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ นอกจากพระพุทธรูปประจำโรงเรียนแล้ว ก็ต้องการที่จะมีพระพุทธรูปประจำห้องเรียนด้วย ในเมื่อห้องเรียนมีทั้งหมด ๓๑ ห้อง จึงขอมา ๓๑ องค์

    ตอนแรกทางโรงเรียนแจ้งว่าต้องการหน้าตัก ๓ นิ้วหรือว่า ๕ นิ้ว จะได้เหมาะกับหิ้งพระเล็ก ๆ กระผม/อาตมภาพก็ตั้งใจว่าจะมอบหลวงพ่อสุคโตไปให้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วว่า ถ้าตั้งอยู่บนหิ้ง บางทีอาจจะมองไม่เห็นหลวงพ่อสุคโตเลย จึงต้องเปลี่ยนใจหาใหม่

    ต้องบอกว่าทางด้านผู้อำนวยการศราวุฒิมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับโรงเรียนวิถีพุทธที่ชัดเจน เพราะว่าโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิเริ่มมีเด็กอิสลามแทรกเข้ามาตามนโยบายของฝ่ายเขา ที่กระผม/อาตมภาพบอกไปตั้งแต่หลายปีที่แล้วว่า "คุณจะมาเรียน ก็ห้ามขอห้องละหมาด ห้ามขออาหารฮาลาล เพราะว่าคนแค่ ๒ คน จะให้คนส่วนใหญ่หลายร้อยคนทำตามคุณนั้น เป็นไปไม่ได้ ถ้าคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะ ก็ไปหาที่เรียนที่อื่น เพราะว่าในฐานะคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียน กระผม/อาตมภาพไม่อนุญาตให้ทำอย่างนั้น"


    ในเมื่อรับพระพุทธรูปไป ก็เท่ากับตอกย้ำความเป็นโรงเรียนวิถีพุทธที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เรื่องพวกนี้เราจำเป็นต้องทำ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเราจะไปโดนคำว่า พหุวัฒนธรรม อุดปากเอาไว้ แล้วก็ยอมเขาไปทุกเรื่อง..!

    ซึ่งถ้าว่ากันตามหลักประชาธิปไตย ก็คืออาศัยเสียงส่วนใหญ่เข้าว่า ในเมื่อเสียงส่วนใหญ่หลายร้อยคนเป็นเด็กพุทธ แล้วคุณจะมาขอห้องละหมาด ขออาหารฮาลาล ขอครูอิสลาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะอนุญาตให้

    เราจำเป็นต้องช่วยเหลือกัน เนื่องเพราะว่าถ้าไม่ช่วยกัน การแสดงออกซึ่งความเข้มแข็งของศาสนาพุทธก็จะด้อยลงไป แล้วก็จะทำให้เขากดดันอยู่เรื่อย เพราะว่าคนทั้งหลายเหล่านี้มักจะอ้างกฎหมาย ถ้าอ้างกฎหมายไม่ได้ ก็อ้างกฎหมู่ ถ้าชาวพุทธของเรายังไม่รักใคร่สามัคคีกัน อีกไม่นานเราจะเดือดร้อนกว่าที่คิด..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,703
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,263
    ค่าพลัง:
    +25,982
    ตามที่กระผม/อาตมภาพพิจารณาดูแล้ว ชาวพุทธของเราแบ่งออกได้ประมาณ ๓ พวก

    พวกแรกก็คือ ชาวพุทธเข้มงวด แต่เป็นความเข้มงวดแบบเถรตรงจนเกินไป ก็เลยทำให้หันไปทางด้านไหนก็ชนเสาตลอด ก็คือในเมื่อเข้มงวด จนกระทั่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถที่จะไปได้ เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ซึ่งเราก็มี "คุณยายไดโนเสาร์" กับบรรดาบริวารเขายืนเป็นหลักอยู่ในกลุ่มนี้

    พวกที่สองก็คือ ชาวพุทธยืดหยุ่น ก็คือพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคมปัจจุบัน แต่ว่าการปรับตัว เท่าที่กระผม/อาตมภาพสังเกตดู เป็นการปรับไปในทางเสื่อม เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสันดานคนถนัดในการรับ ไม่ได้ถนัดในการให้


