เล่าเรื่องหมอชีวกโกมารภัจจ์ โดยหลวงปู่ฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mummamman, 14 พฤศจิกายน 2010.

  1. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    เล่าเรื่อง หมอชีวกโกมารภัจจ์ โดยหลวงพ่อฤาษี

    --------------------------------------------------------------------------------

    จาก หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่นที่ 17 ที่ผมได้มาจากตอนมาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง เมื่อปีกว่ามาแล้ว โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    ประวัติของท่าน

    ---ความ มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้นก็มีท่านผู้หนึ่งที่เราได้ยินกันอยู่เสมอ คือ ท่านหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นหมอสำคัญขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ คอยรักษาโรคและก็เป็นหมอที่มีความรู้พิเศษจริง ๆ การไปศึกษาของท่านนั้น ปรากฎว่าการไปศึกษาวิชาเวชศาสตร์มีความฉลาด สามารถยิ่งกว่าลูกศิษย์ใด ๆ จากสำนัก ตักสิลา

    ---เป็นอันว่าท่านชีวกโกมารภัจจ์นี้ มีประวัติอยู่ว่า เป็นลูกพิเศษของเจ้าใน กรุงราชคฤห์ คำว่าเป็นลูกพิเศษนี้ก็หมายความว่า อาจจะเป็นเมียพิเศษ ที่เจ้าย่องไปเจ้าชู้นอกเขตพระราชฐาน ผู้หญิงคนนั้นก็เลยมีลูกขึ้นมา 2 คน คือคนแรกชื่อว่า โกมารภัจจ์ เป็นลูกคนหัวปี คนที่สองมีนามว่า สิริมา เป็นคนสวยที่สุดในสมัยนั้น

    ---ต่อมาเมื่อโตขึ้น แต่ความจริงเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รับว่าเป็นบุตรโดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ โดยความในด้านจิตใจก็คือสงเคราะห์ตลอดเวลา แต่เป็นการสงเคราะห์แบบลับ ๆ ฉะนั้นชื่อของท่านโกมารภัจจ์ก็ดี ของสิริมาก็ดี ไม่ได้ชื่อเป็นเจ้า แต่ว่าฐานะก็ดีเข้าขั้นในฐานะดีมาก และก็เป็นคนใกล้ชิดกับพระราชฐานตลอดเวลา เพราะเจ้ารู้ว่าเป็นลูกแต่ก็ยอมรับไม่ได้ ประกาศเปิดเผยไม่ได้ แลก็เลี้ยงอย่างลูก สงเคราะห์อย่างลูกเหมือนกัน เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ส่งไปอยู่เมืองตักสิลา ท่านตั้งหน้าตั้งใจศึกษาวิชาเวชศาสตร์เอาอย่างเดียว

    ---ครั้นเมื่อ เวลาเรียนจบก็ลาอาจารยืกลับบ้าน อาจารย์ก็อยากทดลองความสามารถ จึงได้บอกให้ท่านโกมารภัจจ์จัดกระจาดเข้า 2 ลูก ทำด้วยหวายใส่สาแหรกหาบไป และมีมีด 1 เล่ม มีเสียม 1 เล่ม มีฆ้อน 1 อัน

    ---แล้วว่าเจ้าจงเดิน ไปด้าน 4 ทิศ ทิศละ 1 โยชน์ ดูหญ้าก็ดี ดูผักหญ้าต้นไม้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ดินทราย หรือว่าแม้แต่แร่เหล็กต่าง ๆ แร่ต่าง ๆ ว่าดูว่า ถ้าสิ่งไหนมันไม่เป็นยาแล้วก็ตัดเอามาให้อาจารย์ดู หรือขุดมาให้อาจารย์ดู

