เรื่องของ "บุญฤทธิ์" และ "กำลังใจในการทำบุญไม่มีคำว่าเล็กน้อย"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Apinya Smabut, 9 มกราคม 2021.

  1. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634

    พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงเรื่องบุญฤทธิ์ว่า "ในธรรมบทได้กล่าวถึงเรื่องของ บุญฤทธิ์ ไว้ดังนี้
    วันหนึ่งพระยามารตั้งใจจะแกล้งไม่ให้คนได้ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงบันดาลให้เกิดพายุใหญ่ ไฟทั้งเชตวันมหาวิหารดับหมด และไฟทั้งกรุงสาวัตถีโดนพายุพัดดับหมด แล้วพระยามารจึงสำรวจดูว่า ยังมีไฟที่เหลือไม่ดับอีกหรือไม่ ?

    ปรากฏว่ามีเทียนอยู่ดวงหนึ่งไม่ยอมดับ พระยามารก็แปลกใจ จึงบันดาลให้ลมแรงหนักยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่ดับอีก พระยามารจึงปลอมตัวเป็นมานพน้อยเข้าไปดู ไฟนั้นอยู่ที่กระต๊อบของหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งอาศัยแสงเทียนกำลังชุนผ้าอยู่

    พระยามารถามว่า "ยายทำอะไรอยู่ ?" ยายบอกว่า "ยายกำลังชุนผ้าอยู่ ยายมีอาชีพรับจ้างเย็บผ้า" พระยามารถามว่า "ยายต้องอาศัยแสงไฟนี้เย็บผ้าทุกวันหรือ ?"

    ยายบอกว่า "ปกติยายก็เย็บผ้าแค่ตะวันตกดินเท่านั้นแหละ ยายไม่ได้มีเงินมากมายที่จะมาซื้อเทียน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันฟังธรรม ยายจึงนึกตั้งใจจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย เพราะไม่มีโอกาสไปฟังธรรม แต่ขอบูชาพระรัตนตรัยนี้ด้วยแสงเทียนนี้ แล้วยายก็อาศัยแสงเทียนนี้เย็บผ้าไปด้วย"

    ด้วยบุญฤทธิ์ตรงนั้น พระยามารหมดสิทธิ์ที่จะแกล้ง ขนาดในเชตวันมหาวิหารที่พระพุทธเจ้าพำนักอยู่ไฟยังดับเลย แต่ด้วยบุญฤทธิ์ ที่ยายเขาตั้งใจจุดเทียนถวายเพื่อบูชาพระรัตนตรัย ทำอย่างไรพระยามารก็ไม่สามารถที่จะดับเทียนของยายได้"


    .......................................................................................................​

    กำลังใจในการทำบุญ ไม่มีคำว่าเล็กน้อย

    พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกำลังใจในการทำบุญว่า "ในเรื่องของกำลังใจในการทำบุญ ไม่มีคำว่าเล็กน้อย สมัยช่วงพรรษาแรก ๆ ที่อาตมาบิณฑบาตอยู่ที่วัดท่าซุง มีบ้านยายอยู่หลังหนึ่ง เขาจะเก็บเอาดอกไม้พื้น ๆ อย่างดอกหงอนไก่ ดอกสร้อยทอง ดอกซ่อนกลิ่น แล้วก็เอาใบตองพันเป็นกรวยอย่างดี มาถวายพระทุกวัน

    ความรู้สึกของอาตมาในตอนนั้น ก็คือ เป็นของที่ไม่ได้มีราคาอะไรเลย แต่ก็รับมา เวลาเดินเข้าหอฉัน ก็จะเอาไปไหว้พระตรงศาลาหลวงพ่อสี่พระองค์แล้วเสียบไว้ตรงรั้วศาลา เป็นเครื่องบูชาหลวงพ่อสี่พระองค์ ทำอย่างนี้แต่ใจก็คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำไมยายถวายของอะไรอย่างนี้ได้ทุกวัน ? คนรับรู้สึกรำคาญ ข้าวของก็ไม่ได้มีราคาอะไรสักหน่อย

    ถัดมาเป็นวันปาฏิโมกข์ลงโบสถ์ พอฟังพระปาฏิโมกข์เสร็จมีเวลาเหลือ หลวงพ่อก็สรรเสริญเจริญพรด่าซะจมดินไปเลย ท่านบอกว่า "ไอ้พวกที่ไปตีราคากำลังใจคนเป็นตัวเงิน เลวเสียยิ่งกว่าหมาอีก..!

