เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 ตุลาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนหายไป ๓ วัน เพราะกระผม/อาตมภาพเข้ากรรมฐานอยู่ ช่วงที่เข้ากรรมฐาน อดอาหาร สภาพร่างกายจะปรับเอง ในร่างกายเมื่อปรับ ธาตุความร้อนในร่างกายขึ้นสูง เสียงจะแหบโดยอัตโนมัติ ก็เลยไม่สามารถที่จะบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนให้ทุกคนฟังในช่วงนั้นได้

    ในช่วงที่ผ่านมาถึงวันกึ่งกลาง คือวันที่ ๙ ตุลาคม กระผม/อาตมภาพต้องไปงานทำบุญ ๑๐๐ ปีชาตกาล พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ปัญญา อินฺทปญฺญมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ในเมื่อเป็นฎีกาหลวงก็ต้องเอาพัดยศไปด้วย

    คราวนี้การที่คนเราเข้ากรรมฐานทรงสมาธิอยู่ ถ้าหากว่าไม่มีความคล่องตัวจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะนั่งแข็งทื่อไปเลย แต่ว่าเรื่องนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านฝึกฝนกระผม/อาตมภาพมา ต้องบอกว่า นอกจากความเข้มงวดของท่านแล้ว กระผม/อาตมภาพยังเป็นคนที่ไม่กลัวความลำบาก จึงพยายามฝึกทุกอย่างตามที่ท่านสอน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสมาธิตามลำดับชั้น สลับการเข้าสมาธิ หรือว่าการเข้าสมาธิแล้วทำงานไปด้วย

    เมื่อมีความคล่องตัวตรงจุดนี้ ก็สามารถที่จะทำทุกอย่างในขณะที่อารมณ์ใจทรงตัวเท่ากับนั่งนิ่ง ๆ ได้ ซึ่งมีหลายคนที่รู้และพยายามที่จะดู แต่เลียนแบบไม่ได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าขาดการฝึกฝนมา

    สมัยที่อยู่วัดท่าซุง
    กระผม/อาตมภาพก็พยายามสอนรุ่นน้องหลายต่อหลายคน แต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าความพยายามไม่พอ ถ้าถามว่าพยายามเท่าไรถึงจะพอ ? ให้ดูตัวอย่างกระผม/อาตมภาพเองก็แล้วกัน แค่ปฐมฌานอย่างเดียวใช้เวลาฝึกอยู่ ๓ ปี..! นั่นขนาดทุ่มเทแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ถ้าเป็นคนอื่นก็เลิกกันหมดแล้ว

    ยิ่งถ้าเป็นพวกท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องหวังเลย แค่ลุกขึ้นมาทำวัตรเช้าก็มาไม่ทันแล้ว ไอ้ที่เหลือจะไปทำอะไรได้ ? เพราะว่ากำลังใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับความดี ปล่อยให้กิเลสครอบงำ เอาความสบาย นอนเพลิน นี่ขนาดกระผม/อาตมภาพสั่งให้เปิดเสียงระฆังปลุกตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง ตี ๔ เริ่มเจริญพระกรรมฐาน ต่อด้วยทำวัตรเช้าแต่มาไม่ทัน มาตอนทำวัตรใกล้จะเสร็จ แล้วถ้าไม่มีเสียงระฆังปลุก พวกท่านจะตื่นกันไหม ? ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่า ถ้าเราเองอยู่ต่อไป จะมีความหวังหรือความเจริญก้าวหน้าในพระศาสนาหรือไม่ ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    คนที่ต้องการเอาดีเขาไม่กลัวความลำบาก ไม่มีข้ออ้างใด ๆ ทั้งสิ้น จำไว้ว่าข้ออ้างทุกรูปแบบเป็นข้ออ้างของกิเลสทั้งนั้น ถ้าตราบใดที่เรายังมีข้ออ้างสำหรับตัวเองอยู่ ก็แปลว่ากิเลสยังมีอำนาจเหนือกว่าเราอยู่มาก

    ดังนั้น..พวกเราลองพิจารณาดูว่า ๑ พรรษาที่ผ่านมากำไรหรือขาดทุน ? เพราะว่ายิ่งในเรื่องของการบวชพระบวชเณร ทันทีที่ประกอบพิธีเสร็จ อานิสงส์ในการบวชเราได้เต็มแล้ว แต่คราวนี้อยู่ต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของเรา ทำดีก็บวกเข้าไป ทำไม่ดีก็ลบออก แบบนั้นอยู่ไปนาน ๆ ก็ขาดทุนย่อยยับ

    เนื่องเพราะว่าญาติโยมแต่ละท่านที่สงเคราะห์เราด้วยปัจจัย ๔ ไม่ว่าจะเป็น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ตั้งความปรารถนาของเขาเอาไว้ ว่าทำบุญครั้งนี้เขาต้องการอะไร แล้วเราลองมานึกดูว่า ถ้าสมมติโยมต้องการเงินจากเราหนึ่ง
    ล้านบาท แต่เรามีให้เขาแค่แสนเดียว เราก็ขาดทุนไปเก้าแสน..! ยิ่งอยู่ก็ยิ่งขาดทุนหนักเข้าไปทุกวัน

