เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ หลังจากที่ไม่อยู่หลายวัน กลับมาก็ทำแต่งาน จนกระทั่งบางคนประท้วงว่า "กลับมาไม่พักเลยหรือ ?" กระผม/อาตมภาพใช้เวลากลางคืนพักแทน

    เรื่องนี้ตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่กองโรงเรียนฝึกนักเรียนนายสิบ ครูฝึกท่านบอกว่า "เวลานอนของพวกท่านยังมีอีกมาก คือตอนที่อยู่ในหลุมฝังศพ..!" ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไปรอนอนจริง ๆ ตอนนั้นก็แล้วกัน..!

    คราวนี้การเดินทางไปต่างประเทศ ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่า กระผม/อาตมภาพไปง่าย ๆ ขอยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะว่า ข้อที่ ๑ กระผม/อาตมภาพมีกฎเกณฑ์กติกาว่า "ถ้าไม่มีคนจ่ายเงินให้ก็ไม่ไป"

    เนื่องเพราะว่าได้รับคำเตือนมาจากพระเดชพระคุณอดีตพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ตั้งแต่ท่านยังเป็นพระราชปริยัติบดี ท่านบอกว่า "พระของเราส่วนหนึ่ง พอรับกฐินแล้วก็เดินทางไปต่างประเทศ ทำให้ญาติโยมเขาเสียกำลังใจ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาทอดกฐินไป ก็หวังบุญหวังกุศล โดยเฉพาะในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม แต่พวกแกรับกฐินแล้วไปเที่ยวกัน ทำไมไม่รู้จักอดใจไว้สัก ๓ เดือน ๖ เดือน ซึ่งตอนนั้นก็ได้ไปเหมือนกัน ต่อให้ตอนนั้นแกเอาเงินกฐินไปเที่ยว ก็ไม่มีใครว่าอะไรแล้ว"

    แต่กระผม/อาตมภาพไม่ใช่อย่างนั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเตือนเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่เพิ่งจะบวชว่า "ต่อให้ญาติโยมเขาถวายเงินพวกแกเป็นการส่วนตัว ก็อย่าได้คิดว่าเป็นเงินส่วนตัว เพราะว่าพวกแกได้มาในระหว่างที่เป็นพระ เมื่อใช้ในขอบเขตที่สมควรของพระสงฆ์แล้ว ที่เหลือให้ผลักเข้ากองบุญการกุศล เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย"

    เมื่อกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านว่า "ขอบเขตที่สมควรมีอะไรบ้างครับ ?" ท่านก็บอกว่า "เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ช่วยเหลือคนและสัตว์ ฯลฯ" เป็นต้น"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงไม่เห็นความต่างของเงินสงฆ์กับเงินส่วนตัว เพราะครูบาอาจารย์ท่านสอนแล้วว่า เราได้มาในระหว่างที่เป็นพระ ก็แปลว่าควรที่จะเป็นเงินสงฆ์นั่นแหละ ต่อให้มีญาติโยมปวารณาถวายค่าเดินทางให้ กระผม/อาตมภาพก็ยังนำเข้าบัญชีส่วนตัวก่อน หลังจากนั้นถึงได้ลงเป็นรายจ่ายในการเดินทางในครั้งนั้น

    ส่วนนี้เรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราโดยเฉพาะ ว่าเราต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าพระภิกษุของเรามีราคาแค่ ๙๙ สตางค์ พลาดพลั้งขึ้นมา ครบบาทเมื่อไร มีโอกาสโดนอาบัติปาราชิก ขาดจาดความเป็นพระในทันที..!

    ข้อที่ ๒ การเดินทางไปต่างประเทศนั้นมีข้อจำกัดมาก ท่านทั้งหลายจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพพกพระไปไม่กี่องค์ เครื่องรางของขลังอีกนิดหน่อย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหลายประเทศห้ามวัตถุมงคลที่สร้างจากชิ้นส่วนของสัตว์ โดยเฉพาะงาช้าง หรือว่านอแรด พกไปอาจจะพาให้ติดคุกได้..!