    ---ท่าน โกมารภัจจ์ใช้เวลาแบบนี้ประมาณเดือนเศษ พอเดินไป 1 โยชน์ กว่าจะถึง 1 โยชน์ก็ต้องเดินดูไปตลอดทุกอย่างตามทิศที่อาจารย์บอก เมื่อไปครบทุกทิศทุกด้านทาง 1 โยชน์ ก็ปรากฎว่ากลับมาหาบเปล่า หาอะไรที่เป็นยาไม่ได้เลย ครั้นมาถึงก็มารายงานอาจารย์ บอกว่ามันไม่มี ไม่มีสิ่งที่มันไม่เป็นยา จะเป็นดิน จะเป็นทราย เป็นหิน เป็นกรวด เป็นต้นไม้ เป็นต้นหญ้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมันเป็นยาทั้งหมด

    ---ปราก ฎว่าอาจารย์ก็ชมเชย บอกดีแล้ว อย่างนั้นกลับบ้านได้ ถ้ายังหาพวกทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งไม่เป็นยาในโลกนี้ ก็กลับบ้านไม่ได้ ถือว่าเรียนไม่จบ แล้วท่านก็ลากลับ กลับก็เดินมาในระหว่าทางไม่ทันจะถึงกรุงราคฤห์มหานคร


    รักษาภรรยาท่านเศรษฐี


    ---เวลา ตอนเย็นวันหนึ่งมันใกล้ค่ำ ท่านก็พักอยู่ในโคนต้นไม้ใกล้บ้านมหาเศรษฐี พอดีท่านมหาเศรษฐีเดินลงไปพบเข้า ถามว่า ไปไหนมา ม่านก็บอกว่า ไปเรียนวิชาเวชศาสตร์ ท่านมหาเศรษฐีก็บังเอิญภรรยาของท่านเป็นโรคปวดศรีษะมา 3 ปี ทำงานไม่ได้ ใช้สมองไม่ได้ ถามว่าจะรักษาหายไหม เห็นว่าเป็นหมอ ท่านก็บอกว่าต้องดูอาการก่อน เมื่อเข้าไปดูอาการท่านก็บอกว่าจะทดลองดู เพราะว่าเรียนหมอมาใหม่ ๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย แต่ว่ายาไม่มีติดมือเลย


    ---ท่านเศรษฐีก็ถามว่าต้องการอะไรบ้าง ก็บอกว่ามี แกก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า ไอ้หญ้าประเภทนี้มีไหม อาตมาก็ลืมชื่อหญ้า ท่านบอกว่ามี ถ้าบอกชื่อก็หาไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักกัน ถ้าเอาของ 2 อย่างเอาหญ้ามาโขลกเข้ากัน แล้วเลยใส่เข้าไปละลายคั้นเอาน้ำออกมากรองให้ดี แล้วก็หยอดไปในจมูกของภรรยาท่านมหาเศรษบี


    --- พอหยอดลงไปเท่านี้ ก็ปรากฎว่าภรรยาท่านมหาเศรษฐี มีทั้งน้ำมูก มีทั้งสเลดออกจมูก ออกทั้งปาก ออกมาอย่างมาก ในที่สุดขนะเดียวกันก็ปรากฎว่าหายปวดทันที ท่านมหาเศรษฐีก็จัดรางวัลเป็นการใหญ่ แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์ท่านก็รับ เวลาจะกลับท่านก็มอบคืน เขาไม่บอกว่าคืน มอบของทั้งหลายเหล่านี้ไว้สงเคราะห์คนจนต่อไป นี่ประวัติต้นแล้วก็เดินทางกลับ



    ประกอบยาถวายพระพุทธเจ้า


    ---เมื่อ กลับมาก็ขอเทศน์ลัด พูดมากเวลามันไม่ค่อยพอเทศน์ เรื่องนี้มันต้องเทศน์กันเต็มวันทั้ง 3 วัน เป็นอันว่าในต่อมา ก็ได้เป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประชวรด้วยเรื่องอะไรก็ตามท่านโกมารภัจจ์ประกอบยาแค่เม็ดเดียวก็ หายทันที นี่จะได้มองเห็นว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาเป็นพระอรหันต์ และเป็นยอดอรหันต์คือ จอมอรหันต์ก็ยังป่วยไข้ไม่สบาย ก็ยังแก่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นท่านทั้งหลายก็จะคิดว่าพระอรหันต์ไม่ป่วย


