เมื่อเช้าฝัน หลังจากนั่งสมาธิ (กำหนดบารมีสามสิบทัศครบครั้งแรก)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูมิ, 23 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    เมื่อคืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011 ผมนอนดูทีวีจนเผลอหลับไปประมาณสี่ทุ่มกว่า ตื่นมาอีกทีก็ประมาณตี 3 ครึ่ง ซึ่งช่วงหลังๆ นี้ เป็นแบบนี้บ่อยมาก ตื่นมาแล้วก็ต้องสวดมนต์และนั่งสมาธิ ตามที่ตนเองตั้งปณิธานกับตนเองไว้ ถึงแม้ว่าจะดึกแค่ไหนหรือจะเช้าเลยก็ต้องทำ(ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นอะไร) ซึ่งพอผมตื่นมาก็สวดมนต์ประมาณครึ่งชมกว่าเห็นจะได้ และบทสวดมนต์ที่จะต้องสวดประจำทุกคืน ก็คือ บทสวดคาถาพระแม่กวนอิม , บทสวดคาถาบูชาพระพุทธชินราช , บทสวดคาถาบูชาพระนเศวร และบทสวดอื่นๆ ตบท้ายด้วยบทสวดพระคาถาชินบัญชร พอสวดเสร็จ ผมก็นั่งสมาธิ ปกติจะตั้งปลุกครึ่งชมเพื่อให้รู้ว่านั่งพอละ แต่ถ้านั่งครบแล้วอยากนั่งอีกก็เพิ่มอีกครึ่งชมไปเรื่อยๆ ซึ่งการนั่งสมาธิในครั้งนี้ของผมถือว่ายาวนานมากที่สุดกว่าทุกครั้ง คือ ประมาณเกือบ 2 ชม และครั้งนี้มีผู้ชี้แนะให้ผมกำหนดบารมีสามสิบทัศขณะนั่งทำสมาธิด้วย ซึ่งในบารมีสามสิบทัศนั้นมี 3 ระดับ (ปกติท่องแค่ระดับแรก เพราะไม่รู้ อิอิ) คือ บารมี , อุปบารมี , ปรมัตถบารมี(ระดับเอาชีวิตเข้าแลก) พอท่องเสร็จก็เป็นประมาณตี 4 กว่าๆ และผมก็ตั้งปลุกเพื่อเตรียมตัวไปทำงานทุกวัน เวลา 7:00 โมงเช้า
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พอหลับไป ผมก็ฝันว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงเหมือนโดนผีอำในฝัน และมีคนยืนอยู่ตรงปลายเตียง แต่ว่ามีผ้าลอยอยู่บังหน้าเขาไว้ ซึ่ง ณ ขณะนั้นผมไม่กลัวเลยสักนิด แต่อยากเห็นหน้าเขาคนนั้น และผมก็รู้สึกดีใจในขณะเดียวกัน เพราะผมไม่เคยโดนผีอำเลย อำในฝันก็ยังดี อิอิ และเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตที่ผมฝันเห็นผีหรือดวงวิญญาณ ครั้งแรก ฝันหลังสวดมนต์ในคืนที่ 2 ที่มีการแผ่เมตตา(คืนแรกสวดอย่างเดียวไม่ได้แผ่เมตตา เพราะไม่รู้ อิอิ) ผมคิดว่า การที่ผมฝันเห็นญาติที่ตายไปหลายปีแล้ว และผมก็ไม่ค่อยสนิทกับญาติคนนี้เท่าไรและไม่ค่อยได้เจอญาติคนนี้เลย แต่ผมกลับต้องมาฝันเห็นเขาในคืนที่ 2 นี้ เพราะผมคิดว่าเขาต้องการมาขอส่วนบุญจากผม และการที่เขาเข้ามาในฝันผมได้นั้น ก็คงเพราะเรามีสายใยแห่งญาติกัน ท่านจึงอนุญาติ ซึ่งตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยฝันเห็นใครที่มีดวงตาสีแดงมาก่อนเลย จึงทำให้ผมแยกแยะออกได้ว่า ต้องเป็นผีหรือดวงวิญญาณของญาติอย่างแน่นอนเลยที่ยังไม่ไปเกิด