    หลายประเทศหวาดระแวง อย่างเช่นว่าวัตถุมงคลที่เป็นเนื้อผงสีขาว เขาจะคิดว่าอาจจะเป็นยาเสพติดขึ้นรูปมาในลักษณะของวัตถุมงคล

    ข้อที่ ๓ บางประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ไม่ยอมให้พวกเรานำเอารูปเคารพที่เป็นศาสนาอื่นเข้าประเทศ ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพเคยเห็นรูปถ่าย ที่คณะทัวร์ของคนไทยไปยังประเทศหนึ่ง แล้วโดนปลดวัตถุมงคลทั้งหมดทิ้งลงถังขยะ..! เห็นแล้วสลดใจมาก

    ดังนั้น...ในส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาส ให้เน้นพระในใจไว้ก่อน ถึงเวลาก็ภาวนา กำหนดภาพพระไว้ในใจให้ชัดเจน อธิษฐานขอให้ท่านคุ้มครองตัวเรา ให้อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ถ้าหากว่ามีความสามารถพอ ก็คุ้มครองหมู่คณะที่ร่วมเดินทางไปด้วย ก็แปลว่าพุทธานุสติ
    ธัมมานุสติ สังฆานุสติ หรือว่าตลอดจนกระทั่งอุปสมานุสติก็ตาม เป็นเรื่องที่จะต้องยึดมั่นในการเดินทางตลอดทริปของท่านทั้งหลาย
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    โดยเฉพาะตื่นเช้าขึ้นมา หรือว่าในระหว่างจะเดินทาง ให้ภาวนาบทกรณียเมตตสูตร ขอความสะดวกปลอดภัยต่อเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย แล้วอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลให้ท่านด้วย ถ้าทำแบบนี้ได้ ไม่ว่าจะไปไหน โอกาสที่จะอยู่รอดปลอดภัยก็มีสูงมาก

    ข้อที่ ๔ ไม่ว่าจะเจอะเจอสถานการณ์อย่างไรก็ตาม เราจะต้องรักษากำลังใจให้ได้ อย่างเช่นที่กระผม/อาตมภาพไปเจอมา บางคนเรียกว่า "ความงี่เง่าของแขก" ซึ่งกระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นวาจาที่รุนแรงไป เราต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น ในเมื่อธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น เราก็แค่คล้อยตามไป ถ้าหากว่าเราคล้อยตามธรรมชาติ เราก็จะอยู่ได้ แต่ถ้าไปขวางธรรมชาติเมื่อไรเราก็จะอยู่ยาก

    จึงขอเน้นตรงนี้ว่า การรักษากำลังใจของเรานั้นสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใดก็ตาม ต้องคอยระมัดระวังว่า ใจของเรามีความชั่วอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่ก็ขับไล่ออกไป ระมัดระวังไว้ อย่าให้ความชั่วนั้นเข้ามาอีก ใจของเรามีความดีหรือไม่ ถ้ายังไม่มีก็สร้างความดีขึ้นมา ถ้ามีแล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

    ไม่ใช่ว่าถึงเวลาไปเที่ยวแล้วก็ปล่อยเตลิดเปิดเปิง ทำอะไรตามใจตนเอง ถ้าลักษณะอย่างนั้น โอกาสที่จะพลาดก็มีสูงมาก เพราะว่าหลายต่อหลายราย "ตายน้ำตื้น" มีภาพประเภทลับเฉพาะหลุดลงไปโซเชียล ตนเองคิดว่าไม่มีอะไร แค่สนุกสนานเฮฮา แต่กลายเป็นโดนผู้บังคับบัญชาตำหนิโทษเอาได้

    ข้อที่ ๕ ต้องฝึกกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพก็คือ อะไรที่คนเรากลืนลงไปได้ก็ส่งมาเถอะ..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ผ่านการฝึกปรือในอาหาเรปฏิกูลสัญญามาอย่างหนักแล้ว พวกอาหาเรปฏิกูลสัญญาหรือว่าอสุภกรรมฐานนั้น จะช่วยให้เราเห็นความเป็นจริงของโลก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ท่านทั้งหลายอาจจะไม่เคยเจอในประวัติของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ที่ว่าท่านไปพักอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสระน้ำอยู่ในวัด แล้วก็ไปสรงน้ำในสระน้ำนั้น ลูกศิษย์ที่ไปด้วยถามว่า "หลวงปู่สรงไปได้อย่างไร ?" แล้วก็ชี้ให้ดูว่ามีส้วมแตกไหลลงไปไม่ไกล หลวงปู่ปานท่านบอกว่า "จะไปคิดถึงมันทำไม ? น้ำตรงนี้ยังสะอาดอยู่"

    ถ้าหากว่าเราทำตัวเป็นคนกินยาก นอนยาก อะไร ๆ ก็จะยากไปหมด ผู้ที่ไปเที่ยวต่างประเทศจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องฝึกฝนตนเองให้กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะเดือดร้อนเอง