    ถ้าแกไม่ได้บวชเข้ามา ข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียวเขาก็ไม่ให้แกหรอก แต่ที่แกบวชเข้ามา ด้วยอาศัยคุณของพระรัตนตรัย ทั้งข้าว ทั้งน้ำ ทั้งผ้าผ่อนท่อนสไบ ทั้งที่อยู่อาศัย ญาติโยมเขาสงเคราะห์ให้หมด เราไม่สามารถจะตีราคาวัตถุเป็นราคาเงินในท้องตลาดได้

    ช้อนคันหนึ่งเราอาจจะซื้อในท้องตลาดสามบาทห้าบาท แต่พอถวายมาด้วยศรัทธา เป็นเครื่องบูชาคุณพระรัตนตรัย ถวายมาตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อานิสงส์และราคานั้นจะประมาณเป็นตัวเงินไม่ได้แล้ว ใครที่ยังเอา กำลังใจต่ำ ๆ ของตัวเองไป ประเมินราคาของ ๆ คน โดยที่คิดว่า เป็นของที่ไม่มีราคา ให้รู้ด้วยว่านั่นเป็นกำลังใจของสัตว์นรก..!"

    "วันรุ่งขึ้นพอบิณฑบาต เห็นยายแล้วแทบจะกระโดดอุ้มเลย รีบ ๆ ส่งดอกไม้มาเลยยาย อาตมาจะรีบรับ..! เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของกำลังใจในการทำบุญ เราจะวัดเป็นราคาหรือเป็นตัวเงินไม่ได้ เพราะคุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ เราไม่สามารถที่จะประมาณได้
    บาลีท่านบอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ ธัมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ไม่มีที่จะประมาณได้ เปรียบอย่างไรก็เปรียบไม่ได้

    ในเมื่อเป็นดังนั้น สิ่งที่เขาตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ถ้าเกิดว่าเขามีอันเป็นไป ได้ไปอยู่ข้างบน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะกลายเป็นทิพย์สมบัติ ที่คิดเป็นราคาในโลกมนุษย์ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น..ในส่วนของอริยทรัพย์จะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เกินกว่าสายตาทั่ว ๆ ไปจะเห็นและคิดถึง ถ้าหลวงพ่อท่านไม่เมตตาด่า อาตมาก็ยังคงคิดชั่ว ๆ อยู่เหมือนเดิม"


    ที่มา วัดท่าขนุน
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๔

    .......................................................................................................​

    ฤทธิ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
    ถาม : แล้วอย่างนี้พวกฤทธิ์ หรืออะไรต่าง ๆ นี่เกิดขึ้นมาได้อย่างไรเจ้าคะ ?
    ตอบ : เกิดขึ้นจากการฝึก เกิดขึ้นจากกรรมเก่า เกิดขึ้นจากบุญเก่า เหล่านี้เป็นต้น ฤทธิ์ไม่ได้มีอย่างเดียว ฤทธิ์ที่เกิดจากการฝึก เรียกว่า วิกุพนาฤทธิ์ เรียกว่าฌานฤทธิ์

    วิกุพนาฤทธิ์ คือพวกที่ฝึกกสิณสิบ สามารถสำแดงฤทธิ์ด้วยวิธีประหลาด...พิลึกพิลั่นเกินกว่าชาวบ้านเขาทำได้อย่างพวกเดินน้ำ - ดำดิน - เหาะเหิน อะไรพวกนี้เป็นต้น

    ฌานฤทธิ์ คือฤทธิ์ที่เกิดจากผู้ที่ทรงฌาน ทรงสมาบัติ กำลังจิตสูงมาก ต้องการให้เป็นอย่างไร ก็เป็นไปได้

    บุญฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการสั่งสมบุญมาระยะเวลายาวนาน ถึงเวลาปรารถนาอะไรก็จะเป็นไปตามที่ตนต้องการ

    อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการตั้งใจมั่น ในเมื่อตั้งใจมั่นแล้ว กำลังใจส่งผลให้สิ่งนั้น ๆ เกิดขึ้นได้

    กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม อย่างเช่นว่า นกทำไมถึงบินได้โดยไม่ต้องฝึกกสิณ ? ปลาทำไมอยู่ในน้ำได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องฝึกกสิณ...ทำไมไส้เดือนมุดดินได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกกสิณเลย อย่างนี้เป็นต้น

    ฐานาฐานะฤทธิ์ ฤทธิ์อันเกิดจากฐานะอันสูงอย่างเช่น พระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพระยามหากษัตริย์ เจ้าคนนายคน บัญชาการได้ สั่งให้เป็นก็ต้องเป็น สั่งให้ตายก็ต้องตาย เป็นต้น ไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงประเภท

    วิชามัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการสร้างเสริมมา ทำไมเหล็กหนักเป็นตัน ๆ ถึงเอาไปบินบนฟ้าได้ ทำไมเอาไปลอยในน้ำได้อย่างนี้

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ครบทุกอย่างแล้ว ฉะนั้น..ถามว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เกิดได้หลายวิธีด้วยกัน สร้างขึ้นมาก็มี บุญเก่าเสริมก็มี กรรมเก่าเสริมก็มี ฝึกฝนขึ้นมาก็มี

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
    ที่มา วัดท่าขนุน
    .......................................................................................................​

    ใช้ฤทธิ์แก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้หรือไม่!?

    ถาม : สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต จะไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในอนาคต หรือด้วย อิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ บุญฤทธิ์ หรือฤทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : แม่นแล้ว...ความจริงฤทธิ์บางอย่างสามารถแก้ไขได้ แต่ท่านที่ทำได้ก็ไม่ฝืนกฎของกรรม เพราะฉะนั้น...ก็แปลว่าแก้ไขไม่ได้

    ที่มา วัดท่าขนุน

    .......................................................................................................

    บุญฤทธิ์แพ้วิบากกรรมอยู่เรื่องเดียว
    ถาม : ผมเคยอ่านเจอว่า ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าครอบตัว จะป้องกันอุบัติเหตุหรือรังสีได้ ?
    ตอบ : ควรจะภาวนานึกถึงภาพพระครอบตัวเราไว้เป็นปกติ เพราะว่าชีวิตประจำวันของเรา ไม่รู้ว่าวันไหนจะเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตขึ้นมา ถ้าหากว่าเราทำจนเป็นปกติ มอบกายถวายชีวิตให้กับพระท่าน อันตรายอื่น ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้

    ถาม : แล้วกรรมเก่าละครับ ?
    ตอบ : บุญฤทธิ์แพ้กรรมวิบากอยู่เรื่องเดียว ถ้าหากวิบากกรรมเข้ามาก็ช่วยไม่ได้ ขนาดพระโมคคัลลานะสุดยอดอภิญญายังไม่รอดเลย แล้วคุณจะเก่งกว่าไหม ?
    ที่มา วัดท่าขนุน

    .......................................................................................................

    อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้กรรมวิบาก
    ถาม : ขอยารักษาโรคไอเรื้อรังครับ
    ตอบ : เอาตำราจีนไหม ? อร่อยดี..มีไข่ ๑ ฟอง เคาะใส่ภาชนะอะไรก็ได้ที่ใส่ไมโครเวฟได้ และน้ำตาลกรวดเท่าหัวแม่มือตำละเอียดแล้วโรยลงไป แล้วก็ใบชา ๑ หยิบมือโรยลงไป นึ่งสุกแล้วกินให้หมด แค่นี้แหละ..อร่อยดีด้วย ถึงไม่หายก็อร่อย

    ถาม : ไปปล่อยปลามาแล้วไม่หายครับ
    ตอบ : โรคต้องรักษา ไม่ใช่ไปปล่อยปลาแล้วโรคหาย ไม่อย่างนั้นโรงพยาบาลก็เจ๊งสิจ๊ะ

    ถาม : ขอทวนอีกรอบครับ
    ตอบ : ไข่ ๑ ฟอง น้ำตาลกรวดเท่าหัวแม่มือ ใบชา ๑ หยิบมือ ถามอีกทีเจอเตะ..! เข้าใจแล้วว่าทำไมหลวงปู่วัดปากคลองมะขามเฒ่าถึงได้อยากให้อาตมาไปนักหนา เพราะท่านบอกคาถายาวคาถาสั้นขนาดไหนอาตมาจำได้หมด ขณะที่คนอื่นย้ำแล้วย้ำอีกไม่จำสักที

    ท่านบอกคนที่ไปหาท่านคนหนึ่งว่า “มึงกำลังมีเคราะห์ร้าย ให้เอาพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว ไปถวายพระในวันพฤหัสบดี แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร” แค่นี้เขาจำไม่ได้ ถามท่าน ๓ - ๔ ครั้ง จนกระทั่งท่านง้างตีนรอแล้ว..!