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    กลับมาต่อนะครับ อิอิ ต่อมาชายผู้นั้น ก็ได้เปิดผ้าที่บังหน้าไว้ ซึ่งปรากฎว่า เป็นผู้ชายวัยประมาณ 50 กว่าปีเห็นจะได้ แล้วผมก็ถามเขาว่า ลุงเป็นพระภูมิเจ้าที่เหรอ? เขาก็ไม่ตอบ ทันใดนั้น ผมก็ไปปรากฎตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง เหมือนจะเป็นบ้านหรือร้านค้า และผมเองก็นั่งอยู่บนเก้าอี้เหมือนกำลังจะทานอะไรอยู่ และผมก็ลุกขึ้น เดินไปทางประตู ลุงคนนี้ก็ชวนผมไปบนเขาหรือสถานที่อะไรสักแห่ง จำไม่ค่อยได้เละ อิอิ ...ต่อมาก็ตัดภาพไปตอนที่ผมได้เดินทางไปหาใครสักคนที่เขารอผมอยู่ พอผมเจอคนๆ นั้นแล้ว ก็คุยอะไรกันไม่รู้...อยู่ๆ ผมก็มาปรากฎตัวในท่านั่งสมาธิบนเตียงเหมือนเดิม(ในฝัน) ต่อจากนั้น ผมก็คิดว่า ผมกำลังอยู่ในโลกแห่งความฝันหรืออยู่ในโลกแห่งความจริงกันแน่? เพราะภาพมันชัดเจนมากเหมือนโลกแห่งความจริงจนแยกแยะไม่ออก จากการปฏิบัติทำให้ผมมีสติ และมองไปรอบตัวเพื่อแยกแยะให้ออกให้ได้ ทันใดนั้น ผมก็กวาดสายตาไปเห็นโน้ตบุ๊คของผม และผมก็มองไปตรงหน้า Desktop สติทำให้ผมแยกแยะออกได้เลยทันทีว่า ผมอยู่ในความฝัน ซึ่งปกติแล้วหน้า Desktop ของผมจะมีไฟล์งานต่างๆ มากมาย แต่นี้ในมิติแห่งความฝันนี้ มันไม่มีไฟล์งานผมเลย พอผมแยกแยะออกแล้ว ผมก็มองไปตรงหน้าระเบียงห้องของผม ผมเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั้น ผมก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาว่า อยากจะลองแตะตัวพวกผีหรือดวงวิญญาณเหล่านี้ดูว่าจะมีผิวที่เย็นยะเยือกเหมือนที่เขาพูดกันหรือเปล่า? ทันใดนั้น ผมก็เดินไปตรงที่ระเบียง แล้วขอหญิงสาวคนนั้นแตะตัวหน่อย อิอิ เขาก็ยอมให้แตะ พอผมแตะแล้วก็รู้สึกว่าเย็นหน่อยๆ ไม่เย็นไรมากอย่างที่เขาพูดกันเลย หญิงสาวคนนั้นก็แตะตัวผมไม่ยอมหยุดเลย เหมือนเขาได้รับไออุ่นพลังจากมนุษย์ เลยแตะไม่หยุดเลย ต่อมาก็มีหญิงสาวอีกคนลอยเข้ามาทางระเบียง เข้ามาร่วมวงแตะตัวผมด้วย ผมจึงรู้สึกรำคาญและเริ่มจะโมโห แต่เพราะช่วงหลังๆ ผมปฏิับัติมาค่อนข้างจะดี ทุกครั้งที่อารมณ์ต่างๆ จะผลุดขึ้นมา จิตผมจะดักได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะดักได้ วันหนึ่งๆ ก็หลุดมาไม่กี่ครั้งเอง พอกิเลสหรือเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อจิตหลุดมาทีหนึ่ง ถ้าเป็นกิเลส ผมก็จะใช้จิตพิจารณารอดูให้มันดับไป “อารมณ์เป็นศูนย์” ทำได้ในระดับหนึ่งแค่นั้นเอง ยังไม่เก่งไรมากนะ ส่วนถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อจิตก็ใช้เตือนตนเองว่า “รู้แล้วปล่อยวาง และให้มันดับไป”
