เมื่อหลวงพ่อพบอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 22 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    นี้เวลากลางคืน ย้อนกลับมาถึงวันแรกใหม่ ขณะที่เขามีลิเกอาตมาก็นอนในกุฏิโกรงเกรงหลังนั้น ไม่ได้ดูลิเก เพราะนิสัยไม่ดูละคร มันมีมาตั้งแต่อายุ ๒๕ ปี ดูละคร ลิเก หรือหนังไม่สนุก ก็จึงนอนเฉย ๆ ก็มีพระองค์หนึ่ง ก้าวเข้ามาทางหน้าต่าง พูดสำเนียงเป็นเจ๊กชัด ๆ ก็ถาม ท่านชื่ออะไร ท่านบอกท่านชื่อ เส็ง ถามว่า ท่านอยู่ที่ไหน ท่านบอก ผมเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง รองจากหลวงพ่อใหญ่ เมื่อหลวงพ่อใหญ่ท่านมาอยู่ที่นี่ ท่านมาธุดงค์ มีชาวบ้านเขานิมนต์ ท่านเลยมาอยู่ที่นี่ ผมเป็นคนแจวเรือค้าขายมีความเลื่อมใสจึงมาอยู่กับท่านช่วยท่านในฐานะเป็นช่างแล้วต่อมาก็บวช เมื่อหลวงพ่อใหญ่มรณภาพไปแล้ว ท่านก็เป็นเจ้าอาวาสแทน
    ถามว่า ที่วัดนี้เคยมีพระอริยเจ้าบ้างไหม ท่านบอกว่า มี ตอนก่อนมีใครบ้าง ท่านบอกท่านไม่ทัน แต่ตอนหลัง ๆ ท่านบอกว่า หลวงพ่อใหญ่เป็นพระอริยเจ้า ถามว่า เป็นพระอริยเจ้าชั้นไหน ท่านบอก เป็นพระอนาคามี แต่ว่าก่อนจะตายท่านเป็นพระอรหันต์ ถามว่า หลวงพ่อล่ะเป็นอะไร บอก ข้าก็ไม่รู้โว้ย ท่านพูดภาษาไทยเป็นเสียงเจ๊ก หลวงพ่อใหญ่ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละวะ ก็เป็นอันว่า ท่านยอมรับว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ก็ถามว่า หลังจากนั้นมีใครบ้างเป็นพระอริยเจ้า บอก นับเรื่อยมาหลายสมัย จนกระทั่งถึง หลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้ สององค์พี่น้อง ทั้งสององค์พี่น้องในขณะที่ทรงชีวิตอยู่ กำลังยังดีอยู่ เป็นผู้ทรงฌาน แต่ก่อนจะตายทั้งสององค์เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เพราะทุกขเวทนามันหนัก เห็นโทษของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นโทษของร่างกาย จึงเป็นพระอรหันต์ไป
    หลังจากนั้นต่อมาก็เป็น ภิกขุพาณิช คำว่า ภิกขุภพาณิช ก็หมายความว่า ขายกินกันละ ขายฝาบ้าน อาตมามาใหม่ ๆ เห็นฝากระดาน ฝาเรือนสมัยเก่ายังใหม่เอี่ยมอยู่ ๑๐ กว่าฝา คิดว่าการสร้างวัดนี้เป็นของง่าย เพราะที่ก็แคบ ฝาก็มีแล้ว เพียงแต่หาเสาหาโครงนิดหน่อยมาเสริมก็ไม่ยากนัก ใช้ฝาเก่าแทน แต่ที่ไหนได้ พอคืนที่สามตื่นขึ้นมาจากที่นอน ปรากฏว่ามองไปที่ฝา ฝาหายไปหมดแล้ว ฝาเขาวางอยู่ไม่ไกล ใกล้กุฏิเจ้าอาวาส ก็รวมความว่า ที่วัดนี้ขโมยมาก
