เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน อภิญญา หลวงปู่นาค วัดระฆัง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 29 มิถุนายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน อภิญญา หลวงปู่นาค วัดระฆัง
    [​IMG]
    เจ้าคุณเทพสิทธินายกหลวงปู่นาค วัดระฆัง เป็นคนดีในกรุงเทพฯ ในระยะใกล้ๆ หลวงปู่นาค วัดระฆัง นี่เคยรู้จักกับอาตมามาหลายปี เอาขั้นรู้จักนะ ไม่ใช่ดันไปเป็นเพื่อนกับท่าน

    ครั้งหนึ่ง ท่านไปที่วัดบางซ้ายนอก อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา เดี๋ยวนี้เขายกขึ้นเป็นอำเภอบางซ้ายแล้ว อาตมานอนหลับ พอท่านไปถึงท่านก็จับขากระตุก พอลุกขึ้นมาเห็นเป็นหลวงพ่อนาค เลยรีบลุกขึ้นกราบ แล้วปูพรมให้ท่าน อาตมาก็ไม่ใช่พระวัดนั้น จะไปเทศน์ ถึงเวลากลางคืนเขานิมนต์ท่านไปปลุกพระ ปูพรมแล้วท่านก็นั่ง แล้วก็มีพระมหาไว พระครูอดุลย์ อดุลย์วรวิทย์หรืออะไรก็ไม่ทราบ อดุลย์ก็แล้วกัน มหาไวเจ้าคณะอำเภอบางซ้ายคนปัจจุบัน หยิบพระให้องค์หนึ่งเป็นพระทำใหม่ ถามว่าพระองค์นี้เขาปลุกเสกใช้ได้ไหมขอรับ พอท่านหยิบปั๊บท่านก็บอกเลย

    บอกว่าพระที่ปลุกเสกพระองค์นี้น่ะรูปร่างขาวๆ ท้วมๆ ใช่ไหม อายุประมาณสัก 30 ปี พระครูอดุลย์ก็บอกว่าใช่ ท่านบอกว่า อือ เขาเก่งเหมือนกันนะ เขาเก่งเหมือนกัน ทำหนักไปในด้านคงกระพันชาตรี นี่เป็นจุดหนึ่งของหลวงพ่อนาคนะ เราเล่ากันจุดเล็กๆ ก็แล้วกัน

    จุดที่สอง ร้อยเอกไพบูลย์ นายทหารช่าง ช.พัน 1 สมัย ปี พ.ศ. 2502 หรือจะเป็น 2503 ก็ไม่ทราบ ปีนั้นอาตมาไปพักฟื้นที่วัดชิโนรสาราม จังหวัดธนบุรี หลังกองเรือเล็ก กองทัพเรือ ร้อยเอกไพบูลย์ก็ไปบวชอยู่ด้วย เวลาบวชก็อยากเจริญกรรมฐาน ก็สอนให้ตามแบบฉบับเท่าที่รู้ ความจริงก็ไมได้รู้มากนัก พอรู้บ้าง ไอ้รู้บ้างก็ไม่ใช่ว่ารู้ดี เท่าที่มีความรู้ก็สอนไป

    แกนั่งปั๊บคืนแรก เห็นคน 3 คน มายืนดำ ตัวใหญ่อยู่ข้างๆ ความจริงอาตมานั่งอยู่อีกห้องหนึ่งก็เห็นเหมือนกัน รู้ว่าเพื่อนเก่าของร้อยเอกไพบูลย์มาเยี่ยม เพราะตัวแกดำๆ แกเคยเป็นกุมภัณฑ์ ตอนเช้าแกก็รายงานเรื่องการเห็นให้ทราบ ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนเขามาคุ้มครอง แกก็กลัว คืนที่ 2 ทึ่ 3 แกก็ยังแสดงความกลัว ก็เลยนึกว่านี่ท่าจะไม่เป็นเรื่อง ถ้าขืนกลัวหนักๆ ประสาทจะแย่ ดีไม่ดีจะเป็นบ้าเอา พูดเท่าไรแกก็ไม่เชื่อแล้ว ก็เลยบอกว่าเอายังงี้ก็แล้วกัน คืนที่ 4 นี่ หาดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปหาหลวงพ่อนาค วัดระฆัง เพราะในพรรษานั้นท่านสอนพระกรรมฐาน ตอนค่ำก็ไปนมัสการท่านก่อนสองทุ่ม เวลาสองทุ่ม ท่านลงมือให้นักปฏิบัติกรรมฐานเจริญกรรมฐาน

    เวลาทุ่มเศษๆ ก็ไปพบท่าน เลยบอกร้อยเอกไพบูลย์ เป็นพระแล้ว เข้าไปนมัสการ พอส่งพานให้ท่าน พอกราบเงยหน้าขึ้นมาท่านก็บอกเลย จะไปกลัวทำไมผี ไอ้ 3 คนที่มันมายืนอยู่ข้างๆ นี่มันเพื่อนเก่าของเรานี่ เขามายืนอารักขารักษาความปลอดภัยให้ ไม่น่าจะกลัว ต่อจากนี้ไปไม่ต้องกลัวนะ เรามีครูบาอาจารย์ ( เวลานั้นถือฉันเป็นครู ) ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งหมด เราจะได้ดีนะ ทำให้ดีจะได้ดี นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านรู้ เอาเรื่องที่ท่านรู้โดยไม่ต้องบอกมาคุยกัน ท่านจะรู้เพราะอะไรก็ช่าง