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ซึ่งผมมีอะไรจะเล่าหน่อย ระบายนิดหนึ่งนะ อัดอั้นๆ กิๆ ตอนนั้นผู้ชี้แนะในกลุ่มผมอยู่ๆ ก็เขียนข้อความมาทักทายผม ลงท้ายคำว่า สูญญตาสภาวะ” หรือ “สภาวะว่างของจิต” ทำให้ผมเชื่อในสิ่งที่เขากำลังจะชี้แนะให้ผมเลย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเืชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และเคยตั้งกำแพงไว้กันเขาเข้ามา และผมเคยอยากจะทดสอบในด้านอภิญญาหรือปฏิหารย์จากเขา แต่เขาบอกว่า “ท่านอยากให้เรามีชีวิตที่เป็นปุถุชนธรรมดา มนุษย์เป็นเช่นไร เราก็เป็นเช่นนั้น เพื่อเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ว่ายากลำบากเพียงใดกว่าที่จะหลุดพ้น เราเป็นเขา เขาเป็นเรา เราจึงจะชี้แนะพวกเขาเหล่านั้นได้ อย่าวิเศษกว่าคนอื่น การมีหูทิพย์ตาทิพย์จะเป็นอันตรายต่อตนเอง เพราะมารจะแทรกได้ง่าย และหลายๆ คนก็พ่ายแพ้มาแล้ว และถ้าเป็นสายปราบโปรดมารและสรรพสัตว์ท่านจะไม่ให้หูทิพย์ตาทิพย์ แต่ท่านจะให้จิตสัมผัสและธรรมญาณในการปราบโปรดมารและสรรพสัตว์แทน เพราะปลอดภัยกว่า” อิอิ อดๆ ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ผมสงสัยว่าเขารู้ได้ยังงัย? ว่าผมกำลังจะปฏิบัติเข้าถึงสภาวะนี้ ซึ่งคำว่า “สูญญตาสภาวะจิต” คำนี้ อยู่ๆ มันผลุดขึ้นมาในหัวผมขณะปฏิบัติ ซึ่งบอกตรงๆ ผมไม่เคยศึกษาธรรมะมาก่อนเลย เคยแต่อ่านกระทู้ของคนอื่นเล่นๆ และเพิ่งเข้ามาในเวปญาณทิพย์ตอนต้นเดือนธันวาคมเอง ส่วนเวปพลังจิตก็ตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง ฉะนั้น ผมรู้เรื่องธรรมะแค่งูๆ ปลาๆ เอง แต่ผมก็กำลังศึกษาหาความรู้เรื่องธรรมะอยู่เช่นกันตามกระทู้ต่างๆ และทุกครั้งที่ผมจะโพสกระทู้หรือตอบข้อความใดๆ หรือไปดูกระทู้ใดๆ ก็ตาม เหมือนมีบางสิ่งดลใจให้ทำทั้งสิ้น และทุกสิ่งที่ผมสงสัยหรือเกิดคำถามในหัวสมองนั้น ก็เหมือนจะมีอะไรดลใจอีกนั้นเละให้ต้องมาพบกับคำตอบในกระทู้ต่างๆ อย่างบังเอิญทุกที(บังเอิญเหมือนไม่บังเอิญ อิอิ) ถ้ายังไม่ถึงเวลาหรือวาระของมัน ผมก็รู้สึกไม่ได้ แต่ถ้าถึงวาระของมัน ศาสตร์ความรู้ต่างๆ ที่จะต้องเผยแผ่ออกไปนั้น รวมถึงความรู้สึกต่างๆ มันจะแล่นเข้ามาในหัวผมอัตโนมัติเลย และรู้สึกว่าอยากจะเขียนลงกระทู้ขึ้นมาทันใด เหมือนถูกกำหนดวางแบบแผนไว้เรียบร้อยแล้ว “ว่าจะต้องเมื่อไรที่ไหนเวลาใด” ซึ่งคำว่า “สูญญตาสภาวะจิต” คำนี้ผมก็พูดตรงๆ ว่า “ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย” อยู่ๆ ในจิตมันนึกขึ้นมาได้และปากก็พูดออกมาเฉยเลย ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ผมกำลังจะเข้าสู่สภาวะนี้อย่างแน่นอน ผมก็แปลกใจตัวเองว่า ทำไมระยะเวลาแค่สั้นๆ เพียงไม่ถึงเดือนไม่กี่สัปดาห์ ผมถึงไปได้ไวขนาดนี้ งง ตัวเองนิดหน่อย หลังจากที่เจอคนมาชี้แนะทางปฏิบัติที่ถูกต้องให้กับผม และพวกเราในกลุ่มก็สามารถเปิดใจคุยกันได้ทุกเรื่อง โดยไม่มีใครว่าใคร ว่า “บ้า” ฮ่าฮ่า เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผมนั้น มันก็เกิดขึ้นกับคนในกลุ่มผมเช่นกัน แค่ต่างที่ต่างวาระต่างเรื่องราวกันแค่นั้นเอง ซึ่งพวกเรา ก็คือ ผู้ที่มีบุญเก่าสัมพันธ์กัน เพื่อมาทำกิจบางอย่าง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรู้สึกได้นั้น เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากจะเล่าออกมาเป็นธรรมทานเท่านั้นเอง เพราะชีวิตนี้ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ซึ่งผมก็รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกกำหนดวางแบบแผนมาเรียบร้อยแล้วให้เป็นเช่นนี้ โลกใบนี้ไม่มีคำว่า “บังเอิญ” เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่า “กรรมจัดสรร” หรือ “ธรรมะจัดสรร” ให้ เท่านั้นเอง (แต่บางครั้งก็เจอมารแทรก เพราะจิตยังไม่นิ่ง กิเลสยังไม่หมด ทำให้รูปแบบการให้ธรรมทานผิดเพี้่ยนไป และตนเองต้องแยกแยะให้ออกว่าสิ่งที่มาดลใจนั้น คือ เบื้องบน หรือ พญามาร) แต่มีผู้ชี้แนะในกลุ่มผม เขาบอกว่า ให้อธิษฐานจิตขอ "มหาสติปัฏฐานสี่จากองค์พระนิพพานทั่วธาตุทั่วธรรมในทุกๆ พระองค์ในพระโพธิสัตว์พันมือ" จะทำให้มีสติไม่หลงไปกับพญามาร ก็ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ ผมว่ามันเวิร์คทุกอย่างเลย อิอิ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    นอกเรื่องเยอะเลย กลับมานะ อิอิ พอดีอยากระบายนิดหน่อยนะ ฮ่าฮ่า ถึงไหนละ ลืม! อ๋อ ถึงตอนที่ผมรำคาญและเริ่มจะโกรธผู้หญิงเหล่านี้ที่มาแตะตัวผมไม่ยอมหยุด และจิตผมก็ดักอารมณ์นี้ไว้ได้ ต่อมาผมก็คิดหาทางออกได้ โดยบอกผีหรือดวงวิญญาณผู้หญิง 2 ตนนี้ว่า เดี๋ยวผมจะแผ่เมตตาให้นะ มายืนรวมกันอยู่ตรงหน้าเตียงนี้ดิ พอพูดจบผมก็หันกลับไปตรงที่หน้าเตียง แต่ผู้หญิง 2 ตนนี้ก็ได้หายไปแล้ว(หลังจากตื่นขึ้นมา ผมก็คิดว่า เขาคงได้บุญจากผมไปแล้วละ เพราะจิตคนเรามันไว เพียงแค่คิดจะแผ่เมตตา บุญก็ถึงผู้หญิง 2 ตนนั้นแล้ว พวกเขาจึงหายตัวไป) พอผู้หญิงหายตัวไป ทันใดนั้นกลับมีเด็ก 6-7 คน(หลังตื่นมา ผมก็คิดว่าเด็กพวกนี้คงเป็นผีหรือดวงวิญญาณที่ถูกทำแทงมา