    ส่วนอาตมา หลวงปู่บอกว่า “เออ..ไอ้หนูมานี่ลูก มึงเอาคาถานี้ไปใช้นะ อะระหังพันเกสา ภะคะวากันอาวุธ พระพุทโธอุด พระธัมโมอุด พระสังโฆอุด พระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระพุทธโธ พระธรรมเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระธัมโม พระสังฆเจ้าห้ามอาวุธ อุดด้วยพระสังโฆ อุดธัง อัดโธ นะโมพุทธายะ” แล้วท่านก็เขกหัวเปรี้ยงสนั่นเลย

    ปกติถ้าคนตั้งใจจำโดนเขกกบาลขนาดนั้นจะลืมหมด อาตมาก็ทวนให้ท่านฟังอีกที ท่านบอก “เออ..ใช้ได้” ความจำต่างกันได้ขนาดนั้น อาตมาเองก็สงสัยว่า ทำไมไปทีไรได้ทุกที คงเป็นเพราะท่านบอกแล้วอาตมาจำได้ ท่านเลยให้อยู่เรื่อย ๆ วิธีประสิทธิ์ประสาทของท่านนี่ไม่ไหว เขกทีกะโหลกบวม มือหนักเป็นบ้าเลย

    แต่เวลาที่กรรมบัง ต่อให้เก่งแค่ไหนก็โดน บอกแล้วว่า “อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้กรรมวิบาก” อยู่ ๆ อาตมาก็ไปเจอหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่าขาหัก ท่านกำลังเสกน้ำมันมะพร้าว เสกเอง ทาเอง นวดเอง ๗ - ๘ เดือนจึงเดินได้ตามปกติ กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงปู่ไปโดนอะไรมาครับ ?” ท่านบอกว่า “เฮ้อ..โง่ไปหน่อย เวลากรรมบังนี่มันโง่ทุกคนเลยว่ะ”

    ถามว่าเป็นอย่างไรครับ ? ท่านตอบว่า “เขานิมนต์ไปงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต ข้าเดินไปถึงเห็นเขาปูเสื่อไว้ ข้าก็นึกว่าเขาปูให้ข้านั่ง เดินเข้าไปผลุบเดียวหล่นไปในหลุมเลย” เขาปิดหลุมลูกนิมิตไว้ ท่านตกไปขาหักเลย แต่ท่านก็เก่งนะ เสกน้ำมันนวดเองทาเองอยู่หลายเดือนจึงเดินได้ตามปกติ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นท่านก็อายุได้ ๘๐ กว่าแล้ว

    สมัยนั้นถ้าพระวัดท่าซุงจะสึก มีฤกษ์แล้วแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่อยู่ ก็จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอให้หลวงปู่ท่านสึก เพราะฉะนั้น..พระวัดท่าซุงไม่กลัวหรอกเรื่องไม่มีที่สึก หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่อยู่ก็ไปวัดปากคลองมะขามเฒ่าแทน

    ที่มา วัดท่าขนุน

    .......................................................................................................

    ใช้บุญอธิษฐาน
    ถาม : ปกติเราใช้บุญฤทธิ์ ใช้บุญอธิษฐานเอา ก็ได้อยู่แล้ว แล้วที่ไปเรียนวิชาต่าง ๆ กับครูบาอาจารย์ เพื่ออะไรคะ เป็นการฝึกกำลังใจหรือเปล่า ?
    ตอบ : มีบารมีของครูบาอาจารย์ท่านช่วยสงเคราะห์ด้วย

    ถาม : แต่อย่างไร ก็ต้องใช้บุญด้วยอยู่ดี ใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : อันดับแรกเลยก็คือสมาธิ อย่างอื่นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
    ที่มา วัดท่าขุน

    .......................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2021

แชร์หน้านี้

Loading...