    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนในเรื่องของทาน ศีล ภาวนา เพื่อตัดกิเลสใหญ่ คือ โลภ โกรธ หลง ในใจของเรา แต่ว่าในปัจจุบันนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกตดู จะเห็นว่าพระภิกษุสามเณรของเรามีโครงการให้แก่ชาวบ้านกันเยอะมาก แม้กระทั่งวัดท่าขนุนก็ให้เยอะมาก

    แล้วถ้าหากว่านานไป ชาวบ้านรับจนชิน ก็จะเกิดสิ่งที่กระผม/อาตมภาพเคยเจอมา ก็คือ "ปีนี้ไม่ให้หรือ ?" "วันนี้ไม่ให้หรือ ?" งอมืองอเท้ารอรับอย่างเดียวเลย ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง แทนที่จะกลายเป็นการตัดความโลภ ก็กลายเป็นการเพิ่มความโลภให้กับเขาอีก..!


    ดังนั้น...ในเรื่องของการให้ จึงต้องให้ในลักษณะที่ผู้รู้เขาบอกว่า "สอนให้เขาจับปลา อย่าเอาปลาไปให้เขาโดยตรง" ถ้าเอาปลาไปให้เขาโดยตรง เมื่อเขากินหมด เราก็ต้องเอาไปให้เขาอีก แต่ถ้าสอนให้เขาจับปลา เขาจะรู้วิธีหาปลากินเองไปตลอดทั้งชีวิต

    ดังนั้น...ในพวกของชาวพุทธยืดหยุ่นจึงควรจะมีจุดที่พอเหมาะพอดีของตนเอง ให้อย่างไรที่จะทำให้เขารับในลักษณะของการไปหาปลาเอง ก็คือต้องให้แค่การสนับสนุนบางส่วน ที่เหลือเขาต้องขวนขวายดิ้นรนเอาเอง ไม่อย่างนั้นแล้วชาวพุทธยืดหยุ่น แม้ว่าจะพยายามปรับตัวเข้ากับสังคมปัจจุบัน แต่เป็นการปรับตัวในทางที่ผิด ก็จะสร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนาได้เช่นกัน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,703
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,263
    ค่าพลัง:
    +25,982
    ส่วนประการสุดท้าย หรือพวกสุดท้ายคือ ชาวพุทธย่อหย่อน พวกนี้ส่วนใหญ่แค่มีชื่อในทะเบียนบ้านว่าเป็นชาวพุทธเท่านั้น

    เราจะสังเกตว่าบ้านเราประกาศว่าเป็นเมืองพุทธ แต่ก็ฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน แก็งค์คอลเซ็นเตอร์หลอกลวงกันไม่เว้นแต่ละชั่วโมง มีทั้งโรงงานสุรา มีทั้งโรงงานยาสูบ มีทั้งกองสลาก สนับสนุนในส่วนของอบายมุขทุกรูปแบบ..! เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปหวังว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธย่อหย่อน หรือเป็นชาวพุทธแค่ทะเบียนบ้าน จะช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนาได้..!

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายฟังดูแล้วเกิดรู้สึกท้อถอย หมดกำลังใจ ขอให้นึกถึงสภาพความเป็นจริงด้วยว่า แม้แต่ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องไม่ดีไม่งามเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งพระองค์ท่านต้องบัญญัติสิกขาบทต่าง ๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาษิต ก็เพื่อที่จะกดข่มบุคคลผู้เก้อยาก คือพวกหน้าด้าน รู้ว่าผิดแล้วยังทำ..!

    เราจะเห็นว่าความเสียหายในคณะสงฆ์สมัยนั้น ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ คาดว่าศาสนาพุทธของเราตั้งอยู่ไม่ได้ไปตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว ดีที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงสัพพัญญู รู้ทุกเรื่อง เมื่อเรื่องเกิดก็บัญญัติสิกขาบทขึ้นมาป้องกัน แล้วยังทราบไปถึงอนาคต ว่าสิกขาบทไหนไม่เหมาะสมกับกาลสมัย ก็ให้คณะสงฆ์สวดเพิกถอนสิกขาบทนั้นได้