    ตานี้มาอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องรถนายทหารหาย นายทหารคนนี้ก็เป็นทหารผู้ใหญ่แล้ว ไม่เอาชื่อมาคุยดีกว่า เป็นอันว่าเรื่องก็มาจากร้อยเอกไพบูลย์ เหมือนกัน ร้อยเอกไพบูลย์ มารายงานให้ทราบบอกรถเจ้านายหาย ไปดูหนังที่โรงหนังสือคิงส์หรือแกรนด์ก็ไม่ทราบ เป็นรถประจำตำแหน่ง ไม่ทราบว่าไปไหน เขาบอกให้ดูให้ด้วย เลยบอกว่า ถ้าหลวงพ่อนาคยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ยอมพยากรณ์ ข้าวของดีๆ มีค่าสูงยังมีอยู่ละก็ไอ้ของญี่ปุ่นไม่น่าจะขาย ไม่น่าจะโฆษณา อ้าว ไม่ได้แอนตี้ของญี่ปุ่นกะเขานา นี่เปรียบเทียบให้ฟัง ของเยอรมันทำของแข็งแรง ของญี่ปุ่นทำของไม่แข็งแรง ขายราคาถูก ก็แบบความรู้ของอาตมากับความรู้ของหลวงพ่อนาค

    ความรู้ของหลวงพ่อนาคเหมือนของเยอรมัน แข็งแรงมั่นคง ของดีจริงๆ ไอ้ของอาตมานี่มันของญี่ปุ่นใช้อะไรไม่ค่อยได้ บางมันก็ดีแต่ไม่ดีเสียมากกว่าดี ก็เลยบอกว่า ถ้าหลวงพ่อนาคยังมีชีวิตอยู่ ฉันไม่ดูให้แก แกไปหาหลวงพ่อนาค ก็ไปหาหลวงพ่อนาคกัน พร้อมกับจ้าวนายของเขาเอาดอกไม้ธูปเทียนไป พอประเคนดอกไม้ธูปเทียน 2 คน ก็กราบ กราบพอเงยหน้าขึ้นมาท่านก็พูดเลยว่า ไอ้รถของคุณน่ะ ไม่ต้องไปวิตกกังวลหรอก พรุ่งนี้เวลาประมาณสักบ่าย 5 โมง จะมีตำรวจเอามาส่งให้ ตำรวจเขาจับไว้ ทางด้านสายเหนือของจังหวัดพระนคร เลี้ยงดูกันตามสมควร คือเราขอบใจเขา พอพูดจบท่านก็ถามว่าเออ

    ขอโทษเถอะไอ้ฉันมันคนแก่พูดเลอะเทอะไปนี่มาธุระอะไรกันนี่ พอเท่านั้นแหละ พ่อเจ้าประคุณ 2 คน ก็บอกว่าจบเรื่องแล้วขอรับหลวงพ่อ เรื่องนี้ก็มีแค่นี้นะ ฟังแค่นี้แล้วก็คิดไว้ด้วยว่าท่านรู้แบบไหน นี่ไม่บอกให้ฟังเพราะเป็นเรื่องเล่าให้ฟัง

    แล้วก็มีอีกตอนหนึ่ง นายตำรวจสมัย คุณเผ่า เวลานี้ยังรับราชการอยู่ เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แล้วไม่ออกชื่อหรอก ประเดี๋ยวแกจะว่าเอา ออกชื่อไม่ได้ สมัยนั้นเป็นร้อยตำรวจโท พระของแกหาย พระพุทธรูปขนาด 5 นิ้ว ราคาก็ร้อยกว่าๆ แต่ว่าคนไปล้วงคองูเขียวตายเข้านี่มันโมโห ที่เรียกว่างูเขียวตายเพราะอะไร เพราะเวลานั้น แกไปรับราชการไปทำงาน ไปอยู่เวรที่โรงพัก ทีนี้พระอยู่ที่บ้าน คนขโมยที่บ้าน จะหาว่าแกเผอเรอไม่ระมัดระวังไม่ได้ เพราะแกไม่ได้อยู่ ก็เหมือนกับงูเขียว แต่ว่าตายแล้ว เพราะบ้านมันจะคุ้มครองอะไรได้

    เมื่อพระแกหายก็มาถาม แกถามว่าพระของผมใครลักเอาไปขอรับ ก็เลยบอกว่าคุณจะมาถามอะไรฉัน ในเมื่อพระของคุณหาย แล้วอีกประการหนึ่งท่านที่มีความรู้ดีกว่าฉัน คือหลวงพ่อนาค ถ้าคุณอยากจะรู้คุณไปถามหลวงพ่อนาคก็แล้วกัน แล้วคุณจำไว้นะ ถ้าหากว่าหลวงพ่อนาคยังมีชีวิตอยู่เพียงใด ถ้าหากว่าคุณมีความขัดข้องใดๆ ก็ตาม ถ้ามาถามฉัน ฉันจะไม่บอก เพราะว่าหลวงพ่อนาคดีกว่าฉันหลายล้านเท่า ไปหาหลวงพ่อนาคก็แล้วกัน เป็นอันว่าแกก็ไปหาหลวงพ่อนาค

    พอเอาดอกไม้ธูปเทียนไป ก็กราบ เจตนาของแกมีอยู่ว่า ถ้าแกรู้ตัวเมื่อไรแกจะยิงทิ้งทันที ในฐานะที่ย่องมาล้วงคองูเขียวตาย คือบ้านคำว่างูเขียวในที่นี้หมายถึงบ้านแล้วก็ตาย เพราะบ้านมันพูดไม่ได้มันเลื้อยไม่ได้ เหมือนกับงูเขียวตาย ไม่มีพิษ แต่ว่าเจ้าของพระเป็นงูเห่าแล้วก็มีพิษมาก อาตมาก็ทราบเจตนาของแก สีหน้าของแกบอกอาการของแกบอก คิดว่าอีตานี้ถ้ารู้ตัวเมื่อไรแกยิงทิ้งแน่ เพราะสมัยนั้นเป็นสมัยยิงทิ้ง