    ---เป็น อันว่าต่อมาในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงมา มีความปราถนาจะทับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ตายที่ยอดเขาคิชณกูฏ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่เชิงเขา พระเทวทัตขึ้นไปยอดเขาแล้วกลิ้งหินให้ทับแต่ก็เป็นการบังเอิญที่มีหินก้อน ใหญ่มหึมาก้องหนึ่ง ปรากฎโผล่ขึ้นมากันหินที่พระเทวทัตกลิ้งมาแตกกระจาย เศษหินไปถูกพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่นิ้วพระบาทห้อพระโล้หิต


    ---เมื่อ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรอาการอย่างนั้น ท่านโกมารภัจจ์ก็ประกอบยาถวายปิดลงไปที่ห้อพระโลหิต แล้วก็เอาผ้าผูกไว้ พอเสร็จแล้วก็ลาองค์สมเด็จพระจอมไตรไปภายนอกกำแพงวัง คุยกับเพื่อนเพลินไป โอกาศเวลานั้นประตูเมืองก็ปิดหกโมงเย็น เข้าประตูเมืองไม่ได้ ก็ร้อนใจคิดว่า โอ้หนอ...ยาที่ถวายองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นยาแรง เวลานี้แผลก็คงจะหายแล้ว อีกประการหนึ่ง เมื่อแผลหาย ยาที่ยังพันอยู่ที่นิ้วพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรจะทำให้พระองค์ทรงมี ความลำบาก เพราะยามีความร้อน


    ---ตอนนั้นเอง องค์สมเด็จพระชินวร ทรงทราบวาระจิตของท่านโกมารภัจจ์ว่ามีความลำบาก คิดว่ายาจะเป็นโทษกับเรา จึงได้เรียก พระอานนท์ มาบอก อานันทะดูก่อนอานนท์ เธอจงแก้ผ้ามัดนิ้วตถาคตออกไป แล้วจงเอายาออก พอเอาออกแล้วพระอานนท์ก็เอาน้ำที่สะอาดมาล้างให้ ตอนรุ่งขึ้นท่านโกมารภัจจ์เข้าเมืองได้ก็รีบมาเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร


    ---ถาม ว่า ยามีอันตรายแก่พระองค์ไหม พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าไม่มี เวลานี้ตถาคตให้พระอานนท์แก้ออกหมดแล้ว ถามว่าเวลาไหน ท่านถามว่าเวลาไหน พระพุทธเจ้าก็ตอบแก้เวลาที่เธอลำบากใจ คิดว่าจะมีอันตรายสำหรับฉัน นี่เป็นตอนหนึ่ง ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระภัควันต์บรมศาสดาป่วยเป็นโรคอะไร ท่านโกมารภัจจ์ก็รักษาหายทันทีทันใด


    มาเที่ยวเมืองทวาราวดี


    ---ตอน นี้จะขอพูดเรื่องของท่านเหมือนกัน เป็นการแยกออกไปสักนิดหนึ่งจากการรักษา ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาประทับสำราญอิริยาบถ ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่า ชาวเมืองไอ้เมืองนี้ ทวาราวดีเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดี


    ---คือเขตไทยทาง ด้านของ นครปฐม แต่ทวาราวดีเวลานั้นกินเขตแดนของทั้งหมดของเมืองไทยนี่เอง เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่าเมืองทวาราวดี ทูลลาองค์สมเด็จพระชินศรีจะมาเที่ยวเมืองทวาราวดีเกือบ 2 ปี แต่ความจริงอรรถกถาจารย์เขียนไว้ถึง 22 ปี อันนี้เห็นว่าท่าจะไม่ถูก ต้อง 2 ปี เพราะท่านโกมารภัจจ์ไม่สามารถจะทิ้งพระพุทธเจ้าได้ ในตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ถือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่เป็นไม่ยากคือ


