เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นเวลาตี ๒ ที่เมืองเมืองดาร์จีลิงก์ ประเทศอินเดีย กระผมและคณะได้พักอยู่ที่โรงแรมซีดาร์ อินน์ ซึ่งเป็นโรงแรมที่ต้องถือว่าใช้การได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะห้องพักที่กระผม/อาตมภาพพักอยู่นั้น นอกจากจะเป็นห้องเตียงคู่แล้ว ยังมีส่วนที่มีห้องนั่งเล่นให้ชมบรรยากาศภายนอกได้ด้วย ขณะนี้อุณหภูมิอยู่ที่ ๑๖ องศาเซลเซียส ค่อนข้างจะเย็นสำหรับบุคคลทั่วไป แต่คนแถวนี้ก็คงจะเคยชินแล้ว จึงไม่ค่อยจะรู้สึกอะไร

    เมื่อวานนี้คณะของเราไปพร้อมกันที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิตั้งแต่ตอนตี ๑ เพื่อที่จะรอขึ้นเครื่องตอนเวลา ๐๓.๔๕ นาที ตามเวลาหน้าตั๋ว แต่ปรากฏว่าเครื่องเกิดล่าช้าขึ้นมา สาเหตุเพราะว่าทางด้านเมืองโกลกาตาของประเทศอินเดียวนั้นเกิดพายุฝนหนักมาก จึงได้แจ้งไปทางประเทศไทยไม่ให้นำเครื่องขึ้น เพราะว่าถ้าขึ้นแล้วอาจจะต้องเสียเวลาไปบินวนอยู่นาน และอาจจะมีฟ้าผ่า ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้โดยสารได้

    ทางด้านพวกเรา ตามเวลาหน้าตั๋วที่ต้องมารอต่อเครื่องที่เมืองโกลกาตา เพื่อไปยังเมืองบักโดกราเป็นเวลา ๖ ชั่วโมง ซึ่งตอนแรกทางคุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) หัวหน้าทัวร์นั้น ก็ยังกังวลว่าจะมีอะไรให้พวกเราทำกัน เพื่อที่จะได้ไม่เบื่อหน่ายไปเสียก่อน

    แต่ปรากฏว่าเมื่อเครื่องเสียเวลาที่ประเทศไทย พวกเราซึ่งคุ้นเคยกับสถานที่ ส่วนหนึ่งก็อาศัยระยะเวลานั้นนอนพักผ่อน อีกส่วนหนึ่งก็ไปเดินดูสินค้าต่าง ๆ ตามร้านค้าปลอดภาษี กระผม/อาตมภาพเองนั้นใช้เวลาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เสร็จแล้วก็อ่านหนังสือจบไป ๑ เล่ม..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    โดยปกติแล้วในระยะนี้กระผม/อาตมภาพจะอ่านหนังสือแค่วันละ ๑ เล่ม ทุกคนได้ยินแล้วก็อาจจะตกใจว่าพูดผิดหรือเปล่า ? ขอยืนยันว่าไม่ผิด เนื่องเพราะว่าถ้าอ่านตามปกติที่เคยทำ ก็คือวันหนึ่งประมาณ ๔-๕ เล่ม..! เหตุที่ต้องอ่านแค่วันละ ๑ เล่มนั้น ประการแรกก็คือมีกิจการงานมากขึ้นทุกทีจนแทบไม่มีเวลาที่จะอ่านหนังสือ ต้องอาศัยเวลาในการเดินทางบ้าง เวลาตื่นนอนบ้าง เวลาก่อนนอนบ้าง อ่านหนังสือเพื่อที่จะเสริมความรู้ให้กับตนเอง

    กระผม/อาตมภาพนั้นเป็นบุคคลที่อ่านหนังสือหมดห้องสมุดของโรงเรียน ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๒ ของโรงเรียนบ้านหนองพงนก ตำบลสระสี่มุม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม อ่านหนังสือหมดทั้งห้องสมุด โดยที่หลายเล่มนั้นก็อ่านไม่เข้าใจ แต่ว่าเหตุที่ตั้งใจอ่าน ก็เพราะว่าต้องการ "อ่านหนังสือให้แตก" ตามสำนวนของคนสมัยนั้น