    แกกราบลงไป 3 วาระ พอเงยหน้าขึ้นมา หลวงพ่อนาคหรือท่านเจ้าคุณเทพสิทธินายก องค์เดียวกันก็บอกว่า คุณ คุณจะไปฆ่าจะไปแกงเขาทำไม คุณคิดจะไปฆ่าเขานะประโยชน์มันดีที่ไหน พระพุทธรูปองค์เดียวราคา 100 กว่าบาท เวลานี้คุณเป็นร้อยตำรวจโทกินเงินเดือนเท่าไร แล้วต่อไป ถ้าคุณยังไม่ออกคุณอาจจะได้เลื่อนยศเป็นนายพันนายพลก็ได้ แล้วเงินเดือนมันเดือนละเท่าไร ถ้าคุณไปฆ่าเขาตายบังเอิญเขาต่อสู้ หมายความวาญาติของเขาฟ้องร้องขึ้นมา

    คดีถึงโรงศาลคุณก็จะติดคุกติดตะราง เมื่อเวลาคุณติดคุกติดตะรางน่ะ เงินเดือนจะได้หรือเปล่า เงินเดือนมันก็ไม่ได้ ศักดิ์ศรีของคุณก็เสียไป อนาคตก็ถูกบั่นทอน แล้วลูกเมียข้างหลังก็จะมีแต่ความลำบาก จะหากินเองมันจะสะดวกที่ไหน นี่คุณคิดไม่ถูกนี่ พระราคา 100 กว่าบาท แล้วคุณคิดจะฆ่าเขานอกจากนั้นคุณตายแล้ว คุณยังจะต้องตกนรกอีก เมื่อเราอยากได้พระใหม่ เราก็ไปซื้อมาใหม่ มันก็หมดเรื่องกันไป ท่านพูดมากกว่านี้นา แนะนำถึงเรื่องสวรรค์เรื่องนรกอยู่นาน ประมาณค่อนชั่วโมง

    เมื่อพูดจบ ท่านก็ถามว่าขอโทษเถอะคุณ คุณมาธุระอะไร ฉันน่ะเป็นคนแก่นะ พูดเลอะๆ เลือนๆ แบบนี้ บางทีใครเขามาก็พูดส่งเดชไปตามอารมณ์คนแก่นะคุณนะ อย่าถือสาหาความกันบคนแก่เลย พ่อเจ้าพระคุณ ร้อยตำรวจโทคนนั้น เวลานี้เป็นนายพันแล้ว ใครก็ช่างแกก็เลยกราบอีก 3 ครั้ง บอกหลวงพ่อขอรับ เรื่องที่ผมต้องการจะรู้น่ะ จบไปแล้วขอรับ ที่หลวงพ่อพูดน่ะ ตรงตามความเป็นจริง

    ท่านก็บอก เอ๊อะ ยังงั้นเรอะ ขอโทษเถอะ ไอ้ฉันคนแก่มันก็พูดส่ง บางทีนั่งอยู่คนเดียวมันก็พูดนาคุณนา ไม่ได้พูดแต่กับคุณหรอก เวลาเห็นใครเขาบางทีมันก็นึกอยากจะพูดส่งไปยังงั้นแหละ แต่หลายคนเขาก็พูดว่าไอ้ที่พูดน่ะมันตรงตามความเป็นจริง ไอ้ธุระที่เขามามันก็หมดไป ฉันว่ามันก็เป็นเรื่องบังเอิญนะ นี่เป็นเรื่องของหลวงพ่อนาคตอนหนึ่งนะ ท่านผู้ฟัง ท่านจะคิดว่าหลวงพ่อนาคท่านรู้เรื่องยังงี้ได้ด้วยอะไร ด้วยญาณหรือเดาก็ตามใจเถอะ ไม่ได้ว่าอะไรนะ นี่มาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น

    ?

    ตานี้มาคุยกันต่อไปถึงเรื่องของหลวงพ่อนาค ก็คือพระลงอเวจี

    พระองค์นี้ก็ออกชื่อไม่ได้เหมือนกัน ถ้าออกชื่อเมื่อไรอาตมาเห็นจะติดตะรางเมื่อนั้น เพราะลูกศิษย์เยอะเหลือเกิน พระที่วัดไหน จังหวัดไหน ก็ไม่บอกอีกเหมือนกัน ถ้าใครขืนเดา เดาผิดแล้ว จะมาโทษกันไม่ได้นะ ไม่ยอมรับ บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ยอมรับ เรื่องนี้ไม่รับ ใครอย่ามาถามเลยยันตาย ไม่พูดหรอก ถ้าขืนพูดเมื่อไรมันตายก่อนเวลา ไม่เอาแล้วเรื่องจริง

    เรื่องก็มีอยู่ว่าวันหนึ่งมีอาจารย์วิปัสสนา สมัยโน้น สมัยยังไม่ถึงกึ่งพุทธกาล ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากสมัยนั้น สมถะ วิปัสสนาเพิ่งจะก้าวขึ้นสู่ระดับตาของชาวโลก ความจริงสมถวิปัสสนามาตรฐานนี่มีมานานแล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ หรือก่อนพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ แล้วพระพุทธเจ้าก็มาคิดใหม่ ค้นคว้าใหม่ ได้อริยสัจแล้วก็สอนกันเรื่อยมา ยังระบบนิพพาน

    ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็สอนกันเรื่อยมา แล้วมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดมีวิปัสสนาเบสิคเกิดขึ้นอีกหน่วยหนึ่ง แต่ท่านก็เรียกว่าวิปัสสนาเหมือนกัน อันนี้สำหรับผลอาตมาจะไม่พยากรณ์ เพราะว่าไม่ได้เข้าไปร่วมสำนัก จะถือว่าไม่มีผลน่ะไม่ได้ ความจริง การเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นไปตามอัธยาศัยของบุคคล จะทำให้เหมือนกันน่ะมันไม่ได้ แบบเดียวกัน แต่พลิกแพลงไปคนละจังหวะกัน เหมือนกัน ได้ผลดีเหมือนกัน อย่าไปโทษกันนะ