    1.นึกถึงควมตายเป็นอารมณ์
    2.เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์
    3.มีศีล 5 บริสุทธิ์
    4.จิตใจต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์
    พระโสดาบัน เขาเป็นแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้


    เมื่อ มาถึงทวาราวดี อยู่ครบประมาณ 2 ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วท่านก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี้มีภาษาพูดที่เพราะมาก เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำ ๆ คำว่าไปก็ไป คำว่ากินก็กิน
    อย่างเวลานั้น ภาษาแขกหรือชาว มคธ
    คำว่า "ไป" เขาก็พูดว่า "คันตวา" มันเป็นคำคู่ "กิน" ก็ "ภุญชติ"
    ภุญชติล่อเข้าไป 3 คำ กลั้วกัน คันตวาล่อเข้าไป 3 คำ ของเราไป ของเรากินมันเป็นคำโดด


    ---พอกราบ ทูลองค์สมเด็จพระพุผู้มีพระภาคเจ้าว่าภาษาของชาวทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธองค์จึงถามว่า ทวาราวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง เมื่อพูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกับท่านโกมาภัจจ์อยู่พักหนึ่งรู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก ทว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สนุกก็ไม่ทราบ แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษ


    พระพุทธเจ้าเป็นคนไทยอาหม


    ---คุย กันไปคุยกันมา นโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรนี้เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี้ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงนี่ปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า ที่พระองค์ทรงตรัสภาษาทวาราวดีนี่รู้ได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน


    ---องค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสดุ์ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ถามว่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ไหม
    องค์สมเด็จพระจอม ไตรบรมศาสดาก็ทรงตรัสว่าใช่ คือ ชาวกบิลพัสด์ก็ดี ชาวทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม ตอนนี้ก็รู้ไว้


    ---ต่อมาก็เทศน์เรื่องของ ท่านในเรื่องของหมอต่อไป ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประกาศพระศาสนาได้ครบ 45 ปี มีอายุ 80 พอดี ตามอายุขัยของพระองค์ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่ ปาวาลเจดีย์ ท่านโกมารภัจจ์ไม่ได้อยู่ด้วย ไปธุระเสีย เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร คือปลงอายุสังขาร กำหนดวันนับต้องแต่เวลานี้ไป 3 เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่แห่งเมือง กุสินารามหานคร


    ---เมื่อ องค์สมเด็จพระชินวรปรงปลงอายุสังขาร ตัดสินพระทัยว่าจะนิพพานแน่ เวลานั้นเกิดเหตุอัศจรรย์แผ่นดินไหว พระอานนท์เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรถามเหตุแผ่นดินไหมก็ตรัสว่า เพราะตถาคตปลงอายุสังขาร ตั้งใจไว้อีก 3 เดือนข้างหน้าจะนิพพาน คือวันวิสาขบูชา ที่ระหว่านางรังทั้งคู่ แห่งเมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็อาราธนาองค์สมเด็จพระชินวรให้อยู่ต่อ ขอเทศน์ลัดเลยนะเวลาเหลือน้อย


    พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับยา


    ---ท่าน ก็บอกไม่ได้ ต้องนิพพานแน่ ฉะนั้นก็ปรากฎว่าท่านโกมารภัจจ์กลับมาเห็นสมเด็จพระบรมศาสดาเศร้าหมองลงไป มาก ซุบซีดผอม ฉันอาหารก็ไม่ได้ แสดงว่าโรคภัยไข้เจ็บรบกวนมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทนพระวรกาย ผืนการเจ็บปวดทุกขเวทนาทั้งหมด สอนวันนั้น เวลานั้นคนก็ดี สอนพระก็ดี สมเด็จพระชินศรีไม่ทรงเทศน์เรื่องพระสูตรเลย เทศน์เฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเป็นการตัดฉากใกล้นิพพาน