    คำว่า อ่านหนังสือให้แตก ในที่นี้ก็คือการอ่านหนังสือได้ทุกคำ แล้วก็ไปเจอตัวปัญหาใหญ่ ก็คือตำราเพศศึกษาของ ดร.Alfred Kinsey ซึ่งเป็นการแปลทับศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะเป็นภาษาเทคนิคทางการแพทย์เป็นจำนวนมาก ทำให้อ่านยากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ต้องไปถามครูบาอาจารย์เกือบทุกคำ

    เมื่อครูบาอาจารย์ท่านเห็น หลายท่านก็หัวเราะจนกระทั่งแทบจะลงไปกองกับพื้น ถามว่า "หนังสือแบบนี้ เธอจะอ่านไปทำไม ?" กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ต้องการจะอ่านหนังสือให้แตกครับ" เมื่อครูบาอาจารย์ท่านรู้ถึงจุดมุ่งหมาย ก็พยายามที่จะสะกดให้เราฟังทีละคำ ดังนั้น..กระผมจึงมีศัพท์เทคนิคทางการแพทย์ โดยเฉพาะทางด้านเพศศึกษาเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เรียนชั้นประถมปีที่ ๒ แล้ว

    เรื่องการศึกษาทางโลกนั้น ถ้าหากว่าบุคคลที่เคยอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงปู่มหาอำพัน หรือท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ วิ. วัดเทพศิรินทราวาส จะเห็นว่า ท่านเขียนติดเอาไว้ที่หัวเตียงว่า

    วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ
    พื้นพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล
    วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ
    ย่อมพบพานจุดจบสบสุขเอย

    แล้วยังลงชื่อผู้เขียนไว้ว่า แม่เฒ่าปักษ์ใต้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    ตรงส่วนนี้เป็นเรื่องที่จริงแท้ เพราะว่าวิชาทางโลกนั้นเป็นการวิ่งจากต้นน้ำ ออกทะเลสู่มหาสมุทร ยิ่งไปก็ยิ่งกว้างไกลออกไปทุกที จนหาฝั่งไม่เจอ แต่วิชาทางธรรมนั้นเป็นการย้อนทวนคืนสู่ต้นน้ำ ท้ายสุดก็จะพบจุดจบ คือพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

    เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่เปิดให้พวกเราได้ขึ้นเครื่อง ก็ใช้เวลานานมาก ตามแบบฉบับของบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นคนอินเดีย ก็คือทำอะไรแบบค่อนข้างที่จะประณีต โดยที่ไม่ได้สนใจเวล่ำเวลาสักเท่าไร ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพนั้นเคยชินมานานแล้วกับระบบการทำงานแบบนี้ เพราะว่าเป็นการทำงานที่กระผม/อาตมภาพเรียกว่า "ทำให้ได้วัน ไม่ใช่ทำให้ได้งาน"

    เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าคนอินเดียทั้งหลายนั้น อยู่ภายใต้การปกครองของคนอังกฤษมานานหลายสิบปี ก่อให้เกิดนิสัยเฉพาะตัวขึ้นมา ก็คือทำงานเอาใจเจ้านาย ทำให้เจ้านายเห็นว่าเราทำงาน แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ได้ตั้งอกตั้งใจทำอย่างจริงจัง เพราะว่าจะทำให้ต้องเหนื่อยมาก จึงคุ้ยแคะแกะเกาไปวัน ๆ เพื่อให้ได้ค่าแรงเท่านั้น กระผม/อาตมภาพจึงเรียกว่า "ทำให้ได้วัน ไม่ใช่ทำให้ได้งาน"

    เมื่อเครื่องบินมาลงที่เมืองโกลกาตา ประเทศอินเดียก็เช่นกัน การตรวจเช็คหนังสือเดินทางนั้น ก็เป็นไปด้วยความล่าช้าที่สุด โดยเฉพาะใช้เวลาไปเป็นชั่วโมง กว่าที่พวกเราจะมาต่อเครื่องบิน เพื่อไปยังเมืองบักโดกรานั้น ก็เสียเวลาไปจนกระทั่งทางด้านนี้แทบจะไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน..!