    นักวิปัสสนา ถ้าทำไม่เหมือนกันละอย่าไปว่าเขาผิด อย่าไปว่าเขาถูก ปล่อยเขา เพราะเรื่องผลมันเป็นปัจจัตตัง รู้เอง แล้วการบรรลุมรรคผล มีกิริยาไม่เหมือนกัน อย่างแม่ชีคนหนึ่ง ไม่ใช่นางภิกษุณี ฟังเทศน์มาเกือบล้มเกือบตายไม่ได้อรหัตผล พอกลับมาถึงกระท่อม ตักน้ำล้างเท้าก่อนจะขึ้นกระท่อม น้ำไหลไปแล้วก็หยุด แล้วมองดูน้ำ นึกว่าชีวิตเรากับน้ำมีสภาพเหมือนกัน เมื่อมีการเคลื่อนไปในที่สุดก็หยุด ไม่ช้าเราก็ตายเราจะเกิดสักกี่ชาติก็มีสภาพเป็นแบบนี้ เท่านี้ท่านก็บรรลุอรหันต์ พระบางองค์ฟังเทศน์เกือบตายไม่ได้สำเร็จอรหันต์ ไปนั่งดูพยับแดด พอตอนเย็นพยับแดดหายไป สำเร็จอรหันต์ เห็นเป็นอนัตตาเทียบกับตัว นี่การเป็นอรหันต์บรรลุมรรคผล มีจริยาท่าทางไม่เหมือนกัน แต่กำลังจิตเหมือนกัน

    ฉะนั้นอาการของการเจริญวิปัสสนาแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน แต่ถ้าใช้กำลังจิตถูกต้อง ตรงกับที่พระพุทธเจ้าแนะนำ ก็เป็นอันว่าใช้ได้ ฉะนั้นวิปัสสนาแบบเบสิค แบบไหนก็ช่าง ใครเป็นอาจารย์ก็ช่าง ใครเป็นต้นคิดก็ช่าง ไม่พูดให้ฟัง ท่านจะมีผลเป็นยังไง ท่านก็สอนกับท่านผู้เจริญเท่านั้นจะทราบผล พวกเราทุกคนภายนอกจะรู้ผลไม่ได้ ฉะนั้นอย่าไปประณามกัน ว่าของคนนั้นไม่ดีของคนนี้ไม่ดี ดีเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดก็ดีที่เคยเจริญ มีจิตตกอยู่ในสันโดษ ถ้าว่านั่งทำตัวเป็นตัวเองอยู่สักพักหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำเลย

    ตานี้มาว่ากันถึงอาจารย์ผู้นี้ ท่านเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาแบบเบสิค สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านเริ่มต้นก่อน หรือใครจะก่อนท่านก็ไม่ทราบ รู้ว่าองค์นี้มีชื่อเสียงฟุ้งขจรไปมาก ต่อมาท่านก็ตาย เรื่องธรรมดาตาย ไม่ใช่ของผิดธรรมดา คนเกิดมาแล้ว ไม่ตายไม่มี เมื่อตายแล้วเขาก็ทำศพ มีนายทหารเรือหลายคนไปนั่งอยู่ แล้วมีนายทหารเรือบางท่านบวชเป็นพระ อาตมาก็ย่องไปกับเขาเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ไปในฐานะบังสุกุลหรือพระเทศน์ ไม่ได้สตางค์คราวนั้น

    ผีพระองค์นี้ไปแล้วก็จน ไม่ได้เงินมา ก็มีหลายพันผีที่ไปแล้วได้เงินมา แต่เพราะอาศัยได้เงินผีได้ของผีมาใช้ เลยไม่ช้าอาตมาก็เป็นผีเหมือนกัน เพราะดันไปใช้ของผีเข้า กินข้าวในงานผี ใช้ผ้าเขาเผาผี เขาถวายผ้าไตร เงินในงานของผีเขาติดกัณฑ์เทศน์ ค่ามาติกา บังสุกุลเขาถวาย ขืนใช้เข้าไปชื่อผีมันก็ติดมากลายเป็นผีไปหลายครั้งแล้ว

    เมื่อปี พ.ศ. 2515 หามตัวเข้าโรงพยาบาล ไม่กินข้าวไม่กินน้ำมา 9 วัน เกือบเป็นผี แต่ความจริงถ้าเป็นผีเสียตอนนั้นน่ากลัวมันจะสบาย เพราะอะไร เห็นที่อยู่สวยแจ๋วเทียว สวยกว่าการตายทุกครั้งหมด แต่คราวนี้ไม่ทันตาย ใจมันเห็น แหมมันสวยจริงๆ อยากไปอยู่จัง ช่างเถอะจะไปอยู่เมื่อไหร่ก็ช่าง ไม่ดิ้นรน เพราะมีความหวังอยู่แล้ว

    ตานี้เมื่อพระองค์นั้นตาย อาตมาก็ไป ไปฐานะไปเผาพระ มีนายทหารเรือคนหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเรือเอก ชื่อเรือเอกเสงี่ยม จำนามสกุลไม่ได้เสียแล้ว แกบวชพระแล้วก็นั่งอยู่ใกล้หลวงพ่อนาค พอนั่งใกล้ๆ แล้วก็ถามหลวงพ่อนาคว่า หลวงพ่อนาคขอรับ ท่านองค์นี้ตาย เขาจัดศพเป็นงานใหญ่ หลวงพ่อมีความรู้สึกเป็นยังไงขอรับ หลวงพ่อนาคก็บอกว่าเอ๊อะ ข้าจะมีความรู้สึกยังไง ก็ในเมื่อคนมันไปอเวจีเสียแล้ว อาตมานั่งรองลงมาข้างท้ายก็สงสัย ท่านบอกว่าคนนี้ไม่ใช่พระ ก็ยกมือพนมกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อหมายถึงใครขอรับ คำว่าคนไปอเวจีน่ะ