    ---ท่าน โกมารภัจจ์ก็ไปถามองค์สมเด็จพระพิตมารถึงโรคท่านก็ไม่ตอบ ท่านโกมารภัจจ์ก็เสียใจว่าถ้าเรารู้ชื่อโรคนิด อาการโรคนิดเดียวรักษาด้วยยาเม็ดเดียวให้หาย ต่อมาก็ได้ปรุงยาขึ้นเม็ดหนึ่งเพื่อถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระองค์เสวยยาเม็ดนั้นท่านจะรู้อาการโรคทันที เป็นยาพิสูจน์โรค พระพุทธเจาก็ไม่ทรงรับเสียอีก ถวาย 3 ครั้ง ท่านก็คว่ำมือถึง 3 ครั้ง


    ---ท่าน โกมารภัจจ์ก็เสียใจ จึงเอายาไปใส่ในบ่อน้ำ คิดว่าจะให้ใครกินก็ไม่สมควร ยานี้เป็นยาถวายพระพุทธเจ้า ไปใส่ในบ่อน้ำ พระอรรถกถาจารย์ หรือพระฏีกาจารย์ แก้อธิบายว่าน้ำในบ่อนั้นมันลึกอยู่แล้ว มันฟูขึ้นไปเลยบ่อเจ็ดชั่วลำตาลอัศจรรย์มาก ต่อมาเมื่อได้พบท่านโกมารภัจจ์ถามท่าน ท่านบอกว่านานๆ เข้ามันก็ยาวเหมือนกัน เมื่อต้นไม้ปลูกนานๆ เข้ามันก็ยาว แต่ควมจริงมันฟูขึ้นมาถึงปากบ่อ ไม่ได้เลยปากบ่อถึงเจ็ดชั่วลำตาล นี่เป็นอันว่าอรรถกถาจารย์ พระฏีกาจารย์เขาเขียนยาวมากเกินไป พาให้คนไม่เชื่อ



    หนีเข้าป่าเจริญสมณธรรม


    ---หลัง จากนั้นมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว เมื่อเขาเก็บพระบรมสารีริกธาตุเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ก็ไปงานสมเด็จองค์พระประทีปแก้วเหมือนกัน เวลานั้นท่านก็คิดว่า เราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า จะถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่เวลานี้พระพุทธเจ้ามานิพพานเสียก่อน เราก็หมดที่พึ่ง เวลานี้เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้ว


    ---ลูกก็ดี เมียก็ดี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ดี ข้าทาสหญิงชายก็ดี เราไม่มีเพราะเราสิ้นหวัง เราหมดที่พึ่ง ไอ้ร่างกายของเรานี่มันก็ใช้อะไรไม่ได้ ไม่ต้องการมันต่อไป ออกจากงานศพแทนที่จะเข้าบ้าน ก็เปิดเข้าป่าไปเลย ไปนอนอยู่ในถ้ำ ไปนั่งนอนคิดว่าเวลานี้สมเด็จพระธรรมสามิสรที่เป็นที่พึ่งใหญ่ของเรานิพพาน เราก็ไม่เอาอะไรมันทั้งหมด นอนให้มันตายอย่างนี้ล่ะ ข้าวปลาอาหารก็ไม่กิน


    ---แต่ ท่านก็เล่าต่อไปว่า ถึงมันจะหลบเข้าไปแบบนั้น คนก็เห็นแก่ตัวไปรบกวนท่าน ไปขอยาท่าน ท่านก็เลยเข้าป่าลึกเข้าถ้ำให้มันลึกเข้าไปอีก แล้วก็ไปนอน นอนเฉยๆ คิดว่าเราหมดที่พึ่ง เราเป็นคนไม่มีอะไร ร่างกายเราก็ไม่ต้องการมันให้มันตายไปแบบนี่แหล่ะ มันอยากตายเมื่อไรก็ให้มันตายถ้ามันไม่ตายก็ไม่ลุก จะอยู่มันที่นี้ตลอดไป พอตัดสินใจแบบนี้ก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าลงมา 3 ครั้ง ครั้งแรกก็เรียกว่า "โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม...?"
    ท่าน ก็บอกว่าใช่ ท่านไม่เห็นตัว ฟ้าแลบเข้ามาก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าอีก ก็บอกอย่างนั้น ท่านก็ตรัสอย่างนั้น แล้วเสียงนั้นก็หายไป สายฟ้าก็หายไป ท่านก็เลยบอกว่า หลังจากนั้นแล้วผมก็เลยนอนหลับ หลับแล้วผมก็หลับเลยไม่ตื่น รวมความว่าเวลานั้นท่านเป็นอรหันต์แล้วก็นิพพานทันที



    อารมณ์ถึงอรหันต์


    ---เอา เรื่องนี้มาพูดให้เห็นว่า ความกตัญญูกตเวทีของท่านโกมารภัจจ์เป็นของดี แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์นี้ไปนิพพานคือเป็นอรหันต์ได้ เพราะมีความรู้สึกอะไร ฉะนั้นขอท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงจำไว้ว่า คำว่าถึงอรหันต์น่ะมันมีอยู่คำเดียว หรืออย่างเดียว คือ เราไม่ติดอะไร ทั้งหมด จิตกำหนดว่าวัตถุธาตุต่างๆ คนก็ดี ใครก็ตาม ไม่ได้เนื่องถึงเรา คือไม่ใช่เป็นของเรา แต่เขาเนื่องถึงเราจริงเราสงเคราะห์หรือทำงานสงเคราะห์ให้ตามหน้าที่ ทุกอย่างแต่เราไม่ผูกพัน คิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่ต้องการ


    ---ถ้าคิดอย่างนี้ก็ตรงกับคำที่ องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสในตอนท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เธอจงอย่าสนใจกายภายใน คือกายตัวเอง อย่าติดในกายภานอก คือ กายคนอื่น และก็จงอย่าตืดในวุตถุธาตุใดๆ จงปลงกำลังใจว่า แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะเป็นอรหันต์


    ---ฉะนั้น ท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นคนผิดหวังในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าท่านจะตายก่อน แต่เมื่อองค์สมเด็นพระชินวรบรมศาสดานิพพานแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่าเราเป็นคนไม่มีอะไรทั้งหมด ลูกไม่มี เมียไม่มี ทรัพย์สมบัติไม่มี ร่างกายไม่มีความหมาย


    ---เมื่อมันอยากจะตาย ช้าที่หลังพระพุทธเจ้า มันก็ปล่อยใหห้มันตายด้วยความอดอยากก็ช่างมันปะไร เราไม่ต้องการมันต่อไป อันนี้เป็นอารมณ์ของอรหันต์ เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วท่านก็เป็นอรหันต์ทันที ฆราวาสถ้าเป็นอรหันต์วันนี้วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน แล้วท่านก็นิพพานจนกระทั่งบัดนี้
     
  2. linake119

    linake119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +578
    อนุโทนาครับ ชอบหมอชีวกโกมารภัจจ์มากครับ เป็นผู้ที่มีประวัติที่โลดโผนพอสมควร
     
  3. รัตนมาลา

    รัตนมาลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +18
    กราบนมัสการท่านปู่ผู้ใจดีมีเมตตามากๆเลยค่ะ
     
  4. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,732
    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำมาเผยแพร่ และขอขอบคุณกัลยาณมิตรที่ทำให้ได้ทราบข้อมูล
    ขออนุญาติดันกระทู้ค่ะ สาธุ
     
  5. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    <STRONG>เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O[​IMG]
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O[​IMG]
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  6. nalum_1

    nalum_1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +269
    ขอร่วมอนุโมทนาบุญในประวัติของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นอย่างสูงครับ สาธุ
     
  7. ต้อง^

    ต้อง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +1,027
    กราบอนุโมทนาเจ้าของกระทู้และหลวงปู่ด้วยครับ
     
