เรื่องที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ ไม่ต้องการให้ท่านยึดเป็นตำรา แต่อยากให้ช่วยเพิ่มประโยชน์ในการปฏิบัติให้ทุกท่าน ไม่ได้หวังให้ท่านเชื่อ เพราะผู้ เขียนไม่อาจบอกได้ว่าด้วยความแตกต่างแต่ละบุคคลจะทำให้ทุกคนเชื่อและต้องทำเช่นเดียวกับผมนั้น ย่อมเป็นไปไม่ไ้ด้ ในทางกลับกันก็ไม่ ปรารถนาให้ท่านนั่งวิเคราะห์หรือนึกชำแหละความใดๆ เนื่องด้วยกระผมเองไม่ปรารถนาไปมากกว่าการสร้างประโยชน์ให้ไม่มากก็น้อยแก่ท่านผู้ ปฏิบัติ หากท่านผู้ใดไม่เชื่อหรือไม่แน่ใจจะลองทำก็ขอให้ท่านอ่านเป็นความบันเทิง ให้มองว่าเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังเล่านิทานและประสบการณ์ใน โลกกว้างให้ท่านฟังก็แล้วกัน แม้ท่านผู้ใดจะลองปฏิบัติตามแนวทางของผมก็ขอให้ท่านได้พบทางแห่งการเข้าถึง มรรคผล โดยไวด้วยเทอญและ ขอยกบุญอันดีทั้งหมดนี้ให้แก่บูรพาจารย์ของผมคือสมเด็จพระบรมครูองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อ จรัญ ฐิตธัมโมและท่านเจ้าคุณวัฒนมงคลด้วยเทอญ เนื่องด้วยกระผมนั้นได้เริ่มสนใจในการปฏิบัติธรรมเพราะได้เกิดอาการป่วยกล่าวคือ เป็นโรค หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในเวลานั้นอาการเป็นหนักมาก จิตก็ฟุ้งซ่านเอาแต่สงสัยว่า คนอื่นไม่เป็น ทำไมเราต้องเป็นด้วย นึกน้อยเนื้อต่ำ ใจในโชคชะตา พลันก็นึกได้ว่า ตอนบวชเราเคยศึกษาการทำกรรมฐานมาบ้าง ด้วยการจับลมหายใจกำหนด พุทโธ ผมก็เลยทำดู ในช่วงนั้นก็รู้สึก สบายและปล่อยวางได้บ้างด้วยอารมณ์สุขแห่งสมาธิก็หายทุกข์จากเวทนาได้ชั่วครั้งชั่วคราว พอกลับมาเรียนได้ตามปกติก็ได้พบเพื่อนท่านหนึ่งได้ สอนให้รู้จักกรรมฐานสี่สิบของหลวงพ่อฤาษี ก็รู้สึกสนใจและได้ทำโดยจับกสินรูปพระแก้วใส และภาวนาพุทโธ ประกอบ จิตเริ่มสงบมากตอนนั้นก็ เป็นสุขพอควรครับ ทำจนรู้จักอารมณ์สมาธิบางอย่างเช่น ขนลุก ตัวพอง(ตัวพองนี่พองจริงๆนะครับรู้สึกได้เลย) ก็ได้รู้ว่านี่คือ ปิติ ก็ทำต่อไป เรื่อยโดยอาศัยถามอาการจากเพื่อนเอาครับก็รู้ว่า อาการที่ทำได้ตอนนั้นถึงฌาณสี่ ตอนนั้นได้รู้จักกับเว็บพลังจิต ได้มาศึกษาหาความรู้บ้าง หลง เถียงกับคนในบอร์ดในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ ตอนนั้นไม่รู้สึกตัวหรอกครับรู้แต่ว่าอยากเอาชนะ ต่อมาได้รู้จักพี่ชัท แกสอนให้ผมรู้จักการใช้มโน มยิทธิและการฝึกการทำอรูปฌาณ ด้วยกำลังฌาณสี่ทำได้แล้วก็ได้ไปสัมผัสพระนิพพานและท่องเที่ยวได้ในไตรภูมิได้ และเริ่มมองหาทางหลุด พ้น