    ท่านก็เลยตอบว่า ไอ้คนที่เขาจัดงานศพวันนี้น่ะซิไปอเวจี ก็เลยกราบเรียนท่านว่า หลวงพ่อเป็นพระนะขอรับ ไม่ใช่คน ท่านบอกว่าพระเมื่อไร ข้าเรียกคนนี่ยังสูงไปแล้วนา แต่ความจริงมันเป็นสัตว์นรกมาตั้งแต่ก่อนตาย ไอ้คนเราจะตาย จะเป็นพรหมต้องเป็นพรหมก่อนตาย ถ้าจะเป็นเทวดาก็ต้องเป็นเทวดาก่อนตาย จะเป็นสัตว์นรกก็เป็นสัตว์นรกก่อนตาย ใครจะไปนิพพานก็เข้าถึงนิพพานก่อนตาย ก็เจ้านี่มันเป็นสัตว์นรกก่อนตาย นี่ไปอเวจีแล้ว เสร็จกัน แล้วท่านก็เผา

    เมื่อเขาเผาเสร็จ เอาดอกไม้จันทน์ไปใส่แล้วก็กลับมา กลับมาที่กุฏิ พวกคณะนายทหารเรือด้วยแล้วก็มีคนหลายคนตามหลวงพ่อนาคมา เมื่อท่านนั่ง พวกเราก็กราบอีกวาระหนึ่ง เพราะมีความเคารพเต็มที่ สำหรับหลวงพ่อนาคนี่ อาตมามีความเคารพเต็มที่ หมายความว่า เคารพหมดตัว ไม่มีเหลือ ไม่เคยนึกตำหนิว่า ตรงไหนของท่านไม่ดี ไอ้ร่างกายน่ะไม่ดีจริง แต่ด้านจิตใจของท่านดีจริงๆ หายาก ไหว้มานานเรียกว่าไหว้ตั้งแต่ก่อนออกจากรุงเทพฯ ไปอยู่ต่างจังหวัด องค์นี้เต็มใจไหว้

    แต่บางคนที่มียศใหญ่ บางทีไหว้นิดเดียว ยกมือขึ้น 10 นิ้ว แต่ว่าให้นิ้วเดียว ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าเกรงใจ ยศใหญ่แต่ใจสกปรก สำหรับท่านที่มียศใหญ่แต่ใจสะอาดก็มีเยอะ อันนี้ไหว้หมด 10 นิ้ว แล้วก็แถมหัวด้วย เป็นอันว่าเมื่อท่านมาแล้ว ถึงกุฏิก็กราบ กราบแล้วก็คุยกัน คุยหลายเรื่อง แต่ไม่ใช่เรื่องพระองค์นั้น คุยไปคุยมาก็เลยถามว่าหลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อตายแล้วไปไหน ข้าจะไปรู้หรือหว่า นี่ข้ายังไม่ตายนี่ เลยกราบเรียนท่านว่าคนอื่นเขาตายหลวงพ่อรู้นี่ว่าไปอเวจี แล้วหลวงพ่อตายแล้วหลวงพ่อจะไปไหนล่ะ ท่านก็บอกข้ายังไม่ตายนี่ ข้ายังไม่รู้ บอก ต้องรู้ขอรับ หลวงพ่อบอกนี่ ว่าตายแล้วจะไปเป็นพรหมก็ต้องเป็นพรหมก่อนตาย

    ถ้าจะเป็นเทวดาก็ต้องเป็นเทวดาก่อนตาย ถ้าจะไปนิพพานก็ต้องเห็นนิพพานก่อนตาย จะลงนรก อบายภูมิ เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องถึงสภาพอย่างนั้นก่อนตาย ตานี้ผมถามหลวงพ่ออีก ก่อนตายนี่หลวงพ่อไปไหน แล้วก็เวลาตายแล้วหลวงพ่อจะไปไหน ท่านก็นั่งมองหน้า บอก แหม ไอ้นี่มันปากตะไกรจริง อาจารย์มันถึงเรียกไอ้ลิงดำ มันไม่ใช่ปากคน ปากลิง บอกดีขอรับปากลิงกินได้ทุกอย่าง ท่านก็หัวเราะชอบใจ บอกเอางี้ก็แล้วกันนะ ถามว่าเอาไงขอรับ เอางี้ เจ้าคุณธรรมพี่ชายข้านา คำว่าพี่ชายอาจจะไม่ใช่พี่ตัวก็ได้ เพราะว่าเป็นคนรุ่นก่อน เรียกว่าบวชก่อนเจ้าคุณธรรมนี่ เวลาท่านจะตาย ท่านเจ็บหนัก

    ท่านได้อรหัตผลตอนนั้น แล้วก็เวลาท่านตายท่านก็เลยไปนิพพาน แล้วข้าไปไหนข้าไม่รู้ว่ะ เวลาตายข้าจะไปไหนข้าไม่รู้ ก็เลยกราบเรียนท่านว่าคนที่จะรู้ว่าคนอื่นได้ฌานสมาบัติขนาดไหนก็ดี หรือเป็นพระอริยเจ้าอันดับไหนก็ดี ถ้าตัวเองเข้าไม่ถึง ตามพระไตรปิฎกท่านบอกว่าไม่รู้ เหมือนกับคนเรียนหนังสือ คนเรียนประถมปีที่ 1 จะไปรู้เรื่องของประถมปีที่ 4 ไม่ได้ พวกเรียนประถมปีที่ 4 จะรู้เรื่องของชั้นมัธยมไม่ได้ คนที่เรียนชั้นมัธยมจะไปรู้เรื่องตามหลักวิชาการของคนที่เรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ นี่กฎของความจริงเป็นยังงี้ แล้วถ้าหลวงพ่อไม่เป็นอรหันต์ แล้วจะรู้ว่าเจ้าคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ยังไง ท่านบอกกูไม่รู้โว้ย ก็นึกเอายังงั้นนี่หว่า นึกว่าท่านเป็นพระอรหันต์อีตอนใกล้จะตาย พ่อเล่นไม่ตายแบบนี้ พ่อเอาหัวขนเอาเฉยๆ

