เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 6 มิถุนายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,375
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,375
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตั้งแต่เช้ามาก็นำรถวิ่งไปเข้าศูนย์ที่กาญจนบุรี เสร็จแล้วก็ไปจ่ายเงินเดือนให้กับพระภิกษุในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ซึ่งไปเรียนอยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ พร้อมกับจ่ายเงินพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่วิทยาลัยสงฆ์ที่เป็นฆราวาสด้วย

    ก่อนหน้านี้กระผม/อาตมภาพถวายเงินพิเศษให้กับอาจารย์ที่ทุ่มเทให้กับวิทยาลัยสงฆ์เหมือนกัน แต่มีพวกปากหอยปากปูพูดว่ากระผม/อาตมภาพไปซื้อเสียง ซื้อคน ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็สงสัยว่า จะซื้อไปทำไม ? ในเมื่อกระผม/อาตมภาพเป็นผู้บังคับบัญชา สั่งอย่างไรเขาก็ต้องทำตามอยู่แล้ว

    ถ้ารองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสั่ง มีอาจารย์ที่ไหนจะกล้าไม่ทำบ้าง ? แต่ในเมื่อมีคนเขาว่าอย่างนั้น ก็อย่าไปเปิดช่องให้เขาว่าร้ายได้ สงสารแต่อาจารย์ทั้งหลายที่เหนื่อยยากกับวิทยาลัยสงฆ์ ซึ่งเงินดาวน์เงินเดือนก็น้อยกว่าปกติอยู่แล้ว เงินพิเศษที่กระผม/อาตมภาพตั้งใจให้ก็พลอยไม่ได้ไปอีก

    หลังจากนั้นก็วิ่งไปวัดหนองต่อยอด ตำบลวังไผ่ อำเภอห้วยกระเจา เพื่อร่วมถวายน้ำสรงศพหลวงพ่อช้อน เขมจาโร หรือสมณศักดิ์ที่พระครูกาญจนเขมากร อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลห้วยกระเจา อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองต่อยอด ซึ่งทางวัดใช้คำว่า "มรณภาพอย่างกะทันหัน" แต่กระผม/อาตมภาพว่าไม่กะทันหันหรอก เพราะท่านอายุ ๘๘ เต็ม ย่าง ๘๙ แล้ว ถ้าขนาดนั้นยังกะทันหัน แปลว่าไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย..!

    ระยะนี้ต้องบอกว่าพระสังฆาธิการระดับผู้ใหญ่ในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ล่วงลับดับขันธ์กันเป็นใบไม้ร่วง หลายรูปก็อายุมากกว่ากระผม/อาตมภาพปีสองปี หลายรูปก็อายุน้อยกว่า

    ตรงนี้ท่านทั้งหลายจะต้องไม่ประมาท ต้องนึกถึงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามเปสการีธิดาว่า "เธอมาจากไหน ?" เปสการีธิดาทูลตอบว่า "ไม่ทราบเจ้าค่ะ" พระองค์ตรัสถามว่า "เธอไม่ทราบหรือ ?" เปสการีธิดาทูลตอบว่า "ทราบเจ้าค่ะ" สรุปก็คือโดนคนด่า ก็ไหนตอนแรกบอกว่าไม่รู้ ตอนหลังดันบอกว่ารู้..!

    สิ่งนี้เป็นปริศนาธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า ก่อนเกิดมาจากไหน ? เปสการีธิดาไม่ได้มีอภิญญาสมาบัติในอตีตังสญาณจึงตอบไม่ได้ "ไม่ทราบเจ้าค่ะ" เมื่อถามว่า "เธอไม่ทราบหรือ ?" เธอตอบว่า "ทราบเจ้าค่ะ" ก็คือรู้ว่าต่องตายอย่างแน่นอน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,375
    ในเมื่อความตายเป็นสิ่งที่มนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนามจะต้องพบเห็น จะต้องเจอ จะต้องมาถึงตัวเองเข้าสักวัน มีวิธีเดียว ก็คือเตรียมพร้อม คนไหนเตรียมพร้อมที่จะตาย ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท รีบสะสมเสบียงบุญ

    การตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นการวนเวียนไปสู่รอบใหม่ของการดำเนินชีวิต ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร เข้าสู่พระนิพพาน ตราบนั้นก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดกันไม่รู้จบ


    บุคคลผู้มีปัญญา ไม่ประมาท ทำตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเร่งรัดปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้เข้มข้นเข้าไว้ ก็คือต้องทำจนเคยชิน ชนิดที่ต่อให้หลับฝันไป หรือละเมอไป ก็ไม่ละเมิดศีล จะต้องปฏิบัติในสมาธิภาวนา อย่างน้อยต้องทรงฌานได้ในระดับใดระดับหนึ่งตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ อย่างต่ำที่สุดก็คือ ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย แล้วกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าตายแล้วเราจะไปไหน


    คราวนี้ในการรักษาศีลของเรา ไม่ใช่รักษาครบถ้วนแล้วจบ หากแต่ว่าเราต้องไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

    อย่างเช่นเราเห็นมดสักแถวเดินมาเข้ากุฏิหรือเข้าบ้าน ใจก็คิดอยากที่จะไล่มดไป แต่ก็รู้ตัวว่าถ้าเอายามาฉีด มดจะต้องตาย ก็อาจจะบอกคนอื่น อย่างเช่นว่าบอกลูกบอกหลาน "นั่นมดเดินมาเป็นแถวเลย เอายามาฉีดหน่อยสิ" นี่คือการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ บาปกรรมหนักพอกันกับทำเอง..!