และเมื่อช่วงปิดเทอมด้วยว่าได้ยินกิตติศัพท์ของ หลวงพ่อ จรัญ ฐิตธัมโม ในเรื่องการทำสติปัฎฐานสี่ซึ่งได้ทราบว่าเป็นทางสายเอกในการ เข้าสู่การหลุดพ้น ก็อยากไปเรียนไปศึกษาบ้าง ก็ได้ไปอยู่ครั้งหนึ่งเป็นเวลาสามวัน ได้อานิสงค์การทำครั้งนี้คือได้รับอโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนาย เวรทำให้โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทหายขาดครับ หลังจากนั้นผมก็มาฝึกพัฒนาจนมีสติ(รายละเอียดว่าได้ยังไง เป็นยังไงลองศึกษาจาก การฝึกสติปัฎฐานสี่เอานะจ้ะ) แต่ก็ยังพิจารณาวิปัสนาให้กายและใจยอมรับไม่ได้ คือยังละสุขละทุกข์มองเห็นความจริงไม่ได้ ถือว่าแค่มีสติรู้เกิด ดับไปเท่านั้น มาถึงตอนนี้รู้สึกว่าผมเริ่มตัน จิตตก ความเศร้าหมองครอบงำว่าทำอย่างไรทำไมไม่เข้าถึงความหลุดพ้น ผมนั่งพิจารณาในห้องพระ เป็นเวลานั้น จิตฟุ้งซ่านมาก เลยใช้กสินไฟช่วย นั่งฝึกกับเทียนไขจนหมดไปหนึ่งเล่ม เข้าอารมณ์สมาธิของกสินไฟ(ทำไม่ได้ถึงฌาณสี่นะครับ ได้แค่เห็นเป็นกลมๆแดงๆเข้มตันๆ) ต่อมาได้ทำบุญกับหลวงพ่อเล็กโดยฝากเทียนไขสองแท่งไปทำกับเพื่อนโดยตั้งจิตอธิษฐานให้ผลบุญหนุนให้ ได้เห็นธรรมแห่งการหลุดพ้นโดยไว อีกประมาณสองสามวันต่อมา ผมได้เจอหนังสือไตรภูมิของหลวงพ่อฤาษีชื่อหนังสือว่า ตายแล้วไม่สูญ... แล้วไปไหน ผมอ่านจนจบแล้วก็พบว่าความไม่เที่ยงในสามภพนั้นเป็นอย่างไร แต่จิตส่วนในยังไม่ยอมรับ เลยเกิดคิดขึ้นได้ว่า เราได้กำลังฌาณสี่ ได้มโนมยิทธิน่าจะไปสัมผัสด้วยตนเองเลยดีกว่า ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอบารมีแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำพาข้าพระพุทธเจ้าไปชม นรกทุกขุม สวรรค์ พรหม อรูปพรหมทุกชั้น โดยให้ได้มองเห็นความไม่เที่ยงของไตรภูมิด้วยตาและจิตตัวเองด้วย ผมก็ได้เห็นความทุกข์ของนรก ได้เห็นการจุติของเทวดาและพรหมที่หมดบุญ ได้เห็นการดำเนินชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไปที่มีแต่ทุกข์จะมีก็แต่เอาสุขมาบังให้ไม่เห็นบ้างเป็นครั้ง คราว และได้ไปกราบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพาน เมื่อกลับมาตอนนี้จิตเห็นแล้ว เห็นความไม่เที่ยง เห็นทุกข์ของแต่ละภพภูมิแล้ว จึง ได้นำวิธีของหลวงพ่อฤาษีมาดำเนินต่อคือ เข้าฌาณสี่ด้วยใจสบาย โดยเกาะภาวนาพุทโธ และใช้สติตัดอารมณ์ที่เป็นหนามแห่งองค์ฌาณทั้ง หลายเข้าสู่ฌาณสี่โดยไวและอธิษฐานจิตถอนไล่ตามลำดับกลับมาที่อุปจารสมาธิแล้วนำเอาความที่ได้เห็นจากไตรภูมิมาพิจารณาให้เกิดอารมณ์ เดียวแล้วพิจารณาย้อนมองทุกข์ในกาย และในจิต ความเหนื่อยยากของจิตที่ต้องวิ่งตามกิเลสที่สร้างอารมณ์ต่างๆ มองเห็นว่ากายนี้เป็นเพียง เครื่องมือสนองให้กิเลสสมบูรณื ประโยชน์มากกว่านั้นไม่มีเลย และเมื่อย้อนมาดูที่จิตก็ได้รู้ว่าเอาสติไปจับจะเห็นกิเลสสร้างอารมณ์หากไม่อยาก เป็นทาสอารมณ์กิเลสเราก็ไม่ต้องวิ่งไปจับ(เป็นความว่างที่ต่างจากความว่างของอรูปฌาณโดยกล่าวว่าว่างอย่างอรูปฌาณมันว่างเพราะกิเลสเข้า ไม่ถึง แต่ว่างโดยสติวิปัสสนาญาณมันว่างเพราะรู้เท่าแล้ววางทัน) ตอนนี้รู้สึกสบาย สงบและโปร่ง จึงนำใจที่สงบนี้ไปผูกที่พระนิพพานเป็นการบันทึกลงจิตให้ตั้ง มั่นในหนึ่งเดียว ไม่ข้องแวะหรือหลง สงสัยในสุขทุกข์ในมนุษย์หรือภพอื่นแต่อย่างใด ด้วยใจนั้นเห็นจริง ตรงจุดนี้จึงเห็นความไม่มีตัวตนหรือ อนัตตาเกิดขึ้น เมื่อจิตไม่จับอารมณ์กิเลส ทุกสิ่งก็ไม่มีตัวตน ในตอนนี้ผู้เขียนจึงได้เข้าใจถึง ความไม่เที่ยง ความทุกข์และความไม่เป็นตัวตน ดัง นั้นผู้เขียนจะขอสรุปการปฏิบัติให้เป็นแนวทางเพื่ออาจเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยให้แก่ท่านผู้อ่านกันเป็นขั้นตอนดังนี้ 1. ให้เจริญมรณานุสติเพื่อความไม่ประมาทในชีวิตเป็นเบื้องต้น โดยให้ระลึกรู้กับจิตว่าอีหนึ่งนาทีข้างหน้าเราต้องตายและให้ตรวจสอบว่าเรายัง โกรธใครบ้าง ยังห่วงใครบ้าง หรือยังต้องการใครบ้าง 2. ระลึกเสมอว่าหากตายในบัดนี้ หากโกรธหรือไม่ชอบ เราต้องไปนรก หากหลงมัวเมาเราก็ไปเป็นสัตว์ หากยังต้องการหรือปรารถนาแรงกล้าเรา ก็ไปเป็นเปรต 3. สร้างหลักประกันในการพ้นอบายด้วยการคิดถึงพุทโธ และให้ดีให้นึกถึงภาพพระไว้ตลอด ศีลห้าทำให้ได้เป็นปกติ ทำให้ได้ตลอดเมื่อว่างจาก ความคิดจับพุทโธทันทีอย่าประมาท 4. ให้ใช้คำภาวนาพุทโธและจับภาพพระเป็นฐานทำสมาธิเมื่อว่างก็ให้ทำ ฝึกให้สมาธิถึงฌาณสี่ 5. ให้ศึกษาเรื่องไตรภูมิแล้วหัดปลงความทุกข์ในนรกและความสุขที่ไม่ยั่งยืนของเทวโลก พรหมโลก หรือใครได้มโนมยิทธิก็ขึ้นไปดูไปสัมผัสเอง เลย 6. หมั่นพิจารณาการปลงไตรภูมิและปลงสังขารอยู่เสมอ ช่วงแรกจะเป็นการนึกคิด หากว่างจากการพิจารณาปลงแล้วให้จับตามข้อสี่ ทำทั้งสอง สม่ำเสมอ ว่างอันไหนจับอันนั้น อย่าปล่อยให้ความว่างหรือเหม่อลอยครอบงำเพราะจะทำให้จิตวิ่งไปที่กิเลส 7. ให้ฝึกสติให้เกิด เพราะสติจะเป็นเครื่องมือเตือนภัยกิเลสและช่วยในการทำอารมณ์สมาธิได้ไวขึ้น 8. เมื่อการพิจารณาเป็นไปโดยฝังลงในจิตแล้วให้เดินฌาณสี่แล้วถอยมาที่อุปจารสมาธิ แล้วพิจารณาโดยจับความไม่เที่ยงในไตรภูมิและทุกข์ ของร่างกายสังขารจนเกิดวิปัสสนาญาณ เบื้องต้นจะไม่รักกายนี้ เมื่อถึงที่สุดจะมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และจิตจะมองเห็นความมั่นคงที่ เดียวคือพระนิพพาน จิตจะตั้งมั่นแน่วแน่ได้เอง ข้อพิเศษ: สติช่วยรักษาศีลและรู้ถึงการประกอบกรรมอันจะล่วงละเมิดต่อกรรมบถสิบได้เป็นอย่างดี และช่วยในการตัดอารมณ์เสี้ยนหนามใน การทำฌาณได้เป็นอย่างดี จึงจำต้องฝึก - ฌาณ ต้องฝึกให้ได้ถึงฌาณสี่เป็นอย่างน้อยเพราะกำลังของฌาณสามารถสร้างปัญญาแจ่มใสให้พิจารณาวิปัสนาญาณให้เกิดได้ - มโนมยิทธิ ถ้าฝึกได้จะดีมากเพราะสามารถรับรู้อารมณ์และมองเห็นความไม่เที่ยงของไตรภูมิได้จริง หากทำไม่ได้ให้อ่านหนังสือหลวงพ่อฤาษี เรื่อง ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน แล้วให้พิจารณาตามให้มองเห็นถึงทุกข์และความไม่เที่ยงจนฝังลึกลงในจิตซึ่งจะจำเป็นมากในการทำวิปัสนา ญาณให้เกิด - ฝึกเจริญอาหาเร อสุภะและกายคตานุสสติเพื่อใช้ในการทำวิปัสนาญาณให้เกิดปัญญาตัดจากความรักกายหลงกาย หากท่านผู้อ่านมีปัญหาสงสัยสามารถสอบถามผ่านในกระทู้หรือถามผ่านข้อความส่วนตัวได้ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมก้าวเท้าเข้าสู่พระนิพพานโดยไวครับ สวัสดีครับ;k01
โมทนาสาธุบุญครับ.....ดีแล้วครับ......ฌาน 4 ให้ทรงไว้ตามปกตินะครับ.......มโน...ใช้ทุกวัน.........ทำต่อไปครับ.........ทั้ง 3 อย่างรวมอรูป...เกื้อหนุนกันอยู่แล้วครับ... เนื่ยครับ...ข้อดีของผู้ฝึกทางกรรมฐาน 40....ต้องโมทนาสาธุบุญอีกครั้ง......ผมก็ฝึกแบบนี้หละครับ....แต่ยังไม่ถึงใหน....55
ถ้าวางตำราลงบ้าง ตัวจะเบา หัวจะโล่ง แล้วต้องลงมือทำด้วย อับดับแรกเลย ศีล 5 ข้อทำให้ครบ มันไม่หนัก ทำไปเถอะ ทำต่อไป
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมได้สัมผัสธรรมอันประเสริฐเถิด...ขออภัยที่ใช้คำตามตำราไม่อธิบายอารมณ์สมาธิให้ชัดเจน เพราะถ้าอธิบายจริงๆข้อความคงยาวมาก หากท่านผู้อ่านสงสัยข้อให้ถามจุดที่สงสัยได้ ยินดีตอบทุกคำถามที่เป็นประโยชน์ครับผม
สถานที่นี้เป็นสถานที่......ผู้พูดมีมาก......ผู้ปฏิบัติมีน้อย.......รับไปไม่ปฏิบัติ.....บางครั้งท่านพูดไปก็ไม่มีประโยชน์......ถ้าเมตตาผมโมทนาสาธุ......เมื่อถึงเวลาอย่าอยู่ที่นี่นานนะท่าน....ควรปลีกปฏิบัติ....ไม่งั้นจะกลับไปเป็นดังก่อน.......ตั้งใจปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ท่านไปครับ.....โมทนาสาธุ.....กระผมฝากนมัสการหลวงพ่อท่านด้วย....