    ก็เป็นอันว่าเรื่องของหลวงพ่อนาคสำหรับวันนี้นะยุติกันเพียงเท่านี้ ต่อไปนี้เริ่มชั่วโมงใหม่

    วันนี้วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ตอนเที่ยงวันนี้จะไปหาหมอ บอกไว้ด้วย ร่างกายมันไม่ค่อยดี ช่างมันเถอะ แต่ว่าท่านเจ้ากรมเสริมแกเอาการบ้านมาให้ก็เลยทำส่งไป ทำการบ้านแบบนี้ ความจริงมันก็เป็นปฏิปักษ์กับโรคที่มันเป็นอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไร มันใกล้จะจบแล้วก็ดี เจ้ากรมเสริมเป็นคนช่างจำดีมาก ไอ้เรื่องแบบนี้มันเรื่องเบาสมอง ฟังแล้วไม่ต้องคิด อ่านแล้วไม่ต้องคิด เป็นนิทานเล่าสู่กันฟัง

    เรื่องของหลวงพ่อนาค เขียนไว้อีกข้อเดียว คือเรื่องดูใจเวลาปลุกพระ นี่เรื่องมันเกี่ยวกันกับอาตมา ต้องขอประทานโทษบรรดาท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟัง เมื่อฟังแล้วอ่านแล้วก็อย่าคิดว่าอาตมาเป็นผู้วิเศษ อย่าคิดยังงั้นนะ จงคิดเสียว่าอาตมาก็เป็นเถรหัวล้านธรรมดาๆ ไม่มีอะไรดีกว่าท่านผู้ฟัง เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย กินแล้วก็ขี้ ตื่นแล้วก็หลับ ธรรมดา ปวดเมื่อยไม่สบาย ปวดฟันตาฟ้าหูฟางเหมือนกัน พูดจาเอะอะโวยวายหยาบคายก็ได้ พูดนิ่มนวลก็ได้ ทำท่าเป็นผู้ดีก็ได้ ทำท่าเป็นสิงห์หน้าพลับพลาก็ได้ ทำเป็นหมาเห่าชาวบ้านก็ได้ เป็นทุกอย่าง ไอ้ที่ทำอย่างนั้น เพราะใจมันเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนหลวงพ่อนาค ท่านดีจริงๆ เลยยอมรับนับถือท่าน

    มาครั้งหนึ่ง ที่วัดชิโนรสาราม ธนบุรี ตอนนั้น สมัยนั้น เจ้าคุณสุวรรณเวที(ทองดี) อดีตเป็นพระของวัดระฆังมาเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ทำพิธีพุทธาภิเศก ปลุกพระเรียกว่าบวชพระพุทธเจ้า พระเครื่องนี่เขาทำรูปเปรียบพระพุทธเจ้าบ้าง บางทีก็ทำรูปเปรียบของพระสงฆ์ แต่วันนั้นทำรูปเปรียบเฉพาะพระพุทธเจ้า ก็เลยเรียกว่าไปบวชพระพุทธเจ้ากัน ปลุก ไม่ใช่บวชกระมัง ท่านกำลังหลับ ไปปลุกให้ตื่น ท่านมีหน้าที่ปลุกเขานิมนต์มา 9 องค์ พระอะไรบ้างก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้จักมีอยู่หลายองค์ แต่พูดถึงอยู่ 2 องค์ คือ หลวงพ่อนาค กับพระครูธรรมาภิราม พระแขนสั้นแขนยาวนครปฐม นอกนั้นที่รู้จักก็มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกัน ในสมัยนี้ก็โด่งดัง

    สมัยนั้นก็โด่งดังอีก 7 องค์ แต่ไม่พูดถึงหรอก คือพูดถึงไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกด่า เวลาท่านปลุกพระ สำหรับพระครูธรรมาภิราม รู้จักอาตมาดี อาตมาเรียกหลวงน้า พอเจอะท่านเข้าก็คุยตามแบบฉบับ ทีแรกก็ทำท่าเป็นพระติ๋มๆ เพราะไม่เคยรู้จักใคร พออาตมาเข้าไปก็เลยออกท่าตามแบบฉบับ ออกท่าอะไรทราบไหม ท่าลิง ก็ไปยั่วท่านด้วยอาการต่างๆ ท่านก็ทำโน่นทำนี่ ชาวบ้านเขาก็เลยรู้สึกว่าท่านจะล่อกแล่กไปหน่อย ก็เลยบอกว่าหลวงน้า ไอ้แก้วน้ำน่ะ มันอยู่ไกลผม