    โดยเฉพาะผู้กระทำผิด ไม่ได้เป็นผู้ที่หน้าด้านใจด้าน เมื่อพระองค์ท่านตรัสถามว่า "ดูก่อน..โมฆบุรุษ เธอทำเช่นนั้นจริงหรือ ?" คนผิดจะตอบว่า "จริงพระเจ้าข้า" พระองค์ท่านก็จะตำหนิว่าสิ่งที่ทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไร การสำรวมระวังในความเป็นพระภิกษุสามเณรของเรา ช่วยให้พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงอย่างไร แล้วก็บัญญัติสิกขาบทห้ามเอาไว้ ก็แปลว่าคนยุคนี้สมัยนี้ต่างหาก ที่ห่างไกลความดี ไม่มีศีล ไม่มีธรรมอยู่ในใจ แถมยังหน้าด้านถึงที่สุด..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,703
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,263
    ค่าพลัง:
    +25,982
    ปกติในเรื่องสิกขาบทของพระภิกษุสามเณร ผิดแล้วคือผิดเลย ไม่ใช่ต้องรอให้ผู้บังคับบัญชามาตัดสิน ไม่ใช่ต้องรอให้ศาลตัดสิน ศาลชั้นต้นตัดสินก็ยังยื่นศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินก็ยังยื่นศาลฎีกา ศาลฎีกาตัดสินก็ยังยื่นร้องศาลปกครอง นั่นใช่หรือ ? เพราะว่าถ้าคุณต้องอาบัติปาราชิกก็ขาดจากความเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอให้ศาลตัดสิน คุณก็ไม่ใช่ไปนานพระแล้ว

    ดังนั้น...ในส่วนนี้ที่ชาวพุทธของเรายังหลงประเด็นอยู่ จึงเป็นหน้าที่พระภิกษุสามเณรของเรา ที่จำเป็นต้องศึกษาทุกอย่างให้รู้จริง แล้วก็พยายามชี้แจง ปรับแนวคิด ให้ชาวพุทธของเรากลับเข้ามาหาหลักธรรมที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะหลงอยู่แต่พวกไสยศาสตร์ กลายเป็นว่าเน้นพิธีกรรมมากกว่าแก่นของพระพุทธศาสนา เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติตนนั้นเป็นเรื่องยาก จึงใช้วิธีมักง่าย


    ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร หรือว่าแม่ชี ฆราวาสก็เห็นอยู่ว่า ยุคนี้สมัยนี้ส่วนใหญ่ที่เข้าวัด ก็คือไปจุดธูปอธิษฐานขอโน่น ขอนี่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาของเรา

    การขอไม่ใช่ความผิด แต่พระพุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาของเหตุและผล คุณต้องการอะไร ต้องสร้างเหตุให้พอ ผลถึงจะเกิดขึ้น ถ้าไม่ได้สร้างเหตุไว้ ขอให้ปากฉีกถึงหู ผลก็ไม่มี แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลายเป็นในส่วนที่พวกเราเห็น ก็คือเอาแต่ร้องขอ


    และโดยเฉพาะก่อนหวยออก สื่อมวลชนทุกประเภทต่างพากันตีข่าวเลขเด็ดแบบโน้น แบบนี้ แบบนั้น ทำให้ชาวบ้านจ่อมจมอยู่กับอบายมุข โดยเฉพาะใครถูกรางวัลที่ ๑ ก็รีบเอาข่าวมาลง โดยที่ไม่ได้ดูว่ารัฐบาลพิมพ์ล็อตเตอรี่ทีหนึ่ง ๖๐ ล้านใบ แล้วถูกรางวัลที่ ๑ คนสองคน เหมือนอย่างกับว่าใครซื้อก็ต้องถูก..!

    ในเมื่อสื่อมวลชนทำแต่ในสิ่งที่หาความเจริญขึ้นมาไม่ได้ สนับสนุนให้คนหลงผิด ห่างไกลจากศาสนาพุทธ ทำอย่างไรที่เราทั้งหลายจะช่วยกัน เปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนวิธีการ ให้คนทั้งหลายเข้าวัดมาเพื่อปรารถนาใน ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตาสั่งสอนเอาไว้


    เรื่องพวกนี้จะเป็นภาระใหญ่ที่ท่านทั้งหลายจะต้องพยายามศึกษา และทำตัวเองให้ประสบความสำเร็จ เราถึงจะเป็นแบบอย่างที่ดี มีคนเขาติดตามและกระทำตามได้

    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...