    เมื่อรู้ตัวว่าเราไม่ละเมิดศีล ยุคนอื่นทำก็โทษหนักพอกัน จึงอดใจเอาไว้ ไม่ลงมือทำ ไม่ยุคนอื่นทำ แต่ลูกหลานตาดีมองเห็นเข้า คว้ายามาฉีดควั่บเข้าให้ "เออ...มันน่าจะทำนานแล้ว" นั่นก็คือยินดีในสิ่งที่คนอื่นทำ ลงนรกเหมือนกัน เพราะว่าไปยินดีในความชั่วของคนอื่น..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,375
    ในเรื่องของสมาธิ อย่างน้อยต้องทรงสมาธิภาวนาให้ได้ระดับปฐมฌานขึ้นไป เพื่อที่จะได้มีกำลังในการตัดกิเลส ปฐมฌานง่ายนิดเดียว ทำเดี๋ยวนี้ได้เดี๋ยวนี้เลย ก็คือการที่เรากำหนดคำภาวนาพร้อมกับคำหายใจ รู้ตัวตั้งแต่ปลายจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง ออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก แค่นี้แหละคือปฐมฌาน สำคัญที่ว่าพวกท่านทั้งหลายจะรักษาเอาไว้ได้ไหม ?

    ขอยืนยันในฐานะผู้เดินทางผ่านตรงจุดนี้มาก่อน ใช้เวลาถึง ๓ ปีเต็ม ๆ ในการตะเกียกตะกายทำเพื่อปฐมฌาน ง่ายแค่นี้เอง แต่ยากที่สุดตรงที่จะรักษาให้อยู่กับเรา รักษาได้นานแค่ไหน ก็สามารถกดกิเลสให้นิ่งสนิทลงได้นานแค่นั้น

    แต่ต้องระมัดระวังให้ดีว่า ตราบใดที่เรายังตัดกิเลสไม่ได้ ได้แค่กดกิเลสเอาไว้ด้วยกำลังของสมาธิ ก็เหมือนกับเรากดคอเสือร้ายเอาไว้ วันไหนเผลอ ปล่อยหลุดเมื่อไร เสือก็ฟัดเราปางตายเหมือนเดิม..!

    ลำดับสุดท้าย คือการใช้ปัญญา ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก แต่ว่าพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายมักจะใช้กันไม่เป็น

    ถ้าเราภาวนาไปจนถึงที่สุด ก็คืออารมณ์ใจไปต่อไม่ได้แล้ว รับการภาวนาไม่ไหวแล้ว อย่างที่กระผม/อาตมภาพเปรียบไว้ว่า เหมือนกับชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มแล้ว ขืนชาร์จต่อหม้อแบตเตอรี่ระเบิดแน่นอน

    เขาให้ใช้กำลังนั้นมาพินิจพิจารณา อย่างน้อย ๆ ต้องเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราในร่างกายนี้ แล้วค่อยเห็นเลยไปถึงร่างกายคนอื่น ร่างกายสัตว์อื่น วัตถุธาตุอื่นทั้งหมด แม้กระทั่งโลกนี้ ต้องเห็นแล้วยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นอย่างแท้จริงด้วย ไม่ใช่เห็นแล้วใจยังไม่ยอมรับ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,375
    เมื่อเราใช้กำลังสมาธิไปในการพินิจพิจารณาลักษณะนี้ ก็เป็นการใช้กำลังสมาธิให้หมดไป เหมือนกับแบตเตอรี่เริ่มพร่อง เราก็สามารถภาวนาเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ได้

    เพราะฉะนั้น...สมถกรรมฐานคือการภาวนา วิปัสสนากรรมฐานคือการพิจารณา เหมือนกับบุคคลที่ผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันเดินคนละข้าง ถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้ ถ้าพยายามดื้อไปแค่ข้างเดียว พอสุดสายโซ่ที่ผูกอยู่ เราจะโดนดึงกลับ และพังง่ายที่สุด

    อีกส่วนหนึ่งที่น่าสงสารมากที่สุดก็คือ ท่านทั้งหลายภาวนาไปแล้ว แต่พิจารณาไม่เป็น ในเมื่อเราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากกำลังสมาธินั้น กิเลสจะเอาไปใช้แทน ก็คือในเมื่อเราไม่หาวิปัสสนาญานให้พินิจพิจารณา กิเลสก็จะคว้ากำลังสมาธิไปใช้ ไปฟุ้งซ่าน วิ่งไปหา รัก โลภ โกรธ หลง แทน

    คราวนี้ก็เดือดร้อนกันใหญ่โต เพราะว่ากิเลสมีกำลังจากสมาธิของเรา ก็จะฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เอาคืนยากที่สุด เพราะว่ากิเลสมีกำลังจากการปฏิบัติของเราเอง เท่ากับเลี้ยงเสือไว้กัดเราเอง..!

    นักปฏิบัติที่เอาดีไม่ได้ เพราะว่าส่วนใหญ่ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ เมื่อโดนกิเลสตีหงายท้องเมื่อไร ก็มานั่งคร่ำครวญว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็เราไปสร้างกำลังให้กิเลสเอาไปใช้เอง จะไปโทษใครได้

    หลังจากนั้นปัญญาในการพิจารณาของเรา ต่ำที่สุดต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย เหมือนกับในงานศพวันนี้ที่กระผม/อาตมภาพไปมา ที่บอกว่าตายกะทันหันนั่นแหละ คนอายุ ๘๘ ย่าง ๘๙ ถ้าบอกว่าตายกะทันหัน
    กระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้พูดอะไรแล้ว พี่น้องลาวเขาบอกว่า "เมิ้ดคำสิเว่า"

    รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย เราจะได้ไม่ประมาท ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่างน้อย ๆ ถ้าหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานไม่ได้ ก็ให้หนทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของเรา เหลือสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงจะสมกับเป็นบุคคลที่เข้ามาปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    วันนี้ก็ขอบอกกล่าวกับพระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...