    เมื่อดูต่อไปก็เห็นว่า คนที่มีศรัทธาจริง ๆ ก็มี ก็มี โยมน้อย โยมพวง แล้วก็โยมทองดี สามคนนี่แหละ เป็นคนส่งข้าวส่งน้ำต่อมาก็มี คุณโยมโต๋ว เจ๊กิมกี ส่งอาหาร ตอนก่อนก็จ้างเขาทำ แต่ต่อมา ท่านเห็นว่าต้องจ้างเขาทำ ท่านก็เลยส่งอาหารส่งปิ่นโตเอง ปิ่นโตใหญ่ ต่อมาก็เลยให้เจ๊กิมกีมาตั้งร้านอาหารในวัด เพราะท่านเป็นผู้มีคุณ เวลานี้ท่านก็ยังส่งปิ่นโตอยู่ทุกวัน
    หลังจากนั้นมา ปีที่สอง ท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ และคุณอ๋อย (คุณเฉิดสรี) ศุขสวัสดิ์ ภรรยา มาพบเข้า ก็ให้การสนับสนุนเรื่อยมา ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้ วัดก็เริ่มเจริญรุ่งเรืองตลอดมา
    เอาละ ท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า ก็ยังไม่จบ คอมันแห้งเต็มที เป็นอันว่า การสร้างวัดเริ่มต้นด้วย หุงข้าวกินเอง แล้วต้องเลี้ยงหมา ๖๖ ตัว หมาที่เขานำมาปล่อย เป็นหมาดีทั้งหมด เป็นสุนัขดีทั้งหมด จะขอเล่าถึงความอัศจรรย์สักนิดหน่อย เหลือเวลา ๑๔ นาที เมื่อมาถึงได้ ๒-๓ วัน ตอนค่ำใหม่ ๆ ก็นอนอยู่ใต้ถุน กำลังเคลิ้ม ๆ จะหลับ ก็มีคนมาจับนิ้วหัวแม่เท้ากระตุก ลืมตาขึ้นมาเห็นคนรูปร่างใหญ่ ผิวดำ ผมหยิก ล่ำสัน ก็ทราบว่า ท่านผู้นี้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ถามว่า กระตุกเท้าทำไม
    ท่านบอกว่า คืนนี้ขโมยจะเข้าลักพระในโบสถ์ ให้บอกเจ้าอาวาส เวลานั้นมีนาค คือ มีคนที่จะบวชพระมีอยู่หลายคน ก็บอกกับ นาคเอนก ซึ่งเป็นลูกของ ท่านกำนันองุ่น มากมี คนนี้ก็ดีเหมือนกัน เป็นคนสนับสนุนตลอดมา แต่ว่าเป็นคนละตำบล แต่สนับสนุนดีมาก ช่วยเหลือทุกอย่าง ถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัยกำนันองุ่นช่วยทุกอย่าง เรียกว่า สละชีวิตและร่างกายเพื่อวัดจริง ๆ แตกต่างจากทายก ทายกไม่เอาไหนเลย ก็ต้องการอย่างเดียว คือขนออก กำนันองุ่นขนเข้า แล้วก็ทางปากคลอง ซึ่งมีศรัทธาดี ก็มี เจ๊กินกี โยมโต๋ว เจ๊กิมลั้ง อะไรพวกนี้เป็นต้น และทางบ้านเกาะลูกมอญอีกชุดหนึ่ง และฝั่งตรงข้ามก็มี คุณทองชุบ กับภรรยา ลืมชื่อเสียแล้ว ก็เรียกว่า มันก็ปนกัน สีขาวกับสีดำก็ปนกัน คนที่เขามีศรัทธาจริง ๆ เขาก็ช่วย คนที่มีศรัทธาเพื่อหวังรวย เขาก็ไม่ช่วย
    ทีนี้เรื่องตอนที่ หลวงพ่อขนมจีน มาเล่าให้ฟัง คือ หลวงพ่อเส็ง ท่านบอกว่า วัดนี้ที่ตั้งอยู่เวลานี้ ความจริงมันตั้งอยู่ในป่าช้าเก่า แม่น้ำเดิมจริง ๆ แม่น้ำสายนี้มันเล็ก ศาลาการเปรียญอยู่กลางแม่น้ำ เสาหงส์ก็อยู่กลางแม่น้ำในปัจจุบัน และต่อมา เมื่อมีเรื่อเมล์วิ่งเข้าละลอกมันก็ตี ลูกคลื่นมันก็ตีตลิ่งพัง เขาจึงต้องย้ายกุฏิมาอยู่ที่นี่ และเมื่อก่อนแม่น้ำสะแกกรังตอนหน้าแล้ง น้ำก็แห้ง ก็ต้องกินน้ำในบึงเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ท่านก็ชี้ให้ดู ในที่สร้างกุฏิกลางน้ำนั่นแหละ บึงอยู่ที่นั่น เป็นบึงเล็ก ๆ ท่านก็เล่าความเป็นมาทุกอย่าง ท่านก็บอกว่า ถ้าไม่เชื่อผมก็ถามไอ้อ่อง ดู