    สมัยที่อยู่วัดท่าซุง มีรุ่นพี่อยู่ท่านหนึ่ง
    กระผม/อาตมภาพเรียก "หลวงน้า" ก็คือพระมีชัย สุนฺทโร ส่วนใหญ่เขาเรียก "หลวงน้ามีชัย" นอกจากสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต เจริญพระกรรมฐานตามปกติแล้ว ด้วยความที่พักอยู่อาคารหลังเดียวกัน แม้ว่าจะคนละห้องก็ตาม กระผม/อาตมภาพก็ได้เห็นข้อวัตรปฏิบัติของท่านว่า หลังจากที่ทำวัตรเสร็จแล้ว ท่านกลับถึงกุฏิ ท่านจะสวดมนต์ต่ออีกเป็นชั่วโมง ๆ โดยเฉพาะบรรดาบทสวดยาว ๆ อย่างอาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มหาสมยสูตร ฯลฯ

    มีอยู่วันหนึ่งกระผม/อาตมภาพมีโอกาสถามว่า "หลวงน้า..ขยันสวดมนต์ขนาดนี้ มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจหรือเปล่า ?" หลวงน้าท่านบอกว่า "ท่านเล็ก..เราบิณฑบาตทุกวัน โยมกอบโกยจากเราไปทุกวัน ถ้าเรามีไม่พอให้โยมเขา เราอยู่ไปก็ขาดทุน ผมไม่อยากขาดทุน ผมก็ต้องขยัน"

    แล้วมาถึงนึกท่านเจ้าคุณอาจารย์โสภา พระราชปริยัติโมลี (โสภา เขมสรโณ ป.ธ.๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระงามพระอารามหลวง อดีตรองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านมรณภาพไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง ท่านสอนบาลีในช่วงที่
    กระผม/อาตมภาพเรียนปริญญาตรีอยู่

    เจ้าคุณอาจารย์ท่านมีปฏิปทาก็คือว่า ไม่ว่าจะกลับจากข้างนอกมาดึกดื่นขนาดไหนก็ตาม ท่านต้องสวดมนต์ทำวัตรก่อนถึงจะเข้านอน ท่านบอกกับกระผม/อาตมภาพว่า "สมัยนี้จะเอาบรรลุมรรคบรรลุผลเหมือนอย่างสมัยพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของง่าย แต่ผมจะทำตัวให้เป็นพระของพระพุทธเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้" นั่นเจ้าคุณชั้นราช เจ้าอาวาสพระอารามหลวง เปรียญธรรม ๙ ประโยค รองเจ้าคณะจังหวัด มีวัตรปฏิบัติอย่างนั้น แล้วพวกเราเองมีอะไรเทียบท่านได้สักอย่างไหม ?

    เรื่องพวกนี้จึงอยู่ที่สามัญสำนึกของพวกท่านเอง ถ้าตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็คือ อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ญาติโยมหลายท่านฟังครูบาอาจารย์สั่งสอนมา จนครูบาอาจารย์ล่วงลับดับขันธ์ไปรูปแล้วรูปเล่า ก็ยังเอาดีไม่ได้สักที เพราะว่ามัวแต่รอครูบาอาจารย์ตักเตือน แทนที่จะเตือนตัวเองสอนตัวเองว่า ชีวิตนี้เป็นของน้อย เราอาจจะตายลงไปวันนี้เมื่อไรก็ไม่แน่ ครูบาอาจารย์สอนอะไรมา เราต้องกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่กลายเป็นว่าพวกเราทำตัวเหมือนไฟไหม้ฟาง ดีได้ไม่เคยครบ ๓ วัน พอตั้งใจจริง ไปวันแรกลำบากหน่อย วันที่สองก็ท้อ วันที่สามถอยไปแล้ว..! กำลังใจแบบนี้ เมื่อไรจะเอาดีได้

    ลองเปรียบเทียบดู หลวงน้ามีชัยที่เป็นพระหลวงตาแก่ ๆ กับท่านเจ้าคุณอาจารย์โสภา ต้องบอกว่าเป็นดาวรุ่งของวงการสงฆ์ในยุคนั้น ถึงขนาดทุกคนเล็งว่าท่านจะได้เป็นเจ้าคณะภาคอย่างแน่นอน มีแต่กระผม/อาตมภาพบอก "ไม่ได้เป็นหรอก" เพราะท่านบอกว่า "เล็ก ถ้าข้าเป็นเจ้าคณะภาค แกช่วยมาเป็นเลขาฯ ให้ทีนะ" กราบเรียนท่านไปว่า "เลขาฯ ภาค ๑๙ ผมไม่เป็นด้วยหรอก" เพราะคณะสงฆ์มีแค่ ๑๘ ภาค ภาค ๑๙ เขาเป็นที่โลกอื่น หลังจากนั้นปีกว่า ท่านก็มรณภาพ..!

