เล่าเรื่องอภิญญา "หลวงพ่อปาน" วัดบางนมโค

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 25 ธันวาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    คำว่า " อภิญญา" นั้นหมายถึง ฤทธิ์ทางใจ ซึ่งจะเกิดเฉพาะผู้บรรลุธรรมขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส หรือพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ฉบับนี้จึงขอเล่าเรื่อง ฤทธิ์อภิญญาของ " หลวงพ่อปาน" วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา พระสุปฏิปันโน ผู้มีชื่อเสียงอีกรูปหนึ่ง
    "หลวงพ่อปาน" เป็นลูกชาวบ้านย่านวัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2418 เป็นบุตรชายคนเล็ก นายอาจ และ นางอิ่ม สุทธาวงศ์ มีอาชีพทำนา ตั้งแต่เกิดโยมบิดาตั้งชื่อให้ท่านว่า "ปาน" เนื่องจากท่านมีสัญลักษณ์ประจำตัวที่นิ้วก้อยมือซ้ายเป็นปานแดง ตั้งแต่ปลายนิ้วถึงโดนนิ้ว ซึ่งนับว่าแปลกและไม่ค่อยจะมีกัน
    เมื่ออายุครบ 20 ปี หลวงพ่อปานได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2438 โดยมีพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อ.บางบาล จ.อยุธยา เมื่อบวชแล้วท่านได้มาอยู่ที่วัดบางปลาหมอ โดยหลวงพ่อสุ่นได้สอนกรรมฐานวิปัสสนาและวิชาอาคมต่างๆให้ โดยเฉพาะการรักษาโรคภัยไข้เจ็บหรือถูกคุณไชย ต่อมาหลวงพ่อปานได้เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อเรียนเพิ่มเติมด้านแพทย์แผนโบราณ และยังได้หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานเพิ่มเติมให้อีก
    หลวงพ่อปานท่านเรียนวิชาจากชีปะขาว ในการสร้างพระเครื่อง และเรียนวิชายันต์เกราะเพชรจากอาจารย์แจง ซึ่งเป็นฆราวาสชาวสวรรคโลก เมื่อเรียนจบหลวงพ่อปานได้กลับมาตั้งสำนักสอนภาษาบาลีและนักธรรมที่วัดบางนมโค และเริ่มก่อสร้างวัดบางนมโคจนเจริญรุ่งเรือง
    หลวงพ่อปานท่านชอบออกธุดงค์ในป่าลึก บางครั้งก็ไปเพียงรูปเดียว บางทีก็มีกลุ่มลูกศิษย์ตามไปด้วย มีเรื่องเล่าจากลูกศิษย์รูปหนึ่งของหลวงพ่อปานคือ "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" (มรณภาพแล้ว) แห่งวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ถึงอภิญญาของหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาศิษย์ รวมถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่แปลก มหัศจรรย์ที่พบเห็นระหว่างธุดงค์ในป่าดังเรื่องราวต่อไปนี้
    เสียงดนตรีไทยกลางป่าลึก
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเล่าว่าขณะที่คณะธุดงค์ซึ่งเป็นกลุ่มลูกศิษย์หลวงพ่อปานธุดงค์รอนแรมกันกลางป่า มักจะมีสิ่งที่น่าสงสัยอยู่อย่างหนึ่งคือ "เสียงดนตรี" ซึ่งไม่ทราบว่ามาจากไหน เป็นเสียงเพลงไทยเดิม ซึ่งมีให้ฟังทุกวัน และดังชัดมาก เหมือนกับนั่งฟังอยู่ติดวงดนตรีเลยทีเดียว แถมบางวันก็จะมีกองยาว มีเสียงโห่ยั่วเย้า บางวันก็เป็นเครื่องสาย มโหรี ปี่พาทย์วงใหญ่ ได้ยินเสียงร้องส่ง เป็นเสียงผู้หญิง ท่านว่าเสียงหวานแจ๋ว คล้ายน้ำตาล เมืองเพชร เรื่องลักษณะนี้ "พระธุดงค์" แทบทุกรูปที่เคยรอนแรมกลางป่ามักจะเจอคล้ายกับเป็นการทดสอบกิเลสว่าพระรูปไหนจะหวั่นไหว เคลิบเคลิ้มหรือใจแข็งมากกว่ากัน เพราะมีบางครั้งขณะเดินธุดงค์อยู่ก็อาจจะมีคนเอาทรัพย์ใต้ดินออกมาอวดให้เหลืองอร่าม ตระการตา ตระการใจ เรียกว่าพระรูปไหนหากใจไม่แข็งพอ ก็จะทำให้เกิดความละโมบ อยากได้ขึ้นมาทันที แต่หลวงพ่อปานท่านก็สอนศิษย์ของท่านว่า ตรงนี้มันเป็น "อนัตตา" อย่าไปยึดมั่นถือมั่นให้จิตสั่นคลอนจนเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ

    เทวดามาใส่บาตร
    หลวงพ่อปานท่านจะฝึกพระสงฆ์ที่เป็นศิษย์อย่างเคร่งครัด เวลาที่อยู่ในป่าท่านให้ถือเอาใบไม้ที่ร่วงหล่น ต้นไม้ กระดูกสัตว์ที่ตายและปรากฏให้เห็นเป็นอารมณ์วิปัสสนาญาณ ในป่าลึกแม้จะไม่มีบ้านคนเลย แต่ศิษย์ทุกรูปของหลวงพ่อปานก็ต้องออกเดินบิณฑบาต วันหนึ่งขณะคณะศิษย์ออกบิณฑบาต เดินห่างจากโคนต้นไม้ที่ปักกลดไม่ถึง ๒๐๐ เมตร ก็ปรากฏร่างเด็กหญิงชาวป่า อายุไม่เกิน 13 ปี แต่งตัวด้วยผ้าเก่า ขาดรุ่งริ่ง มายืนรอใส่บาตร ข้าวในขันของเด็กคนนั้นสีเหลือง หอมแปลก พระทุกรูปจะได้ข้าวรูป ละ 2 ทัพพี ไม่มีกับข้าว แต่มีดอกไม้ ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนใส่มาในข้าวด้วย ดอกไม้นั้นหอมชื่นใจ กลิ่นคล้ายกลิ่นกระแจะผสมเกสร เมื่อกลับที่พักพระแต่ละรูปก็ฉันข้าว 2 ทัพพี ได้พอดีอิ่ม เมื่ออิ่มแล้วรู้สึกชุ่มชื่น ปลอดโปร่ง ไม่หิวน้ำเลย
    เด็กผู้หญิงมารอใส่บาตรอยู่ 2 วัน วันที่ 2 พระรูปหนึ่งทนไม่ไหวจึงถามว่า "บ้านเธออยู่ไหน เดินมาคนเดียวไม่กลัวเสือหรือ?" ที่พระรูปนั้นถามก็เพราะสงสัย คือเมื่อเดินสำรวจไปเกือบ ๑๐ กิโลเมตร ก็ไม่ปรากฏบ้านผู้คนเลย เพราะฉะนั้นเด็กคนนี้ ไม่ทราบว่ามาจากไหน เมื่อถามแล้วเด็กคนนั้นก็มองหน้าไม่พูดอะไร แต่หันหลังกลับเข้าไปในป่า พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น และเพียงแค่ 10 เมตร ที่เดินจากไป เหล่าพระธุดงค์ก็มองไม่เห็นเด็กหญิงคนนั้นแล้ว
    นับจากวันนั้นก็ไม่มีใครมาใส่บาตรพระกลุ่มนี้อีก จึงพากันอดฉันอาหารถึง 3 วัน พอเข้าคืนที่ 3 ที่อดข้าว ขณะพระทุกรูปกำลังทำสมาธิในกลด ต่างก็เห็นหลวงพ่อปานไปหา ท่านบอกว่า "คนที่เขามาใส่บาตร เขาเป็นเทวดา และเขาจะอยู่ที่ไหน มีอาชีพอะไร เราไม่ควรสนใจ เราต้องการอย่างเดียวคืออาหาร เขาให้แล้วก็แล้วกัน ไปถามเขาทำไม พรุ่งนี้ไปทางเดิม หลวงพ่อตกลงกับเขาไว้แล้ว จะมีคนใส่บาตรเพิ่มเป็น 3-4 คน จงอย่าคุยกับเขา อย่าสนใจเขา เราต้องการแต่อาหารจงจำไว้" แล้วท่านก็หายไป
    เมื่อเลิกกรรมฐานลืมตา พระทุกรูปต่างก็เล่าเรื่องหลวงพ่อปานมาหา เรื่องราวตรงกันทั้งหมด พระทุกรูปไม่สงสัยว่าหลวงพ่อปานท่านรู้ได้ยังไง เพราะรู้ว่าท่านมีญาณพิเศษ ที่ลูกศิษย์รู้เห็นอยู่เป็นประจำเป็นอันว่ารุ่งเช้า เมื่อเดินไปบิณฑบาต ก็ปรากฏว่ามีคนมารอใส่บาตร 4 คนจริงๆ เป็นหญิง 3 ชาย 1
    เรื่อง เทพ เทวดา มาใส่บาตรกลางป่านี้ เป็นเรื่องที่พระธุดงค์หลายรูปมักพบเห็น

    หลวงพ่อปานพบช้างพระโพธิสัตว์
    การออกธุดงค์ของพระสงฆ์ในป่า มักพบเห็นสัตว์ป่านานาชนิดที่ต่างก็เดินหลีกกันไปหลีกกันมา คณะธุดงค์ของหลวงพ่อปานเล่าว่า ครั้งหนึ่งได้พบโขลงช้างประมาณ 50 เชือก กำลังกินใบไม้อยู่ มีเชือกหนึ่งพอเห็นหลวงพ่อปานเข้าไปใกล้ก็คลุกเข่าชูงวงขึ้นเหนือหัว เมื่อช้างเชือกอื่นเห็นหัวหน้าฝูงทำอย่างนั้นก็ทำตาม หลวงพ่อปานจึงถามว่า "พ่อปู่ ที่นี่มีที่ไหนร่มรื่นพอที่พระจะพักสบายบ้าง?" พอหลวงพ่อพูดจบ ช้างก็ลุกขึ้นและเดินนำทาง เดินไปประมาณ 300 เมตร ก็พบต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นมีบ่อน้ำใสสะอาด ช้างเอางวงชี้แล้วคุกเข่าชูงวงไว้เหนือหัว เสร็จแล้วก็พากันเดินกลับ คณะพระธุดงค์สงสัยว่าทำไมช้างจึงรู้นัก หลวงพ่อปานจึงบอกว่า ช้างเชือกนี้เป็น "พระโพธิสัตว์" และยังบอกว่า หากสงสัยในสิ่งใด หรือต้องการดูว่าสถานที่ที่ผ่านมาแต่ละแห่งในอดีตเป็นอย่างไร ผู้คนหายไปไหนกันหมด ก็ให้ตรวจสอบด้วยอำนาจญาณ เป็นการฝึกใช้ญาณและวิปัสสนากันตรงๆ

    http://www.yingthai-mag.com/
     

แชร์หน้านี้

Loading...