    คำว่า ไอ้อ่อง อาตมาก็คิดว่าเป็นคนเด็ก หรือเป็นคนหนุ่ม พอรุ่งขึ้นถาม เอี่ยม อ่อนคำ ว่า รู้จักคนชื่อ อ่อง ไหม บอกรู้จัก อยู่ที่อำเภอมโนรมย์ ก็ให้ไปเชิญตัวมาก ปรากฏว่า ท่านมีอายุ ๙๓ ปี ก็ถามความเป็นมาของวัดว่า วัดเดิมจริง ๆ อยู่ในแม่น้ำจริงไหม ท่านบอกว่า จริง ท่านบอกว่า เมื่อตอนผมเด็ก ผมยังวิ่งเล่นแถวเสาหงส์อยู่กลางแม่น้ำ เวลานั้นเป็นตลิ่ง ทีนี้อาศัยที่เรือมาวิ่ง ตลิ่งพังมา แม่น้ำก็กว้างขึ้นมา แต่ว่าเวลาหน้าแล้งจริง ๆ แม่น้ำตอนด้านหน้านี่แห้งต้องกินน้ำในบึง ก็ตรงกับที่หลวงพ่อขนมจีนเล่าให้ฟัง
    ในตอนนั้นก็มีเหตุอัศจรรย์หลาย ๆ อย่าง คือว่า คืนหนึ่ง นายโต พี่ของเอี่ยม อ่อนคำ มานอนเป็นเพื่อน เธอมีปืนมาหนึ่งกระบอก มีไฟฉายหนึ่งดวง ตอนดึกประมาณตี ๒ ก็มีคน ๆ หนึ่ง เดินไปเดินมาอยู่กลางบริเวณที่โล่งใกล้ ๆ กับเธอนอน เธอถามว่า ใคร เขาตอบ กูเองว่ะ ถามว่า มาทำไม กูก็มาเดินยาม มาอยู่ยาม ทีแรกเธอจะหยิบปืน ก็หยิบไม่ขึ้น จะหยิบไฟฉาย ก็หยิบไม่ขึ้น คนนั้นก็บอกว่า ไอ้ปืนกับไฟฉาย มึงอย่าหยิบมาเลย ไม่มีความหมายหรอก มึงหยิบยังไม่ขึ้น จะยิงกูได้อย่างไร ถามว่า ท่านเป็นใคร ท่านเลยบอก กูเป็นเทวดาอยู่ที่ข้างต้นโพธิ์นี่ว่ะ เวลานั้นอาตมานอนอยู่ข้างต้นโพธิ์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นายโตก็เลยไม่ยอมมาวัดกลางคืนต่อไป กลัวผี
    ก็เป็นอันว่า คืนวันนั้น ที่ท่านบอกว่า ขโมยจะเข้าวัด ก็ให้พวกนาคไปบอกเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็ทำเฉย เป็นอันว่า ขโมยเข้าวัดจริง ๆ เข้ามาในโบสถ์ งัดเอาพระพุทธรูปอายุประมาณ ๓๐๐ ปีไป เอาไปหนึ่งชุดละ แล้วต่อมาอีกคราวหนึ่ง เจ้าสุนัขที่มาอยู่ด้วยถือว่ามาช่วยจริง ๆ อาตมาก็ไม่มีสตางค์ ต้องซื้อเศษอาหารมาเลี้ยงในที่สุด เศษอาหารที่เป็นเนื้อก็ซื้อไม่ไหว เอาผักบุ้งมาผัดกับน้ำมันหมู ใส่น้ำปลาเค็ม ๆ แล้วคลุกให้กิน มันก็กินกันแบบเอร็ดอร่อยกินได้แบบอัศจรรย์ ผักบุ้งธรรมดา ผัดให้เนื้ออ่อน ๆ หน่อย ให้สุกมาก ๆ น้ำปลาใส่เค็ม ๆ กับน้ำมันหมู คลุกข้าว ก็กินกันอย่างตั้งอกตั้งใจ และก็อ้วน มีประโยชน์มาก