    หลวงน้าช่วยหยิบมาให้ทีเถอะ ท่านบอก เฮ้ย แขนกูหยิบไม่ถึงนี่หว่า ก็เลยบอก เอ๊อะ พระจะปลุกพระนี่ เอาพระที่ไม่มีฤทธิ์มามันก็เสีย เสียของเปลืองที่ ไม่เอา ถ้าหยิบแก้วน้ำไม่ได้ก็นิมนต์กลับวัด ไม่มีประโยชน์ พระแบบนี้ ความจริงตอนนั้นพระคณาจารย์หลายองค์ก็นั่งอยู่ด้วย แต่เราไม่เกี่ยว เราคุยกับน้าชาย ท่านบอกไอ้นี่มันดูผิดคนนี่หว่า หนอยแน่มันดูถูกนี่หว่า หาว่ากูหยิบไม่ได้เรอะ ก็ตอบว่าไม่ได้ดูถูก แต่ว่าหยิบไม่ถึง นิมนต์กลับวัดเลย เอามารกที่ พระประเภทนี้ เสียศักดิ์ศรีครูบาอาจารย์

    นี่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานนะ แล้วก็เป็นหลานชายหลวงพ่อปานด้วยนะ ไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างเดียว มองหน้าเป๋ง เออ มึงดูถูกกู กูก็เอาได้วะ เรื่องอะไร ท่านก็ยื่นแขนซ้ายออกไปมันก็ไม่ถึง เลยเอาแขนขวาตบตรงข้อศอก บอกแขนยาวออกไปซิหว่า ไอ้แขนมันค่อยๆ ยาวออกไปๆ ความจริง ไอ้แก้วน้ำตั้งอยู่ห่างสุดแขนท่านสักเมตรหนึ่งเห็นจะได้หรือเมตรเศษๆ ในที่สุดท่านก็หยิบแก้วน้ำมาส่งให้ คนพวกนั้นมองกันตาตั้งหมดแปลกใจว่าพระทำได้ ท่านก็บอก ไอ้นี่มันเป็นยังงี้ละ ถ้าไปเจอะมันเข้าทีไรมันทำเสียผู้ใหญ่ทุกทีแหละ มันให้เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ ไม่เล่นมันก็ว่า เราจะให้มันทำมั่งมันก็บอกว่ามันลูกศิษย์รุ่นหลัง มันเล็กกว่า มันไม่ทำ

    นี่ให้มันทำอะไรซี มันไม่ทำหรอก แล้วมันก็ไม่ทำจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่า หลวงน้า คือหลวงพ่อปานนะ ท่านเรียกหลวงน้า หลวงน้าท่านสั่งมันไว้ ห้ามไม่ให้ทำ มันก็เลยเลิกทำ ไอ้นี่เคารพคำสั่งครูบาอาจารย์จริงๆ ไอ้เราไม่ถูกจำกัดนี่ มันก็เลยใช้ให้เราทำอะไรต่ออะไรเรื่อยไป ชาวบ้านเขาถามว่าไม่โกรธมันรึ ลูกหลาน บอก โกรธมันยังไงไปด่ามันเข้าซี ดีไม่ดีมันล้วงย่ามเอาสตางค์หมด ไม่ได้หรอก ไปด่งไปด่ามันไม่ได้หรอก ถ้ามันจะว่าอะไร จะใช้อะไรก็ต้องตามใจมัน เดี๋ยวมันไม่ชอบในมันก็หยิบก็ล้วงเอาตามพอใจ เขาก็ถามว่าไม่บาปเรอะ มันจะบาปยังไง มันลูกมันหลาน มันเอาไปแล้วก็เลยนึกให้มันไปเลย ไม่เอาโทษเอาโพยกับมัน

    นี่เล่าเรื่องตอนต้นนะ สำหรับครูธรรมาภิราม

    ทีนี้ถึงเวลาปลุกพระจริงๆ เก้าองค์เข้าไปนั่ง อาตมาเองคิดในใจ ว่าเราก็ไม่มีความรู้อะไร ความดีด้านสมาธิก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นคนธรรมดาๆ เป็นพระเดินผ่านหน้านรกไปผ่านหน้านรกมา เดินห่างนรกอยู่ครึ่งนิ้วเท่านั้นเอง ถ้าเผลอเมื่อไรหัวก็ทิ่มนรกเมื่อนั้น ก็เลยนึกในใจว่าเอาพระ 9 องค์นี้องค์ไหนมีอานุภาพมากบ้าง อยากรู้ก็เลยเข้าไปในโบสถ์ เขาปลุกในโบสถ์ ไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ สำหรับพระที่ปลุกพระเขาทำเก้าอี้ให้นั่ง เอาไม้ไผ่มาทำเก้าอี้ เขาบอกว่าถ้าปลุกด้วยเก้าอี้ไม้ไผ่มันขลังดี ไอ้นั่นเรื่องของอุปาทาน ไม่เกี่ยว เรื่องของคนคิด

    เมื่อไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า คือมองดูพระประธานเป็นกำลัง ขอบารมีพระพุทธเจ้าได้โปรดสงเคราะห์ ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะดูอานุภาพจิตของพระแต่ละองค์ที่มานั่งปลุกพระในวันนี้ ถ้ากระแสจิตของบุคคลใด มีขนาดเท่าใด มีอานุภาพอย่างไรก็ขอให้ปรากฏแก่อารมณ์ของข้าพระพุทธเจ้า นึกเท่านี้นะ

    อธิษฐานเอาตามเรื่อง ตามเรื่องของคนที่ไม่มีฌานสมาบัติชั้นดีอย่างเขาหรืออาจจะไม่มีเลย พออธิษฐานเท่านั้นก็จับลมหายใจเข้าออก ทำจิตสงบนิดหนึ่ง ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ นี่เป็นอำนาจของพุทธานุภาพจริงๆ นะ ไม่ใช่ความดีของอาตมา เห็นกระแสจิตของพระทุกองค์ใสแจ๋ว เหมือนกับเห็นของในเวลากลางวัน สำหรับกระแสจิตหลวงพ่อนาคนี่พุ่งออกมาใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด เรียกว่าแสงสว่างของจิตแทรกลงไปในเครื่องของขลังอยู่ที่ผิดด้านหน้า ยันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมด อาบลงไปหมดเลย โพลงสว่างชัด ของพระครูธรรมาภิราม พุ่งออกมาเหมือนหอก เป็นกระแสเล็กแต่พุ่งแรงมาก