    แต่กระนั้นก็ตาม ก็ยังจะมาล่าช้าต่อที่เมืองบักโดกราอีก กว่าที่จะตรวจหนังสือเดินทาง กว่าที่จะตรวจกระเป๋า แล้วออกมายังรถที่ติดต่อเอาไว้ ก็เสียเวลาไปจนกระทั่งเที่ยงกว่าของเวลาอินเดีย ซึ่งถ้าบวก ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที ก็จะเป็นเวลาของไทย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    เมื่อออกมาเจอบรรดามัคคุเทศก์พื้นเมืองที่ทางบริษัทเอ็นซีทัวร์ได้ติดต่อเอาไว้ คือคุณซูเรซ (สุเรศวร์) ซึ่งได้นำเอารถโตโยต้า อินโนวา จำนวน ๓ คันมารับคณะของเราที่มีอยู่ทั้งหมด ๑๓ คน รวมทั้งหัวหน้าทัวร์ บวกกับมัคคุเทศก์พื้นเมืองคือคุณซูเรซแล้ว ก็ประกอบไปด้วยคณะทัวร์จำนวน ๑๔ คน ก็คือไม่ได้บวกโชเฟอร์อีก ๓ คน ซึ่งอยู่ประจำรถ คันที่อาตมภาพนั่งประกอบไปด้วยตนเอง, พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. ,คุณเอ แล้วก็มัคคุเทศก์ซูเรซของเรา ซึ่งได้พาตรงมายังโรงแรมมารีน่า ที่เป็นเครือข่ายของทางเอ็นซีทัวร์

    ต้องบอกว่าสถานที่ตลอดจนกระทั่งการต้อนรับนั้นประทับใจทีเดียว โดยเฉพาะห้องน้ำที่มีสายชำระ ซึ่งโดยปกติแล้วทางประเทศอินเดียที่ท่านทั้งหลายไปนั้น จะเห็นว่าบางทีก็มีแต่อ่างให้ตักน้ำราดเท่านั้น แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่มีน้ำอีกด้วย..! แต่ว่าที่นี่น้ำท่าพร้อมสมบูรณ์

    อาหารต่าง ๆ ก็ต้องถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว แต่ว่าอาหารนั้นกลับกลายเป็นอาหารจีนสไตล์อินเดีย ซึ่งประเทศอินเดียนั้นมีคนจีนน้อยมาก เพราะว่าตั้งแง่รบรากันมาตั้งแต่อดีตกาลนานโพ้น ก็คือตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังมาจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้คนจีนนั้นมาปักหลักทำมาหากินที่อินเดียกันน้อยมาก เลยทำให้บรรดาวัฒนธรรมจีนต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนของอาหารนั้นเข้ามาน้อย คนอินเดียจึงทำอาหารจีนตามแบบที่ตนเองคิดว่าใช่ ก็คือทำแบบอาหารจีน แต่ก็จะมีผัดผักสุกมากแบบอินเดีย แล้วก็แกงดาล หรือว่าแกงถั่วที่ปกติแล้วให้กินกับแป้งโรตี หรือแป้งนาน