    คืนหนึ่ง อาตมาไปเดินจงกรม ระหว่างหน้าศาลา ถึงพระอุโบสถไปตั้งแต่เวลาตี ๒ พอถึงเวลาตี ๔ พระจะสวดมนต์ อาตมาก็กลับ เมื่ออาตมากลับมาแล้ว ปรากฏมีเจ้าสุนัขตัวหนึ่ง มันดำใหญ่ มันไม่ยอมกลับมาด้วย ไม่รู้มันนอนที่ไหน ทุกตัวเดินกลับมาหมด หมาทั้งหมด ๖๒ ตัว มาถึงเห็นเจ้าดำหายไปตัวหนึ่ง ก็บอกว่า เจ้าดำมันหายไป อาตมาก็เข้านอน พอเข้านอนก็ปรากฏว่าประเดี๋ยวเดียวได้ยินเสียง โฮก…หน้าประตูพระอุโบสถ เจ้าหมาอีก ๖๑ ตัว ก็วิ่งออกเป็น ๓ สาย เพราะว่าที่รับแขกปัจจุบันนี้ เวลานั้นเป็นกอไผ่ วิ่งไล่ออกเป็น ๓ สาย ไล่กวดขโมย
    ปรากฏว่าตอนเช้า ได้ผ้าขาวม้า ได้มีด ได้ปืน และก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่ติดผ้า กางเกงหลุด มันกัดเสียจนผ้าหลุด แต่คนไปได้ เข้าใจว่าจะไปทางน้ำ อาจจะมีเรือมารับ แต่ว่าในตอนนั้นปรากฏว่า เจ้าอาวาสโกรธมาก โกรธสุนัขมาก เพราะว่าเจ้าสุนัขมันกัดขโมยที่หน้าประตู เขาก็เริ่มบิดกุญแจแล้ว พอเข้าจับกุญแจบิดเท่านั้น ใช้เหล็กบิด เจ้าดำมันกัด พอกัดแล้วก็โฮก ส่งเสียงเรียกพวกมัน พวกมันก็วิ่งไป
    ฉะนั้น บรรดาท่านทั้งหลาย สุนัขนี่จะถือว่ามันเป็นสัตว์ที่เลวไม่น่าคบค้าสมาคม แต่ความจริงเป็นสัตว์ที่รักษาทรัพย์สินของสงฆ์ได้อย่างดีมาก ถ้าเรารู้จักเลี้ยง รู้จักใจสุนัข บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะรักสุนัขมาก เพราะอะไร เพราะว่ามันมีความกตัญญูรู้คุณ จะตี จะด่า จะว่าอย่างไรก็ตามทีเถอะ มันก็ประจบประแจงอยู่เสมอ ไม่ยอมโกรธเจ้าของ ไม่ยอมทำอันตรายเจ้าของ แล้วมันก็มีแค่ปาก ศัตรูมีอาวุธ มีไม้ มีมีด มีปืน มันก็ไม่กลัว มันพร้อมพลีชีพเพื่อเจ้าของของมัน เพื่อทรัพย์สินของเจ้าของ ก็เป็นที่น่ารัก
    ทีนี้ในกาลต่อมา ในการก่อสร้าง บรรดาท่านพุทธบริษัท ในการก่อสร้างครั้งแรกก็รู้สึกว่าเป็นการยากนิดหน่อย ทีแรกอาตมาอยู่กระต๊อบ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ปีนั้นซื้อเสามา ๔ ต้น เวลานี้ยังทำประตูอยู่ ๒ ต้น หายไป ๒ ต้น ที่เป็นประตูเหล็ก เสาหน้าแปด ๔ ต้น จะมาทำโรงสูง ๆ คร่อมเครื่องสูบน้ำ แล้วนอนข้างบนให้ลมพัดเย็น ๆ ตอนเวลากลางคืนก็เห็น หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านถามว่า เธอจะทำอะไร บอก จะทำกุฏิหลังเล็ก ๆ สักห้องเดียว ให้สูง ๆ รับลม ท่านบอกว่า ปีนี้น้ำจะท่วมกุฏิหลังนี้ ที่อยู่นี่ ถ้ายืนอยู่น้ำจะเลยจมูกให้สร้างตึก แล้วรีบสร้างให้ทัน ก็รีบสร้าง
    ก็มี ครูนนทา อนันตวงษ์ เป็นเจ้ามือใหญ่ ก็มีฉลวย ปินินทรีย์ มีสิริรัตน์ ภรรยา พล.อ.อ.อาทร และก็มีพิมพา และก็วาสนา หุตะสิงห์ ก็ทำการสร้างตึกขึ้นมา สร้างให้มันทัน เวลานั้นก็ไม่ค่อยสบาย ช่างก็แสนจะดีมาก เพราะอะไร เพราะว่า ถ้าหันหลังให้ ช่างก็ชักมือช้าลง จ้างเป็นรายวัน รีบทำเอาดีไม่ได้ เอาแค่อยู่ได้เท่านั้นเอง พอทำเสร็จได้ ๓ วัน น้ำก็ท่วมถึงพื้นพอดี