    อย่างตอนที่กระผม/อาตมภาพไปเฉิงตู เสฉวน ย่าติงแถวนั้น ถึงขนาดต้องแบ่งออกเป็น "สายแข็ง" กับ "สายอ่อน" พวกทีมสายแข็งร่วมโต๊ะเดียวกัน ๔-๕ คนกินกระจายทุกอย่าง ส่วนทีมสายอ่อนก็เลือกแล้วเลือกอีก อาหารอะไรยกมาก็เหลือเต็มโต๊ะ แบบนั้นก็ทรมานตัวเองไปก็แล้วกัน

    ยังดีที่ว่าเอ็นซีทัวร์บริการดีเลิศ พกอาหารไทยทุกอย่างไปให้ โดยเฉพาะงานนี้ บะหมี่ถ้วยช่วยเหลือได้เยอะมาก ไม่เช่นนั้นแล้วหลายคนอาจจะน้ำหนักลดไปหลายกิโลกรัม ก็แปลว่าก่อนที่เราจะไปผจญโลกภายนอก อสุภกรรมฐานหรืออาหาเรปฏิกูลสัญญา ต้องฝึกฝนให้ช่ำชองแล้ว ถึงจะเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

    ข้อที่ ๖ ก็คือต้องวางกำลังใจอยู่เสมอว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรได้อย่างใจ ถ้าเราคิดว่าทุกอย่างต้องได้อย่างใจ เราก็จะเป็นทุกข์เอง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า บ้านเขา เมืองเขา แบบธรรมเนียมหลายอย่างต่างจากเรา การทำงานหลายอย่างต่างจากเรา ถ้าหากว่าวางกำลังใจอย่างนี้ไม่เป็น แทนที่จะไปเที่ยวพักผ่อน ก็อาจจะเครียดกลับมาแทน..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ข้อที่ ๗ ต่อเนื่องจากข้อที่ ๖ ก็คือ สถานที่แต่ละแห่ง โดยเฉพาะที่พักและอาหาร อย่าเอาไปเปรียบเทีบบกัน เพราะว่าแต่ละแห่งนั้น ระดับการบริการอาจจะแตกต่างกัน ถ้าเราไปเจอที่ซึ่งดีที่สุดตั้งแต่วันแรก ก็มีหวังกลุ้มไปทั้งทริป เพราะว่าที่อื่น ๆ อาจจะไม่ได้ดีถึงในระดับนั้น

    เนื่องจากว่าแต่ละเมืองแต่ละสถานที่นั้นย่อมแตกต่างกันไป เมืองที่มีความเจริญมาก ระดับที่พักหรืออาหารก็สูงมาก อย่างเช่นว่าประมาณ ๕ ดาว ๔ ดาว แต่เมืองที่เจริญน้อย เต็มที่อาจจะแค่ ๓ ดาว ๒ ดาว ถ้าเราเอาไปเปรียบเทียบกันเมื่อไร ก็เป็นอันว่าหมดความสุขไปเลย จึงต้องวางกำลังใจว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้อย่างใจ ถ้าเราต้องการให้ทุกอย่างได้อย่างใจ เราก็จะมีความทุกข์เอง

    ข้อที่ ๘ อย่าทำตัวเป็นบ้าหอบฟาง ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า กระผม/อาตมภาพไปดูงานที่ยุโรปกับเพื่อนเรียนปริญญาเอกรุ่นเดียวกัน มีอยู่ท่านหนึ่งซื้อของจนกระทั่งเฉลี่ยน้ำหนักกับทุกคนแล้ว ก็ยังต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก เพราะว่าของที่ซื้อนั้นเป็นพวกถ้วยจานเซรามิคล้วน ๆ ท่านใช้คำว่า "ผมบ้าของพวกนี้ว่ะ..เห็นแล้วอดซื้อไม่ได้ เต็มกุฏิไปหมดแล้ว เจอถูกใจก็ยังซื้ออีก"

    การซื้อของนั้น เราต้องนำเอาหลักการณ์ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาพิจารณาว่า สิ่งนี้ซื้อมาแล้วได้ใช้ประโยชน์ถึงซื้อ ไม่ใช่ซื้อมาเพราะถูกตาถูกใจ แล้วเก็บไว้เฉย ๆ

    โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพเองนั้นไม่ซื้อของฝากใคร เพราะเคยเจอมาแล้วว่า คนที่ได้ก็ "กระดี๊กระด๊าหน้าบาน" เอาไปอวดเขา คนที่ไม่ได้ก็น้อยใจ มาต่อว่า ทำให้นึกถึงคำพูดของหลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส ท่านเคยบอกว่า "การมีลูกศิษย์หลายคนก็เหมือนมีเมียน้อยนั่นแหละคุณเอ๊ย..เอาใจคนหนึ่งมากกว่า อีกคนหนึ่งก็โกรธ" ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนมาก แล้วการทำตัวเป็นบ้าหอบฟาง เราก็จะเหนื่อยเอง นักปฏิบัติธรรมควรที่จะทำตัวให้มีภาระให้น้อยที่สุด ไม่ใช่ไปกอบโกยอะไรเพิ่มเติมมามากมาย
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ข้อที่ ๙ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาแบบธรรมเนียมของสถานที่นั้นก่อน อย่างเช่นว่าทางด้านอินเดีย เนปาล ที่กระผม/อาตมภาพไป จะจับมือกับเขา อย่าใช้มือซ้ายเป็นอันขาด เพราะว่าเขาถือสา อย่างถ้าหากว่าคนญี่ปุ่น เราเขกกบาล เขาอาจจะหัวเราะชอบใจ แต่ถ้าเตะตูดเมื่อไร ก็ได้ชกกัน..! ส่วนคนไทยของเรานั้น จะเตะตูดเท่าไรก็เตะไป ถ้าเขกกบาลกูเมื่อไรก็ชกกัน..!

    บางแห่งจะถ่ายรูปนี่ต้องขออนุญาตก่อน แล้วหลายแห่งเด็ก ๆ ก็แสบขนาด ยิ้มแป้น โพสต์ท่าให้ถ่ายอย่างดี พอถึงเวลาถ่ายเสร็จ ก็แบมือเลย "One dollar..!"

    ข้อที่๑๐ ข้อสุดท้ายที่อยากตักเตือนและเคยตักเตือนมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่ากระผม/อาตมภาพจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ถ้าจะถ่ายรูปให้บอกก่อน แล้วขอเวลาตั้งท่าก่อน เพราะว่าพวกท่านทั้งหลายไม่ค่อยจะคิดหน้าคิดหลัง มักจะชอบถ่ายอะไรที่เป็น "เบื้องหลัง" ครูบาอาจารย์ แล้วบางอย่างพอลงโซเชียลไปเมื่อไร ก็จะโดนคนด่าทันที อย่างเช่นว่าขาดความสำรวม เป็นต้น


    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า บางทีการเดินขึ้นที่สูงก็ต้องใช้ทั้งมือทั้งเท้า ตอนที่กำลังตะกาย ๔ ขา ไอ้ลูกศิษย์ข้างหลังเสือกทะลึ่งถ่ายรูปเอาไว้ เอาไปโพสต์อวดเขา แล้วก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์ทันทีว่า "พระหรือหมาวะ..?!"

    การที่จะลงรูปครูบาอาจารย์ ต้องเป็นรูปที่ดูดีที่สุด น่าเลื่อมใสที่สุด ช่วยกันรักษาเกียรติยศของท่านบ้าง ไม่ใช่รูปขี้หมูราขี้หมาแห้งอะไรกูก็ถ่าย แล้วก็ภูมิใจว่ากูมีรูป "เบื้องหลัง" ครูบาอาจารย์ จะพาให้ครูบาอาจารย์โดนคนอื่นเขาด่า แล้วก็กลายเป็นเวรเป็นกรรมของเขาต่อไป


    ตรงส่วนนี้ถือว่าได้บอกกล่าวกันอย่างชัดเจนมาหลายครั้งแล้ว แต่ในทริปนี้ก็ยังมีคนถ่าย "เบื้องหลัง" จนกระทั่งต้องด่าผ่านกลุ่มไลน์ ขอบอกกล่าวไว้ให้ชัดเจนตั้งแต่บัดนี้ว่า "อย่าให้มีอีก..ไอ้รูปแต่ละอย่างที่คุณคิดว่าดูดี หรือภูมิใจหนักหนา ถ้าหลุดออกโซเชียลไปเมื่อไร ก็ได้สร้างเวรสร้างกรรมให้กับคนอีกเป็นจำนวนมาก"


    นักปฏิบัติธรรมที่ดี อย่าได้ทำตนเองให้เป็นทุกข์โทษเวรภัยกับใคร แม้ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจเลย


    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสงฆ์สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...