ซึ่งเขาคงติดตามแม่ของเขาอยู่ภายในอาพาร์ทเม้นท์แห่งนี้) เด็กพวกนี้ก็มาล้อมรอบตัวผม และมีเด็กผู้หญิงผมสั้น 1 คน ผู้ชาย 2 คน นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเตียงสูงถึงระดับเอวผม ผมจึงเอ่ยปากถาม เด็กผู้หญิงคนนี้ว่า พี่ขอถามหน่อยว่า “พี่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรคุ้มครองอยู่ไหม?” ซึ่งจริงๆ ผมก็พอรู้แล้วจากผู้ชี้แนะในกลุ่มผม แต่ว่าอยากถามพวกผีหรือดวงวิญญาณบ้าง อิอิ เปลี่ยนบรรยากาศ เพราะผมคิดว่าพวกผีหรือดวงวิญญาณน่าจะรู้ดีนะ เด็กผู้หญิงคนนี้ก็อมยิ้มๆ และแอบๆ มองไปด้านบนหัวผม ผมจึงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนหัวผม พอผมแหงนหน้าได้เพียงนิดเดียว เพิ่งเห็นแค่เงาๆ ที่มีรัศมีเป็นกลมๆ อยู่บนหัวผมแค่นั้นเอง ทันใดนั้นก็มีอะไรมาเตะหรือสะกิดที่ขาด้านซ้ายของผม จากที่ผมกำลังจะแหงนหน้าขึ้นมองบนหัวนั้น ต้องรีบก้มหน้าลงมามองขาตัวเองโดยสัญชาตญาณ ว่าอะไรมันสะกดหรือเตะขาผมอยู่ สรุปว่าเป็นขาของน้องผู้หญิงคนนั้น ผมก็สงสัยนิดเดียวว่า ทำไมน้องเขาขายาวจัง อีกใจหนึ่งผมก็รู้แล้วว่า ก็น้องเขาเป็นผีโน๊ะ ต้องทำได้อยู่ละ อิอิ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หลังจากที่ผมรู้แล้วว่าเป็นขาน้องผู้หญิงมาเตะผม ผมก็กำลังพยายามจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนหัวอีกที ว่ามันมีอะไรอยู่บนนั้น? น้องผู้หญิงคนนั้น มันก็เตะผมอีกละ ผมพยายามอย่างนี้ประมาณ 3-4 ครั้ง น้องเขาก็เตะอยู่นั้นเละ จนครั้งสุดท้าย ผมก็รู้สึกได้ทันทีและเอ่ยปากถามน้องผู้หญิงตนนี้ไปว่า “เบื้องบนไม่ให้บอกใช่ไหม?” น้องผู้หญิง่คนนี้ก็พยักหน้าและอมยิ้มเหมือนเดิมและก็แอบๆ มองไปด้านบนหัวผม เหมือนน้องเขาอยากจะบอกอะไรผม แต่เขาบอกไม่ได้นะ เด็กคนอื่นๆ ก็จ้องมองมาที่น้องผู้หญิงคนนี้ สายตาพวกเขาเหมือนจะบอกว่า “เองอย่าบอกนะ” ผมรู้สึกได้เช่นนั้น อิอิ น้องเขาไม่ตอบอะไรเลย มัวแต่ยิ้มๆ อยู่นั้นเละ ทันใดนั้นก็มีเด็กที่แต่งตัวคล้ายๆ กุมารทองมานั่งอยู่บนเตียง ร่างกายท้วมๆ นิดหนึ่ง และเหมือนร่างกายมีรัศมีบางๆ สีทองเปล่งออกมา เขาก็พูดขึ้นมาทันทีเลยว่า “พี่มีพระปิศ..