    แต่ว่าพวกเราเองก็ต้องบอกว่าหิวมานาน เนื่องเพราะว่าเวลาที่มาถึงโรงแรมนั้นก็คือ ๑๒.๔๐ น. ของทางด้านประเทศอินเดีย แปลว่าเป็นเวลา ๑๔.๑๐ น. ของทางประเทศไทยแล้ว ซึ่งกระผม/อาตมภาพได้กำชับทุกคนแล้วว่า มีอะไรที่พกมาให้กินไปก่อนเลย อย่าได้รอจนถึงเวลาอาหาร ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นลมไปเสียก่อน..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    เมื่อพร้อมแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางต่อจากเมืองบักโดกรา ตรงไปยังเมืองดาร์จีลิงก์ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเรา ตลอดเส้นทางที่คับแคบคดเคี้ยววกวนไปตามไหล่เขานั้น ประกอบไปด้วยไร่ชาสุดลูกหูลูกตา

    เมืองดาร์จีลิงก์เป็นเมืองแห่งภูเขา ทำให้ปลูกชาได้งอกงามมาก แต่ว่าชาอินเดียนั้นรสชาติไม่เหมือนกับชาจีน ส่วนใหญ่แล้วออกไปทางกลิ่นแรงทำให้ไม่คุ้นเคย คนอินเดียจะเอามาทำเป็นชานมหรือ "กะลัมไจ" มากกว่า เมื่อกระผม/อาตมภาพซึ่งคุ้นเคยกับชาจีนสั่ง Black tea ก็จะได้ชาที่ออกไปในแนว Lipton ที่ท่านทั้งหลายเคยได้พบได้เห็น และชิมรสมาแล้วในประเทศไทย

    ด้วยความที่ถนนคับแคบและฝนตกตลอดทาง ทำให้ลื่นมาก แต่ว่าบรรดาพลขับของเรานั้นฝีมือสุดยอด ถ้าหากว่าให้กระผม/อาตมภาพขับเองก็น่าจะใช้เวลา ๕-๖ ชั่วโมง กว่าที่จะไปถึงเมืองดาร์จีลิงก์ แต่ว่าพลขับนั้นสามารถทำเวลาได้ประทับใจมาก แม้ว่าฝนตกหนัก หมอกหนาจนกระทั่งแทบจะมองทางไม่เห็น และมีรถยนต์สวนลงมาตลอดเวลา เพราะว่าเมืองดาร์จีลิงก์เป็นเมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อเมืองหนึ่งของประเทศอินเดีย และอินเดียก็เพิ่งจะเปิดให้ท่องเที่ยว หลังจากที่ปิดล็อคดาวน์เพราะโควิด ๑๙ มานานเป็นปี ๆ

    การเดินทางแม้จะเต็มไปด้วยความหวาดเสียว แต่กระผม/อาตมภาพนั้นเลิกกลัวตายมานานแล้ว โดยที่ตนเองก็ไม่ทราบว่าเลิกกลัวตายตอนไหน คาดว่าจะเป็นตอนที่พิจารณาแล้วเห็นว่า ความตายเป็นปกติของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ในเมื่อปกติธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ เราทำใจยอมรับได้ ก็เลิกกลัวตายไปโดยปริยาย จึงนั่งรถด้วยความสนุกสนานมาก..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    โดยเฉพาะมีความทึ่งว่าถนนเล็ก ๆ คับแคบนั้น ยังอุตส่าห์มีทางรถไฟที่เรียกว่า Toy Train ขนาบข้างอยู่ คือเป็นรถไฟที่จะมีขนาดเล็กกว่าปกติ แต่ก็ยังใช้งานจริง วิ่งกันอยู่ทุกวัน แล้วเส้นทางที่คับแคบขนาดนั้น ทางด้านคนอินเดียโดยเฉพาะคนพื้นเมืองก็ยังสามารถที่จะใช้งานกันได้ด้วยความคล่องตัว

    โดยเฉพาะเป็นถนนลาดยางตลอดสาย แม้ว่าบางช่วงจะเป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง แต่ก็ดีที่ไม่มีฝุ่น เพราะว่าต่อให้เป็นถนนที่มีฝุ่น ก็คงจะโดนพระพิรุณชะล้างจนสะอาดเอี่ยมไปเอง อากาศก็ค่อนข้างจะหนาวเย็นขึ้นทุกที ๆ เพราะว่าเราวิ่งสูงขึ้นไปบนเขาอยู่ตลอดเวลา