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การก่อสร้างเวลานั้นก็แสนจะยาก เงินก็หาไม่ค่อยได้ อาตมาก็อาศัยพระ อาศัยเทวดา อาศัยพรหม ปีแรก ขณะที่เริ่มสร้างกุฏิ ท่านก็มาบอกคาถาให้บทหนึ่ง บอกว่าคาถาบทนี้ เป็นคาถาหาเงินคล่อง แล้วต่อมาอีกปีหนึ่งก็ให้คาถาบทที่สอง เป็น คาถาเงินแสน พอให้คาถาเงินแสน ปีนั้นทอดกฐินได้เงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท และทอดผ้าป่า คุณประสิทธิ์ ตัณฑเศรษฐี ผู้จัดการใหญ่ เป๊ปซี่ มาทอดผ้าป่า ๒ คราว คราวละแสนกว่า และต่อมาท่านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ สองสามีภรรยา มีพวกมาก ก็ช่วยเรื่อยมา จนกระทั่งเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดนี้
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาบ เสียงก็ไม่ดี คอก็แห้งมาก จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะหนังสือมันจะไม่พอ ก็ขอเล่ากันเพียงย่อ ๆ ว่า การมาอยู่ที่วัดท่าซุงนี่ แสนจะยากลำบากมาก แต่ในที่สุด เมื่อสร้างพระอุโบสถฝั่งนี้ไม่ได้ ก็ซื้อที่ฝั่งโน้น ที่ของ บุญส่ง ทีแรกเธอซื้อไร่ละเท่าไรก็ไม่ทราบ เธอมาปรึกษา ก็บอกว่า ซื้อเถอะ แล้วต่อไปเธอจะขายได้ไร่ละหมื่น แล้วต่อมาอาตมาเองก็เป็นคนซื้อต่อไร่ละหมื่น ทีแรกเธอจะขาย งานละหมื่น ก็มีคนจองแล้ว ๒ ราย ก็เรียกสามีมา สามีชื่อ ครูเสถียร บอกอยากจะสร้างโบสถ์ อยากจะซื้อที่ตรงนั้น ขอให้ไร่ละหมื่นได้ไหม เขาบอกว่า เวลานี้คนให้แล้วครับ งานละหมื่น ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็คงจะซื้อไม่ได้
    ก็เลยให้ไปตามภรรยามา ภรรยาก็บอกว่าหลวงพ่อบอกไว้แล้ว บอกว่าให้ซื้อเถอะ ฉันซื้อไร่ละ ๓,๐๐๐ บาท หลวงพ่อบอกซื้อไว้ ต่อไปจะได้ไร่ละหมื่น แล้วหลวงพ่อจะให้ไร่ละหมื่น หนูขายค่ะ แล้วก็ถามสามี พี่ยอมไหม อาจารย์เสถียรก็บอก ถ้าเธอให้ ฉันก็ให้ ฉันพร้อมจะให้อยู่แล้ว แต่ฉันกลัวเธอจะด่าฉัน เป็นอันว่า ซื้อที่ฝั่งโน้นจากบุญส่ง ๑๒ ไร่ แล้วก็ซื้อเรื่อยมา เวลานี้มีที่ทั้งหมดจริง ๆ ประมาณ ๒๐๐ ไร่เศษ คนนั้นซื้อบ้าง คนนี้ซื้อบ้าง
    เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบ การสร้างวัดท่าซุง ไม่ได้มีเงินก้อนมาจากไหน มาจากศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธา สวัสดีffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
     
  2. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...