รส(จำชื่อไม่ได้ อิอิ) เป็นพระสายจีนคุ้มครองอยู่” ตอนนั้นผมไม่สนใจกับชื่อ เพราะชื่อแปลกๆ ไม่เคยได้ยิน (ตอนเช้ามาถามผู้ชี้แนะในกลุ่ม เขาบอกว่า ชื่อตายตัวไม่แน่ใจนะ เพราะมันนานมาก แต่ชื่อน่าจะประมาณ “พระปิยธรรมรส หรือ พระปิยะปัญญาทศบารมีธรรมพระปิยธรรมรส แปลว่า รสพระธรรมอันเป็นที่รักยิ่งนะ ส่วนความหมายของชื่อที่ 2 ไปแปลเอาเองนะ ผมว่าไม่ยาก อิอิ เป็นพระสายจีนมหายาน (สายกวนอิมอวโลกิเตศวร..) เขาบอกว่า เมื่ออดีตผมเคยปฏิบัติทางนี้มาก่อน และการที่คุณฝัน เพราะว่าคุณนั่งสมาธิ( กรรมฐาน)กำหนดบารมีสามสิบทัศ ท่านจึงมา และจะมาทุกครั้งที่คุณกำหนด ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่คุณจะได้กลับคืนมา) ต่อมาผมจึงหันไปถามเด็กผู้หญิงคนนั้นอีกว่า “แล้วน้องรู้จักพระพุทธชินราชไหม? น้องรู้ไหมว่าท่านเป็นใคร?” น้องเขาตอบสั้นๆ ว่า “รู้” และพยักหน้า ซึ่งผมเห็นน้องอมยิ้มลูกเดียวเลย คงไม่คุยกับผมแน่นอน ผมก็เลยบอกน้องเขาว่า “ท่านพระพุทธชินราช เป็นรูปปั้นสักการะของ สมเด็จองค์ปฐม” ...พอพูดได้แค่นี้ เสียงปลุกของมือถือก็ดังขึ้นทันที ซึ่งผมก็รู้ได้เลยว่า มันถึงเวลาที่จะต้องไปแล้ว (ผมว่าท่านคงเห็นผมถามมากไป ทั้งที่ตนเองก็รู้อยู่แล้ว อิอิ) หลังจากได้ยินเสียงปลุก ผมก็ตื่นขึ้นมา ซึ่งระยะเวลาที่ผมฝันไปนั้น มันแค่ครึ่งชมเอง (6:26-7:00) ตื่นมาก็เตรียมตัวไปทำงาน และก็คิดถึงเรื่องความฝันไปด้วยตลอดเวลา และคิดว่า “วันนี้จะต้องนำมาเล่าเป็นวิทยาทาน” ให้ทุกคนอ่านเล่นๆ กันดู
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ....มาดูกันว่าครั้งนี้ ผมจะมาบ้าแบบไหน อิอิ...

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    จาก ผู้รู้น้อย<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2011
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ดีแล้วละ

    แต่ขอพูดตรงๆ นะ อย่าไปเป็นเลยพระศรีน่ะ พูดคุยอย่างนี้ล่ะธรรมดาๆ สภาวะเกิดแล้วดับไป ไม่มีอะไรเที่ยง
    เพราะพระศรีหลายตัวที่นี่ มีสภาวะทางฤทธิ์และมีปัญญาทางธรรมไม่ธรรมดาทั้งนั้น มากกว่าคุณหลายเท่า แต่วิปัสนูกิเลสก็คือวิปัสสนู ยึดเมื่อไหร่ มันก็วิปัสสนาไม่ได้
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    ถ้า บอกตัวเองว่ายังไม่ได้ศึกษาธรรม หรือมีความรู้ทางธรรม ที่ยังไม่เข้าใจวิธีการ

    ก็ควร บอกตัวเองหัน มาฟังธรรม ฟังพระที่ท่านสอน ว่าอะไรคือ ทางไปแห่งธรรมนั้น


    เรื่องนิมิตร นิมิตร เป็นเรื่อง ที่อันตราย สำหรับผู้ไม่เข้าใจ ในวิธีการฝึกฝน

    ควรน้อมจิตน้อมใจ ตัวเอง
    มาฟังพระสงฆ์ ผู้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ทั้ง ๔ นี้

    ปฏิบัติดีอย่างเดียวยังไม่พอ
    ปฏิบัติตรงอย่างเดียวยังไม่พอ
    ปฏิบัติถูกอย่างเดียวยังไม่พอ
    ปฏิบัติชอบอย่างเดียวยังไม่พอ



    จะได้ มีความเข้าใจ ในการฝึก จะได้ใช้ นิมิตร อย่างชาญฉลาด
     

แชร์หน้านี้

Loading...