  8. jikkiijang

    jikkiijang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    215
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +335
    อนุโมทนา สาธุ

    มีข้อสงสัยในการใช้ศัพท์เรียกแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (แค่สงสัยเฉย ๆ )

    - พระพุทธเจ้า
    - องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    - องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดา
    - องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร
    - องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา
    - องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดา
    - องค์สมเด็จพระภัควันต์บรมศาสดา
    - องค์สมเด็จพระศาสดา
    - องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์
    - องค์สมเด็จพระพิตมาร

    ทำไมไม่เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำไมต้องเลือกใช้ชื่อแทนพระองค์ให้มีความแตกต่าง เช่น

    "-คุย กันไปคุยกันมา นโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรนี้เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี้ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงนี่ปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า ที่พระองค์ทรงตรัสภาษาทวาราวดีนี่รู้ได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน"


    แค่วรรคเดียว ใช้ทั้ง "สมเด็จพระจอมไตร" , "ลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์"

    ผมเคยอ่านเรื่องเล่าของ หลวงพ่อฤาษี หลายเรื่องเหมือนกัน ส่วนมากจะเป็นประมาณนี้ล่ะครับ ไม่ยึดศัพท์ที่ใช้เรียกแทนพระพุทธเจ้า อย่างใดอย่างหนึ่งให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งยากที่จะนำไปเล่าต่อ ๆ ไปโดยไม่ให้ผิดพลาด นั้นได้ยาก


    รบกวนท่านผู้รู้ชี้แนะด้วยครับ
     
  9. mumoon

    mumoon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +82
    jikkiijang อนุโมทนา สาธุ

    มีข้อสงสัยในการใช้ศัพท์เรียกแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (แค่สงสัยเฉย ๆ )

    - พระพุทธเจ้า
    - องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    - องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดา
    - องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร
    - องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา
    - องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดา
    - องค์สมเด็จพระภัควันต์บรมศาสดา
    - องค์สมเด็จพระศาสดา
    - องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์
    - องค์สมเด็จพระพิตมาร

    ทำไมไม่เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำไมต้องเลือกใช้ชื่อแทนพระองค์ให้มีความแตกต่าง เช่น

    "-คุย กันไปคุยกันมา นโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรนี้เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี้ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงนี่ปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า ที่พระองค์ทรงตรัสภาษาทวาราวดีนี่รู้ได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน"


    แค่วรรคเดียว ใช้ทั้ง "สมเด็จพระจอมไตร" , "ลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์"

    ผมเคยอ่านเรื่องเล่าของ หลวงพ่อฤาษี หลายเรื่องเหมือนกัน ส่วนมากจะเป็นประมาณนี้ล่ะครับ ไม่ยึดศัพท์ที่ใช้เรียกแทนพระพุทธเจ้า อย่างใดอย่างหนึ่งให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งยากที่จะนำไปเล่าต่อ ๆ ไปโดยไม่ให้ผิดพลาด นั้นได้ยาก


    รบกวนท่านผู้รู้ชี้แนะด้วยครับ

    อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าตอบถูกต้องหรือเปล่า แต่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระเครื่อง เค้าถามว่าทำไม คาถาบูชาเครื่องรางต่างๆ ถึงมีเยอะจัง ถ้าไล่ผี ใช้แค่นโม ตัสสะฯ ก็พอ (เพราะมีพระราหู ท้าวเวสสุวรรณ อาฬวกยักษ์ และเทพอีกหลายองค์ ตรัสถวายพระพุทธเจ้า) ในหนังสือบอกว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ เพื่อให้คนสนใจศึกษาค้นคว้าว่า คาถานี้ มาจากชาดกเรื่องไหน ตอนอะไร แล้วเค้าสอนอะไรบ้าง แล้วเราปฎิบัติได้ไหม สรุปคือให้เราไปอ่านชาดก และปฎิติตามชาดกที่เหมาะกับจริตเรา
     
  10. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2012
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    ขออนุญาตตอบนะคะ...

    คำเรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระนามข้างต้นนั้น มีความหมาย เพื่อเป็นการยกย่อง บูชาคุณของพระองค์ท่านทั้งสิ้นค่ะ...

    ขออนุญาตยกตัวอย่างที่เห็นได้เด่นชัดนะคะ...

    องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
    องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ในหลวง
    ในหลวงรัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี
    ในหลวงรัชกาลที่ ๙
    พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย
    พ่อหลวง
    พ่อหลวงอันเป็นที่รักยิ่ง
    พระผู้ปกเกล้าชาวสยาม ฯลฯ


    หรือ... เอาง่าย ๆ

    ขนาดพวกเรากันเอง ยังมีชื่อเรียก ทั้งชื่อจริง ชื่อเล่น ถ้าอวบอ้วนสักนิด เรายังถูกเรียกชื่อเพิ่มเติมเข้ามาอีกเช่น เจ้าจ้ำม่ำ เจ้าหนู เจ้าหมูน้อย เจ้าอ้วน...
    เป็นต้น
     
  12. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขออนุโมทนาสาธุ ในบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมาทั้งหมดทั้งปวงด้วยครับ
     
  13. tha6099

    tha6099 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    โมทนาบุญด้าย

    ผมไปวัดทำบุญ บวชผ้าขาว กับวัดท่าซุง ของหลวงพ่อ นานแล้ว พึ่งได้มาเจอเว็บพลังจิต เพราะต้องการค้นหา กรรมบถ 10 จึงได้อ่านและสมัครเป็น สมาชิก ขอบคุณมาก ขอโมทนาบุญด้วยทั้งหมด
     
  14. หนูนะ

    หนูนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +199
    เมื่อคืน ไม่ใช่สิตอนเช้ามืดน่ะ ฝันเห็นท่านหมอชีวกด้วยฝันเห็นแบบว่าท่านมีชีวิตด้วยนะไม่ใช่รูปปั้น ดูท่านใจดีจัง ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรค่ะ มักฝันเห็นเทพองค์สำคัญๆ บ่อยๆ วันนี้ก็เพิ่งได้เข็มกลัดแบบเสียบของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมา 1 องค์ดีใจมากเลย อยากได้พระของหลวงพ่อนานแล้วแต่ไม่รู้จะไปหาที่ไหน แฟนบอกว่าพอถึงเวลาท่านก็จะมาหาเอง ท่าจะจริง ( ขอถามผู้รู้หน่อยซิคะการที่เราฝันเห็นองค์เทพสำคัญบ่อยๆ ซึ่งเมื่อก่อนไม่เห็นฝันบ่อยขนาดนี้เลยหมายความว่าอะไรคะ หมอดูบอกว่าเรามีองค์เทพแฝงอยู่หมายความว่าอะไร ) เกี่ยวกันกับที่ฝันไม๊คะ
     
  15. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    ท่านอาจารย์เรา ประวัติช่างสุดยอดจริง อนุโมทนาสาธุ นะครับท่านอาจารย์ปู่ชีวก
    จากศิษย์ปู่ บารมีทรัพย์
     
  16. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    คห. คุณหนูนะ ....ท่านมีหนวดยาวๆ ใช่มั๊ยครับ ขอเบอร์คุณหนูนะหน่อยนะครับ หรือติดต่อมาที่นี่ก็ได้ 084-7742057 คิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2012
  17. อริยะบุคคล

    อริยะบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +476
    ขอคิดต่างครับถ้าหมอชีวกโกมารภัจจ์ไม่อดอาหารจนตัวตายหรือจะเรียกว่าฆ่าตัวตายก็ได้ วิชาความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ สามารถช่วยคนที่ป่วยได้อีกมากมาย ถ้าเป็นตัวเองคงใช้วิชานี้สร้างบารมีจนกว่าจะหมดอายุขัย
     

แชร์หน้านี้

Loading...