    แสดงว่าพระครูธรรมาภิราม เป็นพระนักเลง ชอบคงกระพันชาตรี ของหลวงพ่อนาคนี่เต็มไปด้วยอำนาจพระพุทธบารมีจริงๆ มีความเยือกเย็นสบายๆ ยังไงชอบกล แต่พระอีก 9 องค์ มองดูไปแล้วกระแสจิตไม่ได้ออกมา เหมือนกับจุดเทียนจุดริบหรี่ ปักอยู่ในอกนั่นเองอยู่เฉยๆ เป็นดวงนิดหนึ่ง แล้วก็อยู่ในอกเฉยๆ ก็นั่งดูอยู่ยังงั้นจนกว่าเขาจะเลิกปลุกกัน

    เมื่อถึงเวลา 23 น. เศษๆ ก็หมดสัญญาณการปลุก ความจริงการปลุกพระนี่ ไม่ต้องใช้เวลามาก ถ้าใช้เวลามากแล้วไม่มีผล ควรจะให้พระกำหนดกันเอง ปลุกพร้อมกัน ใครเต็มเมื่อไรก็พัดผ่อนได้เมื่อนั้น แต่ยังไม่ลุกออกมา ยังงี้จะดีมาก แล้วเวลาปลุกพระ ต้องใช้กำลังสมาธิสูงมาก ถ้าพระได้สมาบัติยังต่ำหรือโยเยอยู่ ยังไม่มั่นคงนัก จิตจะส่ายไปตามกระแสสวด ผลจะไม่ดี แต่ว่าที่ทำกันเวลานี้ ก็มีพระสวดพุทธาภิเศกควบไปด้วย เขาเอาแบบมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเอาแบบมาจากไหน แต่ว่ามันจะดีหรือไม่ดีแค่ไหนก็ตามเรื่อง

    หากมีพระกำลังจิตดีก็ใช้ได้ ถ้าพระกำลังจิตไม่ดีก็เลยนั่งหลับตา อีตอนนั่งหลับตาใครจะรู้ว่าทำอะไรบ้าง บางวัดก็เกณฑ์กันตลอดรุ่งไม่เห็นมีประโยชน์ เคยไปร่วมกับเขาเหมือนกัน ถ้าเกณฑ์ตลอดรุ่งดีไม่ดีก็นั่งหลับเลย

    ตานี้ พอเขาเลิกทำพิธี พระอาจารย์ทุกองค์ก็ลงมา พอลงมาเสร็จท่านก็ไปนั่งกันตามหน้าอาสนสงฆ์แต่ไม่ถึงท้าย อาตมานั่งอยู่ทางท้ายกับพระสมุห์สมบูรณ์ พอลงมานั่งกันเรียบร้อย หลวงพ่อนาคก็บอกว่านี่ท่านพวกนี้รู้ไหม ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ พระพวกนั้นก็ทำหน้าล่อกแล่กๆ มีพระครูธรรมาภิรามองค์เดียวยิ้ม หันมายิ้มด้วยแสดงว่าท่านรู้ก็เลยยิ้มกับท่าน แต่หลวงพ่อนาคท่านก็ทำเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ บอกท่านทั้งหลายรู้หรือเปล่า ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ ท้ายอาสนสงฆ์ แล้วก็มีญาติโยมคนหนึ่งถามว่าขโมยอะไร ถามขโมยอะไรเจ้าค่ะหลวงพ่อ ท่านก็บอก มันไม่ได้ขโมยอะไรหรอก มันมานั่งขโมยดูใจพระปลุกพระ ไอ้ขโมย มันนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์

    ตานี้เวลาที่ท่านลงมาแล้วเขาขอพระท่าน ท่านก็แจก เวลาท่านแจกไปขอท่านมั่ง ท่านไม่ให้ บอกไอ้นี่ขโมย ไม่ให้ละ ทำได้อย่างที่เขาทำนี่ ทำได้ไปทำเอาเองซี ท่านไม่ให้ ก็มีพระหลายองค์ท่านมองหน้า ท่านก็เลยบอกว่าไอ้นี่แหละขโมย ขโมยดูใจพระทุกองค์ มันรู้ ว่าใจพระองค์ไหนเป็นยังไง นี่มันทำได้นะพระนี่ มันทำได้ ทำได้คล้ายๆ ข้าแหละ แต่ไอ้ข้ากับมันใครดีกว่ากันข้าไม่รู้หรอก แต่วันนี้ท่านผู้ฟังจำไว้นะ ว่าอาตมาไม่ดีเท่าหลวงพ่อนาค แล้วก็ดียังไม่ใกล้หลวงพ่อนาค ยังไกลอยู่นะ เพราะยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังเป็นคนปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ มีหนาว มีร้อน มีเมื่อย มีหิว มีกระหาย รู้เปรี้ยว รู้เค็ม รู้เผ็ด แล้วมีอารมณ์ เสียงดังบ้าง ดุบ้าง ด่าบ้าง ว่าบ้าง คำสุภาพบ้าง ยิ้มแย้มแจ่มใสบ้าง หน้าบึ้งขึงจอบ้าง อย่างนี้อย่าชมกันว่าดีนะ เป็นอาการของคนเลว แต่มันยังอยากจะเลวอยู่ก็ปล่อยมันไป

    ตายเมื่อไร เลิกเมื่อนั้น เป็นอันว่าเรื่องของหลวงพ่อนาค ยุติกันเพียงเท่านี้ แต่ก็ยังไมเลิกพูด เวลามันยังไม่หมด วันนี้เห็นจะสรุปงานกันได้แล้วนะ เพราะว่าเทปเหลือนิดเดียว
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...