    จนกระทั่งมาถึงที่เมืองดาร์จีลิงก์ มีบรรยากาศที่เห็นแล้วทึ่งมาก เพราะว่าเต็มไปด้วยตึกแบบยุโรปมากมาย แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าถนนหนทางที่แคบและลื่นแบบนั้น แถมยังต้องใช้เวลาในการวิ่งถึง ๓-๔ ชั่วโมง เขาใช้เวลาในการที่ขนวัสดุก่อสร้างขึ้นมานั้น เป็นระยะเวลานานเท่าไร ?

    อาคารบางแห่งนั้นใหญ่โต จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพเห็นว่า กว่าที่จะค่อย ๆ ก่อสร้างให้ใหญ่โตขึ้นมาได้ขนาดนั้น ก็คงจะเหมือนกับปลวกที่ค่อย ๆ ขนดินมาทีละเม็ด แล้วสร้างจนกระทั่งกลายเป็นจอมปลวกมหึมานั่นเอง

    พวกเรามาถึงที่พักคือ โรงแรมซีดาร์ อินน์ เวลาประมาณห้าโมงกว่าของอินเดีย ถ้าหากว่าเป็นเวลาของประเทศไทย ก็ราว ๆ ๑๘.๔๐ น. ซึ่งก็เกือบ ๆ จะ ๑ ทุ่มแล้ว ดังนั้น...ต่างคนจึงต่างเข้าที่พัก กระผม/อาตมภาพทำการซักแห้ง เพราะว่าประการแรกก็คืออาการเย็นมาก ไม่แน่ใจว่าถ้าโดนน้ำแล้ว อาการมาลาเรียเรื้อรังจะกำเริบหรือเปล่า ?

    ประการที่สองก็คือ บรรดาเจ้าที่เจ้าทางที่มารออยู่มากมาย จึงต้องตั้งใจที่แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้ เพื่อขอความสะดวกคล่องตัวในการเดินทาง
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,653
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,257
    ค่าพลัง:
    +25,974
    ท่านทั้งหลายสามารถที่จะเลียนแบบตรงส่วนนี้ได้ คือทุกครั้งก่อนที่จะเดินทาง กระผม/อาตมภาพจะแผ่เมตตาสวดกรณียเมตตสูตร แล้วตั้งใจนึกถึงเจ้าที่เจ้าทาง ที่รักษาตลอดเส้นทางที่เดินทางในวันหนึ่งคืนหนึ่งนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นอากาสเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี ภุมมเทวดาก็ดี หรือจะเป็นเหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ตลอดจนกระทั่งเดรัจฉานมีฤทธิ์ ที่อาศัยอยู่ตลอด ๒ ข้างทาง หรือว่ารักษาตลอดเส้นทางนั้นก็ตาม

    กุศลบารมีใดที่เราได้สร้างมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ให้ท่านทั้งหลายอนุโมทนา และได้โปรดอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้การเดินทางนั้น มีความสะดวกปลอดภัยตลอดเส้นทางด้วย ซึ่งจากการที่ได้ทำมานั้น ก็ได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์ ให้สะดวกและปลอดภัยมาโดยตลอด จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะปฏิบัติตาม

    เช้าวันนี้ก็จะเป็นไปตามโปรแกรมที่ทางคณะทัวร์ได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งจะเป็นไปในเลข ๖-๗-๘ ตามมาตรฐานสากล ก็คือปลุกตอน ๖ โมงเช้า วางกระเป๋าและลงไปรับประทานอาหารตอน ๗ โมงเช้า พอ ๘ โมงเช้าก็เริ่มออกเดินทางไปสู่สถานที่ท่องเที่ยว

    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวต่อญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...