เมื่อหลวงปู่จันทาถาวโรตายครั้งแรก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 24 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    [​IMG]
    พอใกล้เข้าพรรษา ได้แยกจากท่านอาจารย์จันทร์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านตะเบาะ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ มีพระจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ๓ รูป สามเณร ๑ รูป และผ้าขาวเฒ่า ๑ คน (ผ้าขาว คือ ฆราวาส ผู้รักษาศีล ๘ อยู่ที่วัด)
    อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันเพ็ญเดือน ๑๐ หลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว กลับมาที่กุฏิเอาผ้าคลุมจะไปฟังธรรมะ ก็พอดีไข้มาเลเรียมันกำเริบหนักขึ้นสมอง ล้มลงกับพื้นที่กุฏิซึ่งปูด้วยฟากไม้ไผ่ กุฏินั้นมี ๒ ห้อง พักอยู่กับเณรคนละห้อง เณรได้ยินเสียงล้มลง จึงออกมาดู แล้วถามว่า
    “ครูบาเป็นอะไร ?” (ครูบาเป็นคำเรียกพระที่พรรษาหย่อน ๑๐)
    “ไม่รู้! ... มันมืดตื๊บแล้วล้มลงเลย”
    เณรก็วิ่งไปบอกญาติโยมว่า “ครูบาจันทา ล้มลงนะ เป็นอะไรก็ไม่ทราบ ขี้แตก เยี่ยวออก พูดได้อยู่ แต่ไม่รู้อะไร”
    ทั้งพระและโยมเขาก็มาดู เอาหมอมาด้วย หมอบ้านนอก เป็นตำรวจเก่า เขาก็มาตรวจดูแล้วบอกว่า “เป็นไข้มาเลเรียขึ้นสมองอย่างหนัก อีก ๕ นาที ก็จะสิ้นลม”
    โยมทายกวัดเขาก็ว่า “จะสิ้นหรือไม่สิ้นก็ต้องฉีดยาช่วยเหลือไว้ก่อน”
    พอฉีดยาเสร็จแล้วไม่นานก็สิ้นลม เมื่อสิ้นลมแล้ว ดวงจิตนั้นยังไม่ยอมออกจากร่าง ยังห่วงใยเสียดายร่างกายอยู่ ไม่นาน มีเพื่อนคนหนึ่ง รูปร่างสวยงาม มายืนอยู่ข้าง ๆ ร้องบอกว่า
    “เพื่อน ๆ ...รีบออกจากเรือนเถอะ ไฟมันจะไหม้ทับหัว”
    ก็เลยออกมาจากร่างมายืนติดกับเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า
    “นี่แหละ เพื่อนเอ๋ย ! ...สมบัติร่างกายนี้นั้นอาศัยกันมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้นั้น ก็ถูกไฟพยาธิเผาให้เร่าร้อนฉิบหายเสียแล้ว จะอาศัยกันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ หมดเพียงแค่นี้นั่นแหละ ถึงจะเสียดายอย่างไร ก็หมดสิทธิอำนาจที่จะเข้าไปครอบครองได้อีกต่อไป”
    จากนั้นทั้งพระและโยมก็ช่วยกันเปลี่ยนผ้า ล้างผ้า อาบน้ำให้ แล้วก็หามศพไปไว้ที่ศาลา วางนอนไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใส่โลง และก็ไม่ได้ฉีดยา ก็ตามไปดูอีก เพราะความเสียดายนั่นแหละ เข้าไปนั่งลูบคลำร่างกายศพดู แล้วก็เฉย เขย่าดูก็เฉย เหมือนขอนไม้
    โอ้หนอ...ขึ้นชื่อว่าตายแล้ว ถึงจะคิดเสียดาย อาลัยอาวรณ์อย่างไร ก็เอากลับคืนมาไม่ได้ แล้วก็หมดความสงสัย ทีนี้ก็หันไปพูดกับพระเณร เขาก็ไม่พูดด้วย ไปถามญาติโยม เขาก็ไม่พูดด้วย เขามองไม่เห็น เพราะมีแต่นามธรรมคือ ดวงจิตนั้น
    จึงหันกลับมาถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันดี ?”
    เพื่อนก็ตอบว่า “จะพาไปเที่ยวดูภูมิประเทศ”
    ก็ออกเดินทางกันวันยังค่ำ มีแต่ดวงจิตไปสบาย ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้า ปลิวไปเหมือนนุ่นต้องลมฉะนั้น
    ครั้นไปถึงกึ่งกลางระหว่าง ๒ หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งเป็นภูเขา อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นป่าดง ในระหว่างกลางนั้นเป็นสนามเล่น ก็เลยไปพักเล่นกับเขา (ผี) เล่นอยู่จนกระทั่งตี ๓ พวกเขากลับบ้านกันหมด เพราะมันจะค่ำ กลางคืนเป็นกลางวันนะ เมื่อพวกเขากลับไปหมดแล้ว จึงถามเพื่อนว่า
    “เราจะไปไหนกันอีก ?”
