เรื่องเล่าสนุกๆเมื่อหลวงพ่อพบพระอภิญญาที่สุโขทัย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 26 พฤศจิกายน 2008.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    ปีนั้นเป็นปีที่ หลวงพ่อปาน บอกว่า ถ้าแกบวชครบ 20 พรรษา จะต้องออกจากวัด ท่านไล่ไว้ ตั้งแต่วันบวช แล้ว ไม่ใช่มาไล่ทีหลังหรอก ตอนบวชใหม่ ๆ ท่านสั่งสององค์นั่นบอกว่าไอ้ 2 ตัวนี่ 10 พรรษาต้องเข้าป่า ไปแล้วห้ามเข้าเมืองจนกว่าจะตาย ไอ้ตัวนี้ 20 พรรษาต้องออกจากวัดแต่เข้าป่าไม่ได้นะเป็นหนี้เขามาก ไอ้เราก็ นึก เอ๊ เป็นหนี้ ใครมาละหว่า เกิดมาชาตินี้ ก็ไม่ได้ยืมสตางค์ใคร มีแต่ขโมยสตางค์ยายเราไม่ได้ยืมนี่ เราขโมยต่างหาก แปลก

    ก็เป็นอันว่า 2 องค์นั้น 10 พรรษาเขาเข้าป่าตามสั่งเขาบอกศาลาเลย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป การเข้ากลุ่มชนจะไม่มีสำหรับเขา แต่มันก็ไม่ใช่ของแปลก เพราะเขาเป็นพระอภิญญาใช่ไหม อภิญญาก็ครบ 6 เสีย ด้วย ไม่ใช่ 5 สำหรับพระอภิญญา ไปอยู่ป่านี่ ถ้าจะถามว่า มิต้องไปสร้างกุฏิอยู่เรอะ ก็ตอบได้ว่า จะสร้าง อะไรกับมัน ฝนตกมันก็บอกว่า ไปตกที่อื่นเถอะ ที่กูห้ามตกนะ มันก็ไม่ตก ตกได้รอบๆ ตัว แต่ที่เขาไม่ ตกหรอก อากาศหนาว บอกแก ไปหนาวที่อื่น ตัวข้าห้ามหนาว มันก็ไม่หนาว ใช่ไหม มันเรื่อง เล็กๆ น่ะ แล้วไอ้หมอ 2 คนมันก็ขยันซน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก

    เมื่อปีที่แล้ว ไปที่ ป่าสุโขทัย คุณอ๋อยไปด้วย ไปกับท่านหญิงวิภาวดีด้วย แหม มันหนาวจับใจ ความจริงหนาวต้องคิดทีเดียว ไอ้ผ้าที่ติดตัวไป มันก็น้อย แต่คิดว่า หนาวก็หนาว อยากตาย ให้มันตายไป ขี้เกียจหนาว พอดึกขึ้นมา มันก็หนาวขึ้นทุกที ลุกขึ้นมา นึกว่า เอ มันจะหนาวถึงไหนหว่า พักหนาวเสียเถอะมัน ก็เบาหนาว พอเบาหนาวเจ้า 2 ตัว เอ้ย 2 องค์ แต่ไม่เป็นไรพวกเดียวกัน พวกโยมละอย่าไปเรียกเข้านา คนละพวก เจ้า 2 ตัว เขาโผล่มา ก็ถามว่า เฮ้ย มึงมาทำไมวะ เขาตอบว่า กูมาเที่ยวส่ง ถามว่า เอ มากี่ ตัววะ เขาบอกว่า กู 2 ตัว แล้วอยู่ ข้างนอกอีก 5 ตัว เป็นอันว่า พระอภิญญาของเรานี้ เวลานี้ในป่ามีเยอะ เขาบอกว่า เวลานี้มา 7 องค์ด้วยกัน ไอ้ที่ไปพักน่ะ มันเป็นที่ระหว่าง วงเขาล้อมแคบๆ นะบริเวณนั้นก็จะ มีเนื้อที่สัก 1,000 ไร่นอก นั้นเป็นเขาล้อมหมด ถามว่าอีก 5 องค์อยู่ไหนเขาตอบว่า อยู่บนยอดเขาริมๆ ถามว่า หนาวไหม เขาบอก ฮึ เรื่อง หนาว เรื่อง ร้อน เรื่อง เล็ก เราอยากหนาว มันก็หนาวมาก เราอยาก หนาวน้อย มันก็หนาวน้อย อยากร้อน มากก็ร้อนมาก เขาก็เบ่งส่งเดชแต่เบ่งได้เสียด้วยซี