    ฉะนั้น..ในเมื่อเราเองไม่มีอะไรเหมือนกับท่านสักอย่าง ก็ต้องพากเพียรพยายาม โดยเฉพาะใครที่ตั้งใจทำความดีตลอด ๓ เดือนที่เข้าพรรษานี่
    กระผม/อาตมภาพไม่ได้เห็นด้วยเลย เพราะไอ้ ๙ เดือนนอกพรรษา ท่านจะไม่ทำเลยหรือ ? แล้วถ้ายิ่งเป็นตัวกระผม/อาตมภาพด้วยแล้ว ทุกวันก็คือวันเข้าพรรษา ทำงานเหมือนอย่างกับมีวันนี้วันเดียว ตายลงไปก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียดาย เพราะเต็มที่กับทุกอย่างแล้ว อยู่คนเขาก็เกรงใจ ไปคนเขาก็คิดถึง แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน

    ในเมื่อเราไม่เตือนตัวเอง มัวแต่ไปรอครูบาอาจารย์เตือน อย่าลืมว่ากระผม/อาตมภาพแก่ลงไปทุกวัน นี่ก็เข้า ๖๔ ปีแล้ว วันนี้เดินบิณฑบาต กว่าจะมาถึงประตูข้างศาลา แข้งขาแข็งไปหมด เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วโยมก็ใส่ข้าวมาทั้งถุง ๕ กิโลกรัม ใส่น้ำมาทีละโหล พวกท่านอยู่ท้ายแถวก็ไม่กระไรนัก ไอ้หัวแถวอย่างกระผม/อาตมภาพลำบากจะแย่ ในเมื่อแก่ลงไปทุกวัน โอกาสที่จะอยู่ จะบอก จะกล่าวให้แก่พวกเราก็น้อยลงไปทุกวัน

    สมัยก่อน กระผม/อาตมภาพน้อยใจหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่าไม่มีเวลาให้พระเณรเลย ท่านบอกแค่ว่า "เราเป็นพระเป็นเณร ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ หนังสือมี เทปมี ไปอ่านเอา ไปฟังเอา ศึกษาแล้วปฏิบัติตาม ติดขัดตรงไหนค่อยมาถาม" ถ้าเป็นพวกท่าน
    กระผม/อาตมภาพยืนยันว่าตายหมด..! เพราะว่าคงไม่มีใครมีอารมณ์ไปแคะตำราเอาเอง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ในเมื่อกระผม/อาตมภาพเห็นข้อบกพร่องตรงจุดนี้ ว่าส่วนใหญ่แล้วลูกศิษย์ต้องการให้อาจารย์จ้ำจี้จ้ำไช ไม่ใช่ลูกศิษย์คุณภาพแบบของหลวงพ่อฤๅษีฯ ที่สั่งทีเดียวก็ทำไปตลอดชีวิต ถึงได้ต้องมามีบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ไม่ได้หวังสตางค์จากยูทูบ ไอ้นั่นเป็นแค่ผลพลอยได้..!

    ข้อใหญ่ใจความจริง ๆ ก็คือ ให้พวกเรามีหลักในการประพฤติปฏิบัติ ฟังไปแล้ว ตรงไหนเป็นประโยชน์แก่ตนเอง จะได้เก็บเอาไปใช้งาน ไม่ใช่วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า นอกจากเอาดีไม่ได้แล้วยังถอยหลังอีกต่างหาก..!

    ดังนั้น..ตลอดพรรษานี้ถ้าเราล้มเหลวมา ก็ตั้งใจไปเลยว่าอีก ๙ เดือนนี้เราต้องเอาดีให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่างนั้น ก็ชีวิตนี้ต้องเอาให้ได้ กระผม/อาตมภาพยืนยันว่า ถ้าขยันจริง ทำได้ถูกต้อง มีโอกาสทุกคน เพียงแต่ว่าเราจะต้องรักตัวเอง

    สมัยก่อนหลวงปู่มหาอำพัน ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) วัดเทพศิรินทราวาส ท่านบอกให้กระผมฟังว่า

    รักษาตัว กลัวกรรม อย่าทำชั่ว
    จะหมองหมัว หม่นไหม้ ไปเมืองผี
    จงเลือกทำ แต่กรรม ที่ดี ๆ
    จะได้มี ความสุข พ้นทุกข์ภัย

    หลวงปู่ท่านเป็นพระที่พูดน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วทำให้ดู ถ้าให้พวกท่านไปอยู่กับหลวงปู่ อาจจะไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าดูแล้วเลียนแบบไม่เป็น แต่กระผม/อาตมภาพกอบโกยจากท่านมาได้เยอะมาก เพราะเข้าใจว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านมีลีลาการสอนที่ไม่เหมือนกัน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...