    เพื่อนก็บอกว่า “เราเองก็มาใหม่ ยังไม่รู้จักภูมิประเทศ จะไปข้างหน้าก็เป็นป่าดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขา แต่ว่าขณะนี้ สมบัติปัจจัยเก่าคือร่างกายนั้นยังสดชื่นอยู่ พอที่จะกลับคืนสู่ร่างเก่าได้ เพราะมีบุญครึ่งหนึ่งรักษาไว้ เหมือนกับเกลือ รักษาเนื้อไว้ไม่ให้เน่าเปื่อยนั่นแหละ แต่ว่าเรามาไกลแล้ว จะเดินกลับคงไม่ทันแน่ ต้องวิ่ง”
    เอ้าวิ่ง...ก็วิ่งเลย มีแต่นามธรรมคือใจนั้น เบาเหมือนนุ่มต้องลมแล้วก็ปลิวไปอย่างนั้น ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้าอะไรหรอก ข้ามดง ข้ามทุ่งนามาถึงวัดแล้วก็ขึ้นไปบนศาลา ไปดูซากศพ ก็เห็นนอนสบายดีอยู่ มีแต่ญาติโยมที่มาเฝ้าศพปรึกษากันว่า
    “จะเผาหรือฝังนั้น ต้องรอท่านอาจารย์จันทร์ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่บ้านเฉลียงลับก่อน เพราะมากับท่าน ท่านจะให้ทำอย่างไร ก็ทำตามท่าน”
    ไปถึงแล้วเพื่อนก็บอกให้เข้าไปนั่งติดกับร่างศพ แล้วตั้งสติให้ดี นึกถึงบุญเก่าและบุญใหม่ บุญเก่าที่ท่านสะสมมาตั้งแต่ครั้งศาสนาของ พระพุทธเจ้าสิขีโน้นนั่นแหละ คือ เนกขัมมบารมี ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบจนตลอด ๑๐๐ กว่าปี นั่นแหละ บุญน้อยใหญ่สะสมมาไม่ลดละและบุญใหม่ที่บวชมานี่อีก ๕ พรรษา (หลวงปู่นับรวมที่เป็นมหานิกายด้วย ๓ พรรษา) ประกอบกันเข้านั่นแหละ จะช่วยให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างได้ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ พอนึกจบแล้ว ดวงจิตก็เข้าสู่ร่างได้อย่างสบาย เมื่อหันหน้ากลับมาดูเพื่อน เพื่อนหายไปเสียแล้ว
    เพื่อนหายไปไหน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า โอ๋...เพื่อนนั้นกลับกลายมาเป็นเตโชธาตุ เผาร่างกายให้อบอุ่นสดชื่นดี เพื่อนนั้นได้แก่ บุญกุศลที่ได้สะสมไว้ สามารถนิมิตเพศเป็นอะไรได้ทุกอย่าง บุญนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้
    พอแจ้งวันใหม่ กระดุกกระดิกร่างกายได้ ลืมตาขึ้นได้ยินเสียงนกแซงแซวร้องว่า “แจ้งแล้ว ๆ” ก็ระลึกขึ้นมาว่า เรามีชีวิตกลับคืนมาได้ก็เพราะบุญหรอก บุญที่สะสมไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องรักษา ไม่ให้เป็นอันตรายฉิบหาย
    ฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะสะสมแต่บุญกุศลเท่านั้น สิ่งอื่นไม่เอานะ สิ่งอื่นไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ข้าวของเงินทอง กุฏิ วิหาร สบง จีวร สังฆาฏิ ก็ดี เมื่อสิ้นลมไปแล้วก็ทอดทิ้งไว้หมดเสียสิ้น มีแต่บุญกุศลเก่าและใหม่เท่านั้น ที่จะบันดาลให้เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ เป็นผ้าสบง จีวร และสังฆาฏิสวยงาม เป็นที่พึ่งพิงอาศัยได้แท้แน่นอน
    เมื่อตั้งสัตย์อธิษฐานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พวกญาติโยมที่มาเฝ้าศพอยู่บนศาลาก็ตกใจ บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็กระโดดลงศาลาไปด้วยความกลัวผี
    ไม่นาน พอหายตกใจกลัวแล้ว พวกโยมทายกวัดก็เข้ามาถามความเป็นมา เพราะไม่เคยเห็นคนตายไปวันกับคืนแล้วฟื้นคืนมาได้
    ก็แสดงให้เขาฟังอย่างที่ได้อธิบายมาแล้ว นั่นแหละ และก็ว่า โยมทั้งหลาย ต่อไปนี้จงยึดเอาอาตมาเป็นคติธรรมเตือนใจนะ เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้า รักษาสมบัติร่างกายไว้ ถึงตายแล้วก็ไม่เปื่อยเน่า ยังสดชื่นเหมือนเดิม ทำให้ฟื้นกลับคืนมาได้ ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งสะสมคุณงามความดีใส่ตนไว้ จะได้เป็นเพื่อนสองเป็นคู่ครองติดตามตลอดไป
    นั่นแหละ ก็ได้เห็นผลของการบำเพ็ญบุญ เห็นอำนาจของบุญเป็นอย่างนั้น ดีเลิศประเสริฐแท้ ฝังใจแน่นอน ไม่หวั่นไหว จะเป็นหรือตายก็ไม่หวั่นไหวต่อใครทั้งหมดทั้งนั้น ใครว่าดีเลิศประเสริฐอย่างไร ก็ไม่หลงไปตาม
    นั่นแหละ จึงสมกับคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    สุโข ปุญฺสฺส อุจฺจโย การสะสมซึ่งบุญนั้น นำมาซึ่งความสุขความเจริญ ไม่ให้วิบัติฉิบหายจริงแท้
    ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ผู้ประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมรักษา ไม่ให้เคลื่อนคลาดจากภพชาติที่ได้แล้ว ดีเลิศประเสริฐอย่างนั้น
     
  2. สรวิชญ์

    สรวิชญ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +56
    หมี่นทำบุญทำกุศลทำความดี เพราะไม่รู้จะเกิดอะไรต่อไป
    ขออนุโมทนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...