    เป็นอันว่า เขาก็มานั่งคุย คุยไปคุยมาถามว่า อยู่ในป่า เป็นสุขไหม เขาว่า ในป่าดีกว่าในเมือง ถามต่อไป ว่า แกเข้าเมืองบ้าง หรือเปล่า ตอบว่า ตอนนี้ไปบ่อยโว้ย ถามว่า ไปคนเดียวรึ หรือว่า 2 องค์ เขา บอกว่า ไม่ใช่หรอก ถามอีกว่า ในป่ามีเท่าไหร่ล่ะ ไอ้พวกลิง ๆ แบบนี้น่ะ ตอบว่า เยอะหลายตัว คณะเขาที่ตั้งกลุ่มกันอยู่ ประมาณสัก 30 ตัวกว่า พวกลิงนะ ไอ้ที่เขาไม่ลิงต่างหาก คือ พวกลิงหมายความว่า พวกซน เล่นอภิญญามีเยอะนะ แต่พวกนี้เข้ามาในเเมืองไม่ได้นะ ถ้าเขามาละ พวกเราตกนรกกันเป็นแถว ถ้าเข้ามา ประจันหน้ากับคนนะ ดีไม่ดีเข้ามาแบบนี้เดี๋ยวทำพระพุทธ ลอยเล่นหรือนั่งเอาหัวลง เอาก้นขึ้น เสียแล้ว เราเห็นก็จะว่า เอ พระองค์นี้ เล่นกลนี่หว่า บ้าๆ บอๆ เสร็จเลยเรา 500 ชาติ ว่าท่านบ้าๆ บอๆ เราก็ไปจวกบ้าเสีย 500 ชาติ นี่เขาต้องหลบ เพราะเหตุนี้นะ ท่านที่ทรงอภิญญาจริง ๆ แล้วก็ชอบซนนี่ แต่อภิญญาที่ไม่ซนเขามีนะ อภิญญาที่ไม่ซน และสู้หน้าคนเขามีอยู่ ถ้าอภิญญานี่ ต้องเข้าป่าหมด

    ท่านบอกว่า เข้ามาในเมืองบ่อยเพราะเวลานี้ เข้ามาบ่อยได้ ที่เข้ามาบ่อยได้ เพราะอะไร เพราะจิตใจ ของบุคคลที่ รักพระนิพพาน มีมากขึ้น แต่ว่า ลักษณะการมาของเขาน่ะ พวกเราไม่รู้หรอก แล้วแต่เขาชอบใจใคร บางทีพระ
    บิณฑบาต เขาก็เดิน ตามมาเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถ้าเรามีโอกาสใส่บาตร เขาหน่อย ก็รู้สึกมีคุณค่ามาก เพราะถ้าเขามาเขาต้องทรงอภิญญา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเป็นพระอรหันต์ด้วย เวลาจะเข้าอภิญญาสมาบัติ สมาบัติมันต้องเต็มที่ ถ้าไม่เต็มที่ มันมาเร็วไม่ได้ เพียงแค่ลัด นิ้วมือเดียว มันช้าไปช้ากว่า ตามพระบาลี บอกว่า แค่ลัดนิ้วมือเดียว ไม่รู้จะเอาอะไร เร็วกว่านั้น ใช่ไหม แต่เนื้อแท้แล้วทำจริงเร็วกว่านั้นมาก นี่ก็ชื่อว่า เป็นบุญของบรรดาประชาชน ที่พระอภิญญาในป่าเข้ามาเยี่ยมบ่อย ๆ แต่ทว่าเราจะรู้จักท่านไม่ได้ นอกจากว่า ท่านจะแสดง อะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างคุณหมอนั่น ที่ว่าแกเห็นนั่นน่ะใช่ ที่ว่า มาบิณฑบาตแกเห็นอยู่ดีๆ พอเปิดจีวรก็บาตรลูกเบ้อเริ่ม

    เลยแกก็สงสัยว่า พระองค์นี้ทำไมบาตรโต ไอ้เวลาเดินมาเห็นเท่าธรรมดานะแต่เวลาใส่ บาตรแล้วบาตรใหญ่ พอใส่บาตรแล้ว เงยหน้าขึ้นมาเจอะกัน ท่านบอกว่า โยม ขอกระติกน้ำร้อนลูกหนึ่ง แน่ะ ดันเสือกขอเอาด้วย พระนี่ไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณาไว้นี่ เขาห้ามขอนะ ถ้าขอเป็นอาบัติ แกก็รับว่า ครับ วันนั้น เป็นวันเสาร์ แกเลยบอกว่า วันจันทร์นิมนต์มารับ พอกลับมาจากใส่บาตร แกก็ให้ลูกชายไปซื้อกระติกสีเขียว มาเพราะ แกชอบสีเขียว อ้อ คุณหมออุดม ถ้าหากเป็น พระธรรมดา ขอให้ได้สีอื่น พอลูกชาย เอากระติกน้ำร้อน มาก็กลาย เป็นสีเขียวจริง ๆ แกบอกว่า ไม่ได้ตั้งจิตบังคับลูกชายหรอก แต่คิดว่าพระองค์นี้สำคัญ

    พอวันจันทร์ แกก็เตรียมเครื่องใส่บาตร เป็นกรณีพิเศษ สำหรับใส่บาตร ปกติแกก็ให้คนอื่นใส่ แกเองไม่ใส่ คอยนั่งจ้อง เอาน้ำร้อน น้ำชา มาใส่กระติกเสร็จ จัดอาหาร เป็นกรณีพิเศษ นั่งคอย จนพระบิณฑบาตหมดก็ ไม่เห็นพระองค์นั้นมา แกคอยจ้องดูกลัวจะจำไม่ได้ เดี๋ยวท่านจะผ่านไปโดยไม่เห็น แกก็คิดว่าถ้า 8 โมงเช้า แล้วไม่มาก็เป็น อันไม่มาแน่ ก้มลงมองดูนาฬิกา 8 โมง พออยากจะลุกก็โผล่ถึงพอดีแกก็เลย ถวายของไป ถวายกระติกน้ำไป

    พอต่อมาหมออุดมมาเล่าให้ฟัง ก็นึกในใจว่า ไอ้เสือนี่มาเล่นเขาเข้าแล้ว ตกกลางคืนพบกับเขา ก็ถามว่า นี่แกไปหลอกเขาหรือ ตอบว่า ฮึข้าไม่ได้หลอกนี่หว่า ค้านว่า ไม่ได้หลอกทำไมถึงบาตรใหญ่ อ้าวถ้าบาตรไม่ใหญ่ ก็ไม่สงสัย น่ะซี เออ เขาไม่ได้หลอก เขาทำให้สงสัย ว่าเขาไม่ได้นะ เลยถามว่า แล้วแกไปขอ กระติกน้ำ เขาทำไม ธรรมดาคนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ได้ปวารณาแกไปขอเขามาเป็นอาบัติ เขาก็เถียงว่า แกรู้เรอะว่า ข้าไม่ได้เป็นญาติกับหมอน่ะ บอกว่า จะเป็นญาติยังไง หมอกับแกไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อายุอานามก็ไล่เรียงกันถ้าเป็นญาติของแก ข้าก้ต้องรู้จัก เพราะว่า อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่า ชาติ นี้ ไม่ใช่ญาติ ก็ชาติก่อน เป็นญาติ นี่หว่า ถามว่า ทำไม แกก็ตอบว่า เห็นหมออุดมเป็นคนดี มีจิตใจเข้าถึงธรรม ก็ถามว่า หมออุดมนี่ มีกำลังถึง อรหันต์ไหม เขาก็เลยบอกว่า ถ้าหมออุดมไม่ยั้งตัวก็ถึงอรหันต์ นี่ เป็นอันว่า เขามากันบ่อย ๆ



    ที่มา http://www.firstbuddha.com/Real/apinya.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...